คุณมนตรี คับผมกับ ลูกชาย
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4940
- ผู้ติดตาม: 1
คุณมนตรี คับผมกับ ลูกชาย
โพสต์ที่ 31
เข้ามาติดตามครับ
ผมว่าเรื่อง sony เป็นบริษัทใหญ่ที่อุ้ยอ้าย การโต้ตอบคู่แข่งก็ช้า
กว่าจะตัดสินใจอะไรได้ พอเริ่มเข้าไปแข่ง คู่แข่งก็เริ่มเกมส์ใหม่อีกแล้ว ตามไม่ทันแน่ แข่งด้านราคาก็ไม่ไหวแน่
แล้ว sony ก็เชื่อมั่นใน ชื่อชั้นของตัวเองมาก
ดังนั้นจึงยกระดับสินค้าของตัวเอง ไปขายกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง
แต่ผมว่าที่สำคัญคือ sony ไปแตก sub brand มากเกินไป
คู่แข่งที่น่ากลัวของ sony ผมว่าตอนนี้คือ sumsung ของเกาหลี ที่ซื้อชั้นเริ่มตีตื้นมา จนรดต้นคอ หรือบางส่วนอาจเกินคอของ sonyไปแล้วด้วยซ้ำ
ที่ตีตามมาและจะน่ากลัวขึ้นเรื่อย น่าจะมาจากกลุ่ม higher จากจีน ชื่ออาจสะกดไม่ถูก แต่ผมว่าน่ากลัวจริงๆ แต่ผมว่าเขายังไม่ทำตลาดในไทย แบบจริงๆจังๆ
ผมว่าเรื่อง sony เป็นบริษัทใหญ่ที่อุ้ยอ้าย การโต้ตอบคู่แข่งก็ช้า
กว่าจะตัดสินใจอะไรได้ พอเริ่มเข้าไปแข่ง คู่แข่งก็เริ่มเกมส์ใหม่อีกแล้ว ตามไม่ทันแน่ แข่งด้านราคาก็ไม่ไหวแน่
แล้ว sony ก็เชื่อมั่นใน ชื่อชั้นของตัวเองมาก
ดังนั้นจึงยกระดับสินค้าของตัวเอง ไปขายกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง
แต่ผมว่าที่สำคัญคือ sony ไปแตก sub brand มากเกินไป
คู่แข่งที่น่ากลัวของ sony ผมว่าตอนนี้คือ sumsung ของเกาหลี ที่ซื้อชั้นเริ่มตีตื้นมา จนรดต้นคอ หรือบางส่วนอาจเกินคอของ sonyไปแล้วด้วยซ้ำ
ที่ตีตามมาและจะน่ากลัวขึ้นเรื่อย น่าจะมาจากกลุ่ม higher จากจีน ชื่ออาจสะกดไม่ถูก แต่ผมว่าน่ากลัวจริงๆ แต่ผมว่าเขายังไม่ทำตลาดในไทย แบบจริงๆจังๆ
สีลํ พลํ อปฺปฏิมํ สีลํ อาวุธมุตฺตมํ
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
-
- Verified User
- โพสต์: 35
- ผู้ติดตาม: 0
คุณมนตรี คับผมกับ ลูกชาย
โพสต์ที่ 32
คุณก๊อปครับ
ซัมซุงกับโซนี่นั้นมีความแตกต่างกันค่อนข้างมาก ทั้งในด้านขนาดและวัฒนธรรมองค์กร ความแตกต่างกันในด้านขนาดนั้นคงไม่ต้องพูดถึง เวลานี้โซนี่เป็นยักษ์ใหญ่อยู่ในวงการบันเทิงของสหรัฐไปแล้ว ทั้งค่ายเพลง สตูดิโอ โรงถ่าย บริษัทสร้างภาพยนต์
เท่าที่ผ่านมาภาพยนต์ของค่ายโซนี่เช่น สไปเดอร์แมน ก็โกยเงินโกยทองได้อย่างมหาศาล ภาพยนต์เรื่องอื่นส่วนใหญ่ก็ล้วนประสพความสำเร็จติดอันดับทีอปเท็นเกือบทั้งนั้น
ส่วนเรื่องวัฒนธรมมองค์กรนั้น ซัมซุงเป็นองค์กรประเภทต่อยอดกล่าวคือ ซัมซุงนำเอาเทคโนโลยีที่มีอยู่แล้ว มาใส่สมองและไอเดียสสร์ลงไป ส่วนของโซนี่ นอกจากต่อยอดได้แล้ว ยังเป็นองค์กรนักสร้างเทคโนโลยีตัวฉกาจ เช่น วอล์คแมน เป็นต้น
และถ้าเปรียบเทียบให้เห็นกันแบบชัดๆละก็ ซัมซุงนั้นเปรียบเหมือนวกับค่ายเพลงของไทยเรานั่นเอง
ในจำนวนเพลงฮิตๆที่ติดหูมียอดขายหลายๆล้านก๊อปปี้ ส่วนใหญ่ก็คือเพลงที่ไปซื้อลิขสิทธิ์ ทำนองเพลงมาจากต่างประเทศเอามาใส่เนื้อร้องเป็นภาษไทยกันเกือบจะทั้งนั้น ลักษณะแบบนี้เรียกว่าการต่อยอดและถ้าช่วงไหน ร้างลาเพลงสากลที่มีท่วงทำนองที่โดนใจคนไทย ประดานักต่อยอดทั้งหลาย ก็ทำอะไร ก๊อกๆ แก๊กๆ ไปพลางๆก่อน และสำหรับนักลงทุนถ้าอยากรู้ว่า ค่ายเพลงไหนราคาหุ้นจะวิ่งก็ให้สังเกตว่า เพลงที่ฮิตระเบิดของต่างชาติเวลานั้น ค่ายเพลงไหนเป็นผู้ทุ่มเงินเงินทุ่มทองไปแย่งซื้อมาได้ ให้เตรียมเก็บหุ้นรอไว้ได้เลยชัวร์มากๆ (ตั้งใจโพสเต็มที่กลัวมีไม้เอกเกินเข้ามาละแย่เลย)
อันว่าธรรมชาติของธุรกิจนั้นจำเป็นจะต้องดำเนินอยู่ตลอดเวลา แม้ว่า ณ ห้วงเวลานั้นจะปราศจากกระแสใดๆเลยก็ตาม ( กระแสในช่อวงเวลานี้ก็คือโทรศัพย์มือถือ กล้องดิจิตอล คอมพิวเตอร์ เอ็มพี3 ) จะมัวทำอะไรก๊องแก๊กๆ ก็คงไม่ได้ครั้นจะกัดฟันสร้างเทคโนโลยีขึ้นมาเอง โดยไม่มีประสพการณ์ที่เพียงพอ ก็อาจทำให้บริษัทล้มครืนลงไปได้
คุณก๊อปครับ การที่ผมใช้โซนี่สท้อนภาวะที่หนักหนาสาหัสสากรรจ์ของกองทัพสินค้าราคาป่วนโลกของจีน เปรียบไปแล้วก็เหมือนกับเวลาที่ผมต้องการจะเห็นภาพสท้อนของพลังทำลายโลกของสึนามิ ผมก็จะไม่ไปดูที่ภาพของกระต๊อบ รถเข็น แผงลอย หรือรถยนต์ ที่ลอยตุ๊บป่องๆ ไปตามกระแสน้ำหรอกครับ เพราะเพียงแค่น้ำป่าที่ใหลบ่าลงมาจากภูเขาภาะเหล่านี้ก็มีให้เห็นอยู่เป็นประจำอยู่แล้วว ภาพเหลบ่านี้สื่อในสิ่งที่ผมต้องการรู้ไม่ได้ แต่ถ้าเราไปดูที่ภาพรถไฟทั้งขบวนถูกคลื่นยักษ์กวาดพลิกคว่ำระเนระนาด ภาพอย่างนี้แหละครับที่จะสื่อให้เรารู้ซึ้งถึงก้นบึ้งของหายนะร้ายสึนามิได้อย่างแจ่มแจ้ง
และถ้าผมจะดูภาพผลกระทบจากปรากฏการณ์ความรุ่งโรจน์ของประเทศจีนถ้าผหมจะดูไปที่โบ๊เบ๊ สำเพ็ง ประตูน้ำ มันก็ไม่สื่อสท้อนความหนักหนาสากรรจ์ อย่างถึงรากถึงโคนออกมาให้เห็น เพราะลำพังแค่ฝนตกฟ้าร้องก็มีผลกับยอดขายของแหล่งค้าส่งหลักๆทั้ง3แหล่งของกรุงเทพฯ นี้แล้ว
แต่เมื่อผมมองไปที่องค์กรขนาดยักษ์ใหญ่ของโลกอย่างโซนี่ที่มีความเป็นเลิศในเกือบทุกๆด้านผลกระทบที่มีต่อองค์กรรขนาดยักษ์แห่งนี้จะสื่อ สท้อนภาพ อันน่าหวาดหวั่นพรั่นพรึง ต่อธุรกิจขนาดเล้กขนาดกลาง และขนาดใหญ่ ที่ต้องแข่งขันกับสินค้าของจีนว่า ถ้าคุณยิ่งมีขนาดเล็กเท่าไหร่ ผลกระทบก็จะยิ่งหนักหนาสากรรจ์มากขึ้นเท่านั้น
คุรก๊อปครับ ผมว่ามันเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อความอยู่รอดของนักธุรกิจและนักลงทุน จะต้องสามารถประมาณสถานะการณ์ได้ถูกต้องหรือไม่ก็ใกล้เคียง เพราะหากการประเมินสถานะการณ์นั้นต่ำกว่าความเป็นจริงก็อาจจะหมายถึงความหายนะที่คาดไม่ถึง และ "ภาพใหญ่" แบบนี้แหละครับที่ทำให้ผมรวิเคราะห์คาดเดา สิ่งที่มีความเชื่อมโยงกันเหมือนข้อต่อโซ่ที่มองไม่เห็นได้อย่างใกล้เคียงและสมเหตุสมผลเสมอมา
โรเบริต คิยาซากิ ทำให้ผมเปลี่ยนทัศนคติเกี่ยวกับหุ้น และอาจารย์นิเวศ เหมวชิรวรากร ทำให้ผมกล้าตัดสินใจลงทุนซื้อหุ้น บทความชื่อ "พลงของความเรียบง่าย" มีเสน่ห์และโดนใจ ในฐานะของคนเป็นพ่อค้าที่ตัดสินใจรวดเร็ว ผมถามตัวเองด้วยคำถามที่เรียบง่ายตามแบบฉบับของท่านดอกเตอร์ว่า
"ประทเศจีน สนใจจะเข้าสู่ธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์หรือไม่..????" เพียงแค่นี้ก็ทำให้พ่อค้าอย่างผมตัดสินใจ ผวั่...!!!! ออกไปได้ทันที
คุณก๊อปครับถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนมุมมองก็แล้วกัน ไม่ทราบว่าคุณกีอปรุ้จักกองทุนไซม์คาร์บี้หรือป่าวถ้าผมจะบอกว่า ไซม์คาบี้ เป็นนักลงทุนระดับพระกาฬ คุณก๊อปจะเชื่อไหมถ้าไม่เชื่อผมจะบอกอีกว่า ไซม์คาบี้นี้แหละคือผู้เข้าเทคโอเวอร์ครอบครองแบบปรปักซ์ บริษัทเจ้าของน้ำมันพืช "มรกต" ทำให้เจ้าของเดิมผู้สร้างขึ้นมากับมือต้องน้ำตาตก ขายหุ้นในมือทิ้งหนีไปทำน้ำมันพืช "โอลีน" จนถึงทุกวันนี้ คุณก๊อปก็คงพอจะเข้าใจว่าทุกย่างก้าวของ ไซม์คาบี้นั่นมีความน่าสนใจติดตามเพียงใด
และ..... การเทขายหุ้นอามิโก้ไฮเทค(มหาชน) หรือAH ออกมารวดเดียว 8,451,026 หุ้นที่ราคาเกิน40บาทนั้นได้สื่อสท้อนนัยยะอะไรที่สำคัญๆออกมา ไว้ว่างๆผมจะกลับมาเล่าให้ฟังนะครับ
ซัมซุงกับโซนี่นั้นมีความแตกต่างกันค่อนข้างมาก ทั้งในด้านขนาดและวัฒนธรรมองค์กร ความแตกต่างกันในด้านขนาดนั้นคงไม่ต้องพูดถึง เวลานี้โซนี่เป็นยักษ์ใหญ่อยู่ในวงการบันเทิงของสหรัฐไปแล้ว ทั้งค่ายเพลง สตูดิโอ โรงถ่าย บริษัทสร้างภาพยนต์
เท่าที่ผ่านมาภาพยนต์ของค่ายโซนี่เช่น สไปเดอร์แมน ก็โกยเงินโกยทองได้อย่างมหาศาล ภาพยนต์เรื่องอื่นส่วนใหญ่ก็ล้วนประสพความสำเร็จติดอันดับทีอปเท็นเกือบทั้งนั้น
ส่วนเรื่องวัฒนธรมมองค์กรนั้น ซัมซุงเป็นองค์กรประเภทต่อยอดกล่าวคือ ซัมซุงนำเอาเทคโนโลยีที่มีอยู่แล้ว มาใส่สมองและไอเดียสสร์ลงไป ส่วนของโซนี่ นอกจากต่อยอดได้แล้ว ยังเป็นองค์กรนักสร้างเทคโนโลยีตัวฉกาจ เช่น วอล์คแมน เป็นต้น
และถ้าเปรียบเทียบให้เห็นกันแบบชัดๆละก็ ซัมซุงนั้นเปรียบเหมือนวกับค่ายเพลงของไทยเรานั่นเอง
ในจำนวนเพลงฮิตๆที่ติดหูมียอดขายหลายๆล้านก๊อปปี้ ส่วนใหญ่ก็คือเพลงที่ไปซื้อลิขสิทธิ์ ทำนองเพลงมาจากต่างประเทศเอามาใส่เนื้อร้องเป็นภาษไทยกันเกือบจะทั้งนั้น ลักษณะแบบนี้เรียกว่าการต่อยอดและถ้าช่วงไหน ร้างลาเพลงสากลที่มีท่วงทำนองที่โดนใจคนไทย ประดานักต่อยอดทั้งหลาย ก็ทำอะไร ก๊อกๆ แก๊กๆ ไปพลางๆก่อน และสำหรับนักลงทุนถ้าอยากรู้ว่า ค่ายเพลงไหนราคาหุ้นจะวิ่งก็ให้สังเกตว่า เพลงที่ฮิตระเบิดของต่างชาติเวลานั้น ค่ายเพลงไหนเป็นผู้ทุ่มเงินเงินทุ่มทองไปแย่งซื้อมาได้ ให้เตรียมเก็บหุ้นรอไว้ได้เลยชัวร์มากๆ (ตั้งใจโพสเต็มที่กลัวมีไม้เอกเกินเข้ามาละแย่เลย)
อันว่าธรรมชาติของธุรกิจนั้นจำเป็นจะต้องดำเนินอยู่ตลอดเวลา แม้ว่า ณ ห้วงเวลานั้นจะปราศจากกระแสใดๆเลยก็ตาม ( กระแสในช่อวงเวลานี้ก็คือโทรศัพย์มือถือ กล้องดิจิตอล คอมพิวเตอร์ เอ็มพี3 ) จะมัวทำอะไรก๊องแก๊กๆ ก็คงไม่ได้ครั้นจะกัดฟันสร้างเทคโนโลยีขึ้นมาเอง โดยไม่มีประสพการณ์ที่เพียงพอ ก็อาจทำให้บริษัทล้มครืนลงไปได้
คุณก๊อปครับ การที่ผมใช้โซนี่สท้อนภาวะที่หนักหนาสาหัสสากรรจ์ของกองทัพสินค้าราคาป่วนโลกของจีน เปรียบไปแล้วก็เหมือนกับเวลาที่ผมต้องการจะเห็นภาพสท้อนของพลังทำลายโลกของสึนามิ ผมก็จะไม่ไปดูที่ภาพของกระต๊อบ รถเข็น แผงลอย หรือรถยนต์ ที่ลอยตุ๊บป่องๆ ไปตามกระแสน้ำหรอกครับ เพราะเพียงแค่น้ำป่าที่ใหลบ่าลงมาจากภูเขาภาะเหล่านี้ก็มีให้เห็นอยู่เป็นประจำอยู่แล้วว ภาพเหลบ่านี้สื่อในสิ่งที่ผมต้องการรู้ไม่ได้ แต่ถ้าเราไปดูที่ภาพรถไฟทั้งขบวนถูกคลื่นยักษ์กวาดพลิกคว่ำระเนระนาด ภาพอย่างนี้แหละครับที่จะสื่อให้เรารู้ซึ้งถึงก้นบึ้งของหายนะร้ายสึนามิได้อย่างแจ่มแจ้ง
และถ้าผมจะดูภาพผลกระทบจากปรากฏการณ์ความรุ่งโรจน์ของประเทศจีนถ้าผหมจะดูไปที่โบ๊เบ๊ สำเพ็ง ประตูน้ำ มันก็ไม่สื่อสท้อนความหนักหนาสากรรจ์ อย่างถึงรากถึงโคนออกมาให้เห็น เพราะลำพังแค่ฝนตกฟ้าร้องก็มีผลกับยอดขายของแหล่งค้าส่งหลักๆทั้ง3แหล่งของกรุงเทพฯ นี้แล้ว
แต่เมื่อผมมองไปที่องค์กรขนาดยักษ์ใหญ่ของโลกอย่างโซนี่ที่มีความเป็นเลิศในเกือบทุกๆด้านผลกระทบที่มีต่อองค์กรรขนาดยักษ์แห่งนี้จะสื่อ สท้อนภาพ อันน่าหวาดหวั่นพรั่นพรึง ต่อธุรกิจขนาดเล้กขนาดกลาง และขนาดใหญ่ ที่ต้องแข่งขันกับสินค้าของจีนว่า ถ้าคุณยิ่งมีขนาดเล็กเท่าไหร่ ผลกระทบก็จะยิ่งหนักหนาสากรรจ์มากขึ้นเท่านั้น
คุรก๊อปครับ ผมว่ามันเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อความอยู่รอดของนักธุรกิจและนักลงทุน จะต้องสามารถประมาณสถานะการณ์ได้ถูกต้องหรือไม่ก็ใกล้เคียง เพราะหากการประเมินสถานะการณ์นั้นต่ำกว่าความเป็นจริงก็อาจจะหมายถึงความหายนะที่คาดไม่ถึง และ "ภาพใหญ่" แบบนี้แหละครับที่ทำให้ผมรวิเคราะห์คาดเดา สิ่งที่มีความเชื่อมโยงกันเหมือนข้อต่อโซ่ที่มองไม่เห็นได้อย่างใกล้เคียงและสมเหตุสมผลเสมอมา
โรเบริต คิยาซากิ ทำให้ผมเปลี่ยนทัศนคติเกี่ยวกับหุ้น และอาจารย์นิเวศ เหมวชิรวรากร ทำให้ผมกล้าตัดสินใจลงทุนซื้อหุ้น บทความชื่อ "พลงของความเรียบง่าย" มีเสน่ห์และโดนใจ ในฐานะของคนเป็นพ่อค้าที่ตัดสินใจรวดเร็ว ผมถามตัวเองด้วยคำถามที่เรียบง่ายตามแบบฉบับของท่านดอกเตอร์ว่า
"ประทเศจีน สนใจจะเข้าสู่ธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์หรือไม่..????" เพียงแค่นี้ก็ทำให้พ่อค้าอย่างผมตัดสินใจ ผวั่...!!!! ออกไปได้ทันที
คุณก๊อปครับถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนมุมมองก็แล้วกัน ไม่ทราบว่าคุณกีอปรุ้จักกองทุนไซม์คาร์บี้หรือป่าวถ้าผมจะบอกว่า ไซม์คาบี้ เป็นนักลงทุนระดับพระกาฬ คุณก๊อปจะเชื่อไหมถ้าไม่เชื่อผมจะบอกอีกว่า ไซม์คาบี้นี้แหละคือผู้เข้าเทคโอเวอร์ครอบครองแบบปรปักซ์ บริษัทเจ้าของน้ำมันพืช "มรกต" ทำให้เจ้าของเดิมผู้สร้างขึ้นมากับมือต้องน้ำตาตก ขายหุ้นในมือทิ้งหนีไปทำน้ำมันพืช "โอลีน" จนถึงทุกวันนี้ คุณก๊อปก็คงพอจะเข้าใจว่าทุกย่างก้าวของ ไซม์คาบี้นั่นมีความน่าสนใจติดตามเพียงใด
และ..... การเทขายหุ้นอามิโก้ไฮเทค(มหาชน) หรือAH ออกมารวดเดียว 8,451,026 หุ้นที่ราคาเกิน40บาทนั้นได้สื่อสท้อนนัยยะอะไรที่สำคัญๆออกมา ไว้ว่างๆผมจะกลับมาเล่าให้ฟังนะครับ
ตั้งคำถามกับตัวเองว่า "แน่ใจแค่ไหน" บอกได้เลยว่าเก้าในสิบครั้ง คุณไม่รู้คำตอบ แต่ถ้าจะมีสักครั้งที่คุณแน่ใจขนาด "แน่เสียยิ่งกว่าแน่" ละก็ ทุ่มเทเข้าไปเลย คุณชนะแน่.
