ผลตอบแทนเท่าไรถือว่าสอบผ่านสำหรับมือใหม่
- mahayosanan
- Verified User
- โพสต์: 27
- ผู้ติดตาม: 0
ผลตอบแทนเท่าไรถือว่าสอบผ่านสำหรับมือใหม่
โพสต์ที่ 1
ผลตอบแทนตลาดหุ้น ควรเป็นเท่าไร ถือว่าสอบผ่าน
และถือหุ้นนานเท่าไร อย่างน้อย 5 ปี ตามสถิติ
ควรถือ PR TF TUF SSC WACOAL
และถือหุ้นนานเท่าไร อย่างน้อย 5 ปี ตามสถิติ
ควรถือ PR TF TUF SSC WACOAL
สนใจหุ้นแบบเน้นคุณค่ามากที่สุด
-
- Verified User
- โพสต์: 777
- ผู้ติดตาม: 0
ผลตอบแทนลงทุน
โพสต์ที่ 5
ปกติดอกเบี้ยเงินกู้ทั่วไปและบัตรเครดิต
ตกราว 15%-18% ต่อปี ถ้าท่านนักลงทุน
ทำผลตอบแทนได้ใกล้เคียงก็ถือว่า เยี่ยมมาก
แล้วครับ!!! :lol:
ท่านสร้างผลตอบแทนแบบง่ายๆ ไม่เหนื่อยมาก
แต่ได้ผลตอบแทนเฉลี่ยใกล้เคียงกัน
ตกราว 15%-18% ต่อปี ถ้าท่านนักลงทุน
ทำผลตอบแทนได้ใกล้เคียงก็ถือว่า เยี่ยมมาก
แล้วครับ!!! :lol:
ท่านสร้างผลตอบแทนแบบง่ายๆ ไม่เหนื่อยมาก
แต่ได้ผลตอบแทนเฉลี่ยใกล้เคียงกัน
#===========#===========#
:=)
#===========#===========#
-
- Verified User
- โพสต์: 2496
- ผู้ติดตาม: 0
ผลตอบแทนเท่าไรถือว่าสอบผ่านสำหรับมือใหม่
โพสต์ที่ 6
เอาว่ามือใหม่เอี่ยมถอดด้ามจริงๆเลยนะคะ
สำหรับดิฉันนะ
คิดว่า
ไม่ขาดทุน ถือว่า สอบผ่านสำหรับมือใหม่
และ ได้กำไรชนะเงินเฟ้อในปีนั้นๆได้ ถือว่าพร้อมเลื่อนชั้นเป็นมือไม่ใหม่
(แบบ จากเตรียมอนุบาล ขึ้นอนุบาล :lol: )
หลังจากชนะเงินเฟ้อได้แล้ว ต่อจากนั้น จะทำได้ 10 20 50 100%
อันนี้ ไม่ถือว่าใหม่แล้ว ถือว่าพอจะสามารถโลดแล่นในบ่อนได้แล้ว :lol:
ต่อจากไม่ถือว่าใหม่นั้น อันนี้สำคัญกว่า คือ จะกี่% ก็แล้วแต่เถอะ
แต่ในระยะยาวแล้ว ค่าเฉลี่ยทำได้สม่ำเสมอแค่ไหน
ทำได้ กะ ทำเป็น ดูสั้นๆยังฟันธงตัวเองลำบาก :oops: :oops:
ประเด็นนี้ ใช้เวลาพิสูจน์กันนานๆ 5-10 ปีนู่นน่ะ ถึงจะรู้ได้
สำหรับดิฉันนะ
คิดว่า
ไม่ขาดทุน ถือว่า สอบผ่านสำหรับมือใหม่
และ ได้กำไรชนะเงินเฟ้อในปีนั้นๆได้ ถือว่าพร้อมเลื่อนชั้นเป็นมือไม่ใหม่
(แบบ จากเตรียมอนุบาล ขึ้นอนุบาล :lol: )
หลังจากชนะเงินเฟ้อได้แล้ว ต่อจากนั้น จะทำได้ 10 20 50 100%
อันนี้ ไม่ถือว่าใหม่แล้ว ถือว่าพอจะสามารถโลดแล่นในบ่อนได้แล้ว :lol:
ต่อจากไม่ถือว่าใหม่นั้น อันนี้สำคัญกว่า คือ จะกี่% ก็แล้วแต่เถอะ
แต่ในระยะยาวแล้ว ค่าเฉลี่ยทำได้สม่ำเสมอแค่ไหน
