มีข่าวเด่น ดื่มชาเขียวมากเป็นอันตราย
โพสต์แล้ว: พุธ เม.ย. 06, 2005 9:15 am
ผลวิจัยเตือนชาเขียวพร้อมดื่มร้ายยิ่งกว่าน้ำอัดลม คาเฟอีน น้ำตาลสูงปรี๊ด
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 5 เมษายน 2548 15:56 น.
เผยพบชาเขียวพร้อมดื่มมีคาเฟอีน-น้ำตาลสูงปรี๊ด โดยเฉพาะสูตรผสมน้ำผึ้ง น้ำตาล ร้ายยิ่งกว่าน้ำอัดลม แถมไร้คำเตือน ฉลากไม่ถูกต้อง เด็กและสตรีมีครรภ์ควรระมัดระวัง ส่ง 43 ตัวอย่างให้ม.มหิดลตรวจพบสารคาเฟอีนต่อขวดปริมาณสูง กระตุ้นอย.ตรวจเฝ้าระวังเข้มงวด พัฒนาฉลากโภชนาการเสริมภูมิคุ้มกันผู้บริโภค
วันนี้(5 เมษายน)ที่ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค จัดแถลงข่าว เรื่องชาเขียวพร้อมดื่มเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพหรือคาเฟอีนซ่อนรูป โดยนายอิฐบูรณ์ อ้นวงศา ผู้ประสานงานฝ่ายเผยแพร่ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า จากการสำรวจปริมาณคาเฟอีนในชาเขียวแต่ละรุ่นแต่ละยี่ห้อ ตั้งแต่ช่วงกุมภาพันธ์ 2548 ที่ผ่านมาปรากฏว่า ชาเขียวบางรุ่นบางยี่ห้อไม่มีการแสดงปริมาณคาเฟอีนซึ่งเป็นข้อมูลที่สำคัญต่อผู้บริโภค โดยมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคได้นำชาเขียวพร้อมดื่ม 43 ตัวอย่างส่งให้สถาบันวิจัยโภชนาการมหาวิทยาลัยมหิดลทำการวิเคราะห์หาปริมาณคาเฟอีนทั้งหมด นำเปรียบเทียบกับเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนผสมอยู่โดยธรรมชาติและเติมเข้าไป พบว่า ชาเขียวพร้อมดื่มมีปริมาณคาเฟอีนสูงกว่าคาเฟอีนในเครื่องดื่มประเภทอื่นๆ
ทั้งนี้ชาเขียวพร้อมดื่มขนาดบรรจุ 500 มิลลิลิตร จากทั้งหมด 23 ตัวอย่าง มีถึง 15 ตัวอย่างหรือคิดเป็นร้อยละ 65.22 มีปริมาณคาเฟอีนเกิน 50 มิลลิกรัม/ขวด คือเฉลี่ยมีปริมาณคาเฟอีน 23.76-76.02 มิลลิกรัม/ขวด และขนาดบรรจุ 600 มิลลิลิตร ที่มีอยู่ทั้งหมด 4 ตัวอย่าง ตรวจพบปริมาณคาเฟอีนตั้งแต่ 77.27-103.48 มิลลิกรัมต่อขวด ในขณะที่ปริมาณคาเฟอีนที่ร่างกายรับได้ไม่เกิน 200 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งในชีวิตประจำวันเราอาจได้รับสารคาเฟอีนจากอาหารอื่นๆ ที่มีอยู่ในธรรมชาติ เช่น กาแฟ โกโก้ หรือเครื่องดื่มโคล่า เมื่อบริโภคชาเขียวพร้อมดื่มเข้าไปก็อาจทำให้ปริมาณสารคาเฟอีนในร่างกายสูงเกินมาตรฐานได้
นายอิฐบูรณ์ กล่าวต่อว่า นอกจากคาเฟอีนที่มีอยู่ในเครื่องดื่มชาเขียวแล้ว ความหวานในชาเขียวก็แฝงอันตรายสู่เด็กและวัยรุ่นด้วย ซึ่งตามเกณฑ์มาตรฐานขององค์การอนามัยโลกกำหนดการบริโภคน้ำตาลอยู่ที่ประมาณ 10 ช้อนชา ซึ่งโครงสร้างร่างกายมีการเผาผลาญได้ 6 ช้อนชา ขณะที่สินค้าประเภทเครื่องดื่มชาเขียวเมื่อสำรวจข้อมูลด้านโภชนาการ โดยเฉพาะสูตรมีน้ำตาลหรือผสมน้ำผึ้งพบว่า มีหลายยี่ห้อมีปริมาณน้ำตาลในระดับที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภคด้วยการบริโภคเพียงขวดเดียว