-
- Verified User
- โพสต์: 1468
- ผู้ติดตาม: 0
คุณมนตรี คับผมกับ ลูกชาย
โพสต์ที่ 34
น่าเสียดายที่ไม่มี logo เข้ามาดูสำหรับผู้หญิงนะคะ
....เข้ามาดู
เครื่องเล่น DVD ที่บ้านเสีย
เดี๋ยวนี้ไม่ซ่อมแล้วค่ะ ซื้อใหม่ดีกว่า
ทั้งๆ ที่เครื่องเก่าราคาเอาเรื่องอยู่ ใช้ก็ได้ปีสองปีเอง
เพราะซื้อรุ่นใหม่ๆ สมัยนี้ ราคาก็พอๆ กับราคาค่าซ่อมแล้ว
แถมได้ function ดีกว่าเครื่องที่บ้านอีก
หลายๆ คนเริ่มไม่ติด brand แล้วมั้งคะ
รออ่านค่ะ วิเคราะห์ได้ดีจัง
....เข้ามาดู
เครื่องเล่น DVD ที่บ้านเสีย
เดี๋ยวนี้ไม่ซ่อมแล้วค่ะ ซื้อใหม่ดีกว่า
ทั้งๆ ที่เครื่องเก่าราคาเอาเรื่องอยู่ ใช้ก็ได้ปีสองปีเอง
เพราะซื้อรุ่นใหม่ๆ สมัยนี้ ราคาก็พอๆ กับราคาค่าซ่อมแล้ว
แถมได้ function ดีกว่าเครื่องที่บ้านอีก
หลายๆ คนเริ่มไม่ติด brand แล้วมั้งคะ
รออ่านค่ะ วิเคราะห์ได้ดีจัง
..สักวันจะเก่งเหมือนพี่บ้าง..
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4940
- ผู้ติดตาม: 1
คุณมนตรี คับผมกับ ลูกชาย
โพสต์ที่ 35
เข้ามาตามอ่านครับ
กองทุนที่ว่าผมไม่รู้จักครับ แล้วไปหุ้น AH ก็ไม่เห็นกองทุนนี้ถืออยู่หรือถือผ่านคนอื่นๆครับ ผมต้องหาข้อมูลเพิ่มอีกเยอะ
ขอเรียกว่าคุณอา monty555 นะครับ คือผมสงสัยนะครับว่า
ถ้ามองไปแล้ว จีน เป็นประเทศใหญ่ แค่ตลาดในประเทศก็ใหญ่มาก และตลาดข้างนอกก็มีอีกเยอะ และทุกอย่างทั้งภายใน ภายนอกกำลังเติบโตอย่างมาก และการที่มีรัฐบาลเป็นคอมมิวนิตส์ ที่มีบริษัทหรือรัฐวิสาหกิจในสังกัด ที่มีทั้งกำลังทรัพย์ กำลังคน หรืออิทธิพลเบื้องหลังอื่นๆอีกมากมาย
ซึ่งผมเชื่อว่าที่บริษัทยักษ์ของจีนเหล่านี้ ใหญ่โตขึ้นได้ เพราะการตัดสินใจใหญ่ๆทั้งหลายยังอยู่ภายใต้อิทธิพลของพรรคคอมมิวนิตส์จีน ซึ่งอาจทำอะไรอยู่เบื้องหลัง ทำให้บริษัท หรือรัฐวิสาหกิจของจีน เหล่านี้ โตเร็วมากๆ โตแบบก้าวกระโดดมากๆ เกือบทุกบริษัท ครอบคลุมเทคโนโลยีหรือวิทยาการต่างๆไปแทบทุกประเภท และพยายามสร้างกฎกติกาของตัวเองให้คนอื่นๆต้องทำตามบ้าง เช่นเดียวกับที่ผู้มีอิทธิพลอื่นๆเคยทำ บริษัทใหญ่ๆเหล่านี้โตแบบไม่เกรงใจใคร พร้อมเทคโอเวอร์บริษัทต่างๆ ของทั้งญี่ปุ่น ยุโรป หรืออเมริกา ได้ตลอด จะเห็นได้จากมีข่าว บริษัทยักษ์จากจีน เหล่านี้ได้เข้าไปซื้อ หรือพยายามซื้อกิจการต่างๆ มากมาย
ที่ผมว่ามาข้างต้น เพราะผมมองว่าที่จริงแล้ว จีน ไม่ใช่แค่สนใจเข้าสู่ธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์หรือไม่ ผมว่า จีน สนใจธุรกิจทุกอย่างที่เกิดขึ้นแล้วบนโลกใบน้อยๆนี้ และทุกๆอย่างที่จะเกิดในอนาคตด้วย
ผมว่า พลังของความเรียบง่าย อาจจะไม่พอที่จะรับมือ (ผมยังไม่เคยอ่านบทความที่ว่านี้นะครับ เดี๋ยวจะไปหามาอ่าน หรืออ่านแล้วแต่จำไม่ได้ครับ)
เพราะจีนเขารุกหลายระดับ เดินเกมส์หลายชั้น เขาอาจแพ้บางสนามรบ แต่ผมว่าในที่สุดเขาจะชนะสงคราม เราจะรับมืออย่างไรดีครับ
ส่วนนัยยะที่ว่าและอื่นๆ รออ่านอยู่นะครับ
ง่วงแล้วครับ เขียนแบบงงๆนิดหน่อย ไว้แค่นี้ก่อนนะครับ
กองทุนที่ว่าผมไม่รู้จักครับ แล้วไปหุ้น AH ก็ไม่เห็นกองทุนนี้ถืออยู่หรือถือผ่านคนอื่นๆครับ ผมต้องหาข้อมูลเพิ่มอีกเยอะ
ขอเรียกว่าคุณอา monty555 นะครับ คือผมสงสัยนะครับว่า
ถ้ามองไปแล้ว จีน เป็นประเทศใหญ่ แค่ตลาดในประเทศก็ใหญ่มาก และตลาดข้างนอกก็มีอีกเยอะ และทุกอย่างทั้งภายใน ภายนอกกำลังเติบโตอย่างมาก และการที่มีรัฐบาลเป็นคอมมิวนิตส์ ที่มีบริษัทหรือรัฐวิสาหกิจในสังกัด ที่มีทั้งกำลังทรัพย์ กำลังคน หรืออิทธิพลเบื้องหลังอื่นๆอีกมากมาย
ซึ่งผมเชื่อว่าที่บริษัทยักษ์ของจีนเหล่านี้ ใหญ่โตขึ้นได้ เพราะการตัดสินใจใหญ่ๆทั้งหลายยังอยู่ภายใต้อิทธิพลของพรรคคอมมิวนิตส์จีน ซึ่งอาจทำอะไรอยู่เบื้องหลัง ทำให้บริษัท หรือรัฐวิสาหกิจของจีน เหล่านี้ โตเร็วมากๆ โตแบบก้าวกระโดดมากๆ เกือบทุกบริษัท ครอบคลุมเทคโนโลยีหรือวิทยาการต่างๆไปแทบทุกประเภท และพยายามสร้างกฎกติกาของตัวเองให้คนอื่นๆต้องทำตามบ้าง เช่นเดียวกับที่ผู้มีอิทธิพลอื่นๆเคยทำ บริษัทใหญ่ๆเหล่านี้โตแบบไม่เกรงใจใคร พร้อมเทคโอเวอร์บริษัทต่างๆ ของทั้งญี่ปุ่น ยุโรป หรืออเมริกา ได้ตลอด จะเห็นได้จากมีข่าว บริษัทยักษ์จากจีน เหล่านี้ได้เข้าไปซื้อ หรือพยายามซื้อกิจการต่างๆ มากมาย
ที่ผมว่ามาข้างต้น เพราะผมมองว่าที่จริงแล้ว จีน ไม่ใช่แค่สนใจเข้าสู่ธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์หรือไม่ ผมว่า จีน สนใจธุรกิจทุกอย่างที่เกิดขึ้นแล้วบนโลกใบน้อยๆนี้ และทุกๆอย่างที่จะเกิดในอนาคตด้วย
ผมว่า พลังของความเรียบง่าย อาจจะไม่พอที่จะรับมือ (ผมยังไม่เคยอ่านบทความที่ว่านี้นะครับ เดี๋ยวจะไปหามาอ่าน หรืออ่านแล้วแต่จำไม่ได้ครับ)
เพราะจีนเขารุกหลายระดับ เดินเกมส์หลายชั้น เขาอาจแพ้บางสนามรบ แต่ผมว่าในที่สุดเขาจะชนะสงคราม เราจะรับมืออย่างไรดีครับ
ส่วนนัยยะที่ว่าและอื่นๆ รออ่านอยู่นะครับ
ง่วงแล้วครับ เขียนแบบงงๆนิดหน่อย ไว้แค่นี้ก่อนนะครับ
สีลํ พลํ อปฺปฏิมํ สีลํ อาวุธมุตฺตมํ
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4940
- ผู้ติดตาม: 1
คุณมนตรี คับผมกับ ลูกชาย
โพสต์ที่ 36
พลังของความเรียบง่าย โดย ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
เอามาจากที่นี้ครับ http://www.bloggang.com/viewdiary.php?i ... =2&blog=11
หุ้นและการลงทุนเป็นธุรกิจที่ยิ่งใหญ่และเกี่ยวข้องกับความมั่งคั่งมหาศาล เพราะฉะนั้นจึงสามารถดึงดูดคนที่มีความรู้ความสามารถและคนที่เป็นอัจฉริยะได้มากมายไม่น้อยไปกว่าศาสตร์อื่น ๆ ในโลกปัจจุบัน ดังนั้นศาสตร์ของการลงทุนจึงมีมากมายและสลับซับซ้อนทั้งในด้านของทฤษฎีและปฏิบัติจนทำให้ คนธรรมดา มักจะ ยอมแพ้ และปล่อยหน้าที่ในการค้นหาและลงทุนซื้อขายหุ้นให้แก่นักลงทุน มืออาชีพ ทั้งหลาย ซึ่งรวมถึงผู้บริหารกองทุนรวมและนักวิเคราะห์ทั้งหลายเป็นผู้ทำหรือผู้ชี้นำ
ผมเองเคยเล่าเรียนทฤษฎีการลงทุนมามากมายและศึกษาศาสตร์และศิลป์ของการลงทุนต่อเนื่องมาตลอดแต่เมื่อมาลงทุนเองอย่างจริงจังและทุ่มเทก็พบว่าการลงทุนที่จะประสบความสำเร็จนั้นมักจะไม่ต้องการความลึกลับซับซ้อนหรืออาศัยทฤษฎีหรือสูตรมหัศจรรย์อะไร ตรงกันข้าม การลงทุนต้องการความเรียบง่ายที่มีความถูกต้องและเป็นจริงมากที่สุด
ผมจะไม่พูดถึงทฤษฎีทางการเงินมากมายซึ่งผมคิดว่ามีประโยชน์น้อยมากต่อการลงทุนในชีวิตจริง แต่จะพูดถึงแนวทางปฏิบัติในการเลือกลงทุนในหุ้นว่า เราควรจะหลีกเลี่ยงความยุ่งยากซับซ้อนทั้งหลาย และพยายามมองหาสิ่งที่ง่ายในทุกเรื่องตั้งแต่ตัวกิจการถึงการวิเคราะห์ความคุ้มค่าของการลงทุน
หุ้นที่เราจะเลือกลงทุนควรเป็นบริษัทที่ผลิตและจำหน่ายสินค้าหรือบริการที่เรารู้จักและเข้าใจง่าย ถ้าเป็นสินค้าที่เรามีโอกาสได้ใช้ด้วยก็ยิ่งดี เพราะนี่จะทำให้เรารู้ว่าบริษัทมีความเข้มแข็งและดีเด่นแค่ไหน รวมทั้งมีโอกาสได้ติดตามใกล้ชิดและรู้ว่ากิจการดีขึ้นหรือแย่ลงก่อนที่คนส่วนใหญ่ในตลาดจะมองเห็น
น่าเสียดายที่นักลงทุนส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยสนใจหรือบางทีก็ไม่รู้ว่าบริษัทผลิตสินค้าอะไรอย่างชัดเจน ยกตัวอย่างเช่น ธุรกิจปิโตรเคมีนั้นผมเชื่อว่ามีคนน้อยมากที่รู้ว่าสินค้าของบริษัทมีอะไรบ้างไม่ต้องถามว่าผลิตภัณฑ์ของบริษัทเอาไปใช้ทำอะไรและอนาคตของอุตสาหกรรมจะไปทางไหน แต่นี่คือธุรกิจที่คนชอบลงทุนซื้อขายหุ้นกันมากหลังจากที่ธุรกิจฟื้นตัวดีขึ้นมากและผลการดำเนินงานเติบโตขึ้นอย่างน่าประทับใจและนักวิเคราะห์เชียร์ซื้อหุ้นกลุ่มนี้กันหมด แต่ปัญหาก็คือ นั่นคือช่วงเวลาที่ราคาหุ้นได้ขึ้นไปสูงลิ่วจนน่ากลัวแล้ว และคนที่เข้าไปซื้ออาจจะเข้าไปซื้อ อดีต มากกว่า อนาคต
กฎง่าย ๆ ของผมก็คือ ถ้าเราไม่รู้ว่าความเข้มแข็งหรือความโดดเด่นของกิจการที่เราจะลงทุนคืออะไรเพราะเราไม่รู้ว่าสินค้าของเขามีหน้าตาอย่างไรและเอาไปใช้ทำอะไร ผมก็จะหลีกเลี่ยง แต่ถ้าสินค้าเป็นสิ่งที่เข้าใจง่ายซึ่งจะทำให้ผมรู้ว่าบริษัทที่โดดเด่นจะเป็นอย่างไร ผมก็จะให้ความสนใจและพิจารณาลงทุนถ้าเงื่อนไขอย่างอื่นเหมาะสม
นอกจากเรื่องของสินค้าแล้ว ผมคิดว่าเรื่องของผลการดำเนินงานและฐานะการเงินของบริษัทควรจะต้องง่ายที่จะเข้าใจ เริ่มตั้งแต่ตัวงบการเงินต่าง ๆ ที่ควรจะ สะอาด ที่สุด นั่นคือ ทุกอย่างเป็นไปตามมาตรฐานการบัญชีที่ไม่มีหมายเหตุหรือข้อสังเกตมากมายสลับซับซ้อนอ่านแล้วก็ไม่เข้าใจ
ผลการดำเนินงานของบริษัทที่ผ่านมาก็ควรเป็นเรื่องที่เข้าใจง่ายเช่นกันนั่นคือ เมื่อเราดูแล้วเราสามารถบอกได้ว่าที่ผ่านมาบริษัทมีความก้าวหน้า คงเดิม หรือตกต่ำลงดูจากกำไรของบริษัทที่ผ่านมา 5 ปี แต่ถ้าเห็นแล้วก็งง เพราะบางปีก็กำไร บางปีก็ขาดทุน ถ้าอยากจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในแต่ละปีจะต้องศึกษารายงานประจำปีย้อนหลังอย่างละเอียด แบบนี้แปลว่าบริษัทอาจจะซับซ้อนเกินไปสำหรับการลงทุนของเรา
ในเรื่องของฐานะทางการเงินเองก็ควรจะเรียบง่ายไม่มีรายการแปลก ๆ หรือผิดธรรมชาติ นั่นก็คือ ตัวเลขลูกหนี้การค้า สินค้าคงคลัง หรือทรัพย์สินถาวรที่เป็นที่ดิน โรงงาน และเครื่องจักร์ควรจะอยู่ในระดับที่เหมาะสม ในด้านของหนี้สินเองก็ควรจะอยู่ในระดับที่เข้าใจได้ เช่น น่าจะลดลงถ้ากิจการมีกำไรและไม่ได้ขยายงานมากมาย