ทำได้ กะ ทำเป็น ดูสั้นๆยังฟันธงตัวเองลำบาก :oops: :oops:
ประเด็นนี้ ใช้เวลาพิสูจน์กันนานๆ 5-10 ปีนู่นน่ะ ถึงจะรู้ได้
-
- Verified User
- โพสต์: 101
- ผู้ติดตาม: 0
ผลตอบแทนเท่าไรถือว่าสอบผ่านสำหรับมือใหม่
โพสต์ที่ 7
ตลาดมีช่วงที่เป็นตลาดกระทิง และก็มีช่วงที่เป็นตลาดหมีครับ ในระยะสั้นอย่าตั้งเกณฑ์เป็นเลขตายตัวเลยครับ ดูผลตอบแทนของพวกกองทุนรวมก็ได้ครับ เลือกที่นโยบายคล้ายพอร์ตของเราครับ และก็เลือกกองทุนที่มี ranking กลางๆ ถ้าชนะได้ก็ถือว่าการเลือกหุ้นของเราชนะกองทุนส่วนใหญ่ผมก็ถือว่าใช้ได้แล้วครับสำหรับมือใหม่ (แต่อย่าเชื่อผมมากครับผมก็มือใหม่เหมือนกัน) สำหรับผมเน้นพอใจในผลกำไรที่ได้ครับ ไม่ใช้เกณฑ์ตายตัวแต่เน้นที่จะต้องมีพัฒนาการที่ดีขึ้นเรื่อยๆ
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 1
ผลตอบแทนเท่าไรถือว่าสอบผ่านสำหรับมือใหม่
โพสต์ที่ 9
จากประสบการณ์ผม
ปีแรกที่เล่นหุ้นนั้น ขาดทุนไปเกือบ 40 % ดังนั้นมุมมองผมจึงคิดว่าถ้ามือใหม่ขาดทุนไม่ถึง 20 % ก็ถือว่าผ่านแล้ว
ปีแรกที่เล่นหุ้นนั้น ขาดทุนไปเกือบ 40 % ดังนั้นมุมมองผมจึงคิดว่าถ้ามือใหม่ขาดทุนไม่ถึง 20 % ก็ถือว่าผ่านแล้ว
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1139
- ผู้ติดตาม: 0
ผลตอบแทนเท่าไรถือว่าสอบผ่านสำหรับมือใหม่
โพสต์ที่ 10
ตามความคิดของผม การลงทุนเหมือนการวิ่งมาราธอน ไม่ใช่การวิ่งร้อยเมตร ผลตอบแทนในช่วงไม่กี่ปีให้ข้อสรุปอะไรไม่ได้เลย สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือ การประเมินตัวเองอย่างตรงไปตรงมาว่ามีพัฒนาการเกิดขึ้นหรือเปล่า เราต้องแยกแยะระหว่างความสามารถกับความโชคดีได้ ต้องมีความเข้าใจเหตุผลที่ทำให้เราได้กำไรหรือขาดทุน ตัวผลกำไรหรือผลขาดทุนที่เกิดขึ้นบางครั้งมันเป็นแค่ความโชคดี โชคร้าย หรือเหตุบังเอิญแค่นั้นเอง ความสำเร็จที่เกิดจากทักษะเท่านั้นที่จะเกิดได้ซ้ำแล้วซ้ำอีก
-
- Verified User
- โพสต์: 511
- ผู้ติดตาม: 0
ผลตอบแทนเท่าไรถือว่าสอบผ่านสำหรับมือใหม่
โพสต์ที่ 12
โห้ ผมเลยครับ ปีแรกที่ลงทุน ขาดทุนไป 20% แสดงว่าสอบผ่านใช่ไหมครับ พี่สามัญชนสามัญชน wrote:
จากประสบการณ์ผม
ปีแรกที่เล่นหุ้นนั้น ขาดทุนไปเกือบ 40 % ดังนั้นมุมมองผมจึงคิดว่าถ้ามือใหม่ขาดทุนไม่ถึง 20 % ก็ถือว่าผ่านแล้ว
VI ฝึกหัด
-
- Verified User