"จากการเปรียบเทียบน้ำตาลกับเครื่องดื่มโคล่า ที่เรามีความพยายามให้คนลดการบริโภคมาตลอด กลับพบว่าเครื่องดื่มชาเขียวจำพวกผสมน้ำผึ้งมีน้ำตาลถึง 13.75 ช้อนชาต่อขวด ขณะที่น้ำอัดลมมีน้ำตาล 13 ช้อนชาต่อชวด ซึ่งไม่แตกต่างกันเลย ส่วนชาเขียวผสมน้ำตาล พบว่ามีน้ำตาลสูงถึง 15.6 ช้อนชาต่อขวด และยิ่งกินทุกวัน วันละหลายๆ ขวด ทั้งปริมาณน้ำตาลและคาเฟอีนก็จะยิ่งสูงขึ้น จึงอยากให้ข้อมูลผู้บริโภคชี้ให้เห็นว่าเรากำลังบริโภคเพื่อสุขภาพหรือทำลายสุขภาพกันแน่ และขอเตือนอย่าให้เพลินไปกับการโปรโมทสินค้าที่กระตุ้นยอดขายเช่นการชิงโชคที่ไม่รู้ว่ากินกี่ขวดแล้วจะได้ แต่ผู้บริโภคกลับตกเป็นเหยื่อถูกชักจูงโดยทิศทางทางการตลาดโดยไม่รู้ตัว
นายอิฐบูรณ์ กล่าวด้วยว่า ข้อมูลที่ดีที่สุดสำหรับผู้บริโภคคือ ฉลากสินค้า ซึ่งในการประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 277 ซึ่งออกมาตั้งแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2546 ได้กำหนดให้ชาพร้อมดื่มต้องแสดงปริมาณคาเฟอีนหน่วยเป็นมิลลิกรัมต่อ 100 มิลลิกรัม ด้วยอักษรสีเข้มเส้นทึบขนาดความสูงไม่น้อยกว่า 2 มิลลิเมตร ที่อ่านได้ชัดเจนอยู่ในกรอบพื้นที่สีขาว บริเวณเดียวกับชื่ออาหารหรือชื่อสินค้า แต่พบว่า เครื่องดื่มที่มีการแสดงฉลากในตำแหน่งที่ถูกต้อง มียี่ห้อเดียวคือ ยี่ห้อซัมเมอร์ นอกจากนั้นไม่มียี่ห้อใดเลยที่แสดงตำแหน่งถูกต้อง แถมบางยี่ห้อไม่มีการแสดงปริมาณคาเฟอีนด้วย
นายอิฐบูรณ์ กล่าวว่า ข้อมูลในวันนี้เพื่อต้องการแจ้งเตือนผู้บริโภคทั้งกลุ่มวัยรุ่นและกลุ่มเสี่ยงคือเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี สตรีมีครรภ์ให้ความระมัดระวังในการบริโภค เนื่องจากอย.ยังไม่มีคำเตือนที่ชัดเจน เราจึงพยายามกดดันให้เก็บสินค้าที่ผิดกฎหมายออกไปตามที่อย.ได้ประกาศไว้ และหากผู้ฝ่าฝืนก็จะได้รับโทษปรับไม่เกิน 30,000 บาท
นอกจากนั้นอย.ควรดำเนินการเฝ้าระวังหมั่นตรวจสอบตลอดเวลา และเราจะนำข้อมูลที่ได้นี้ส่งต่อให้กับอย.ต่อไป ดังนั้นจึงขอให้หน่วยงานราชการปฏิบัติตามกฎหมาย ส่วนเรื่องปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่มชาเขียวก็ควรมีการพัฒนาฉลากโภชนาการ เนื่องจากปัจจุบันนี้ถือเป็นความสมัครใจของเจ้าของสินค้าที่จะแสดงหรือไม่ก็ได้ ซึ่งอย.มีอำนาจที่จะบังคับให้สินค้าแสดงปริมาณน้ำตาล เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับผู้บริโภคได้เลือกซื้อสินค้าที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ สุดท้ายอยากให้ผู้ประกอบการมีคุณธรรม จริยธรรม มีความรับผิดชอบต่อผู้บริโภคด้วย
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 5 เมษายน 2548 15:56 น.