พูดถึงเรื่องการบริหารการเงินของกิจการ ผมก็ชอบที่จะเห็นบริษัททำอะไรที่ง่าย ๆ แบบธรรมดา ๆ เพราะผมค่อนข้างกลัว พ่อมดการเงิน ที่ชอบใช้เครื่องมือทางการเงินแปลก ๆ ใหม่ ๆ ซึ่งรวมถึงสิ่งที่เรียกว่า SPV (Special Purpose Vehicle) หรือพวกกองทุนอสังหาริมทรัพย์หรือกองทุนพิเศษต่าง ๆ เพื่อใช้ในการระดมเงิน เพราะเครื่องมือเหล่านั้นเมื่อนำมาใช้แล้วมักจะทำให้ภาพการเงินที่แท้จริงของบริษัทเปลี่ยนไปจนผมไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วกิจการเป็นหนี้ที่แท้จริงเท่าไร
การจัดตั้งบริษัทลูกหรือบริษัทในเครือหลาย ๆ บริษัทโดยเฉพาะที่อยู่ในต่างประเทศโดยไม่มีความจำเป็นอย่างชัดเจนก็เป็นความสลับซับซ้อนที่ผมหวาดกลัวเช่นกัน เพราะภาพรวมของกิจการจะไม่ชัดเจนทำความเข้าใจยาก หลาย ๆ ครั้งผมก็เห็นว่ามีความเสียหายเกิดขึ้นในบางบริษัทโดยที่เราไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง
สุดท้ายก็มาถึงเรื่องของการคิดคำนวณมูลค่าหุ้นที่เหมาะสมเพื่อที่จะดูว่าหุ้นมีความคุ้มค่าในการลงทุนแค่ไหน และนี่ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่ผมคิดว่าจะต้องง่ายนั่นก็คือ เราควรจะสามารถใช้มารตรฐานของราคาเทียบกับผลกำไรและมูลค่าทางบัญชีนั่นก็คือค่า PE และ PB ซึ่งคร่าว ๆ ก็คือ PE เฉลี่ยในปัจจุบันก็คือ ประมาณ 10 เท่า และ PB ประมาณ 2 เท่า ถ้าสูงกว่านี้ก็ถือว่าเป็นหุ้นแพง แต่เรื่องนี้คงต้องไปเปรียบเทียบกับคุณภาพของกิจการด้วยว่ามีความคุ้มค่าไหมที่จะจ่าย
ประเด็นที่ต้องระวังก็คือ ในหลาย ๆ ครั้งเรามักจะพบการวิเคราะห์หุ้นที่ใช้วิธีการประเมินมูลค่าแบบอื่นและที่เห็นมากที่สุดก็คือวิธีการที่เรียกว่า Discounted Cashflow หรือการหา ส่วนลดเงินสดที่บริษัทจะหาได้ในอนาคต ซึ่งวิธีการนี้ไม่มีอะไรผิด และที่จริงเป็นวิธีที่ถูกต้องที่สุดในการหามูลค่าหุ้น แต่ปัญหาก็คือ วิธีการนี้ตั้งอยู่บนการประมาณการและสมมติฐานมากมาย ซึ่งมักจะมีโอกาสถูกต้องน้อยมาก เพราะฉะนั้นความยุ่งยากซับซ้อนในเรื่องนี้ผมเห็นว่าหลายครั้งเป็นวิธีการที่จะหาเหตุผลให้กับราคาที่เป็นเป้าหมายมากกว่าที่จะได้ราคาที่เหมาะสมจริง ๆ
ยังมีประเด็นอื่น ๆ อีกมากในการลงทุน แต่ในทุกเรื่อง สำหรับผมแล้ว ความง่ายคือสิ่งที่ผมชื่นชม ความยากและซับซ้อนคือสิ่งที่ผมเกลียด ผมคิดว่าการลงทุนที่ดีเราไม่จำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์ผูกสูตรคำนวณ เครื่องคิดเลขที่ทำบวกลบคูณหารได้ก็เพียงพอแล้ว ว่าที่จริงหุ้นที่ดีที่สุดที่เราเลือกลงทุนน่าจะเกิดจากการคิดและคำนวณทุกอย่างในใจได้
เอามาจากที่นี้ครับ http://www.bloggang.com/viewdiary.php?i ... =2&blog=11
หุ้นและการลงทุนเป็นธุรกิจที่ยิ่งใหญ่และเกี่ยวข้องกับความมั่งคั่งมหาศาล เพราะฉะนั้นจึงสามารถดึงดูดคนที่มีความรู้ความสามารถและคนที่เป็นอัจฉริยะได้มากมายไม่น้อยไปกว่าศาสตร์อื่น ๆ ในโลกปัจจุบัน ดังนั้นศาสตร์ของการลงทุนจึงมีมากมายและสลับซับซ้อนทั้งในด้านของทฤษฎีและปฏิบัติจนทำให้ คนธรรมดา มักจะ ยอมแพ้ และปล่อยหน้าที่ในการค้นหาและลงทุนซื้อขายหุ้นให้แก่นักลงทุน มืออาชีพ ทั้งหลาย ซึ่งรวมถึงผู้บริหารกองทุนรวมและนักวิเคราะห์ทั้งหลายเป็นผู้ทำหรือผู้ชี้นำ
ผมเองเคยเล่าเรียนทฤษฎีการลงทุนมามากมายและศึกษาศาสตร์และศิลป์ของการลงทุนต่อเนื่องมาตลอดแต่เมื่อมาลงทุนเองอย่างจริงจังและทุ่มเทก็พบว่าการลงทุนที่จะประสบความสำเร็จนั้นมักจะไม่ต้องการความลึกลับซับซ้อนหรืออาศัยทฤษฎีหรือสูตรมหัศจรรย์อะไร ตรงกันข้าม การลงทุนต้องการความเรียบง่ายที่มีความถูกต้องและเป็นจริงมากที่สุด
ผมจะไม่พูดถึงทฤษฎีทางการเงินมากมายซึ่งผมคิดว่ามีประโยชน์น้อยมากต่อการลงทุนในชีวิตจริง แต่จะพูดถึงแนวทางปฏิบัติในการเลือกลงทุนในหุ้นว่า เราควรจะหลีกเลี่ยงความยุ่งยากซับซ้อนทั้งหลาย และพยายามมองหาสิ่งที่ง่ายในทุกเรื่องตั้งแต่ตัวกิจการถึงการวิเคราะห์ความคุ้มค่าของการลงทุน
หุ้นที่เราจะเลือกลงทุนควรเป็นบริษัทที่ผลิตและจำหน่ายสินค้าหรือบริการที่เรารู้จักและเข้าใจง่าย ถ้าเป็นสินค้าที่เรามีโอกาสได้ใช้ด้วยก็ยิ่งดี เพราะนี่จะทำให้เรารู้ว่าบริษัทมีความเข้มแข็งและดีเด่นแค่ไหน รวมทั้งมีโอกาสได้ติดตามใกล้ชิดและรู้ว่ากิจการดีขึ้นหรือแย่ลงก่อนที่คนส่วนใหญ่ในตลาดจะมองเห็น
น่าเสียดายที่นักลงทุนส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยสนใจหรือบางทีก็ไม่รู้ว่าบริษัทผลิตสินค้าอะไรอย่างชัดเจน ยกตัวอย่างเช่น ธุรกิจปิโตรเคมีนั้นผมเชื่อว่ามีคนน้อยมากที่รู้ว่าสินค้าของบริษัทมีอะไรบ้างไม่ต้องถามว่าผลิตภัณฑ์ของบริษัทเอาไปใช้ทำอะไรและอนาคตของอุตสาหกรรมจะไปทางไหน แต่นี่คือธุรกิจที่คนชอบลงทุนซื้อขายหุ้นกันมากหลังจากที่ธุรกิจฟื้นตัวดีขึ้นมากและผลการดำเนินงานเติบโตขึ้นอย่างน่าประทับใจและนักวิเคราะห์เชียร์ซื้อหุ้นกลุ่มนี้กันหมด แต่ปัญหาก็คือ นั่นคือช่วงเวลาที่ราคาหุ้นได้ขึ้นไปสูงลิ่วจนน่ากลัวแล้ว และคนที่เข้าไปซื้ออาจจะเข้าไปซื้อ อดีต มากกว่า อนาคต
กฎง่าย ๆ ของผมก็คือ ถ้าเราไม่รู้ว่าความเข้มแข็งหรือความโดดเด่นของกิจการที่เราจะลงทุนคืออะไรเพราะเราไม่รู้ว่าสินค้าของเขามีหน้าตาอย่างไรและเอาไปใช้ทำอะไร ผมก็จะหลีกเลี่ยง แต่ถ้าสินค้าเป็นสิ่งที่เข้าใจง่ายซึ่งจะทำให้ผมรู้ว่าบริษัทที่โดดเด่นจะเป็นอย่างไร ผมก็จะให้ความสนใจและพิจารณาลงทุนถ้าเงื่อนไขอย่างอื่นเหมาะสม
นอกจากเรื่องของสินค้าแล้ว ผมคิดว่าเรื่องของผลการดำเนินงานและฐานะการเงินของบริษัทควรจะต้องง่ายที่จะเข้าใจ เริ่มตั้งแต่ตัวงบการเงินต่าง ๆ ที่ควรจะ สะอาด ที่สุด นั่นคือ ทุกอย่างเป็นไปตามมาตรฐานการบัญชีที่ไม่มีหมายเหตุหรือข้อสังเกตมากมายสลับซับซ้อนอ่านแล้วก็ไม่เข้าใจ
ผลการดำเนินงานของบริษัทที่ผ่านมาก็ควรเป็นเรื่องที่เข้าใจง่ายเช่นกันนั่นคือ เมื่อเราดูแล้วเราสามารถบอกได้ว่าที่ผ่านมาบริษัทมีความก้าวหน้า คงเดิม หรือตกต่ำลงดูจากกำไรของบริษัทที่ผ่านมา 5 ปี แต่ถ้าเห็นแล้วก็งง เพราะบางปีก็กำไร บางปีก็ขาดทุน ถ้าอยากจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในแต่ละปีจะต้องศึกษารายงานประจำปีย้อนหลังอย่างละเอียด แบบนี้แปลว่าบริษัทอาจจะซับซ้อนเกินไปสำหรับการลงทุนของเรา
ในเรื่องของฐานะทางการเงินเองก็ควรจะเรียบง่ายไม่มีรายการแปลก ๆ หรือผิดธรรมชาติ นั่นก็คือ ตัวเลขลูกหนี้การค้า สินค้าคงคลัง หรือทรัพย์สินถาวรที่เป็นที่ดิน โรงงาน และเครื่องจักร์ควรจะอยู่ในระดับที่เหมาะสม ในด้านของหนี้สินเองก็ควรจะอยู่ในระดับที่เข้าใจได้ เช่น น่าจะลดลงถ้ากิจการมีกำไรและไม่ได้ขยายงานมากมาย
พูดถึงเรื่องการบริหารการเงินของกิจการ ผมก็ชอบที่จะเห็นบริษัททำอะไรที่ง่าย ๆ แบบธรรมดา ๆ เพราะผมค่อนข้างกลัว พ่อมดการเงิน ที่ชอบใช้เครื่องมือทางการเงินแปลก ๆ ใหม่ ๆ ซึ่งรวมถึงสิ่งที่เรียกว่า SPV (Special Purpose Vehicle) หรือพวกกองทุนอสังหาริมทรัพย์หรือกองทุนพิเศษต่าง ๆ เพื่อใช้ในการระดมเงิน เพราะเครื่องมือเหล่านั้นเมื่อนำมาใช้แล้วมักจะทำให้ภาพการเงินที่แท้จริงของบริษัทเปลี่ยนไปจนผมไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วกิจการเป็นหนี้ที่แท้จริงเท่าไร
การจัดตั้งบริษัทลูกหรือบริษัทในเครือหลาย ๆ บริษัทโดยเฉพาะที่อยู่ในต่างประเทศโดยไม่มีความจำเป็นอย่างชัดเจนก็เป็นความสลับซับซ้อนที่ผมหวาดกลัวเช่นกัน เพราะภาพรวมของกิจการจะไม่ชัดเจนทำความเข้าใจยาก หลาย ๆ ครั้งผมก็เห็นว่ามีความเสียหายเกิดขึ้นในบางบริษัทโดยที่เราไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง
สุดท้ายก็มาถึงเรื่องของการคิดคำนวณมูลค่าหุ้นที่เหมาะสมเพื่อที่จะดูว่าหุ้นมีความคุ้มค่าในการลงทุนแค่ไหน และนี่ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่ผมคิดว่าจะต้องง่ายนั่นก็คือ เราควรจะสามารถใช้มารตรฐานของราคาเทียบกับผลกำไรและมูลค่าทางบัญชีนั่นก็คือค่า PE และ PB ซึ่งคร่าว ๆ ก็คือ PE เฉลี่ยในปัจจุบันก็คือ ประมาณ 10 เท่า และ PB ประมาณ 2 เท่า ถ้าสูงกว่านี้ก็ถือว่าเป็นหุ้นแพง แต่เรื่องนี้คงต้องไปเปรียบเทียบกับคุณภาพของกิจการด้วยว่ามีความคุ้มค่าไหมที่จะจ่าย
ประเด็นที่ต้องระวังก็คือ ในหลาย ๆ ครั้งเรามักจะพบการวิเคราะห์หุ้นที่ใช้วิธีการประเมินมูลค่าแบบอื่นและที่เห็นมากที่สุดก็คือวิธีการที่เรียกว่า Discounted Cashflow หรือการหา ส่วนลดเงินสดที่บริษัทจะหาได้ในอนาคต ซึ่งวิธีการนี้ไม่มีอะไรผิด และที่จริงเป็นวิธีที่ถูกต้องที่สุดในการหามูลค่าหุ้น แต่ปัญหาก็คือ วิธีการนี้ตั้งอยู่บนการประมาณการและสมมติฐานมากมาย ซึ่งมักจะมีโอกาสถูกต้องน้อยมาก เพราะฉะนั้นความยุ่งยากซับซ้อนในเรื่องนี้ผมเห็นว่าหลายครั้งเป็นวิธีการที่จะหาเหตุผลให้กับราคาที่เป็นเป้าหมายมากกว่าที่จะได้ราคาที่เหมาะสมจริง ๆ
ยังมีประเด็นอื่น ๆ อีกมากในการลงทุน แต่ในทุกเรื่อง สำหรับผมแล้ว ความง่ายคือสิ่งที่ผมชื่นชม ความยากและซับซ้อนคือสิ่งที่ผมเกลียด ผมคิดว่าการลงทุนที่ดีเราไม่จำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์ผูกสูตรคำนวณ เครื่องคิดเลขที่ทำบวกลบคูณหารได้ก็เพียงพอแล้ว ว่าที่จริงหุ้นที่ดีที่สุดที่เราเลือกลงทุนน่าจะเกิดจากการคิดและคำนวณทุกอย่างในใจได้
สีลํ พลํ อปฺปฏิมํ สีลํ อาวุธมุตฺตมํ
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4940
- ผู้ติดตาม: 1
คุณมนตรี คับผมกับ ลูกชาย
โพสต์ที่ 37
อ่านแล้วครับ ทำให้เริ่มสับสน
ผมเข้าใจว่าคุณอา อยู่ในธุรกิจค้าปลีก นะครับ และเข้าใจธุรกิจของตัวเองเป็นอย่างดี มากๆด้วย
มารออ่านต่อดีกว่า ขอบคุณครับ
ผมเข้าใจว่าคุณอา อยู่ในธุรกิจค้าปลีก นะครับ และเข้าใจธุรกิจของตัวเองเป็นอย่างดี มากๆด้วย
มารออ่านต่อดีกว่า ขอบคุณครับ
สีลํ พลํ อปฺปฏิมํ สีลํ อาวุธมุตฺตมํ
