http://www.musicatm.com/ringtone/view.php?No=14819เรือ : ธเนศ วรากุลนุเคราะห์ (1989)
(*)
เรือลำหนึ่งลอย ล่องลอยตามกระแส ตามความผันแปร ลำน้ำใหญ่
ลอยตามน้ำมา และลอยตามน้ำไป ไม่เคยมีทุกข์ใด ล่องลอยไปได้ทุกวัน
(**)
หากว่าน้ำขึ้นเมื่อไร ขึ้นตามไปไม่เคยหวั่น น้ำเมื่อมันลง เรือก็ลงเหมือนกัน
น้ำนิ่งก็นอน ก็นอนนิ่งอีกวัน น้ำขึ้นเมื่อไร ขึ้นตามไปเหมือนกัน
ทุกวันช่างสุขใจ ล่องลอยไปในห้วงละหาน ตามกระแสธาร ลำน้ำนั่น
ล่องไปตามกระแสแรง โน้มถ่วงอาทิตย์และจันทร์
ตามกลางคืนและวัน ไม่ว่ามันจะเป็นเช่นไร
(ซ้ำ **)
ไม่เคยจะฝืนอะไร มุ่งไปด้วยใจยึดมั่น
ล่องไปตามแสงตะวัน ตามแสงจันทร์ ที่มันนั้นจะพาไป
(ซ้ำ * / ** )
กระทู้เพิ่มพลังความเชื่อในการลงทุนแนววีไอ
- หมักเตา
- Verified User
- โพสต์: 232
- ผู้ติดตาม: 0
กระทู้เพิ่มพลังความเชื่อในการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 31
- reiter
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2308
- ผู้ติดตาม: 0
กระทู้เพิ่มพลังความเชื่อในการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 32
ขอบคุณพี่ซาอิมากครับ :D :D
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2846
- ผู้ติดตาม: 1
กระทู้เพิ่มพลังความเชื่อในการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 33
เห็นเค้าว่ากันว่า ลองใช้วิธีนี้ ก็ได้นะครับเผื่อจะช่วยได้
ก่อนที่จะจะซื้อหุ้นซักหนึ่งตัว ให้เราเขียนบรรยาย เหตุผลที่เราเลือกบริษัทนี้ ซัก หนึ่งหน้ากระดาษ เขียนให้ครอบคลุมทุกแง่มุมที่เรารู้ และ เราสนใจ
พอตอนคิดอยากจะขายให้กลับมาอ่านที่กระดาษแผ่นนี้ดูอีกรอบ ว่ามีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปบ้าง ดีขึ้นหรือแย่ลง
วิธีนี้จะช่วยให้เรา ซื้อขาย อย่างมีเหตุผลมากขึ้นครับ
ก่อนที่จะจะซื้อหุ้นซักหนึ่งตัว ให้เราเขียนบรรยาย เหตุผลที่เราเลือกบริษัทนี้ ซัก หนึ่งหน้ากระดาษ เขียนให้ครอบคลุมทุกแง่มุมที่เรารู้ และ เราสนใจ
พอตอนคิดอยากจะขายให้กลับมาอ่านที่กระดาษแผ่นนี้ดูอีกรอบ ว่ามีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปบ้าง ดีขึ้นหรือแย่ลง
วิธีนี้จะช่วยให้เรา ซื้อขาย อย่างมีเหตุผลมากขึ้นครับ
- Tibular
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 531
- ผู้ติดตาม: 0
กระทู้เพิ่มพลังความเชื่อในการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 34
ยุทธศาสนตร์หลักของ Value Investment อยู่ที่ว่า
คุณเข้าใจธุรกิจ, ประเมินมูลค่ามันได้,
ซื้อตอนมี Margin of Safety จาก Mr. Market
อดทน รอคอย อย่าลำเอียง อย่าประมาท อย่าขาดทุน
กลยุทธ์ที่จะนำไปใช้ก็ของใครของมันครับ
คุณเข้าใจธุรกิจ, ประเมินมูลค่ามันได้,
ซื้อตอนมี Margin of Safety จาก Mr. Market
อดทน รอคอย อย่าลำเอียง อย่าประมาท อย่าขาดทุน
กลยุทธ์ที่จะนำไปใช้ก็ของใครของมันครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 1
กระทู้เพิ่มพลังความเชื่อในการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 36
ทุกอย่างพร้อมพรัก ขาดแต่ลมบูรพา
สุภาษิตบทนี้อุปมาถึง "การประกอบภารกิจใดภารกิจหนึ่ง
องค์ประกอบต่างๆ ได้ตระเตรียมจนพร้อมหมดแล้ว
ยังขาดก็แต่องค์ประกอบที่สำคัญที่สุด"
ว่าแต่ คุณจะอดทนรอคอยกับสิ่งที่เรียกว่า "ลมบูรพา" ของคุณได้แค่ไหน?