- โพสต์: 366
- ผู้ติดตาม: 0
ผลตอบแทนเท่าไรถือว่าสอบผ่านสำหรับมือใหม่
โพสต์ที่ 13
ถ้าคำว่า 'สอบผ่าน' หมายถึงไม่ต้องกลับมาสอบใหม่แล้ว
...ผลตอบแทนจากการลงทุนควรที่สามารถเพียงพอต่อค่าใช้จ่ายทั้งหมดได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องทำงานอื่น ถือว่า 'สอบผ่าน'
...และถ้าผลตอบแทนจากการลงทุนมีมากเพียงพอ (เกินกว่าค่าใช้จ่ายต่างๆ รวมถึงการสำรองไว้ใช้ในยามวิกถต) และสามารถนำไปลงทุนอื่นๆ ได้อย่างต่อเนื่อง ถือว่า 'ประสบผลสำเร็จจากการลงทุน'
หมายเหตุ เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวครับ
...ผลตอบแทนจากการลงทุนควรที่สามารถเพียงพอต่อค่าใช้จ่ายทั้งหมดได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องทำงานอื่น ถือว่า 'สอบผ่าน'
...และถ้าผลตอบแทนจากการลงทุนมีมากเพียงพอ (เกินกว่าค่าใช้จ่ายต่างๆ รวมถึงการสำรองไว้ใช้ในยามวิกถต) และสามารถนำไปลงทุนอื่นๆ ได้อย่างต่อเนื่อง ถือว่า 'ประสบผลสำเร็จจากการลงทุน'
หมายเหตุ เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 101
- ผู้ติดตาม: 0
ผลตอบแทนเท่าไรถือว่าสอบผ่านสำหรับมือใหม่
โพสต์ที่ 14
ฟังดูเหมือนคำว่า อิสระภาพทางการเงิน เลยครับถ้าคำว่า 'สอบผ่าน' หมายถึงไม่ต้องกลับมาสอบใหม่แล้ว
...ผลตอบแทนจากการลงทุนควรที่สามารถเพียงพอต่อค่าใช้จ่ายทั้งหมดได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องทำงานอื่น ถือว่า 'สอบผ่าน'
...และถ้าผลตอบแทนจากการลงทุนมีมากเพียงพอ (เกินกว่าค่าใช้จ่ายต่างๆ รวมถึงการสำรองไว้ใช้ในยามวิกถต) และสามารถนำไปลงทุนอื่นๆ ได้อย่างต่อเนื่อง ถือว่า 'ประสบผลสำเร็จจากการลงทุน'
หมายเหตุ เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 174
- ผู้ติดตาม: 0
ผลตอบแทนเท่าไรถือว่าสอบผ่านสำหรับมือใหม่
โพสต์ที่ 15
ส่วนตัวผมคิดว่าในช่วงแรกของการลงทุนเราไม่ควรที่จะไปตั้งเป้าในเรื่องเปอร์เซนต์ของผลตอบแทน ในระยะเวลาสั้นๆ(1ปี-2ปี)ผลตอบแทนมีโอกาสสูงมากที่จะขึ้นอยู่กับสภาวะตลาดรวมไปถึงสตอรี่ระยะสั้นของหุ้น แต่ในระยะยาวแล้วราคาหุ้นจะเป็นไปตามพื้นฐานที่แท้จริงของกิจการ