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
-
- Verified User
- โพสต์: 35
- ผู้ติดตาม: 0
คุณมนตรี คับผมกับ ลูกชาย
โพสต์ที่ 38
ตอบคุณกล้วยทอดครับผม
ดีนะครับที่เข้ามาสนับสนุนข้อมูล เป็นเรื่องดี สำหรับคนที่จะนำไปวิเคราะห์ต่อ จะได้มีฐานข้อมูลที่กว้างขึ้น
และก็ต้องขอขอบคุณมากสำหรับคำชม ไม่ได้บ้ายอ แต่การที่สื่ออะไรออกไปนั้น ผมว่ามันก็ไม่ต่างอะไรกับการร้องเพลงคาราโอเกะในงานสังสรรค์ปาร์ตี้ ถ้าหากสุ้มเสียงที่ตั้งใจจะร่วมสร้างสีสัน บรรยากาสและความบรรเทิงให้กับงานนั้น แท้จริงแล้ว กลับสร้างความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ให้กับมวลหมู่สมาชิกผู้ร่วมงาน ตัวผมในฐานะที่เป็นผู้ก่อให้เกิดบรรยากาสอันไม่น่าพึงประสงค์นั้น ควรที่จะมองเห็นสัญญาณอันนั้นได้อย่างรวดเร็วและรีบวางไมค์เสียแต่เนิ่นๆ
ภายใน 2-3 วันนี้ผมก็คงจะวิ่งวุ่นอยู่กับการซ่อมแซมตึกซึ่งเริ่มทำมาตั้งแต่ต้นปีไล่ลงมาตั้งแต่ดาดฟ้า ลงมาถึงขั้นตอนสุดท้าย คือ เทพื้นและปูกระเบื้อง ก็คงจะต้องวิ่งซื้อหาวัสดุและอุปกรณ์ จึงคงจะยังไม่มีสมาธิมานั่งเรียบเรียงความคิดให้เป็นเรื่องเป็นราวได้ ต้องขอเวลาอีกซัก 2-3 วัน ค่อยกลับมาคุยต่อ
ดีนะครับที่เข้ามาสนับสนุนข้อมูล เป็นเรื่องดี สำหรับคนที่จะนำไปวิเคราะห์ต่อ จะได้มีฐานข้อมูลที่กว้างขึ้น
และก็ต้องขอขอบคุณมากสำหรับคำชม ไม่ได้บ้ายอ แต่การที่สื่ออะไรออกไปนั้น ผมว่ามันก็ไม่ต่างอะไรกับการร้องเพลงคาราโอเกะในงานสังสรรค์ปาร์ตี้ ถ้าหากสุ้มเสียงที่ตั้งใจจะร่วมสร้างสีสัน บรรยากาสและความบรรเทิงให้กับงานนั้น แท้จริงแล้ว กลับสร้างความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ให้กับมวลหมู่สมาชิกผู้ร่วมงาน ตัวผมในฐานะที่เป็นผู้ก่อให้เกิดบรรยากาสอันไม่น่าพึงประสงค์นั้น ควรที่จะมองเห็นสัญญาณอันนั้นได้อย่างรวดเร็วและรีบวางไมค์เสียแต่เนิ่นๆ
ภายใน 2-3 วันนี้ผมก็คงจะวิ่งวุ่นอยู่กับการซ่อมแซมตึกซึ่งเริ่มทำมาตั้งแต่ต้นปีไล่ลงมาตั้งแต่ดาดฟ้า ลงมาถึงขั้นตอนสุดท้าย คือ เทพื้นและปูกระเบื้อง ก็คงจะต้องวิ่งซื้อหาวัสดุและอุปกรณ์ จึงคงจะยังไม่มีสมาธิมานั่งเรียบเรียงความคิดให้เป็นเรื่องเป็นราวได้ ต้องขอเวลาอีกซัก 2-3 วัน ค่อยกลับมาคุยต่อ
ตั้งคำถามกับตัวเองว่า "แน่ใจแค่ไหน" บอกได้เลยว่าเก้าในสิบครั้ง คุณไม่รู้คำตอบ แต่ถ้าจะมีสักครั้งที่คุณแน่ใจขนาด "แน่เสียยิ่งกว่าแน่" ละก็ ทุ่มเทเข้าไปเลย คุณชนะแน่.
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 9795
- ผู้ติดตาม: 0
คุณมนตรี คับผมกับ ลูกชาย
โพสต์ที่ 40
ขอเข้ามาต่อยอด เสวนากับคุณ Monty สักหน่อยครับ
สารภาพตรงๆ ว่า ไม่เคยอ่านกระทู้นี้เลย ฮ่าๆๆๆ พลาดไปได้อย่างไร
ช่วงสองปีที่ผ่านมี ผมจับตาดูบริษัท Sony มาตลอด
ตั้งแต่ยังสามารถทำกำไรได้มหาศาล จะกระทั่งประกาศ
ผลขาดทุนสูงเป็นประวัติการณ์
ข้อสรุปที่ผมได้ในสองปีที่ผ่านมา แตกต่างจากข้อสรุปคุณ Monty ครับ
Sony เสียแชมป์เพราะคำว่า Pride ครับ
การที่ Sony สร้างปรากฎการณ์ Walkman ขึ้นได้
ทำให้เขาคิดว่า สามารถทำได้อีกหลายๆ ครั้ง
ประกอบกับตีราคาความเข้มแข็งของ customer loyalty สูงเกินไป
คิดว่าผู้บริโภคไม่มีทางเลือกอื่นนอกจาก Sony
จึงออกผลิตภัณฑ์ใหม่ที่คิดว่าจะสร้างมาตรฐาน
แต่กลับเป็นตัวถลุงเงินไปแทน
และไม่ได้รับการยอมรับจากมหาชนผู้บริโภค
ตั้งแต่ Betamax แม้จะดีเลิศเลอ ก็ไม่สามารถจับ mass market ได้
Minidisk MD ที่กลายเป็นโจ๊ก
Memory Stick ที่สร้างความคับแค้นให้กับเจ้าของกล้องดิจิตัล
มีเพียง Play Station Unit เท่านั้นเอง
ที่ Sony สามารถสร้างผลกำไรที่เหนือคาดหมายได้
ผมจึงไม่คิดว่า จีนเป็นเหตุผลที่ Sony ต้องขาดทุนหนักขนาดนั้น
น่าจะเป็นเพราะความคิดที่ว่า once Sony, always Sony มากกว่า
คือคิดว่าเมื่อผู้บริโภคใช้ของ Sony แล้ว จะไม่มีเปลี่ยนใจเด็ดขาด
แม้ว่าสินค้า upgrade ที่ส่งออกมายัดเยียดนั้น จะหา value for money
แทบไม่ได้เลย เทียบกับคู่แข่ง
เพราะในธุรกิจอย่างกล้องดิจิตัลนั้น บริษัท Canon จากญี่ปุ่น
และโกดักจากอเมริกา ก็สามารถทำกำไรจากการขายกล้องได้มากมาย
ในขณะที่ Sony ต้องขาดทุนจาก Unit นี้
ส่วนตลาด LCD และทีวี ก็พ่ายแพ้ให้แก่ Samsung/Pioneer
ไปอย่างน่าเศร้าใจ ดีที่ตอนนี้สามารถกลับตัวได้
และส่งสุดยอดนักชกอย่าง Bravia ลงมาทวงแชมป์คืน
กล้อง DV ก็เสียตำแหน่ง innovator ให้กับ JVC และ Pana
(ก็เจ้าเดียวกันนั่นแหละ)
ส่วน DVD Player นั้น พอจะเรียกได้ว่า เป็นตลาดเดียวที่พ่ายแพ้
ให้กับจีน (แต่ผมว่า Soken ดีกว่าสินค้าจากจีนอีกนะ)
สารภาพตรงๆ ว่า ไม่เคยอ่านกระทู้นี้เลย ฮ่าๆๆๆ พลาดไปได้อย่างไร
ช่วงสองปีที่ผ่านมี ผมจับตาดูบริษัท Sony มาตลอด
ตั้งแต่ยังสามารถทำกำไรได้มหาศาล จะกระทั่งประกาศ
ผลขาดทุนสูงเป็นประวัติการณ์
ข้อสรุปที่ผมได้ในสองปีที่ผ่านมา แตกต่างจากข้อสรุปคุณ Monty ครับ
Sony เสียแชมป์เพราะคำว่า Pride ครับ
การที่ Sony สร้างปรากฎการณ์ Walkman ขึ้นได้
ทำให้เขาคิดว่า สามารถทำได้อีกหลายๆ ครั้ง
ประกอบกับตีราคาความเข้มแข็งของ customer loyalty สูงเกินไป
คิดว่าผู้บริโภคไม่มีทางเลือกอื่นนอกจาก Sony
จึงออกผลิตภัณฑ์ใหม่ที่คิดว่าจะสร้างมาตรฐาน
แต่กลับเป็นตัวถลุงเงินไปแทน
และไม่ได้รับการยอมรับจากมหาชนผู้บริโภค
ตั้งแต่ Betamax แม้จะดีเลิศเลอ ก็ไม่สามารถจับ mass market ได้
Minidisk MD ที่กลายเป็นโจ๊ก
Memory Stick ที่สร้างความคับแค้นให้กับเจ้าของกล้องดิจิตัล
มีเพียง Play Station Unit เท่านั้นเอง
ที่ Sony สามารถสร้างผลกำไรที่เหนือคาดหมายได้
ผมจึงไม่คิดว่า จีนเป็นเหตุผลที่ Sony ต้องขาดทุนหนักขนาดนั้น
น่าจะเป็นเพราะความคิดที่ว่า once Sony, always Sony มากกว่า
คือคิดว่าเมื่อผู้บริโภคใช้ของ Sony แล้ว จะไม่มีเปลี่ยนใจเด็ดขาด
แม้ว่าสินค้า upgrade ที่ส่งออกมายัดเยียดนั้น จะหา value for money
แทบไม่ได้เลย เทียบกับคู่แข่ง
เพราะในธุรกิจอย่างกล้องดิจิตัลนั้น บริษัท Canon จากญี่ปุ่น
และโกดักจากอเมริกา ก็สามารถทำกำไรจากการขายกล้องได้มากมาย
ในขณะที่ Sony ต้องขาดทุนจาก Unit นี้
ส่วนตลาด LCD และทีวี ก็พ่ายแพ้ให้แก่ Samsung/Pioneer
ไปอย่างน่าเศร้าใจ ดีที่ตอนนี้สามารถกลับตัวได้
และส่งสุดยอดนักชกอย่าง Bravia ลงมาทวงแชมป์คืน
กล้อง DV ก็เสียตำแหน่ง innovator ให้กับ JVC และ Pana
(ก็เจ้าเดียวกันนั่นแหละ)
ส่วน DVD Player นั้น พอจะเรียกได้ว่า เป็นตลาดเดียวที่พ่ายแพ้
ให้กับจีน (แต่ผมว่า Soken ดีกว่าสินค้าจากจีนอีกนะ)
-
- Verified User
- โพสต์: 1468
- ผู้ติดตาม: 0
คุณมนตรี คับผมกับ ลูกชาย
โพสต์ที่ 41
การเปลี่ยน CEO เป็นชาวต่างชาติ ตาหน้าฝรั่งจ๋าอย่าง..ตา Howard Stringer
น่าเป็นจุดเริ่มต้นของการลด pride แล้วมั้งคะ
บริษัทที่เทอะทะ อุ้ยอ้าย ทำให้ต้นทุนสูง
และเกิดความซ้ำซ้อนของงานได้ง่าย
ก็มองไว้นานแล้วเหมือนกัน ว่าถ้า Sony ยังดึงดัน
ยึดผลิตภัณฑ์ตัวเองเป็นศูนย์กลาง
สินค้าไม่ compatible กับชาวบ้านแบบนี้ ก็คงแย่แน่ๆ
โหไม่นานเกินรอจริงๆ
แต่ตอนนี้ นโยบายที่ใช้แก้ไขตอนนี้ก็ดูน่าสนใจ และเร็วดี
http://www.manager.co.th/Cyberbiz/ViewN ... 0000013015
ข้อที่ยังได้เปรียบ คือ เรื่องบุคลากรที่เป็นทุนทางปัญญายังมีอยู่มาก
การเริ่มรับฟังคำวิพากษ์ของชาวบ้านแล้ว การ resize องค์กร
การตัดตอนสายการผลิตที่ไม่เป็นที่นิยม กับไม่ก่อให้เกิด
net profit margin สูง ก็ทำได้เร็วดี
(หวังว่าสินค้า คงไม่เปลี่ยนเป็นใช้แล้วทิ้งเหมือนของจีนด้วยนะ 555)
ต้องตามดูตอนถัดไปค่ะ ว่ากู้หน้า Brand กลับมาได้ไหม
น่าเป็นจุดเริ่มต้นของการลด pride แล้วมั้งคะ
บริษัทที่เทอะทะ อุ้ยอ้าย ทำให้ต้นทุนสูง
และเกิดความซ้ำซ้อนของงานได้ง่าย
ก็มองไว้นานแล้วเหมือนกัน ว่าถ้า Sony ยังดึงดัน
ยึดผลิตภัณฑ์ตัวเองเป็นศูนย์กลาง
สินค้าไม่ compatible กับชาวบ้านแบบนี้ ก็คงแย่แน่ๆ
โหไม่นานเกินรอจริงๆ
แต่ตอนนี้ นโยบายที่ใช้แก้ไขตอนนี้ก็ดูน่าสนใจ และเร็วดี
http://www.manager.co.th/Cyberbiz/ViewN ... 0000013015
ข้อที่ยังได้เปรียบ คือ เรื่องบุคลากรที่เป็นทุนทางปัญญายังมีอยู่มาก
การเริ่มรับฟังคำวิพากษ์ของชาวบ้านแล้ว การ resize องค์กร
การตัดตอนสายการผลิตที่ไม่เป็นที่นิยม กับไม่ก่อให้เกิด
net profit margin สูง ก็ทำได้เร็วดี
(หวังว่าสินค้า คงไม่เปลี่ยนเป็นใช้แล้วทิ้งเหมือนของจีนด้วยนะ 555)
ต้องตามดูตอนถัดไปค่ะ ว่ากู้หน้า Brand กลับมาได้ไหม
..สักวันจะเก่งเหมือนพี่บ้าง..
-
- Verified User
- โพสต์: 35
- ผู้ติดตาม: 0
คุณมนตรี คับผมกับ ลูกชาย
โพสต์ที่ 42
ตอบคุณ DIYB และคุณ ก๊อป ครับ
ตั้งใจจะตอบคุณ DIYB เป็นคนแรกปรากฏว่าคุณก๊อปได้ช่วยอนุเคราะห์แทนผมไปเรียบร้อยแล้ว ความมีน้ำใจการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้อื่น แบบคุณก๊อปนี่แหละครับคุณ DIYB ที่ทำให้โลกของเรานี้ยังคงน่าอยู่ (ปรบมือ)
ผมพอดีได้อ่านบทความชิ้นล่าสุดของท่านอาจารย์ นิเวศ ที่ชื่อว่า "ล่อนจ้อน" ซึ่งมันเป็นสิ่งที่อยู่ตรงกันข้ามกับ "พลังของความเรียบง่าย" สามารถนำมาเปรียบเทียบอธิบายให้คุณ DIYB และคุณ ก๊อป ได้เห็นภาพอย่างชัดเจนและง่ายๆดังนี้ครับ
"พลังของความเรียบง่าย" เปรียบเหมือนกับวิทยาศาสตร์ ที่จับต้องได้เรียนรู้ได้ คิดเองได้
"ล่อนจ้อน" นั้นต้องอาศัยบรรดา "วูดู พ่อมด-หมอผี" คอยสั่งให้ทำโน่นทำนี่ เช่น ลอดท้องช้าง เอาสากเอากล้วยไปแขวนไว้ตรงหน้าประตู ติดประกาศให้รู้กันทั่วๆว่าบ้านนี้ไม่มีคนชื่อ ส.
