Thai Value Investor การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุน VI หุ้นวีไอ Webboard

น้ำมันขึ้นราคา มีผลต่อ ยอดการกลั่น , ราคาหน้าโรงกลั่น หรือไม่ครับ

คาดว่าเงินปันผล จะถึง 0.40 บาท หรือเปล่าครับ

ไม่แน่ใจนะ แต่คิดว่ามาร์จินก็คงเหมือนเดิม เพราะสูตรราคาซื้อวัตถุดิบ และสูตรราคาขายน้ำมันไม่ได้เปลี่ยนครับ แต่คงมีผลดีเล็กน้อย เพราะรัฐชดเชยแต่ยังไม่ยอมจ่ายเงินให้โรงกลั่น ทำให้ขาดสภาพคล่อง การชดเชยน้อยลงก็น่าจะเพิ่มสภาพคล่องได้นิดหน่อย

ส่วนใหญ่กำไรของ rpc น่าจะผันผวนตามค่าการกลั่น(น้ำมันใส-น้ำมันดิบหรือคอนเดนเสทเรซิดิว) และราคาเคมีภัณฑ์ (ผลิตภัณฑ์หลักอีกตัว) ครับ

จ่ายปันผลไปแล้ว .25 บาทต่อหุ้น หากครึ่งหลังจ่ายเท่าเดิมก็เป็น 0.5 บาทต่อหุ้น
คาดว่าจะเป็นไปได้ เพราะครึ่งปีหลังโดยเฉพาะไตรมาส 3 กำไรดีมาก

มีลุ้นปันผล 0.40 บาท
คาดการ eps ปี 47 1.20
ปัน 50% 0.60 บาท
ปันแล้ว 0.25 บาท อาจปันผลถึง 0.40 บาท
rpc ไม่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นค่าน้ำมันดีเซล
เพราะถ้าเศรษฐกิจปีนี้โตไม่มีทางที่ยอดการใช้น้ำมันดีเซลจะลดต่ำลง
ค่าการกลั่นของ rpc มันคงที่ ถ้าจำไม่ผิด~ 2$/barrel (ความเสี่ยงต่ำที่สุดในโรงกลั่นด้วยกัน แต่ก็ให้ผลตอบแทนต่ำสุดเช่นกัน top ~ 6$/barrel)
ออกตัว เคยถือก่อนแตกพาร์แต่ขายทิง้ไปแล้วรอจังหวะซื้อกลับอยู่เหมือนกัน

โป้ง เขียน:น้ำมันขึ้นราคา มีผลต่อ ยอดการกลั่น , ราคาหน้าโรงกลั่น หรือไม่ครับ

คาดว่าเงินปันผล จะถึง 0.40 บาท หรือเปล่าครับ

อ๋อ... หมายถึงครึ่งปีหลัง 0.4 บาท ใช่ไหมครับ
เอ อย่างนี้ไม่แน่ใจครับคงขึ้นกับผู้บริหาร

กำไรอีกส่วนของ rpc คือ ขาขึ้นของราคาน้ำมันบริษัทจะได้ประโยชน์ เพราะมีกำไรจากส่วนต่างน้ำมันดิบที่ซื้อ(ต้นทุนต่ำ) กับน้ำมันใสที่ขาย ซึ่งใช้เวลาผลิตประมาณ 3 วัน แต่ในช่วงขาลง อาจจะขาดทุนจากสต็อคส่วนนี้ครับ คงต้องดูไตรมาส 4 ซึ่งอยู่ในช่วงขาลงว่าจะเป็นอย่างไร..

ส่วนประเด็นความต้องการน้ำมันดีเซลที่อาจจะลดลงเพราะราคาแพง ผมคิดว่าน่าจะมีผลน้อยมาก หรือไม่มีผลเลยเพราะส่วนใหญ่ใช้ในภาคการผลิต ซึ่งประหยัดกันไม่ได้ครับ

ผมลองคำนวณดูนะครับ(เดานั้นแหละ) :lol:

น่าจะได้ 0.35 นะ หวังแค่นี้จริงๆ

เอามาให้อ่านค่ะ

บล.ยูไนเต็ด : RPC แนะนำซื้อ ราคาเหมาะสม 9.60 บาท/หุ้น

Investment Theme
การปรับขึ้นราคาน้ำมันดีเซล ส่งผลดีต่อ RPC เราคาดว่า RPC จะได้รับประโยชน์จาก
การที่รัฐบาลประกาศปรับขึ้นราคาน้ำมันดีเซลสูงถึง 60 สตางค์/ลิตร เมื่อช่วงต้นสัปดาห์นี้ โดยได้
รับในรูปของกำไรจากสต๊อกน้ำมัน ซึ่งคาดว่าจะบันทึกเป็นรายได้จากการขายน้ำมันใน 1Q48
ประกอบกับบริษัทมีผลิตภัณฑ์น้ำมันเบา (น้ำมันเบนซิน และดีเซล) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีกำไรสูง
เป็นสัดส่วนที่มาก ประมาณ 95% และมีผลิตภัณฑ์หนักคือ น้ำมันเตาเพียง 5% ในขณะที่ผู้ผลิต
โดยทั่วไปมีสัดส่วนผลิตภัณฑ์น้ำมันเบาประมาณ 88% เท่านั้น โดยปกติผลิตภัณฑ์เบาและกลาง
จะมีกำไรมากกว่าผลิตภัณฑ์หนัก ส่งผลให้ RPC ได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่จากการที่ราคาน้ำมัน
ดีเซลปรับตัวสูงขึ้นดังกล่าว
ผลประกอบการปี 2547 โดดเด่น คาดว่าบริษัทจะมีรายได้จากการขายประมาณ 9,564
ล้านบาท กำไรสุทธิ 430 ล้านบาท (+82%YoY) และกำไรต่อหุ้น 1.03 บาท (+43%YoY) ซึ่ง
เป็นผลจากความต้องการผลิตภัณฑ์ของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามการขยายตัวทาง
เศรษฐกิจของประเทศ ( ประมาณ 6%) และค่าการกลั่นในปี 2547 อยู่ในระดับสูง
อัตราการจ่ายเงินปันผลสูง จากผลประกอบการในปี 2547 ที่คาดว่าจะออกมาดี คาดว่า
บริษัทจะจ่ายเงินปันผลประมาณ 0.52 บาท/หุ้น และ 0.60 บาท/หุ้น ในปี 2547-2548 คิดเป็น
Dividend Yield ประมาณ 6.6% และ 7.6% ตามลำดับ
โครงการลงทุนในเวียตนาม มีความคืบหน้ากว่า 70% RPC ถือหุ้น 60% ในบริษัท
VTN-P ซึ่งเป็นโรงกลั่นแห่งแรกในประเทศเวียตนาม มีกำลังการผลิต 2,500 บาร์เรล/วัน ปัจจุบัน
ก่อสร้างคืบหน้าไปแล้วกว่า 70% โดยเป็นไปตามแผนงานการก่อสร้างของบริษัท และคาดว่าจะ
สามารถผลิตได้ประมาณเดือนพฤษภาคม 2548 โดยผู้บริหารของบริษัทระบุว่าจะมีส่วนแบ่งกำไร
จากโครงการนี้ประมาณ 50 ล้านบาท/ปี
โครงการขยายกำลังการกลั่นในปี 2548 การได้สิทธิในการซื้อวัตถุดิบ (Feedstock)
จากสยามกัลฟ์ฯ 5,000 บาร์เรล/วัน ซึ่งจะเริ่มผลิตประมาณเดือน กย.48 จะทำให้บริษัทสามารถ
เพิ่มอัตราการใช้กำลังการผลิตจากปัจจุบันที่ 12,000 บาร์เรล/วัน จนถึงระดับเต็มกำลังการผลิต
ที่ 17,000 บาร์เรล/วันได้ในปี 2549-2550
นอกจากนี้ โครงการขยายกำลังการผลิตของ ATC อีกเท่าตัวในปี 2551 ยังเป็นโอกาส
ให้ RPC ขยายกำลังการผลิตโรงกลั่นเพิ่มขึ้นได้อีก 12,000 บาร์เรล/วัน ส่งผลให้รายได้จากการ
ขายน้ำมันของบริษัท ยังมีแนวโน้มเติบโตได้อีกมากในอนาคต
มูลค่าเหมาะสมประมาณ 9.60 บาท/หุ้น แม้ว่าRPC จะเป็นโรงกลั่นขนาดเล็ก แต่แนว
โน้มธุรกิจของบริษัทยังสดใส และมีกำไรเติบโตต่อเนื่องในปี 2548 ซึ่งคาดว่าจะมีกำไรต่อหุ้น
1.20 บาท (+ 16% YoY)
ณ ราคาปัจจุบันซื้อขายที่ระดับ PER เพียง 6.5x (ราคา 7.85 บาท/หุ้น) ซึ่งยังค่อนข้างต่ำ
เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่ประมาณ 10x ประกอบกับมีอัตราผลตอบแทนเงินปันผล
ประมาณ 6-7% และมี Upside gain ประมาณ 22% โดยอิงจากระดับ PER เท่ากับ 8 x ดัง
นั้น จึงแนะนำ ซื้อ (25/02/48)


รอผลประกอบการนานแล้วไม่ออกซักที

คำนวนกำไรได้ใกล้เคียงกันมากเลยคับบทวิเคราะห์ฉบับนี้

............................ :lol:

เฮ้อ อันนี้เข้าข่าย ผิดตามที่ไปประชุมกลต.มานะครับ

คือผิดในแง่ รู้ข่าวจริงๆ แต่นำมาบอกก่อน แล้วอาจจะมีผลต่อราคา
ซึ่งอาจจะต้องติดคุก 2 ปี

คือ ถ้าใครรู้อะไรจากข้างนอกเว็บ ผมว่า เก็บเป็นความลับ หรือไม่ก็บอกทาง pm การแพร่ผ่านทางเว็บ แล้วทำให้มีผลต่อราคา จะมีความผิดนะครับ โดยเฉพาะเจ้าของเว็บ และผู้โพสครับ

คือ กลต.มีกฎข้อนี้ออกมาเพื่อปกป้องนักลงทุนรายย่อย เพื่อให้ได้รับข่าวสารอย่างเท่าเทียมกัน ( แต่อาจจะกลายเป็นปกป้องนักลงทุนรายใหญ่ เพราะรายใหญ่นั่นแหละ ที่รู้ข่าว inside ก่อน แล้วมาปล่อยข่าวในห้องค้า เพื่อให้มีการไล่ราคา )

ขอโทษครับ แค่อยากจะสื่อมาอีกแง่มุมหนึ่ง