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
- kakathi
- Verified User
- โพสต์: 186
- ผู้ติดตาม: 0
กระทู้เพิ่มพลังความเชื่อในการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 37
ขอบคุณครับ อ่านแล้วได้ทบทวนตัวเอง ทำให้มีกำลังใจดีขึ้น ครับ :)
ส่วนหนึ่งจากบทความ เข็มทิศลงทุน จาก หนังสือเล่นหุ้นในภาวะวิกฤติ (180-183) โดย อ.นิเวศน์ ครับ ยกมาเฉพาะหัวข้อนะครับ :D
1. เวลาซื้อหุ้น ให้ทำเหมือนกับว่าเรากำลังลงทุนทำธุรกิจหรือเข้าหุ้นทำธุรกิจกับเพื่อน
2. ถ้าบริษัททำผลงานดี หุ้นก็จะดีตามเสมอ
3. หาหุ้นของกิจการที่เข้าใจง่าย
4. ซื้อหุ้นของบริษัทที่ดีในราคาที่ต่ำหรือยุติธรรม
5.กระจายความเสี่ยงโดยการถือหุ้นจำนวนพอสมควร
6.ถือพอร์ตของหุ้นตลอดเวลาแม้ในยามวิกฤติ เหตุก็เพราะว่าในยามนั้นราคาหุ้นมักจะตกต่ำลงมากมาก่อนแล้ว จงจำไว้ว่าดัชนีหุ้นนั้นเป็นดัชนี ชี้นำ ไม่ใช่ ตาม ของภาวะเศรษฐกิจ นั่นหมายความว่าเราจะเอาสภาวะทางเศรษฐกิจปัจจุบันมาเป็นเครื่องชี้ว่าเราควรจะถือหุ้นหรือไม่ไม่ได้ แน่นอน ถ้าเรารู้ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไรในอีกหนึ่งปีข้างหน้า เราก็สามารถนำมาใช้ในการลงทุนได้ แต่ข้อเท็จจริงก็คือ ไม่มีใครสามารถคาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำพอ ดังนั้นอย่าไปสนใจเรื่องภาวะเศรษฐกิจ ถือพอร์ทของหุ้นที่จะสามารถฝ่าฟันอุปสรรคไปได้ไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร
7.อย่าซื้อ ๆขาย ๆ หุ้น โดยอิงจากภาวะตลาดหรือราคาของหุ้นรายวันหรือรายเดือน
8. ผลการดำเนินงานของบริษัทไม่จำเป็นต้องดีขึ้นทุกปี
9. ติดตามผลการดำเนินงานของบริษัท
10. ความสำเร็จของการลงทุนอย่างจริงจังก็คือ การที่เราเห็นปันผลของเรามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ปล. อีกประโยคที่ผมชอบมากคือ "Stay calm stay invest" จงสงบและจงลงทุน :D
ส่วนหนึ่งจากบทความ เข็มทิศลงทุน จาก หนังสือเล่นหุ้นในภาวะวิกฤติ (180-183) โดย อ.นิเวศน์ ครับ ยกมาเฉพาะหัวข้อนะครับ :D
1. เวลาซื้อหุ้น ให้ทำเหมือนกับว่าเรากำลังลงทุนทำธุรกิจหรือเข้าหุ้นทำธุรกิจกับเพื่อน
2. ถ้าบริษัททำผลงานดี หุ้นก็จะดีตามเสมอ
3. หาหุ้นของกิจการที่เข้าใจง่าย
4. ซื้อหุ้นของบริษัทที่ดีในราคาที่ต่ำหรือยุติธรรม
5.กระจายความเสี่ยงโดยการถือหุ้นจำนวนพอสมควร
6.ถือพอร์ตของหุ้นตลอดเวลาแม้ในยามวิกฤติ เหตุก็เพราะว่าในยามนั้นราคาหุ้นมักจะตกต่ำลงมากมาก่อนแล้ว จงจำไว้ว่าดัชนีหุ้นนั้นเป็นดัชนี ชี้นำ ไม่ใช่ ตาม ของภาวะเศรษฐกิจ นั่นหมายความว่าเราจะเอาสภาวะทางเศรษฐกิจปัจจุบันมาเป็นเครื่องชี้ว่าเราควรจะถือหุ้นหรือไม่ไม่ได้ แน่นอน ถ้าเรารู้ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไรในอีกหนึ่งปีข้างหน้า เราก็สามารถนำมาใช้ในการลงทุนได้ แต่ข้อเท็จจริงก็คือ ไม่มีใครสามารถคาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำพอ ดังนั้นอย่าไปสนใจเรื่องภาวะเศรษฐกิจ ถือพอร์ทของหุ้นที่จะสามารถฝ่าฟันอุปสรรคไปได้ไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร
7.อย่าซื้อ ๆขาย ๆ หุ้น โดยอิงจากภาวะตลาดหรือราคาของหุ้นรายวันหรือรายเดือน
8. ผลการดำเนินงานของบริษัทไม่จำเป็นต้องดีขึ้นทุกปี
9. ติดตามผลการดำเนินงานของบริษัท
10. ความสำเร็จของการลงทุนอย่างจริงจังก็คือ การที่เราเห็นปันผลของเรามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ปล. อีกประโยคที่ผมชอบมากคือ "Stay calm stay invest" จงสงบและจงลงทุน :D
" "
-
- Verified User
- โพสต์: 183
- ผู้ติดตาม: 0
กระทู้เพิ่มพลังความเชื่อในการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 40
[quote="picatos"]ขอบคุณพี่ sai สำหรับการตั้งกระทู้ดีๆ อย่างนี้นะครับ...
ผมว่าหลักการลงทุนใดๆ ก็ตาม จุดที่ยากที่สุด คือ การควบคุมความโลภและความกลัว ไม่ให้เป๋ไปตามอารมณ์ของตลาด...
ขอยกคำสอนของเฮียคลาดเครียด ที่สอนไว้ในหนังสือว่า ให้บริหารความโลภให้สมดุลกับความรู้
สำหรับ VI ถ้าเรารู้ตัวว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ มูลค่าของกิจการมันเป็นยังไง MOS ของราคา ณ ขณะนี้มากน้อยขนาดไหน ก็น่าจะพอเป็นที่พึ่งพิงให้เรายึดเหนี่ยวได้ระดับนึง ไม่อย่างงั้นจะหล่อหลักลอยโดยไม่รู้ตัว
ถ้าเรายังรู้สึกหวั่นไหว อันเนื่องมาจากเราอาจจะยังไม่แม่นในหลักการ หรือมูลค่าที่เราคำนวนได้มาจากวิธีการที่เราก็ยังไม่เชื่อตัวเองเหมือนกัน อันนั้นอาจจะเกิดจากการที่เราโลภมากเกินความรู้ที่เรามี ทางแก้ก็ต้องไปศึกษาเพิ่ม เจาะลึกลงไปในกิจการ ให้เรารู้จริงกับสิ่งที่เราลงทุนอยู่
สุดท้ายถ้ายังหาความสงบในจิตใจไม่ได้... อาจจะต้องพึ่งทางธรรมเข้าช่วยมั้งครับ...
ผมว่าหลักการลงทุนใดๆ ก็ตาม จุดที่ยากที่สุด คือ การควบคุมความโลภและความกลัว ไม่ให้เป๋ไปตามอารมณ์ของตลาด...
ขอยกคำสอนของเฮียคลาดเครียด ที่สอนไว้ในหนังสือว่า ให้บริหารความโลภให้สมดุลกับความรู้
สำหรับ VI ถ้าเรารู้ตัวว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ มูลค่าของกิจการมันเป็นยังไง MOS ของราคา ณ ขณะนี้มากน้อยขนาดไหน ก็น่าจะพอเป็นที่พึ่งพิงให้เรายึดเหนี่ยวได้ระดับนึง ไม่อย่างงั้นจะหล่อหลักลอยโดยไม่รู้ตัว
ถ้าเรายังรู้สึกหวั่นไหว อันเนื่องมาจากเราอาจจะยังไม่แม่นในหลักการ หรือมูลค่าที่เราคำนวนได้มาจากวิธีการที่เราก็ยังไม่เชื่อตัวเองเหมือนกัน อันนั้นอาจจะเกิดจากการที่เราโลภมากเกินความรู้ที่เรามี ทางแก้ก็ต้องไปศึกษาเพิ่ม เจาะลึกลงไปในกิจการ ให้เรารู้จริงกับสิ่งที่เราลงทุนอยู่
สุดท้ายถ้ายังหาความสงบในจิตใจไม่ได้... อาจจะต้องพึ่งทางธรรมเข้าช่วยมั้งครับ...