เผยพบชาเขียวพร้อมดื่มมีคาเฟอีน-น้ำตาลสูงปรี๊ด โดยเฉพาะสูตรผสมน้ำผึ้ง น้ำตาล ร้ายยิ่งกว่าน้ำอัดลม แถมไร้คำเตือน ฉลากไม่ถูกต้อง เด็กและสตรีมีครรภ์ควรระมัดระวัง ส่ง 43 ตัวอย่างให้ม.มหิดลตรวจพบสารคาเฟอีนต่อขวดปริมาณสูง กระตุ้นอย.ตรวจเฝ้าระวังเข้มงวด พัฒนาฉลากโภชนาการเสริมภูมิคุ้มกันผู้บริโภค
วันนี้(5 เมษายน)ที่ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค จัดแถลงข่าว เรื่องชาเขียวพร้อมดื่มเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพหรือคาเฟอีนซ่อนรูป โดยนายอิฐบูรณ์ อ้นวงศา ผู้ประสานงานฝ่ายเผยแพร่ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า จากการสำรวจปริมาณคาเฟอีนในชาเขียวแต่ละรุ่นแต่ละยี่ห้อ ตั้งแต่ช่วงกุมภาพันธ์ 2548 ที่ผ่านมาปรากฏว่า ชาเขียวบางรุ่นบางยี่ห้อไม่มีการแสดงปริมาณคาเฟอีนซึ่งเป็นข้อมูลที่สำคัญต่อผู้บริโภค โดยมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคได้นำชาเขียวพร้อมดื่ม 43 ตัวอย่างส่งให้สถาบันวิจัยโภชนาการมหาวิทยาลัยมหิดลทำการวิเคราะห์หาปริมาณคาเฟอีนทั้งหมด นำเปรียบเทียบกับเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนผสมอยู่โดยธรรมชาติและเติมเข้าไป พบว่า ชาเขียวพร้อมดื่มมีปริมาณคาเฟอีนสูงกว่าคาเฟอีนในเครื่องดื่มประเภทอื่นๆ
ทั้งนี้ชาเขียวพร้อมดื่มขนาดบรรจุ 500 มิลลิลิตร จากทั้งหมด 23 ตัวอย่าง มีถึง 15 ตัวอย่างหรือคิดเป็นร้อยละ 65.22 มีปริมาณคาเฟอีนเกิน 50 มิลลิกรัม/ขวด คือเฉลี่ยมีปริมาณคาเฟอีน 23.76-76.02 มิลลิกรัม/ขวด และขนาดบรรจุ 600 มิลลิลิตร ที่มีอยู่ทั้งหมด 4 ตัวอย่าง ตรวจพบปริมาณคาเฟอีนตั้งแต่ 77.27-103.48 มิลลิกรัมต่อขวด ในขณะที่ปริมาณคาเฟอีนที่ร่างกายรับได้ไม่เกิน 200 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งในชีวิตประจำวันเราอาจได้รับสารคาเฟอีนจากอาหารอื่นๆ ที่มีอยู่ในธรรมชาติ เช่น กาแฟ โกโก้ หรือเครื่องดื่มโคล่า เมื่อบริโภคชาเขียวพร้อมดื่มเข้าไปก็อาจทำให้ปริมาณสารคาเฟอีนในร่างกายสูงเกินมาตรฐานได้
นายอิฐบูรณ์ กล่าวต่อว่า นอกจากคาเฟอีนที่มีอยู่ในเครื่องดื่มชาเขียวแล้ว ความหวานในชาเขียวก็แฝงอันตรายสู่เด็กและวัยรุ่นด้วย ซึ่งตามเกณฑ์มาตรฐานขององค์การอนามัยโลกกำหนดการบริโภคน้ำตาลอยู่ที่ประมาณ 10 ช้อนชา ซึ่งโครงสร้างร่างกายมีการเผาผลาญได้ 6 ช้อนชา ขณะที่สินค้าประเภทเครื่องดื่มชาเขียวเมื่อสำรวจข้อมูลด้านโภชนาการ โดยเฉพาะสูตรมีน้ำตาลหรือผสมน้ำผึ้งพบว่า มีหลายยี่ห้อมีปริมาณน้ำตาลในระดับที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภคด้วยการบริโภคเพียงขวดเดียว