ผมว่าในช่วงแรกเราอาจจะยังไม่ต้องลงทุนเป็นจำนวนเงินเยอะๆ ยกเว้นว่าจะเป็นช่วงที่ตลาดเต็มไปด้วยหุ้นที่ถูกมากๆ(ซึ่งก็มักจะเป็นช่วงที่มือใหม่โดยทั่วๆไปมักจะไม่ค่อยกล้าซื้อ) ลองทดสอบการวิเคราะห์รวมถึงการตัดสินใจซื้อขายของตัวเองแล้วตามดูผลลัพธ์ที่ตามมาว่าเป็นไปอย่างที่คาดไว้หรือไม่และเก็บไว้เป็นประสบการณ์ ผมคิดว่าในช่วงแรกของการลงทุน การที่ได้กำไรถือว่านอกจากเราจะไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียนแล้วยังมีกำลังใจที่จะทดสอบตัวเองหาประสบการณ์เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ถ้าเราขาดทุนขึ้นมาก็ถือว่าเป็นการซื้อประสบการณ์ไป ในช่วงแรกก็คิดซะว่าcapital gain เป็น by product ก็แล้วกันครับ
จนถึงวันนึงเมื่อเริ่มรู้สึกว่าเรามีความมั่นใจกับการลงทุนในตลาด การเลือกหุ้นของเราอยู่บนการวิเคราะห์และคาดการณ์อย่างมีเหตุมีผลจนเราเริ่มที่จะไม่ค่อยรู้สึกถึงผลกระทบของการเคลื่อนไหวของราคาตลาด(โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ผันผวน) รวมไปถึงความเห็นที่มีต่อตัวหุ้นจากบุคคลรอบข้าง (ไม่ได้บอกว่าไม่รับฟังความคิดเห็นของคนรอบข้างนะครับ) เมื่อนั้นแหละครับที่เราจะวัดผลตอบแทนอย่างจริงจัง ทีนี้เราจะใช้อะไรเป็นbenchmarkก็แล้วแต่ตามอัธยาศัยครับ
ขอให้โชคดีครับ 8) 8)
ผมว่าในช่วงแรกเราอาจจะยังไม่ต้องลงทุนเป็นจำนวนเงินเยอะๆ ยกเว้นว่าจะเป็นช่วงที่ตลาดเต็มไปด้วยหุ้นที่ถูกมากๆ(ซึ่งก็มักจะเป็นช่วงที่มือใหม่โดยทั่วๆไปมักจะไม่ค่อยกล้าซื้อ) ลองทดสอบการวิเคราะห์รวมถึงการตัดสินใจซื้อขายของตัวเองแล้วตามดูผลลัพธ์ที่ตามมาว่าเป็นไปอย่างที่คาดไว้หรือไม่และเก็บไว้เป็นประสบการณ์ ผมคิดว่าในช่วงแรกของการลงทุน การที่ได้กำไรถือว่านอกจากเราจะไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียนแล้วยังมีกำลังใจที่จะทดสอบตัวเองหาประสบการณ์เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ถ้าเราขาดทุนขึ้นมาก็ถือว่าเป็นการซื้อประสบการณ์ไป ในช่วงแรกก็คิดซะว่าcapital gain เป็น by product ก็แล้วกันครับ
จนถึงวันนึงเมื่อเริ่มรู้สึกว่าเรามีความมั่นใจกับการลงทุนในตลาด การเลือกหุ้นของเราอยู่บนการวิเคราะห์และคาดการณ์อย่างมีเหตุมีผลจนเราเริ่มที่จะไม่ค่อยรู้สึกถึงผลกระทบของการเคลื่อนไหวของราคาตลาด(โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ผันผวน) รวมไปถึงความเห็นที่มีต่อตัวหุ้นจากบุคคลรอบข้าง (ไม่ได้บอกว่าไม่รับฟังความคิดเห็นของคนรอบข้างนะครับ) เมื่อนั้นแหละครับที่เราจะวัดผลตอบแทนอย่างจริงจัง ทีนี้เราจะใช้อะไรเป็นbenchmarkก็แล้วแต่ตามอัธยาศัยครับ