ซึ่งเป็นสิ่งที่คนธรรมดาๆทั่วไปก็สามารถบอกได้ว่า เป็นเรื่องงมงายไร้เหตุผลสิ้นดี (เชื่อได้ไงฟะ) แต่ก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่เชื่อและยึดเป็นสรณะ
"พลังของความเรียบง่าย" ดูๆแล้ว มันง่ายเกินไป จนไม่น่าจะ "ขลัง" พอที่จะใช้เป็นอาวุทต่อสู้กับพลังเวทย์อันลี้ลับน่าสพึงกลัวของเหล่าวูดูพ่อมดหมอผีนั้นได้
แต่ผมขอให้คุณ DIYBและคุณก๊อปลองพิจารณาดูจาก 2 สิ่งนี้
1. ระหว่างสาวกของสองกลุ่มนี้ คือพลังของความเรียบง่ายกับ ล่อนจ้อน กลุ่มไหนกันแน่ที่จะสามารถรักษาตัวรอดปลอดภัย และไปได้ถึงจุดหมายปลายทางที่แน่นอนกว่ากัน
2. ก็คือ เอาพอร์ต การลงทุนของอาจารย์นิเวศ มาศึกษาดูว่า มีหุ้นสักตัวไหม ที่ไม่ได้อยู่ในกรอบ "พลังของความเรียบง่าย" ที่ว่านี้ บ้านปูซื้ออโรเมติค 200 ล้านหุ้น ที่ราคาเฉลี่ย 3.50 แค่การลงทุนเพียงครั้งเดียว ก็เหนือกว่าอาจารย์นิเวศหลายพันเท่า ยังมีนักลงทุนขาใหญ่อีกไม่น้อยที่ทำกำไรมากกว่า อาจารย์นิเวศ อย่างทียบไม่ติด แต่....
การลงทุนของอาจารย์นิเวศนั้นเป็นการลงทุน ที่สะอาดที่สุด หมดจรดที่สุด ทรงคุณค่าต่อนักลงทุน (รุ่นหลัง) ที่สุด และก็สง่างามที่สุด เป็นที่ยอมรับของผู้คนในทุกระดับของสังคม การศึกษาพอร์ตการลงทุนของอาจารย์นิเวศ เราจะพบว่า "เรียบง่ายและสะอาด" ปราศจากความโลภโมโทสันและความรุ่มร้อนกระวนกระวายใดๆ และสิ่งที่น่าจะพูดว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการลงทุนแบบ VI ก็คือ เป็นพอร์ตการลงทุนที่ให้ความรู้สึก "สันติสุขทางใจ" แก่เจ้าของ
หลักการที่ปรากฏอยู่ใน 14 ย่อหน้าของ "พลังของความเรียบง่าย" นั้น ผมว่าเป็นบทสรุปที่เป็นหัวใจการลงทุน ของวอร์เรน บัฟเฟต กับ ปีเตอร์ ลินซ์ นั่นเอง และนี่คือปรัชญาและอุดมคติในการลงทุนของ รองศาสตร์จารย์ นิเวศ เหมวชิรวรากร ซึ่งเพียงเท่านี้ ก็คงพอที่จะทำให้ คุณ DIYB และคุณ ก๊อป หายสงสัยได้แล้วนะครับ
บทสรุปการลงทุนที่ดีที่สุดเท่าที่ผมสัมผัสมาจากการลงทุนนับตั้งแต่ก้าวแรกจนถึงบัดนี้ก็คือ "การลงทุนแบบพอเพียง" ตามพระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
มีอยู่ 3 ท่านด้วยกัน ที่ผมอยากให้ทุกคนดูเอาไว้และยึดถือเป็นแบบอย่างต่อไปก็คือ
1. อาจารย์ นิเวศ เหมวชิรวรากร
2. คุณ ครรชิต ไพศาล
3. คุณ ฉัตรชัย
โดยวิเคราะห์เอาจากพอร์ตการลงทุนของทั้ง3ท่านว่าเป็นการลงทุนที่ปราศจากความโลภโมโทสัน ที่จะทำให้เกิดความรุ่มร้อนกระวนกระวายใดๆเลย เป็นการลงทุนแบบที่จะทำให้เกิดความสันติสุขเกิดขึ้นในใจครับคุณ DIYB และคุณ ก๊อป ครับ
ตั้งใจจะตอบคุณ DIYB เป็นคนแรกปรากฏว่าคุณก๊อปได้ช่วยอนุเคราะห์แทนผมไปเรียบร้อยแล้ว ความมีน้ำใจการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้อื่น แบบคุณก๊อปนี่แหละครับคุณ DIYB ที่ทำให้โลกของเรานี้ยังคงน่าอยู่ (ปรบมือ)
ผมพอดีได้อ่านบทความชิ้นล่าสุดของท่านอาจารย์ นิเวศ ที่ชื่อว่า "ล่อนจ้อน" ซึ่งมันเป็นสิ่งที่อยู่ตรงกันข้ามกับ "พลังของความเรียบง่าย" สามารถนำมาเปรียบเทียบอธิบายให้คุณ DIYB และคุณ ก๊อป ได้เห็นภาพอย่างชัดเจนและง่ายๆดังนี้ครับ
"พลังของความเรียบง่าย" เปรียบเหมือนกับวิทยาศาสตร์ ที่จับต้องได้เรียนรู้ได้ คิดเองได้
"ล่อนจ้อน" นั้นต้องอาศัยบรรดา "วูดู พ่อมด-หมอผี" คอยสั่งให้ทำโน่นทำนี่ เช่น ลอดท้องช้าง เอาสากเอากล้วยไปแขวนไว้ตรงหน้าประตู ติดประกาศให้รู้กันทั่วๆว่าบ้านนี้ไม่มีคนชื่อ ส.
ซึ่งเป็นสิ่งที่คนธรรมดาๆทั่วไปก็สามารถบอกได้ว่า เป็นเรื่องงมงายไร้เหตุผลสิ้นดี (เชื่อได้ไงฟะ) แต่ก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่เชื่อและยึดเป็นสรณะ
"พลังของความเรียบง่าย" ดูๆแล้ว มันง่ายเกินไป จนไม่น่าจะ "ขลัง" พอที่จะใช้เป็นอาวุทต่อสู้กับพลังเวทย์อันลี้ลับน่าสพึงกลัวของเหล่าวูดูพ่อมดหมอผีนั้นได้
แต่ผมขอให้คุณ DIYBและคุณก๊อปลองพิจารณาดูจาก 2 สิ่งนี้
1. ระหว่างสาวกของสองกลุ่มนี้ คือพลังของความเรียบง่ายกับ ล่อนจ้อน กลุ่มไหนกันแน่ที่จะสามารถรักษาตัวรอดปลอดภัย และไปได้ถึงจุดหมายปลายทางที่แน่นอนกว่ากัน
2. ก็คือ เอาพอร์ต การลงทุนของอาจารย์นิเวศ มาศึกษาดูว่า มีหุ้นสักตัวไหม ที่ไม่ได้อยู่ในกรอบ "พลังของความเรียบง่าย" ที่ว่านี้ บ้านปูซื้ออโรเมติค 200 ล้านหุ้น ที่ราคาเฉลี่ย 3.50 แค่การลงทุนเพียงครั้งเดียว ก็เหนือกว่าอาจารย์นิเวศหลายพันเท่า ยังมีนักลงทุนขาใหญ่อีกไม่น้อยที่ทำกำไรมากกว่า อาจารย์นิเวศ อย่างทียบไม่ติด แต่....
การลงทุนของอาจารย์นิเวศนั้นเป็นการลงทุน ที่สะอาดที่สุด หมดจรดที่สุด ทรงคุณค่าต่อนักลงทุน (รุ่นหลัง) ที่สุด และก็สง่างามที่สุด เป็นที่ยอมรับของผู้คนในทุกระดับของสังคม การศึกษาพอร์ตการลงทุนของอาจารย์นิเวศ เราจะพบว่า "เรียบง่ายและสะอาด" ปราศจากความโลภโมโทสันและความรุ่มร้อนกระวนกระวายใดๆ และสิ่งที่น่าจะพูดว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการลงทุนแบบ VI ก็คือ เป็นพอร์ตการลงทุนที่ให้ความรู้สึก "สันติสุขทางใจ" แก่เจ้าของ
หลักการที่ปรากฏอยู่ใน 14 ย่อหน้าของ "พลังของความเรียบง่าย" นั้น ผมว่าเป็นบทสรุปที่เป็นหัวใจการลงทุน ของวอร์เรน บัฟเฟต กับ ปีเตอร์ ลินซ์ นั่นเอง และนี่คือปรัชญาและอุดมคติในการลงทุนของ รองศาสตร์จารย์ นิเวศ เหมวชิรวรากร ซึ่งเพียงเท่านี้ ก็คงพอที่จะทำให้ คุณ DIYB และคุณ ก๊อป หายสงสัยได้แล้วนะครับ
บทสรุปการลงทุนที่ดีที่สุดเท่าที่ผมสัมผัสมาจากการลงทุนนับตั้งแต่ก้าวแรกจนถึงบัดนี้ก็คือ "การลงทุนแบบพอเพียง" ตามพระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
มีอยู่ 3 ท่านด้วยกัน ที่ผมอยากให้ทุกคนดูเอาไว้และยึดถือเป็นแบบอย่างต่อไปก็คือ
1. อาจารย์ นิเวศ เหมวชิรวรากร
2. คุณ ครรชิต ไพศาล
3. คุณ ฉัตรชัย
โดยวิเคราะห์เอาจากพอร์ตการลงทุนของทั้ง3ท่านว่าเป็นการลงทุนที่ปราศจากความโลภโมโทสัน ที่จะทำให้เกิดความรุ่มร้อนกระวนกระวายใดๆเลย เป็นการลงทุนแบบที่จะทำให้เกิดความสันติสุขเกิดขึ้นในใจครับคุณ DIYB และคุณ ก๊อป ครับ
ตั้งคำถามกับตัวเองว่า "แน่ใจแค่ไหน" บอกได้เลยว่าเก้าในสิบครั้ง คุณไม่รู้คำตอบ แต่ถ้าจะมีสักครั้งที่คุณแน่ใจขนาด "แน่เสียยิ่งกว่าแน่" ละก็ ทุ่มเทเข้าไปเลย คุณชนะแน่.
-
- Verified User
- โพสต์: 35
- ผู้ติดตาม: 0
คุณมนตรี คับผมกับ ลูกชาย
โพสต์ที่ 43
ตอบคุณ CK ครับผม
โอ้ว.ว... วิเคราะห์เจาะลึกได้ดีกว่าผมเสียอีก ครับคุณ CK อื้อฮือ.. ละเอียดยิบเชียว ยอดเยี่ยมจริงๆ อย่างนี้คนที่เข้ามาติดตามก็ยิ้มแก้มปริซิครับ แค่ 2 มุมมอง ของผมกับคุณ CK ก็เกือบจะครอบคลุม 360 องศา เข้าไปแล้ว ถ้ามีใครเข้ามาช่วยอีก 2-3 คน ก็จะยิ่งดีมากขึ้นไปอีก
ตัวผมมองผลกระทบจากภายนอก ส่วนคุณ CK มองผลกระทบจากภายในเป็นหลัก ดีครับ นับเป็นการแลกเปลี่ยนมุมมองของกันและกัน
ผมเองอย่างไรเสียก็คงจะใช้วิญญาณของการเป็นพ่อค้านักธุรกิจ ในการวิเคราะห์ ส่วนคุณ CK นั้นดูจากข้อมูล ที่เอามาใช้ ก็บ่งบอกถึงการเป็นนักลงทุนผู้คร่ำวอด
การวิเคราะห์โซนี่ ผมไม่เน้นไปที่แวลู่ ผมมุ่งไปดูที่ข้อต่อโซ่ ความเกี่ยวเนื่องกับปรากฏการณ์อื่นๆ ให้กว้างขวาง มากที่สุดเท่าที่จะทำให้เพื่อศึกษาถึงผลกระทบรอบๆตัวเรา เพราะผมไม่อยากใช้ทฤษฏี แบบว่า "เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว" ที่ผมหาสิ่งเชื่อมโยงมาอธิบายไม่ได้ ผมจึงพยายามกระตุ้นตัวเองให้สนใจใฝ่รู้ในสิ่งต่างๆรอบๆตัวเราเสมอ เวลามีปรากฏการณ์อะไรขึ้นมา ถ้าเราสามารถเข้าใจและอธิบายถึงที่มาที่ไปของสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ก็จะทำให้เราสามารถมองข้ามช๊อตไปถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นเป็นอันดับต่อไปได้ ซึ่งผมใช้เป็นต้นทุนในการคาดเดาดั่งที่กล่าวไปแล้วแต่ต้น
ทีนี้กลับมาที่ผลกระทบจากภายในดั่งข้อมูลของคุณ CK ว่าทำไมผมจึงมองข้ามตัวเลขเปรียบเทียบทางการตลาด พุ่งสายตามองไปเฉพาะผลกระทบจากภายนอก แต่เพียงด้านเดียวทั้งๆที่การพลาดท่าให้กับซัมซุงและบริษัทอื่นๆน่าจะมีน้ำหนักมากกว่าในมุมมองของทุกๆท่าน คืออย่างนี้ครับ
1. ข้อมูลที่แสดงความผิดพลาดและล้มเหลวของโซนี่ ส่วนใหญ่ถูกเก็บสะสมและรวบรวมมาแล้วเกิน 10 ปีทั้งๆที่ความผิดพลาดหลายๆอย่างได้ถูกแก้ไขลุล่วงไปแล้วแต่ก็ยังถูกบันทึกอยู่ในแฟ้มแห่งความทรงจำ ที่ถูกนำมากล่าวอ้างในบทวิจารณ์ของหนังสือพิมพ์อยู่เสมอๆ
2. ผมเป็นแฟนกีฬามาแต่ไหนแต่ไรฉนั้นผมจึงไม่ค่อยรู้สึกตื่นเต้นหวือหวาอะไรหนักหนากับการที่นักกีฬาไทยพุ่งทะยานออกจากจุดสตาร์ทนำโด่งนักกีฬาชาติอื่นๆที่เป็นเจ้าของสถิติและเหรียญทองมาหลายยุคหลายสมัยในขณะที่คนอื่นๆ พากันตื่นเต้นลุกขึ้นเต้นแร้งเต้นกาส่งเสียงเชียร์เสียงดังสนั่นหวั่นไหว
การทำธุรกิจเหมือนกับการว่ายน้ำจากกรุงเทพฯถึงเกาะสมุยคนที่ว่ายนำลิ่วอยู่ข้างหน้า ถ้าไม่เก่งจริง ไม่แกร่งจริงไม่สะสมประสบการณ์ที่มากพอจริง แล้วละก็ว่ายนำได้ไม่นานหรอกครับ เดี่ยวก็เห็น
ถ้าดูจากตัวเลขที่คุณ CK นำมาแสดงแล้วแฟนๆพันธุ์แท้ของโซนี่คงพากันใจแป้วว่า "จะรอดไม๊เนี่ย..."