"จากการเปรียบเทียบน้ำตาลกับเครื่องดื่มโคล่า ที่เรามีความพยายามให้คนลดการบริโภคมาตลอด กลับพบว่าเครื่องดื่มชาเขียวจำพวกผสมน้ำผึ้งมีน้ำตาลถึง 13.75 ช้อนชาต่อขวด ขณะที่น้ำอัดลมมีน้ำตาล 13 ช้อนชาต่อชวด ซึ่งไม่แตกต่างกันเลย ส่วนชาเขียวผสมน้ำตาล พบว่ามีน้ำตาลสูงถึง 15.6 ช้อนชาต่อขวด และยิ่งกินทุกวัน วันละหลายๆ ขวด ทั้งปริมาณน้ำตาลและคาเฟอีนก็จะยิ่งสูงขึ้น จึงอยากให้ข้อมูลผู้บริโภคชี้ให้เห็นว่าเรากำลังบริโภคเพื่อสุขภาพหรือทำลายสุขภาพกันแน่ และขอเตือนอย่าให้เพลินไปกับการโปรโมทสินค้าที่กระตุ้นยอดขายเช่นการชิงโชคที่ไม่รู้ว่ากินกี่ขวดแล้วจะได้ แต่ผู้บริโภคกลับตกเป็นเหยื่อถูกชักจูงโดยทิศทางทางการตลาดโดยไม่รู้ตัว
นายอิฐบูรณ์ กล่าวด้วยว่า ข้อมูลที่ดีที่สุดสำหรับผู้บริโภคคือ ฉลากสินค้า ซึ่งในการประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 277 ซึ่งออกมาตั้งแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2546 ได้กำหนดให้ชาพร้อมดื่มต้องแสดงปริมาณคาเฟอีนหน่วยเป็นมิลลิกรัมต่อ 100 มิลลิกรัม ด้วยอักษรสีเข้มเส้นทึบขนาดความสูงไม่น้อยกว่า 2 มิลลิเมตร ที่อ่านได้ชัดเจนอยู่ในกรอบพื้นที่สีขาว บริเวณเดียวกับชื่ออาหารหรือชื่อสินค้า แต่พบว่า เครื่องดื่มที่มีการแสดงฉลากในตำแหน่งที่ถูกต้อง มียี่ห้อเดียวคือ ยี่ห้อซัมเมอร์ นอกจากนั้นไม่มียี่ห้อใดเลยที่แสดงตำแหน่งถูกต้อง แถมบางยี่ห้อไม่มีการแสดงปริมาณคาเฟอีนด้วย
นายอิฐบูรณ์ กล่าวว่า ข้อมูลในวันนี้เพื่อต้องการแจ้งเตือนผู้บริโภคทั้งกลุ่มวัยรุ่นและกลุ่มเสี่ยงคือเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี สตรีมีครรภ์ให้ความระมัดระวังในการบริโภค เนื่องจากอย.ยังไม่มีคำเตือนที่ชัดเจน เราจึงพยายามกดดันให้เก็บสินค้าที่ผิดกฎหมายออกไปตามที่อย.ได้ประกาศไว้ และหากผู้ฝ่าฝืนก็จะได้รับโทษปรับไม่เกิน 30,000 บาท
นอกจากนั้นอย.ควรดำเนินการเฝ้าระวังหมั่นตรวจสอบตลอดเวลา และเราจะนำข้อมูลที่ได้นี้ส่งต่อให้กับอย.ต่อไป ดังนั้นจึงขอให้หน่วยงานราชการปฏิบัติตามกฎหมาย ส่วนเรื่องปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่มชาเขียวก็ควรมีการพัฒนาฉลากโภชนาการ เนื่องจากปัจจุบันนี้ถือเป็นความสมัครใจของเจ้าของสินค้าที่จะแสดงหรือไม่ก็ได้ ซึ่งอย.มีอำนาจที่จะบังคับให้สินค้าแสดงปริมาณน้ำตาล เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับผู้บริโภคได้เลือกซื้อสินค้าที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ สุดท้ายอยากให้ผู้ประกอบการมีคุณธรรม จริยธรรม มีความรับผิดชอบต่อผู้บริโภคด้วย