ขอให้โชคดีครับ 8) 8)
-
- Verified User
- โพสต์: 1922
- ผู้ติดตาม: 0
ผลตอบแทนเท่าไรถือว่าสอบผ่านสำหรับมือใหม่
โพสต์ที่ 18
ขอยืนยันตาม พี่007-ห และ พี่ web ครับ
ก่อนอื่นต้องทำให้เลือดหยุดไหลก่อน แล้วกำไรจะมาเอง
กำไรก็มีได้จากโชคดีและความเก่ง หรือที่เรียกว่า เก่งกับเฮง
ถ้าเฮงอย่างเดียว เล่นหวยดีกว่าครับ :lol:
เก่งก็อย่างพี่เวปบอกคือ ทักษะ นั่นเอง แล้วก็ระยะเวลาการลงทุน
หุ้นบางบริษัทผันผวนมากๆ เป็นรอบๆ ในระยะสั้นอาจวัดอะไรมากไม่ได้
แล้วสิ่งที่ถูกต้องก็คือสิ่งที่ถูกต้อง เป็นสัจธรรม :idea:
แต่พวกสัจธรรมที่ถูกต้องเนี่ย มักจะเป็นแบบเต่า มากกว่ากระต่าย นะครับ
ก่อนอื่นต้องทำให้เลือดหยุดไหลก่อน แล้วกำไรจะมาเอง
กำไรก็มีได้จากโชคดีและความเก่ง หรือที่เรียกว่า เก่งกับเฮง
ถ้าเฮงอย่างเดียว เล่นหวยดีกว่าครับ :lol:
เก่งก็อย่างพี่เวปบอกคือ ทักษะ นั่นเอง แล้วก็ระยะเวลาการลงทุน
หุ้นบางบริษัทผันผวนมากๆ เป็นรอบๆ ในระยะสั้นอาจวัดอะไรมากไม่ได้
แล้วสิ่งที่ถูกต้องก็คือสิ่งที่ถูกต้อง เป็นสัจธรรม :idea:
แต่พวกสัจธรรมที่ถูกต้องเนี่ย มักจะเป็นแบบเต่า มากกว่ากระต่าย นะครับ
- bmw2681
- Verified User
- โพสต์: 710
- ผู้ติดตาม: 0
ผลตอบแทนเท่าไรถือว่าสอบผ่านสำหรับมือใหม่
โพสต์ที่ 19
[quote="007-s"]เอาว่ามือใหม่เอี่ยมถอดด้ามจริงๆเลยนะคะ
สำหรับดิฉันนะ
คิดว่า
ไม่ขาดทุน ถือว่า สอบผ่านสำหรับมือใหม่
และ ได้กำไรชนะเงินเฟ้อในปีนั้นๆได้ ถือว่าพร้อมเลื่อนชั้นเป็นมือไม่ใหม่
(แบบ จากเตรียมอนุบาล ขึ้นอนุบาล :lol: )
หลังจากชนะเงินเฟ้อได้แล้ว ต่อจากนั้น จะทำได้ 10 20 50 100%
อันนี้ ไม่ถือว่าใหม่แล้ว ถือว่าพอจะสามารถโลดแล่นในบ่อนได้แล้ว :lol:
ต่อจากไม่ถือว่าใหม่นั้น อันนี้สำคัญกว่า คือ จะกี่% ก็แล้วแต่เถอะ
แต่ในระยะยาวแล้ว ค่าเฉลี่ยทำได้สม่ำเสมอแค่ไหน
ทำได้ กะ ทำเป็น ดูสั้นๆยังฟันธงตัวเองลำบาก
สำหรับดิฉันนะ
คิดว่า
ไม่ขาดทุน ถือว่า สอบผ่านสำหรับมือใหม่
และ ได้กำไรชนะเงินเฟ้อในปีนั้นๆได้ ถือว่าพร้อมเลื่อนชั้นเป็นมือไม่ใหม่
(แบบ จากเตรียมอนุบาล ขึ้นอนุบาล :lol: )
หลังจากชนะเงินเฟ้อได้แล้ว ต่อจากนั้น จะทำได้ 10 20 50 100%
อันนี้ ไม่ถือว่าใหม่แล้ว ถือว่าพอจะสามารถโลดแล่นในบ่อนได้แล้ว :lol:
ต่อจากไม่ถือว่าใหม่นั้น อันนี้สำคัญกว่า คือ จะกี่% ก็แล้วแต่เถอะ
แต่ในระยะยาวแล้ว ค่าเฉลี่ยทำได้สม่ำเสมอแค่ไหน
ทำได้ กะ ทำเป็น ดูสั้นๆยังฟันธงตัวเองลำบาก
Every passing minute is a chance to turn it all around
http://bmw2681.wordpress.com
http://bmw2681.wordpress.com
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 219
- ผู้ติดตาม: 1
ใ
โพสต์ที่ 20
เห็นด้วยกับคุณหมอสามัญชนครับ
ประมาณว่าถ้าเริ่มลงทุน แม้ว่าจะพยายามเข้าสู่ลู่ทาง VI เลย, เก็งกำไร, หรือผสมกัน ฯลฯ แล้วต้องมีเหตุการณ์นอกตำรา วิชามาร ในตลาดหุ้นมากมายที่เรายังไม่เคยอ่านเจอในหนังสือหุ้นทั่วๆ ไป
(เค้าถึงบอกว่าทฤษฎีไม่เหมือนปฏิบัติ, ทฤษฎีอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่กำหนด หรือสมมติขึ้นมาว่า ไม่มีใครโกงในเกม (ซ่อนงบ,transfer cost/pricing, bribe-under table process ฯลฯ สรุปว่า ในโลกของความจริง ยังมี hidden risk ที่จริงๆ เราเข้าใจมันได้ แล้วเพิ่ม Margin of Safety เข้าไปเวลาเจอ Risk ที่เรายังไม่เข้าใจ ... แต่ในส่วนของ Uncertainty หรือความไม่แน่นอนของกิจการนั้นแน่แม้ว่าเราจะควบคุมไม่ได้ อาทิ ต้นทุนวัตถุดิบ, ดอกเบี้ยน้ำมัน แต่ในเชิงคุณภาพที่สำคัญๆมากๆ อย่าง ธรรมาภิบาลของผู้บริหารนั้น เราสามารถตรวจสอบได้โดยการพูดคุย / ดูโหงวเฮ้ง ศึกษา ค้นหาประวัติความเป็นมาของบริษัทนั้นๆ ว่ามีที่มาอย่างไร เคยทำงานอะไร เกี่ยวข้องอะไรกับ คู่ค้าอันดับต้นๆ ของบริษัทหรือไม่อย่างไร ฯลฯ)
ดังนั้นการขาดทุนสัก 20% นั้น ให้เราถือว่าเป็นค่าเรียนครับ คือถ้าขาดทุนสัก 20% แล้วเรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง และจำไว้เป็นประสบการณ์จากการขาดทุนนั้น จะทำให้นักลงทุนแข็งแกร่ง และมีพัฒนาการมากขึ้นครับ
ปล. ดังนั้นช่วงปีแรกเวลาเริ่มลงทุน ไม่ควรลงทุนมากครับ ให้คิดว่าเป็นค่าเล่าเรียนข้อผิดพลาด (หากพลาด) แต่ถ้าได้กำไรมากๆ ก็อย่าหลงว่าตัวเองแน่เกินไปครับ อาจเป็นเพราะว่าดวงช่วย หรือบางทีคุณกำลังเป็นเหาฉลามอยู่ในเกม
<เห็นเพื่อนผมหลายคน เล่นเก็งกำไร ซึ่งไปเล่นอยู่ในเกมของคนอื่นที่เค้าควบคุมอยู่ สุดท้ายก็ขาดทุนมาก และเลิกเล่นไปพร้อมกับพูดว่า หุ้นเป็นการพนัน... จริงๆ แล้วผมว่ามันเป็นการพนัน (bet) โดยอาศัยพื้นฐาน การเติบโตของกิจการ และจิตวิทยา ในการเล่นเกมนี้ ...
