Thai Value Investor การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุน VI หุ้นวีไอ Webboard

เอาeps q4 ปี 45 ลบ q3 ปี 45 ได้ออกมาคือ 3.26-2.12=1.14 ปี 46 นี้คิดว่าแต่ละไตรมาสก็คงได้ประมาณ 1.14 นี้ แต่ไตรมาส 3 เขาต้องบำรุงรักษา กำไรจะตกลงดูจาก q3 ปี 45 กำไรตกไปประมาณ 10 กว่า % ดังนั้น eps ปี 46 = (1.14*3)+0.9=4.32 คิดง่ายๆละกัน ประมาณ 4 บาท จ่ายปันผลได้ 2 บาท
ไม่ทราบว่าจะใช้ได้ไหม อาจมองข้ามปัจจัยอื่นไป

คิดแบบนั้นมันก็ได้ แต่จริงๆแล้วเราต้องดูว่าอัตราการเติบโตของธุรกิจและบริษัทมีอัตราการเติบโตจากปีนี้กี่เปอร์เซ็นต์ ให้เอาค่านี้ไปคำนวนหาEPSปีถัดไป แต่เจ้าอัตราการเติบโตนี้จะเป็นเท่าไรต้องไปดูว่าอัตราการใช้ไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นเท่าไร ต้นทุนค่าพลังงานเท่าไร ปรับราคาหนีต้นทุนได้มากน้อยอย่างไรครับ พอได้แนวทางบ้างไหมครับ อย่างไรบอกด้วยนะครับ

คิดแบบนั้นมันก็ได้ แต่จริงๆแล้วเราต้องดูว่าอัตราการเติบโตของธุรกิจและบริษัทมีอัตราการเติบโตจากปีนี้กี่เปอร์เซ็นต์ ให้เอาค่านี้ไปคำนวนหาEPSปีถัดไป แต่เจ้าอัตราการเติบโตนี้จะเป็นเท่าไรต้องไปดูว่าอัตราการใช้ไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นเท่าไร ต้นทุนค่าพลังงานเท่าไร ปรับราคาหนีต้นทุนได้มากน้อยอย่างไรครับ พอได้แนวทางบ้างไหมครับ อย่างไรบอกด้วยนะครับ

ขอบคุณครับ แ่ต่ค่าต่างที่ให้มา ผมประมาณเองไม่ได้ เพราะข้อมูลน้อย อาจพลาด ต้องอาศัยโบรก แต่ที่ดูบทวิเคราะห์เขา กับฟังจากผู้บริหารเร็วๆนี้ เห็นเขา บอกคงไม่โตขึ้น กำไรคงเท่ากับปีที่ผ่านมา

ผมว่าถ้าดูแบบนี้คงจะเป็นการวิ่งเข้าวิ่งออกจากหุ้นครับ คือถ้าประมาณว่าปีนี้ไม่ดีก็ทิ้ง ถ้าดีก็ถือ หยั่งนี้ผมว่าควรเปลี่ยนตัวเล่นดีกว่าครับ ยิ่งตอนนี้มีข่าวว่านายกทักษิณจะให้เลิกระบบค่าไฟฟ้ารวมหรือยกเลิกการคิดค่าไฟแบบเดิมยิ่งเสียวใหญ่เลยครับ ตามหลักผมว่าก่อนจะเลือกหุ้นลงทุนควรจะลองดูก่อนว่าบริษัทที่เราลงทุนจะเติบโตอย่างยั่งยืนหรือเปล่าก่อนครับ จากนั้นประมาณการเจริญเติบโตโดยดูย้อนหลังไปหลายๆปี ถ้าโตขึ้นๆลงๆไม่แน่นอนอย่างนี้คบไม่ได้ แต่ถ้าโตขึ้นเรื่อยๆก็ลองเฉลี่ยดูว่าโตประมาณกี่% เช่น5ปีย้อนหลังโตเฉลี่ย10%ก็เอา10%บวกเข้าไปจากปีนี้ ผมว่าถ้ามาคิดถึงการใช้พลังงาน+ค่าน้ำมัน+....โบรกก็คิดไม่ไหวหรอกครับต้องทำcompany visit ซึ่งถ้าต้องมาดูทุกๆปีค่อยตัดสินใจจะซื้อหรือขายก็คล้ายๆการเก็งผลประกอบการณ์สั้นๆ(ปีต่อปี) ผมว่าถ้าประเทศเราฟื้น ไฟฟ้าต้องมาแน่นอน และตอนนี้ratch ก็มีกำลังการผลิตสูงสุดน่าจะไปได้ครับ ซื้อแล้วก็ถือปันผลรอให้เค้าโตไปเรื่อยๆ (ผมก็มีอยู่เยอะเหมือนกัน) ที่น่าคอยดูมี2อย่างครับคือหนี้ที่เพิ่มขึ้นจากการลงทุนเพิ่ม(capital expenditureสูง)และการเปลี่ยนแปลงของก.ม.เรื่องการคิดค่าไฟที่รัฐ.อาจเข้ามายุ่งเหมือนทางด่วน