- manza125
- Verified User
- โพสต์: 92
- ผู้ติดตาม: 0
กระทู้เพิ่มพลังความเชื่อในการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 41
ขอบคุณพี่ sai มากๆครับที่เตือนสติและเอาข้อความดีๆที่คนอื่นๆไม่ได้อ่านมาเผยแพร่ :D
และขอบคุณ คุณ thi_evolution ที่อุส่านั่งพิมพ์ตามหนังสือแหนะ (อิอิ)
สุดท้าย ไม่ขอบคุณคงไม่ได้
คือ สังคมออนไลท์แห่ง thaivi แห่งนี้
ที่คอยแบ่งปันอะไรดีๆหลายๆอย่างและมีคนน่ารักๆอย่างพี่ sai มาเตือนสติ ...และอีกหลายๆคนให้ความรู้ต่างๆ (เด๋วจะน้่อยใจ ฮ่า)
ปล. (ขอบคุณอย่างกะจะลาตาย :lol: )
และขอบคุณ คุณ thi_evolution ที่อุส่านั่งพิมพ์ตามหนังสือแหนะ (อิอิ)
สุดท้าย ไม่ขอบคุณคงไม่ได้
คือ สังคมออนไลท์แห่ง thaivi แห่งนี้
ที่คอยแบ่งปันอะไรดีๆหลายๆอย่างและมีคนน่ารักๆอย่างพี่ sai มาเตือนสติ ...และอีกหลายๆคนให้ความรู้ต่างๆ (เด๋วจะน้่อยใจ ฮ่า)
ปล. (ขอบคุณอย่างกะจะลาตาย :lol: )
------------------------------
การพูด คือ อาหารของนักการเมือง
การวิเคราห์ คือ อาหารของวีไอ
การพูด คือ อาหารของนักการเมือง
การวิเคราห์ คือ อาหารของวีไอ
- sai
- Verified User
- โพสต์: 4090
- ผู้ติดตาม: 0
กระทู้เพิ่มพลังความเชื่อในการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 43
ลูกอิสาน เขียน:สิ่งที่หวงแหนที่สุด
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เป็นแนวทางการลงทุนที่มีพื้นฐานความเชื่อที่ว่า เราซื้อหุ้นซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกิจการ กิจการที่มีกิจกรรมทางเศรษกิจ มีคนทำงานกันจริงๆ ในฐานะผู้ถือหุ้นหากกิจการมีกำไร เราจะได้รับส่วนแบ่งกำไรนั้นไม่ว่าจะเป็นราคาหุ้นที่ปรับเพิ่มขึ้นหรือรับส่วนแบ่งเงินสดอย่างเงินปันผล หน้าที่ของนักลงทุนคือซื้อหุ้นของบริษัทที่ราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น เพราะนั่นจะทำให้เรามีกำไรสูงสุด ทัศนคติที่ว่า"การวิเคราะห์หุ้นคือการวิเคราะห์กิจการ" จึงสำคัญ ทัศนคติจะเป็นเหมือนเข็มทิศที่ส่งผลต่อพฤติกรรมและความคิดในการลงทุนของเรา ทัศคติที่ถูกต้องทำให้เราเดินไปถูกเส้นทาง คนฉลาดมากๆหากเลือกเส้นทางผิดก็อาจไม่ถึงจุดหมาย ในทำนองเดียวกันคนที่ไม่ได้ฉลาดมาก หากเขาหรือเธอเลือกเดินในเส้นทางที่ถูกต้องก็ถึงจุดหมายได้แม้ต้องใช้เวลาบ้างก็ตาม