จึงมีนักเขียนบางคนกล่าวไว้ว่าโลกยุคนี้เป็นยุค Casino Economy ดังนั้นเมื่อ **นักลงทุน** ต้องระวังอย่าหลงไปอยู่เกมคนอื่นโดยไม่ระวังตัว แต่ถ้าคุณรู้ว่าเค้า/รายใหญ่/ต่างชาติกำลังเล่นเกมอะไร อย่างไร นักลงทุนรายย่อย ก็จะได้เปรียบอย่างมากในการเป็น*เหาฉลาม* อ่านเกมและเกาะกระแสไป แล้วพิจารณาเอาเองว่าจะโดดออกจากขบวนรถไฟนั้นเมื่อใด ซึ่งแล้วแต่ข้อมูลที่มี กับความสามารถในการอ่านไพ่ ผู้เล่นรายใหญ่ในเกม/หุ้นนั้นๆ>
ประมาณว่าถ้าเริ่มลงทุน แม้ว่าจะพยายามเข้าสู่ลู่ทาง VI เลย, เก็งกำไร, หรือผสมกัน ฯลฯ แล้วต้องมีเหตุการณ์นอกตำรา วิชามาร ในตลาดหุ้นมากมายที่เรายังไม่เคยอ่านเจอในหนังสือหุ้นทั่วๆ ไป
(เค้าถึงบอกว่าทฤษฎีไม่เหมือนปฏิบัติ, ทฤษฎีอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่กำหนด หรือสมมติขึ้นมาว่า ไม่มีใครโกงในเกม (ซ่อนงบ,transfer cost/pricing, bribe-under table process ฯลฯ สรุปว่า ในโลกของความจริง ยังมี hidden risk ที่จริงๆ เราเข้าใจมันได้ แล้วเพิ่ม Margin of Safety เข้าไปเวลาเจอ Risk ที่เรายังไม่เข้าใจ ... แต่ในส่วนของ Uncertainty หรือความไม่แน่นอนของกิจการนั้นแน่แม้ว่าเราจะควบคุมไม่ได้ อาทิ ต้นทุนวัตถุดิบ, ดอกเบี้ยน้ำมัน แต่ในเชิงคุณภาพที่สำคัญๆมากๆ อย่าง ธรรมาภิบาลของผู้บริหารนั้น เราสามารถตรวจสอบได้โดยการพูดคุย / ดูโหงวเฮ้ง ศึกษา ค้นหาประวัติความเป็นมาของบริษัทนั้นๆ ว่ามีที่มาอย่างไร เคยทำงานอะไร เกี่ยวข้องอะไรกับ คู่ค้าอันดับต้นๆ ของบริษัทหรือไม่อย่างไร ฯลฯ)
ดังนั้นการขาดทุนสัก 20% นั้น ให้เราถือว่าเป็นค่าเรียนครับ คือถ้าขาดทุนสัก 20% แล้วเรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง และจำไว้เป็นประสบการณ์จากการขาดทุนนั้น จะทำให้นักลงทุนแข็งแกร่ง และมีพัฒนาการมากขึ้นครับ
ปล. ดังนั้นช่วงปีแรกเวลาเริ่มลงทุน ไม่ควรลงทุนมากครับ ให้คิดว่าเป็นค่าเล่าเรียนข้อผิดพลาด (หากพลาด) แต่ถ้าได้กำไรมากๆ ก็อย่าหลงว่าตัวเองแน่เกินไปครับ อาจเป็นเพราะว่าดวงช่วย หรือบางทีคุณกำลังเป็นเหาฉลามอยู่ในเกม
<เห็นเพื่อนผมหลายคน เล่นเก็งกำไร ซึ่งไปเล่นอยู่ในเกมของคนอื่นที่เค้าควบคุมอยู่ สุดท้ายก็ขาดทุนมาก และเลิกเล่นไปพร้อมกับพูดว่า หุ้นเป็นการพนัน... จริงๆ แล้วผมว่ามันเป็นการพนัน (bet) โดยอาศัยพื้นฐาน การเติบโตของกิจการ และจิตวิทยา ในการเล่นเกมนี้ ...
จึงมีนักเขียนบางคนกล่าวไว้ว่าโลกยุคนี้เป็นยุค Casino Economy ดังนั้นเมื่อ **นักลงทุน** ต้องระวังอย่าหลงไปอยู่เกมคนอื่นโดยไม่ระวังตัว แต่ถ้าคุณรู้ว่าเค้า/รายใหญ่/ต่างชาติกำลังเล่นเกมอะไร อย่างไร นักลงทุนรายย่อย ก็จะได้เปรียบอย่างมากในการเป็น*เหาฉลาม* อ่านเกมและเกาะกระแสไป แล้วพิจารณาเอาเองว่าจะโดดออกจากขบวนรถไฟนั้นเมื่อใด ซึ่งแล้วแต่ข้อมูลที่มี กับความสามารถในการอ่านไพ่ ผู้เล่นรายใหญ่ในเกม/หุ้นนั้นๆ>