การเสียตำแหน่งหรือส่วนแบ่งทางการตลาดนั้นไม่ได้แปลว่าขาดทุนนะครับ ดูอย่าง ยูนิฟกรีนที เสียตำแหน่งให้กับโออิชิ ยูนิฟนอกจากจะไม่ขาดทุนแล้วยังมีกำไรเพิ่มขึ้นจากการที่ตลาดใหญ่ขึ้น และรถวีโก้ ของโตโยต้า ก็ขายแพ้อิซูซุ มาทุกยุคทุกสมัยโตโยต้าก็ยังคงครองตำแหน่งบริษัทผู้ผลิตรถที่มียอดเงินกำไรสะสมสูงที่สุดในโลก
ดังนั้นตำแหน่งในการตลาดของสินค้าไม่อาจนำมาสะท้อนเป็นผลกำไรและขาดทุนได้มากนัก
ซึ่งผมก็เชื่อเหมือนกับที่คุณ CK เชื่อว่า ผลขาดทุนมหาศาลของโซนี่ เป็นผลมาจากหลายสิ่งหลายอย่างดั่งข้อมูลของคุณ CK ที่นำมาแจกแจง แต่สำหรับผม ผมให้น้ำหนักกับข้อมูลของคุณ CK 50% อีก50% ผมยังคงยืนยันว่าเป็นผลกระทบมาจากปัจจัยภายนอกดังที่ผมนำเสนอไปแล้วนั่นแหละครับ คุณ CK ครับ
โอ้ว.ว... วิเคราะห์เจาะลึกได้ดีกว่าผมเสียอีก ครับคุณ CK อื้อฮือ.. ละเอียดยิบเชียว ยอดเยี่ยมจริงๆ อย่างนี้คนที่เข้ามาติดตามก็ยิ้มแก้มปริซิครับ แค่ 2 มุมมอง ของผมกับคุณ CK ก็เกือบจะครอบคลุม 360 องศา เข้าไปแล้ว ถ้ามีใครเข้ามาช่วยอีก 2-3 คน ก็จะยิ่งดีมากขึ้นไปอีก
ตัวผมมองผลกระทบจากภายนอก ส่วนคุณ CK มองผลกระทบจากภายในเป็นหลัก ดีครับ นับเป็นการแลกเปลี่ยนมุมมองของกันและกัน
ผมเองอย่างไรเสียก็คงจะใช้วิญญาณของการเป็นพ่อค้านักธุรกิจ ในการวิเคราะห์ ส่วนคุณ CK นั้นดูจากข้อมูล ที่เอามาใช้ ก็บ่งบอกถึงการเป็นนักลงทุนผู้คร่ำวอด
การวิเคราะห์โซนี่ ผมไม่เน้นไปที่แวลู่ ผมมุ่งไปดูที่ข้อต่อโซ่ ความเกี่ยวเนื่องกับปรากฏการณ์อื่นๆ ให้กว้างขวาง มากที่สุดเท่าที่จะทำให้เพื่อศึกษาถึงผลกระทบรอบๆตัวเรา เพราะผมไม่อยากใช้ทฤษฏี แบบว่า "เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว" ที่ผมหาสิ่งเชื่อมโยงมาอธิบายไม่ได้ ผมจึงพยายามกระตุ้นตัวเองให้สนใจใฝ่รู้ในสิ่งต่างๆรอบๆตัวเราเสมอ เวลามีปรากฏการณ์อะไรขึ้นมา ถ้าเราสามารถเข้าใจและอธิบายถึงที่มาที่ไปของสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ก็จะทำให้เราสามารถมองข้ามช๊อตไปถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นเป็นอันดับต่อไปได้ ซึ่งผมใช้เป็นต้นทุนในการคาดเดาดั่งที่กล่าวไปแล้วแต่ต้น
ทีนี้กลับมาที่ผลกระทบจากภายในดั่งข้อมูลของคุณ CK ว่าทำไมผมจึงมองข้ามตัวเลขเปรียบเทียบทางการตลาด พุ่งสายตามองไปเฉพาะผลกระทบจากภายนอก แต่เพียงด้านเดียวทั้งๆที่การพลาดท่าให้กับซัมซุงและบริษัทอื่นๆน่าจะมีน้ำหนักมากกว่าในมุมมองของทุกๆท่าน คืออย่างนี้ครับ
1. ข้อมูลที่แสดงความผิดพลาดและล้มเหลวของโซนี่ ส่วนใหญ่ถูกเก็บสะสมและรวบรวมมาแล้วเกิน 10 ปีทั้งๆที่ความผิดพลาดหลายๆอย่างได้ถูกแก้ไขลุล่วงไปแล้วแต่ก็ยังถูกบันทึกอยู่ในแฟ้มแห่งความทรงจำ ที่ถูกนำมากล่าวอ้างในบทวิจารณ์ของหนังสือพิมพ์อยู่เสมอๆ
2. ผมเป็นแฟนกีฬามาแต่ไหนแต่ไรฉนั้นผมจึงไม่ค่อยรู้สึกตื่นเต้นหวือหวาอะไรหนักหนากับการที่นักกีฬาไทยพุ่งทะยานออกจากจุดสตาร์ทนำโด่งนักกีฬาชาติอื่นๆที่เป็นเจ้าของสถิติและเหรียญทองมาหลายยุคหลายสมัยในขณะที่คนอื่นๆ พากันตื่นเต้นลุกขึ้นเต้นแร้งเต้นกาส่งเสียงเชียร์เสียงดังสนั่นหวั่นไหว
การทำธุรกิจเหมือนกับการว่ายน้ำจากกรุงเทพฯถึงเกาะสมุยคนที่ว่ายนำลิ่วอยู่ข้างหน้า ถ้าไม่เก่งจริง ไม่แกร่งจริงไม่สะสมประสบการณ์ที่มากพอจริง แล้วละก็ว่ายนำได้ไม่นานหรอกครับ เดี่ยวก็เห็น
ถ้าดูจากตัวเลขที่คุณ CK นำมาแสดงแล้วแฟนๆพันธุ์แท้ของโซนี่คงพากันใจแป้วว่า "จะรอดไม๊เนี่ย..."
การเสียตำแหน่งหรือส่วนแบ่งทางการตลาดนั้นไม่ได้แปลว่าขาดทุนนะครับ ดูอย่าง ยูนิฟกรีนที เสียตำแหน่งให้กับโออิชิ ยูนิฟนอกจากจะไม่ขาดทุนแล้วยังมีกำไรเพิ่มขึ้นจากการที่ตลาดใหญ่ขึ้น และรถวีโก้ ของโตโยต้า ก็ขายแพ้อิซูซุ มาทุกยุคทุกสมัยโตโยต้าก็ยังคงครองตำแหน่งบริษัทผู้ผลิตรถที่มียอดเงินกำไรสะสมสูงที่สุดในโลก
ดังนั้นตำแหน่งในการตลาดของสินค้าไม่อาจนำมาสะท้อนเป็นผลกำไรและขาดทุนได้มากนัก
ซึ่งผมก็เชื่อเหมือนกับที่คุณ CK เชื่อว่า ผลขาดทุนมหาศาลของโซนี่ เป็นผลมาจากหลายสิ่งหลายอย่างดั่งข้อมูลของคุณ CK ที่นำมาแจกแจง แต่สำหรับผม ผมให้น้ำหนักกับข้อมูลของคุณ CK 50% อีก50% ผมยังคงยืนยันว่าเป็นผลกระทบมาจากปัจจัยภายนอกดังที่ผมนำเสนอไปแล้วนั่นแหละครับ คุณ CK ครับ
ตั้งคำถามกับตัวเองว่า "แน่ใจแค่ไหน" บอกได้เลยว่าเก้าในสิบครั้ง คุณไม่รู้คำตอบ แต่ถ้าจะมีสักครั้งที่คุณแน่ใจขนาด "แน่เสียยิ่งกว่าแน่" ละก็ ทุ่มเทเข้าไปเลย คุณชนะแน่.
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4940
- ผู้ติดตาม: 1
คุณมนตรี คับผมกับ ลูกชาย
โพสต์ที่ 44
มาติดตามครับ ขอบคุณครับคุณอาที่ชมแต่ผมไม่ได้ทำอะไรเลยนะครับ ก็แค่ก๊อปมาแปะไว้ให้อ่านเท่านั้นนะครับ รู้สึกคำชมคุณอาจะเยอะไปหน่อยครับ อ่านแล้ว :oops: :oops:
สีลํ พลํ อปฺปฏิมํ สีลํ อาวุธมุตฺตมํ
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
-
- Verified User
- โพสต์: 35
- ผู้ติดตาม: 0
กลับมาแล้วครับ
โพสต์ที่ 46
กลับมาแล้วครับ โอย-เหนื่อย
เหนื่อยแทบคลานเลยครับ งานซ่อมบ้านนึกว่าจะแล้วเสร็จที่ไหนได้ กลายเป็นว่าสั่งอย่างทำอย่าง ปัญหาของเพดานและผนังที่มีน้ำรั่วซึมอยู่ ทำให้สีหลุดลอกเนื้อปูนขึ้นรา ผมสั่งให้ช่างซ่อมของผมไปทำการแก้ไขที่ต้นเหตุ คือดาดฟ้าของห้องที่อยู่ติดกัน ทรุดลงเป็นกะทะ ระบายน้ำฝนได้ไม่หมดทำให้น้ำไหลซึมเข้าไปตามรอยร้าว เข้าไปถึงเหล็กเส้นซึ่งเสริมอยู่ภายในคอนกรีต จากนั้นก็จะไหลซึมไปตามแนวเหล็กเส้นที่เชื่อมโยงตึกทั้งแถวข้ามมาสร้างความเสียหายให้กับเพดานและฝาผนังห้องที่ผมกำลังซ่อมแซม และภายในก้นแท็งค์ในห้องน้ำของบ้านดังกล่าวก็รั่วซึมกัดเซาะลงไปถึงเหล็กโครงสร้าง ก็เป็นอีกจะหนึ่งที่จะต้องได้รับการแก้ไข
แต่นายช่างที่รู้จักมักคุ้นกับผมเป็นอย่างดี กลับเห็นว่าวีธีของผมทำให้เรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ เป็นความเสียเปรียบในการที่จะไปซ่อมบ้านให้คนอื่นฟรีๆ ก็เลยใช้วิธีแก้ที่ปลายเหตุ รั่วซึมตรงไหนก็จัดการสกัดปูนเก่าออก เอาปูนใหม่ผสมน้ำยากันซึมฉาบเข้าไปใหม่
ผมเองมีงานดูแลร้านค้าอยู่เต็มไม้เต็มมือ จึงไม่ค่อยได้ติดตามการทำงานว่าเป็นไปตามที่ผมต้องการหรือไม่ พอช่างบอกว่างานเสร็จเรียบร้อยผมจึงขึ้นไปดู ถึงได้รู้ว่าหาเป็นดังที่ผมต้องการไม่ แต่ช่างเขาก็ยืนยันหัวชนฝาว่าวิธีของเขาได้ผลดีกว่า ผมหมดอารมณ์ที่จะเถียงกับคนเหล่านั้น จึงจัดการปล่อยน้ำไปหล่อทิ้งไว้บนดาดฟ้า และบอกให้บ้านข้างๆปล่อยน้ำลงในแท็งค์ ผลก็คือปัญหายังอยูครบถ้วนเท่ากับตอนที่ยังไม่ได้ทำ เป็นการเสียเงินเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์แท้ๆ ให้กับความคิดถือว่าตัวเองเป็นช่าง โดยจะมารู้ดีกว่าไม่ได้ และถ้าไม่ใช่คนรู้จักมักคุ้นกันมานานมีหวัง บอกให้เก็บเครื่องมือกลับบ้านไปแล้ว คราวนี้นอกจากขายของแล้วผมยังต้องทำหน้าที่คุมงานซ่อมบ้านอย่างใกล้ชิดอีกหนึ่งหน้าที่
เพราะฉะนั้นวันหนึ่งๆ ผมต้องวิ่งขึ้น วิ่งลงระหว่างร้านค้ากับงานซ่อมบ้าน ไม่รู้กี่เที่ยวต่อกี่เที่ยว พอช่างเลิกงานกลับบ้านก็ได้เวลาสำคัญที่เป็นยอดขาย 70%ของร้านค้า จาก 5 โมงเย็นถึงเที่ยงคืน และถ้าเป็นศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ จะเป็นงานหนักของทุกคนในร้าน ปิดร้านเที่ยงคืน เตรียมของแช่ของไว้ขายวันพรุ่งนี้อีก 1 ชั่วโมง
ทีนี้วันๆ ผมมัวแต่ไปขลุกอยู่กับงานซ่อมบ้าน สะสมงานเอาไว้ทำหลังปิดร้านอีกไม่น้อย ถ้าทำไปจนถึงตี 2 ครึ่ง แล้วยังไม่เสร็จ ผมก็บ๊าย บายแล้ว ไม่งั้นมีหวังสว่างคาตาแน่ แค่นี้ก็ถือว่าหนักพอแล้วสำหรับผมแต่ยังมีให้หนักแบบยกกำลัง2 เป็นของแถมอีก ลูกสะใภ้คนโตของผมที่ทำหน้าที่เป็นคนขายมือที่2 ที่จะช่วยงานขายในช่วงที่มีลูกค้าล้นมาจากมือหนึ่ง เติมของเตรียมของทุกอย่าง ญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งของแกเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง ต้องกลับไปร่วมพิธีตามประเพณีชาวจีนแท้ๆ เป็นเวลาเกือบ 2 อาทิตย์ เจอเข้าแบบนี้เล่นเอาผมลืมไปหมด ไม่ว่าจะเป็นกระดานหุ้น หนังสือพิมพ์ หรือว่าเข้าเวป TVI
ขอให้เอาตัวรอดได้ในแต่ละวันก็ต้องนับว่าเยี่ยมแล้ว ก็โอเคครับ "เดอะโชว์มัสโกออน" บ้านซ่อมเสร็จแล้วทำให้ดีที่สุดตามที่ผมปรารถนาทุกอย่าง นอกจากปัญหาต่างๆ จะถูกแก้ไขอย่างถาวร ระบบระบายน้ำ ห้องน้ำจะไม่มีปัญหาไม่น้อยกว่า 20ปี
เรียบร้อยครบถ้วนสมบูรณ์แบบพอที่จะเป็นอีกหนึ่งความฝันหนึ่งธุรกิจ หรืออีกหนึ่งต้นแบบระบบเฟรนไชส์ก็ได้ใครจะไปรู้ แค่คิดเท่านี้ก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งแล้ว
ผมต้องขอโทษเป็นอย่างมากสำหรับทุกท่านที่เข้ามาติดตาม ขอเวลาผมตั้งหลัก ซักวันสองวัน จะกลับมาตอบโจทย์ที่ผมเล่าค้างเอาไว้ครับ
เหนื่อยแทบคลานเลยครับ งานซ่อมบ้านนึกว่าจะแล้วเสร็จที่ไหนได้ กลายเป็นว่าสั่งอย่างทำอย่าง ปัญหาของเพดานและผนังที่มีน้ำรั่วซึมอยู่ ทำให้สีหลุดลอกเนื้อปูนขึ้นรา ผมสั่งให้ช่างซ่อมของผมไปทำการแก้ไขที่ต้นเหตุ คือดาดฟ้าของห้องที่อยู่ติดกัน ทรุดลงเป็นกะทะ ระบายน้ำฝนได้ไม่หมดทำให้น้ำไหลซึมเข้าไปตามรอยร้าว เข้าไปถึงเหล็กเส้นซึ่งเสริมอยู่ภายในคอนกรีต จากนั้นก็จะไหลซึมไปตามแนวเหล็กเส้นที่เชื่อมโยงตึกทั้งแถวข้ามมาสร้างความเสียหายให้กับเพดานและฝาผนังห้องที่ผมกำลังซ่อมแซม และภายในก้นแท็งค์ในห้องน้ำของบ้านดังกล่าวก็รั่วซึมกัดเซาะลงไปถึงเหล็กโครงสร้าง ก็เป็นอีกจะหนึ่งที่จะต้องได้รับการแก้ไข
แต่นายช่างที่รู้จักมักคุ้นกับผมเป็นอย่างดี กลับเห็นว่าวีธีของผมทำให้เรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ เป็นความเสียเปรียบในการที่จะไปซ่อมบ้านให้คนอื่นฟรีๆ ก็เลยใช้วิธีแก้ที่ปลายเหตุ รั่วซึมตรงไหนก็จัดการสกัดปูนเก่าออก เอาปูนใหม่ผสมน้ำยากันซึมฉาบเข้าไปใหม่
ผมเองมีงานดูแลร้านค้าอยู่เต็มไม้เต็มมือ จึงไม่ค่อยได้ติดตามการทำงานว่าเป็นไปตามที่ผมต้องการหรือไม่ พอช่างบอกว่างานเสร็จเรียบร้อยผมจึงขึ้นไปดู ถึงได้รู้ว่าหาเป็นดังที่ผมต้องการไม่ แต่ช่างเขาก็ยืนยันหัวชนฝาว่าวิธีของเขาได้ผลดีกว่า ผมหมดอารมณ์ที่จะเถียงกับคนเหล่านั้น จึงจัดการปล่อยน้ำไปหล่อทิ้งไว้บนดาดฟ้า และบอกให้บ้านข้างๆปล่อยน้ำลงในแท็งค์ ผลก็คือปัญหายังอยูครบถ้วนเท่ากับตอนที่ยังไม่ได้ทำ เป็นการเสียเงินเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์แท้ๆ ให้กับความคิดถือว่าตัวเองเป็นช่าง โดยจะมารู้ดีกว่าไม่ได้ และถ้าไม่ใช่คนรู้จักมักคุ้นกันมานานมีหวัง บอกให้เก็บเครื่องมือกลับบ้านไปแล้ว คราวนี้นอกจากขายของแล้วผมยังต้องทำหน้าที่คุมงานซ่อมบ้านอย่างใกล้ชิดอีกหนึ่งหน้าที่
เพราะฉะนั้นวันหนึ่งๆ ผมต้องวิ่งขึ้น วิ่งลงระหว่างร้านค้ากับงานซ่อมบ้าน ไม่รู้กี่เที่ยวต่อกี่เที่ยว พอช่างเลิกงานกลับบ้านก็ได้เวลาสำคัญที่เป็นยอดขาย 70%ของร้านค้า จาก 5 โมงเย็นถึงเที่ยงคืน และถ้าเป็นศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ จะเป็นงานหนักของทุกคนในร้าน ปิดร้านเที่ยงคืน เตรียมของแช่ของไว้ขายวันพรุ่งนี้อีก 1 ชั่วโมง
ทีนี้วันๆ ผมมัวแต่ไปขลุกอยู่กับงานซ่อมบ้าน สะสมงานเอาไว้ทำหลังปิดร้านอีกไม่น้อย ถ้าทำไปจนถึงตี 2 ครึ่ง แล้วยังไม่เสร็จ ผมก็บ๊าย บายแล้ว ไม่งั้นมีหวังสว่างคาตาแน่ แค่นี้ก็ถือว่าหนักพอแล้วสำหรับผมแต่ยังมีให้หนักแบบยกกำลัง2 เป็นของแถมอีก ลูกสะใภ้คนโตของผมที่ทำหน้าที่เป็นคนขายมือที่2 ที่จะช่วยงานขายในช่วงที่มีลูกค้าล้นมาจากมือหนึ่ง เติมของเตรียมของทุกอย่าง ญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งของแกเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง ต้องกลับไปร่วมพิธีตามประเพณีชาวจีนแท้ๆ เป็นเวลาเกือบ 2 อาทิตย์ เจอเข้าแบบนี้เล่นเอาผมลืมไปหมด ไม่ว่าจะเป็นกระดานหุ้น หนังสือพิมพ์ หรือว่าเข้าเวป TVI
ขอให้เอาตัวรอดได้ในแต่ละวันก็ต้องนับว่าเยี่ยมแล้ว ก็โอเคครับ "เดอะโชว์มัสโกออน" บ้านซ่อมเสร็จแล้วทำให้ดีที่สุดตามที่ผมปรารถนาทุกอย่าง นอกจากปัญหาต่างๆ จะถูกแก้ไขอย่างถาวร ระบบระบายน้ำ ห้องน้ำจะไม่มีปัญหาไม่น้อยกว่า 20ปี
เรียบร้อยครบถ้วนสมบูรณ์แบบพอที่จะเป็นอีกหนึ่งความฝันหนึ่งธุรกิจ หรืออีกหนึ่งต้นแบบระบบเฟรนไชส์ก็ได้ใครจะไปรู้ แค่คิดเท่านี้ก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งแล้ว
ผมต้องขอโทษเป็นอย่างมากสำหรับทุกท่านที่เข้ามาติดตาม ขอเวลาผมตั้งหลัก ซักวันสองวัน จะกลับมาตอบโจทย์ที่ผมเล่าค้างเอาไว้ครับ
ตั้งคำถามกับตัวเองว่า "แน่ใจแค่ไหน" บอกได้เลยว่าเก้าในสิบครั้ง คุณไม่รู้คำตอบ แต่ถ้าจะมีสักครั้งที่คุณแน่ใจขนาด "แน่เสียยิ่งกว่าแน่" ละก็ ทุ่มเทเข้าไปเลย คุณชนะแน่.