คุณasถ้าผมจะบอกอะไรตรงๆคุณasจะโกรธไหม? คือจริงๆแล้วถ้าถามผมเกี่ยวกับธุรกิจผลิตไฟฟ้าผมมักจะไม่แนะนำให้ลงทุน เพราะมันเป็นธุรกิจที่ต้องใช้เงินในการซ่อมแซมบำรุงรักษารวมไปถึงจะต้องลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ตลอดเพื่อให้ทันต่อการแข่งขัน เทคโนโลยีก็พัฒนาไปเลื่อยๆ โรงใหม่จะมีประสิทธิภาพมากกว่าโรงเก่าซึ่งบางทีโรงเก่ายังไม่หมดอายุเลยแต่ต้องหยุดเพราะไม่คุ้มที่จะเดินเครื่องต่อไป รายได้ขึ้นอยู่กับความต้องการใช้กระแสไฟฟ้า ต้นทุนในการเดินเครื่องสูงมาก ต้นทุนในการก่อสร้างโรงงานกว่าจะคุ้มทุนก็นานโข พูดง่ายๆไอ้ธุรกิจประเภทนี้ใช้เงินเก่งกว่าหาเงินครับ ลงทุนทีก็กู้ที ใช้ทุนน้อย สังเกตุว่าD/E จะสูงมาก ที่มีเงินจ่ายปันผลได้ตลอดก็เอาจากกำไรมาแบ่งให้หลังจากใช้หนี้แล้ว ดังนั้นธุรกิจนี้ลงทุนไปรอรับปันผลลูกเดียวครับ Capital Gain น้อยมาก

หากเป็นตอนที่เรามีการบูมเรื่องการใช้เครื่องไฟฟ้าใหม่ธุรกิจนี้จัดเป็นFast Growerเลยทีเดียว แต่ปัจจุบันไม่นะครับ เราอยู่ในยุคประหยัดพลังงานกันนะครับ

ผมก็คิดเหมือนคุณ Mon อย่างที่เคยอ่านในหนังสือตีแตก แต่เฉพาะราย ratch นี่ได้เปรียบน่าจะได้เปรียบแห่งอื่นสัญญาซื้อขายไฟแน่นอน แหล่งพลังงานไฟฟ้าถูก และไม่โดนต่อต้าน ธุรกิจในเครือ กฟผ.ซึ่งน่าเชื่อถือ บริหารหนี้ได้ดี ปันผลจากกำไรสูงเทียบกับหุ้นตัวอื่น แต่ที่ผมว่ามาไม่ไ้ด้ดึงผมถือหุ้นตัวนี้ต่อหรอกครับ ที่น่าสนใจกว่าคือ หุ้นตัวนี้ผลประโยชน์ของพนักงานกฟผ.ทั้งนั้น ทั้งส่วนตัวและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และอีกอย่างเป็นหุ้นปันผลที่สภาพคล่องซื้อขายสูง ไม่รู้จะเอาเงินไว้ไหนก็ไว้กับตัวนี้ก่อน ถ้าพื้นฐานเกิดเปลียนในทางแย่ก็ขายได้ง่าย อย่างที่คุณโค่วจงบอกว่าเกิดรัฐบาลมายุ่มย่ามเปลียนสูตรอะไรนั่นก็แย่เหมือนกัน

ผมว่าคุณasก็เข้าใจธุรกิจนี้อยู่ระดับนึง แต่ผมไม่เข้าใจว่าทำไมยังสนใจตัวนี้ทั้งที่มันเปรียบเสมือนโรงสูบผลประโยชน์จากผู้ลงทุนไปให้ กฟผ.มากกว่า แถมลูกค้าก็มีรายเดียว(ก็คุณ กฟผ. อีกนั่นแหละ) ซึ่งต่อให้มีต้นทุนถูกผมว่ากำไรก็หดหายอยู่ดีแหละครับ