-
- Verified User
- โพสต์: 2509
- ผู้ติดตาม: 1
คุณมนตรี คับผมกับ ลูกชาย
โพสต์ที่ 47
กระทู้นี้น่าจะปักหมุดนะครับ เยี่ยมจริงๆ ครับ ไม่น่ามาแอบอยู่ในห้องมือใหม่หัดลงทุนนะครับ น่าจะไปอยู่ในห้องเซียนลงทุนมากกว่า ขอคารวะครับ
รออ่านภาคต่อของ "กองทุนไซม์คาร์บี้ และการเทขายหุ้นอามิโก้ไฮเทค(มหาชน) หรือ AH ออกมารวดเดียว 8,451,026 หุ้นที่ราคาเกิน 40 บาท" อยู่นะครับ
รออ่านภาคต่อของ "กองทุนไซม์คาร์บี้ และการเทขายหุ้นอามิโก้ไฮเทค(มหาชน) หรือ AH ออกมารวดเดียว 8,451,026 หุ้นที่ราคาเกิน 40 บาท" อยู่นะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 35
- ผู้ติดตาม: 0
มาแล้วครับ
โพสต์ที่ 48
ผมต้องขอโทษทุกท่านอย่างมากมายเลยจริงๆ
ไม่นึกว่าการซ่อมตึกแค่ 1 ห้องจะใช้เวลาถึง 4 เดือน กับอีก 1 อาทิตย์ ช่างไฟฟ้าก็งานเหมา ช่างทาสีก็งานเหมา ทำไมถึงใช้เวลาขนาดนี้ แถมผมต้องวิ่งซื้อของให้ตลอด เพราะกลัวเจอของปลอม เวลาอีกส่วนหนึ่งของผมก็จะหมดไปกับการเจรจาต่อรองกับเซลล์ สินค้าใหม่ที่ออกสู่ตลาดเป็นครั้งแรก ต้องตัดสินใจได้ถูกต้อง ถ้าแน่ใจว่าขายดี ต้องสั่งเพราะถ้าของหมดจะหาซื้อจากที่ไหนไม่ได้อีก โดยเฉพาะเที่ยวแรกราคาจะถูกพิเศษ แต่ถ้ามองแล้ว คิดว่าไม่น่าจะดี ต้องสั่งให้น้อยเข้าไว้ การสั่งของเป็นความเป็นความตายของร้านค้า ถ้าผิดพลาดบ่อยสภาพคล่องของร้านค้าก็จะไม่เหลือ เหลือแต่ของที่ขายไม่ออกอยู่เต็มร้านไปหมด แต่ถ้าพลาดก็ต้องหาทางเจรจาให้บริษัทจัดส่งสินค้าหรือของชำร่วยมาเพื่อดันสินค้าเหล่านั้นออกไป เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องใส่ใจ จะละเลยไม่ได้เป็นอันขาด ในภาวะที่อะไรๆ ต่างก็รุมรัดตัวผม
ผมเองก็พยายามที่จะเข้ามาโพสเล่าเรื่องหุ้น AH ให้จบ แต่ก็ไปไม่รอดเนื้อความกระท่อนกระแท่นจนต้องลบทิ้งไปหลายหน เล่นเอาเจ้าลูกชายคนเล็กที่เป็นคนพิมพ์ให้ ชักจะเซ็งเต็มที เป็นความด้อยของผมที่แก้ไม่หาย ถ้าทำอะไรพร้อมๆกันหลายอย่าง เอาดีไม่ค่อยได้เป็นอย่างนี้ตลอด เอาละครับเรื่องซ่อมบ้านก็จบไปแล้วธุรกิจตัวต่อไป พักไว้ก่อนซัก 2-3 อาทิตย์
มาคุยกันเรื่องหุ้น AH กันแบบม้วนเดียวให้จบไปเลยดีกว่า ผมเริ่มเข้าศึกษาหุ้นตัวนี้ตอนปลายปี 46 คือหลังจากที่หุ้นได้มีการแตกพาร์ใหม่ จากเดิม 5 บาท เหลือพาร์ 1 บาท ราคาหุ้นยืนอยู่ที่ 25 บาท เท่ากับตอนที่ IPO ออกสู่ตลาดครั้งแรก แสดงว่าหุ้นตัวนี้ ให้ผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นไปแล้วถึง 4 เท่าตัว และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ
ในสายตาของบรรดานักวิเคราะห์หลักทรัพย์จากหลายสำนัก ต่างยังคงเห็นพ้องต้องกันว่า ราคาหุ้น AH ในขณะนั้น ยังคงต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง ยังให้ราคาเป้าหมายไว้สูงลิ่ว
แต่สิ่งที่ดึงดูดให้ผมสนใจหุ้นตัวนี้ ไม่ใช่สิ่งที่กล่าวมาแล้วในเบื้องต้น แต่เป็นชื่อของผู้ถือหุ้นรายใหญ่อันดับที่หนึ่ง ไซม์คาร์นี้ กองทุนสัญชาติมาเลเซีย ที่เคยตกเป็นข่าวเกรียวกราวกรณีร่วมมือกับพันธมิตร แบบซุ่มเงียบเก็บหุ้นของ มรกตอินดัสตรี้ ที่มีมาร์เก็ตแชร์ อันดับ 1 อยู่ในตลาด เรียกว่าว่าเจ้าของบริษัท มรกต จะทันได้รู้เนื้อรู้ตัว ธุรกิจที่ทุ่มเทปลุกปั้นมาทั้งชีวิต ก็หลุดมือไปเป็นของคนอื่นเสียแล้ว (น้ำมันพืชมรกต ต้องนับว่าเป็นสุดยอดหุ้นตัวหนึ่งในตลาด)
เพราะธรรมชาติของสินค้าในบ้านเราซึ่งไม่ทราบว่าจะเป็นแบบนี้ เหมือนกันทั่วโลกหรือเปล่า คือสินค้าอันดับที่ 1 กับที่ 2 มักจะมียอดขายที่ห่างกันแบบสุดกู่ ทั้งๆที่ในความเป็นจริง สินค้าหลายชนิด ไม่มีความแตกต่างกันเลย ทั้งเรื่องคุณภาพและตัวสินค้า เช่น น้ำตาลทราย น้ำส้มสายชู น้ำปลา น้ำมันปาล์ม ซึ่งคงจะต้องใช้ศาสตร์หลายศาสตร์มากในการอธิบายเรื่องนี้ให้เข้าใจ
และถ้านึกสนุกลองเปลี่ยนขวดเปลี่ยนซอง เปลี่ยนถุงบรรจุ เอายี่ห้อที่ไม่ติดตลาดเลยมาใส่ลงในภาชนะบรรจุที่เป็นอันดับหนึ่ง แล้วคุณจะซาบซึ้งถึงคำว่า แบรนด์
ส่วนธุรกิจเบียร์ และน้ำอัดลมที่มียอดขายระหว่างที่หนึ่ง กับที่สอง ที่ไม่ห่างกันมาก อันนี้เป็นเรื่องที่ผิดปรกติ ซึ่งสินค้าทั้งสองอย่างนี้ เมื่อวางขายอยู่ตามร้านค้า ก็จะมียอดขายที่ทิ้งห่างกันมากตามปรกติอย่างที่ว่า แต่การที่สินค้าอันดับที่สองยังคงสามารถรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดให้ดู คู่คี่ สูสี กับอันดับที่หนึ่งได้ก็ด้วยการใช้วิธี โมโนโปลี คือใช้วิธีผูกขาด กับร้านอาหาร ตามคลับ ตามบาร์ คอนวีเนี่ยนสโตว์ ด้วยข้อเสนอที่เจ้าของสถานที่เห็นว่าคุ้มค่า เช่นเดือนหนึ่งๆ จะได้รับสินค้าฟรีเป็นจำนวนเท่าไร ซึ่งเป็นวิธีที่ได้ผล แต่ก็เข้าเนื้อเป็นกลยุทธ์ ตัดอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต(เพราะว่าเงินเป็นอวัยวะสำคัญของธุรกิจ) น้ำอัดลมคงใช้วิธีนี้ต่อไปอีกเป็น 100 ปี
แต่เบียร์คงจะทำได้อีกไม่นาน เพราะว่าสถานบันเทิงไหนที่ไม่ขายสินค้า ที่มีความนิยมอย่างกว้างขวาง ความเสียหายที่จะเกิดขึ้นนั้น ของฟรีเท่าไรก็คงไม่คุ้ม
ความน่าทึ่งของหุ้น AH นั้นอยู่ที่ไม่ว่าราคาหุ้นนั้นจะปรับขึ้นมา 5 เท่าตัว 6 เท่าตัว 7 เท่าตัว และทำท่าว่าจะได้ 8 เท่าตัวแล้ว แต่นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ทั้งหลายต่างก็ยังคง ลงความเห็นว่าราคาหุ้นในขณะนั้นยังต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงอยู่ดี
ราคาเป้าหมายต่อไปที่นักวิเคราะห์ให้ไว้ มีตั้งแต่ 49 จนถึง 53 บาท ซึ่งดูท่าว่าไม่น่าจะไปไกลเกินเอื้อม แต่...ไซม์คาร์นี้ คงจะไม่ค่อยเชื่อน้ำมนต์นักวิเคราะห์ ชาวไทยสักเท่าไร จึงได้เทขายออกมาเสียจนเกลี้ยงพอร์ท ถ้าเป็นการมองดูแบบไม่ต้องการศึกษาให้ลึกซึ้งอะไรมาก ไซม์คาร์นี้ ก็คือนักลงทุนประเภท วงในคือ
1.เพื่อการเข้าถึงข้อมูล
2. เพื่อควบคุมจังหวะการซื้อขาย
แบบนักลงทุนขาใหญ่ทั่วๆไป แต่ถ้ามองให้ลึกซึ้งกว่านั้นคือ นักลงทุนชั้นยอด ในแบบฉบับของโรเบิร์ต คิโยซากิ เริ่มตั้งแต่ การเข้าซื้อหุ้นนอกตลาด จากนาย แย็บ ซู ชวน จำนวน 1 ใน 4 (25% 3,520,000หุ้น) แล้วนำบริษัทเข้าจดทะเบียนเพิ่มทุนในตลาดหลักทรัพย์ ซื้อหุ้นเพิ่มทุน ตามสิทธิของผู้ถือหุ้น ในราคาที่เฉลี่ยแล้วน่าจะใกล้เคียงกับราคาพาร์ จากนั้นก็นำหุ้นที่เหลือขายให้กับประชาชนทั่วไป แล้วก็รออย่างในเย็น จนกระทั่งราคาขึ้นจนถึงจุดสูงสุด จึงค่อยขายหุ้นทั้งหมดออกมา สร้างผลกำไรงดงามราวๆ 30-40 เท่าตัว เห็นฝีไม้ลายมือของนักลงทุนระดับนี้แล้วพูดได้คำเดียวว่า หนาว
ไม่นึกว่าการซ่อมตึกแค่ 1 ห้องจะใช้เวลาถึง 4 เดือน กับอีก 1 อาทิตย์ ช่างไฟฟ้าก็งานเหมา ช่างทาสีก็งานเหมา ทำไมถึงใช้เวลาขนาดนี้ แถมผมต้องวิ่งซื้อของให้ตลอด เพราะกลัวเจอของปลอม เวลาอีกส่วนหนึ่งของผมก็จะหมดไปกับการเจรจาต่อรองกับเซลล์ สินค้าใหม่ที่ออกสู่ตลาดเป็นครั้งแรก ต้องตัดสินใจได้ถูกต้อง ถ้าแน่ใจว่าขายดี ต้องสั่งเพราะถ้าของหมดจะหาซื้อจากที่ไหนไม่ได้อีก โดยเฉพาะเที่ยวแรกราคาจะถูกพิเศษ แต่ถ้ามองแล้ว คิดว่าไม่น่าจะดี ต้องสั่งให้น้อยเข้าไว้ การสั่งของเป็นความเป็นความตายของร้านค้า ถ้าผิดพลาดบ่อยสภาพคล่องของร้านค้าก็จะไม่เหลือ เหลือแต่ของที่ขายไม่ออกอยู่เต็มร้านไปหมด แต่ถ้าพลาดก็ต้องหาทางเจรจาให้บริษัทจัดส่งสินค้าหรือของชำร่วยมาเพื่อดันสินค้าเหล่านั้นออกไป เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องใส่ใจ จะละเลยไม่ได้เป็นอันขาด ในภาวะที่อะไรๆ ต่างก็รุมรัดตัวผม
ผมเองก็พยายามที่จะเข้ามาโพสเล่าเรื่องหุ้น AH ให้จบ แต่ก็ไปไม่รอดเนื้อความกระท่อนกระแท่นจนต้องลบทิ้งไปหลายหน เล่นเอาเจ้าลูกชายคนเล็กที่เป็นคนพิมพ์ให้ ชักจะเซ็งเต็มที เป็นความด้อยของผมที่แก้ไม่หาย ถ้าทำอะไรพร้อมๆกันหลายอย่าง เอาดีไม่ค่อยได้เป็นอย่างนี้ตลอด เอาละครับเรื่องซ่อมบ้านก็จบไปแล้วธุรกิจตัวต่อไป พักไว้ก่อนซัก 2-3 อาทิตย์
มาคุยกันเรื่องหุ้น AH กันแบบม้วนเดียวให้จบไปเลยดีกว่า ผมเริ่มเข้าศึกษาหุ้นตัวนี้ตอนปลายปี 46 คือหลังจากที่หุ้นได้มีการแตกพาร์ใหม่ จากเดิม 5 บาท เหลือพาร์ 1 บาท ราคาหุ้นยืนอยู่ที่ 25 บาท เท่ากับตอนที่ IPO ออกสู่ตลาดครั้งแรก แสดงว่าหุ้นตัวนี้ ให้ผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นไปแล้วถึง 4 เท่าตัว และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ
ในสายตาของบรรดานักวิเคราะห์หลักทรัพย์จากหลายสำนัก ต่างยังคงเห็นพ้องต้องกันว่า ราคาหุ้น AH ในขณะนั้น ยังคงต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง ยังให้ราคาเป้าหมายไว้สูงลิ่ว
แต่สิ่งที่ดึงดูดให้ผมสนใจหุ้นตัวนี้ ไม่ใช่สิ่งที่กล่าวมาแล้วในเบื้องต้น แต่เป็นชื่อของผู้ถือหุ้นรายใหญ่อันดับที่หนึ่ง ไซม์คาร์นี้ กองทุนสัญชาติมาเลเซีย ที่เคยตกเป็นข่าวเกรียวกราวกรณีร่วมมือกับพันธมิตร แบบซุ่มเงียบเก็บหุ้นของ มรกตอินดัสตรี้ ที่มีมาร์เก็ตแชร์ อันดับ 1 อยู่ในตลาด เรียกว่าว่าเจ้าของบริษัท มรกต จะทันได้รู้เนื้อรู้ตัว ธุรกิจที่ทุ่มเทปลุกปั้นมาทั้งชีวิต ก็หลุดมือไปเป็นของคนอื่นเสียแล้ว (น้ำมันพืชมรกต ต้องนับว่าเป็นสุดยอดหุ้นตัวหนึ่งในตลาด)
เพราะธรรมชาติของสินค้าในบ้านเราซึ่งไม่ทราบว่าจะเป็นแบบนี้ เหมือนกันทั่วโลกหรือเปล่า คือสินค้าอันดับที่ 1 กับที่ 2 มักจะมียอดขายที่ห่างกันแบบสุดกู่ ทั้งๆที่ในความเป็นจริง สินค้าหลายชนิด ไม่มีความแตกต่างกันเลย ทั้งเรื่องคุณภาพและตัวสินค้า เช่น น้ำตาลทราย น้ำส้มสายชู น้ำปลา น้ำมันปาล์ม ซึ่งคงจะต้องใช้ศาสตร์หลายศาสตร์มากในการอธิบายเรื่องนี้ให้เข้าใจ
และถ้านึกสนุกลองเปลี่ยนขวดเปลี่ยนซอง เปลี่ยนถุงบรรจุ เอายี่ห้อที่ไม่ติดตลาดเลยมาใส่ลงในภาชนะบรรจุที่เป็นอันดับหนึ่ง แล้วคุณจะซาบซึ้งถึงคำว่า แบรนด์
ส่วนธุรกิจเบียร์ และน้ำอัดลมที่มียอดขายระหว่างที่หนึ่ง กับที่สอง ที่ไม่ห่างกันมาก อันนี้เป็นเรื่องที่ผิดปรกติ ซึ่งสินค้าทั้งสองอย่างนี้ เมื่อวางขายอยู่ตามร้านค้า ก็จะมียอดขายที่ทิ้งห่างกันมากตามปรกติอย่างที่ว่า แต่การที่สินค้าอันดับที่สองยังคงสามารถรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดให้ดู คู่คี่ สูสี กับอันดับที่หนึ่งได้ก็ด้วยการใช้วิธี โมโนโปลี คือใช้วิธีผูกขาด กับร้านอาหาร ตามคลับ ตามบาร์ คอนวีเนี่ยนสโตว์ ด้วยข้อเสนอที่เจ้าของสถานที่เห็นว่าคุ้มค่า เช่นเดือนหนึ่งๆ จะได้รับสินค้าฟรีเป็นจำนวนเท่าไร ซึ่งเป็นวิธีที่ได้ผล แต่ก็เข้าเนื้อเป็นกลยุทธ์ ตัดอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต(เพราะว่าเงินเป็นอวัยวะสำคัญของธุรกิจ) น้ำอัดลมคงใช้วิธีนี้ต่อไปอีกเป็น 100 ปี
แต่เบียร์คงจะทำได้อีกไม่นาน เพราะว่าสถานบันเทิงไหนที่ไม่ขายสินค้า ที่มีความนิยมอย่างกว้างขวาง ความเสียหายที่จะเกิดขึ้นนั้น ของฟรีเท่าไรก็คงไม่คุ้ม
ความน่าทึ่งของหุ้น AH นั้นอยู่ที่ไม่ว่าราคาหุ้นนั้นจะปรับขึ้นมา 5 เท่าตัว 6 เท่าตัว 7 เท่าตัว และทำท่าว่าจะได้ 8 เท่าตัวแล้ว แต่นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ทั้งหลายต่างก็ยังคง ลงความเห็นว่าราคาหุ้นในขณะนั้นยังต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงอยู่ดี
ราคาเป้าหมายต่อไปที่นักวิเคราะห์ให้ไว้ มีตั้งแต่ 49 จนถึง 53 บาท ซึ่งดูท่าว่าไม่น่าจะไปไกลเกินเอื้อม แต่...ไซม์คาร์นี้ คงจะไม่ค่อยเชื่อน้ำมนต์นักวิเคราะห์ ชาวไทยสักเท่าไร จึงได้เทขายออกมาเสียจนเกลี้ยงพอร์ท ถ้าเป็นการมองดูแบบไม่ต้องการศึกษาให้ลึกซึ้งอะไรมาก ไซม์คาร์นี้ ก็คือนักลงทุนประเภท วงในคือ
1.เพื่อการเข้าถึงข้อมูล
2. เพื่อควบคุมจังหวะการซื้อขาย
แบบนักลงทุนขาใหญ่ทั่วๆไป แต่ถ้ามองให้ลึกซึ้งกว่านั้นคือ นักลงทุนชั้นยอด ในแบบฉบับของโรเบิร์ต คิโยซากิ เริ่มตั้งแต่ การเข้าซื้อหุ้นนอกตลาด จากนาย แย็บ ซู ชวน จำนวน 1 ใน 4 (25% 3,520,000หุ้น) แล้วนำบริษัทเข้าจดทะเบียนเพิ่มทุนในตลาดหลักทรัพย์ ซื้อหุ้นเพิ่มทุน ตามสิทธิของผู้ถือหุ้น ในราคาที่เฉลี่ยแล้วน่าจะใกล้เคียงกับราคาพาร์ จากนั้นก็นำหุ้นที่เหลือขายให้กับประชาชนทั่วไป แล้วก็รออย่างในเย็น จนกระทั่งราคาขึ้นจนถึงจุดสูงสุด จึงค่อยขายหุ้นทั้งหมดออกมา สร้างผลกำไรงดงามราวๆ 30-40 เท่าตัว เห็นฝีไม้ลายมือของนักลงทุนระดับนี้แล้วพูดได้คำเดียวว่า หนาว
ตั้งคำถามกับตัวเองว่า "แน่ใจแค่ไหน" บอกได้เลยว่าเก้าในสิบครั้ง คุณไม่รู้คำตอบ แต่ถ้าจะมีสักครั้งที่คุณแน่ใจขนาด "แน่เสียยิ่งกว่าแน่" ละก็ ทุ่มเทเข้าไปเลย คุณชนะแน่.
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 100
- ผู้ติดตาม: 0
คุณมนตรี คับผมกับ ลูกชาย
โพสต์ที่ 50
Deal ที่ภูมิใจที่สุด
ถ้าถามว่า ทำไมการที่บริษัทอาปิโก ไฮเทค ได้เข้าไปซื้อหุ้นทั้งหมดในบริษัทแพริช สตรัคเชอรัล โปรดัคส์ (ประเทศไทย) : PSPT จากบริษัทดาน่า คอร์ปอเรชั่น สหรัฐอเมริกา จึงเป็น deal ที่ เย็บ ซู ชวน ประธานกรรมการบริหารอาปิโกภูมิใจมากที่สุด
คำตอบจะมีอยู่ 2 ประการ
ประการแรก deal นี้ อาปิโกเป็นฝ่ายถูกเลือก เพราะผู้มีอำนาจในการพิจารณาว่าจะให้ใครเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่รายใหม่ใน PSTP ไม่ใช่แค่ดาน่า ผู้ถือ หุ้นเดิมเพียงฝ่ายเดียว แต่น้ำหนักของการตัดสินใจอยู่ที่บริษัทอีซูซุ มอเตอร์ ประเทศญี่ปุ่น เนื่องจาก PSTP เป็นผู้ผลิตโครงรถกระบะอีซูซุ ดีแมกซ์ เพียงรายเดียวในประเทศไทย ที่ผลิตป้อนให้โรงงานของอีซูซุ (ประเทศไทย) และโรงงานของบริษัทเจเนอ รัล มอเตอร์
ข่าวที่ดาน่าจะถอนตัวจาก PSPT ได้ ปรากฏออกมาตั้งแต่ต้นปี 2546 มีผู้ผลิตชิ้นส่วนในประเทศหลายรายเสนอตัวขอซื้อหุ้นต่อ เพราะโรงงานนี้มีตลาดที่แน่นอน อยู่แล้วคือ อีซูซุ ซึ่งเป็นเจ้าตลาดรถกระบะ ในไทย และยังมีแผนว่าจะใช้ไทยเป็นฐานในการส่งออก
อาปิโกก็เป็น 1 ในผู้เสนอขอซื้อหุ้น โรงงานแห่งนี้
ที่สำคัญแม้อาปิโกจะก่อตั้งมาแล้วเป็นเวลาหลายปี แต่ไม่เคยทำธุรกิจร่วมกับอีซูซุ มาก่อน สัญญาแรกที่อาปิโกได้ รับจากอีซูซุในการเป็นผู้ผลิต ชิ้นส่วนให้ เพิ่งเซ็นไปเมื่อเดือน มกราคม 2543 และเพิ่งมีการส่งมอบสินค้า ล็อตแรกไปเมื่อเดือนพฤษภาคม 2545 ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องของสายสัมพันธ์ที่ เป็นเหตุผลให้อีซูซุเลือกอาปิโก
เย็บเชื่อว่า มีเหตุผลมา จากคุณภาพของผลงานของอาปิโกล้วนๆ
"ก่อนที่อีซูซุจะตัดสินใจ เขาได้ส่งตัวแทนมาเยี่ยมชมโรงงาน ดูกระบวนการผลิตทั้งหมดของเราก่อน จึงค่อยประกาศออกมาว่าเราเป็นผู้ที่เขาเลือก"
เหตุผลอีกประการหนึ่ง ก็คือผู้ถือหุ้นเดิมของ PSPT คือดาน่า ซึ่งเป็นบริษัทของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเย็บเคยมีประสบการณ์ที่ฝังใจเขาอยู่นานมากในการทำธุรกิจกับชาวอเมริกัน
เย็บเข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย ตั้งแต่เมื่อปี 2528 โดยตั้งบริษัทนิวเอร่าเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ฟอร์ดในประเทศไทย แต่การเป็นตัวแทนจำหน่ายของฟอร์ดในช่วงนั้น เขากลับไม่ได้รับความช่วยเหลืออะไรจากฟอร์ดในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นบริษัทแม่
"ช่วงนั้นสงครามในเวียดนามเพิ่งยุติได้ไม่กี่ปี พวกอเมริกันเขายังกลัวอยู่ จึงไม่สนใจประเทศไทยเลย พอเราเอาฟอร์ดเข้ามาขาย เขาก็ไม่สนใจจะช่วย เราก็ต้อง ทนทำตลาดด้วยตัวเองอยู่หลายปีเขาระลึก ถึงความหลัง
นอกจากนั้นครั้งหนึ่งเขาเคยมีกิจการที่ร่วมทุนกับชาวอเมริกัน ชื่อบริษัทอาร์วิน เป็นโรงงานผลิตท่อไอเสียส่งให้โรงงานออโต อัลไลน์แอนซ์ ที่ฟอร์ดเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ แต่เขาต้องขายบริษัทนี้ไปช่วงที่เกิดวิกฤติค่าเงินบาท
ดังนั้นเมื่อเขามีโอกาสซื้อกิจการจากบริษัทอเมริกันอีกครั้ง เขาจึงมีแรงจูงใจมากเป็นพิเศษ
"ผมมองว่าถ้าบริษัทไทยสามารถซื้อบริษัทอเมริกันได้ ก็ถือเป็นกำลังใจ เป็น reverse globalization แสดงให้เห็นถึงความพยายามของคนไทยที่ใจสู้"
from : http://www.gotomanager.com/news/details.aspx?id=7800
ถ้าถามว่า ทำไมการที่บริษัทอาปิโก ไฮเทค ได้เข้าไปซื้อหุ้นทั้งหมดในบริษัทแพริช สตรัคเชอรัล โปรดัคส์ (ประเทศไทย) : PSPT จากบริษัทดาน่า คอร์ปอเรชั่น สหรัฐอเมริกา จึงเป็น deal ที่ เย็บ ซู ชวน ประธานกรรมการบริหารอาปิโกภูมิใจมากที่สุด
คำตอบจะมีอยู่ 2 ประการ
ประการแรก deal นี้ อาปิโกเป็นฝ่ายถูกเลือก เพราะผู้มีอำนาจในการพิจารณาว่าจะให้ใครเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่รายใหม่ใน PSTP ไม่ใช่แค่ดาน่า ผู้ถือ หุ้นเดิมเพียงฝ่ายเดียว แต่น้ำหนักของการตัดสินใจอยู่ที่บริษัทอีซูซุ มอเตอร์ ประเทศญี่ปุ่น เนื่องจาก PSTP เป็นผู้ผลิตโครงรถกระบะอีซูซุ ดีแมกซ์ เพียงรายเดียวในประเทศไทย ที่ผลิตป้อนให้โรงงานของอีซูซุ (ประเทศไทย) และโรงงานของบริษัทเจเนอ รัล มอเตอร์
ข่าวที่ดาน่าจะถอนตัวจาก PSPT ได้ ปรากฏออกมาตั้งแต่ต้นปี 2546 มีผู้ผลิตชิ้นส่วนในประเทศหลายรายเสนอตัวขอซื้อหุ้นต่อ เพราะโรงงานนี้มีตลาดที่แน่นอน อยู่แล้วคือ อีซูซุ ซึ่งเป็นเจ้าตลาดรถกระบะ ในไทย และยังมีแผนว่าจะใช้ไทยเป็นฐานในการส่งออก
อาปิโกก็เป็น 1 ในผู้เสนอขอซื้อหุ้น โรงงานแห่งนี้
ที่สำคัญแม้อาปิโกจะก่อตั้งมาแล้วเป็นเวลาหลายปี แต่ไม่เคยทำธุรกิจร่วมกับอีซูซุ มาก่อน สัญญาแรกที่อาปิโกได้ รับจากอีซูซุในการเป็นผู้ผลิต ชิ้นส่วนให้ เพิ่งเซ็นไปเมื่อเดือน มกราคม 2543 และเพิ่งมีการส่งมอบสินค้า ล็อตแรกไปเมื่อเดือนพฤษภาคม 2545 ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องของสายสัมพันธ์ที่ เป็นเหตุผลให้อีซูซุเลือกอาปิโก
เย็บเชื่อว่า มีเหตุผลมา จากคุณภาพของผลงานของอาปิโกล้วนๆ
"ก่อนที่อีซูซุจะตัดสินใจ เขาได้ส่งตัวแทนมาเยี่ยมชมโรงงาน ดูกระบวนการผลิตทั้งหมดของเราก่อน จึงค่อยประกาศออกมาว่าเราเป็นผู้ที่เขาเลือก"
เหตุผลอีกประการหนึ่ง ก็คือผู้ถือหุ้นเดิมของ PSPT คือดาน่า ซึ่งเป็นบริษัทของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเย็บเคยมีประสบการณ์ที่ฝังใจเขาอยู่นานมากในการทำธุรกิจกับชาวอเมริกัน
เย็บเข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย ตั้งแต่เมื่อปี 2528 โดยตั้งบริษัทนิวเอร่าเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ฟอร์ดในประเทศไทย แต่การเป็นตัวแทนจำหน่ายของฟอร์ดในช่วงนั้น เขากลับไม่ได้รับความช่วยเหลืออะไรจากฟอร์ดในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นบริษัทแม่
"ช่วงนั้นสงครามในเวียดนามเพิ่งยุติได้ไม่กี่ปี พวกอเมริกันเขายังกลัวอยู่ จึงไม่สนใจประเทศไทยเลย พอเราเอาฟอร์ดเข้ามาขาย เขาก็ไม่สนใจจะช่วย เราก็ต้อง ทนทำตลาดด้วยตัวเองอยู่หลายปีเขาระลึก ถึงความหลัง
นอกจากนั้นครั้งหนึ่งเขาเคยมีกิจการที่ร่วมทุนกับชาวอเมริกัน ชื่อบริษัทอาร์วิน เป็นโรงงานผลิตท่อไอเสียส่งให้โรงงานออโต อัลไลน์แอนซ์ ที่ฟอร์ดเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ แต่เขาต้องขายบริษัทนี้ไปช่วงที่เกิดวิกฤติค่าเงินบาท
ดังนั้นเมื่อเขามีโอกาสซื้อกิจการจากบริษัทอเมริกันอีกครั้ง เขาจึงมีแรงจูงใจมากเป็นพิเศษ
"ผมมองว่าถ้าบริษัทไทยสามารถซื้อบริษัทอเมริกันได้ ก็ถือเป็นกำลังใจ เป็น reverse globalization แสดงให้เห็นถึงความพยายามของคนไทยที่ใจสู้"
from : http://www.gotomanager.com/news/details.aspx?id=7800
- MO101
- Verified User
- โพสต์: 3226
- ผู้ติดตาม: 1
คุณมนตรี คับผมกับ ลูกชาย
โพสต์ที่ 52
เพิ่งจะมาเห็นโครตเซียน หุหุ
ที่คอนโดผมจ้าง ผู้รับเหมาเอาฝีมือดีๆ จ่ายเงินตรงตามกำหนด เรื่องก็เรียบร้อย จ่ายแพงแต่เราไม่เหนือยนะ
เท่าที่ดูมารู้สึกว่าคุณจะเป็นพวกชอบทำเองนะครับไม่นึกว่าการซ่อมตึกแค่ 1 ห้องจะใช้เวลาถึง 4 เดือน กับอีก 1 อาทิตย์ ช่างไฟฟ้าก็งานเหมา ช่างทาสีก็งานเหมา ทำไมถึงใช้เวลาขนาดนี้
ที่คอนโดผมจ้าง ผู้รับเหมาเอาฝีมือดีๆ จ่ายเงินตรงตามกำหนด เรื่องก็เรียบร้อย จ่ายแพงแต่เราไม่เหนือยนะ
- Raphin Phraiwal
- Verified User
- โพสต์: 1342
- ผู้ติดตาม: 0
คุณมนตรี คับผมกับ ลูกชาย
โพสต์ที่ 54
เพิ่งจะตั้งใจอ่านก็วันนี้เอง
ขอบคุณคุณอา monty ครับ และท่านอื่นๆด้วยครับ
มารออ่านต่อครับคุณอา
ขอบคุณคุณอา monty ครับ และท่านอื่นๆด้วยครับ
มารออ่านต่อครับคุณอา
รักในหลวงครับ
- น้ำครึ่งแก้ว
- Verified User
- โพสต์: 1098
- ผู้ติดตาม: 0
คุณมนตรี คับผมกับ ลูกชาย
โพสต์ที่ 55
สนุกดีครับ ขอบคุณครับ
" ชีวิตไม่เคยขาดความหวาน "