ในโลกการลงทุนจริงๆมีปัจจัยทางด้านอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องบ่อยๆ การดำรงทัศนคติให้แน่วแน่ ไม่สั่นคลอนไปตามกระแสต่างๆเป็นเรื่องที่ทำได้ยากเย็น อารมณ์กลัวจะทำให้นักลงทุนขายหุ้นไปตอนที่ตลาดตกต่ำซึ่งทำให้เขาเสียหายสูงสุด(ทั้งที่ควรจะซื้อ) ความโลภจะทำให้นักลงทุนมองแต่โลกที่สดใสและพร้อมจะซื้อหุ้นในทุกๆราคา(ทั้งที่ควรจะขาย) และความริษยา ทำให้นักลงทุนมองวิธีการลงทุนของคนอื่นดีกว่าของตัวเองเสมอ ปัจจัยอารมณ์เหล่านี้เป็นธรรมชาติที่อ่อนแอของมนุษย์ เป็นความจำเป็นที่่เราต้องรู้เท่าทันและเอาชนะความอ่อนแอที่ติดตัวเรามานี้ให้ได้ ทัศนคติที่ถูกต้องจะทำให้เราเอาชนะความอ่อนแอนี้ได้ และจะทำให้เราข้ามผ่านเวลาที่แย่และเวลาที่เลวร้ายสุดๆ ไปได้
เมื่อเรายึดกิจการเป็นหลัก เราจะไม่ขายหุ้นเพียงเพราะตลาดตกต่ำ เราจะไม่ซื้อหุ้นตอนที่ตลาดมองโลกในแง่ดีมากๆ และเราจะไม่อิจฉาคนอื่นที่ใช้แนวทางอื่นและทำกำไรได้มากกว่า เพราะในโลกการลงทุนจริงๆผลตอบแทนระยะยาวที่มากกว่า 20%ต่อปี เป็นสิ่งที่คนเพียง"หยิบมือเดียว"ในโลกเท่านั้นที่ทำได้ ผลตอบแทนที่สูงกว่านั้นเป็นสิ่งไม่ยั่งยืน เป็นเพียงการมองโลกด้านดีด้านเดียว การมองโลกในแง่ดีทำให้เรามองแต่ผลตอบแทนจนละเลยความเสี่ยง ทั้งที่ความจริงในโลกธุรกิจหรือทุกอย่างในโลกนี้มีความเสี่ยงแฝงอยู่ทั้งสิ้น ถ้าเปรียบเทียบการการลงทุนแนว vi คงเป็นการเดินทีละก้าวอย่างช้าๆแต่มั่นคงเต็มไปด้วยความระมัดระวัง และมักไม่เดินถอยหลัง การรับความเสี่ยงมากๆเพื่อผลตอบแทนสูงๆเหมือนการกระโดดที่พร้อมจะเจ็บตัวได้ทุกเมื่อ
นักลงทุนแบบ vi กับทัศนคติที่ว่าหุ้นคือบริษัท และพื้นฐานกิจการจะกำหนดราคาหุ้นเป็นสิ่งที่สำคัญ เป็นเสมือนหางเสือเรือที่จะพาเราเดินทางไปให้ถึงฝั่ง เป็น"ทัศนคติที่เราต้องหวงแหนที่สุด" เมื่อไหร่ที่เราตัดสินใจลงทุนโดยละเลยหลักการข้างต้น นั่นแสดงว่าเราเริ่มมีปัญหาแล้ว..
Small Details Make a Big Difference
-
- Verified User
- โพสต์: 480
- ผู้ติดตาม: 0
กระทู้เพิ่มพลังความเชื่อในการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 44
ผมเองขอแชร์ไอเดียจากประสบการณ์ส่วนตัวและที่เคยได้พบมากับเพื่อนๆในกลุุ่ม
สาเหตุที่ทำให้คนมีความโลภและความกลัวที่มากเกินไป (ซี่งมีผลต่อการลงทุนมากๆ ) มาจากสาเหตุหลักๆ ดังนี้ครับ
1. มีความมั่นใจสูง แต่ความมั่นใจมาจากความเข้าใจไปเองโดยไม่ได้มีการหาข้อมูล และวิเคราะห์อย่างสมเหตุสมผลเพียงพอ หรือ มั่นใจเพราะมีคนเก่งๆ บอกมา หรือ มั่นใจเพราะ ราคาไปในทิศทางเดียวกับที่หวังไว้ ซึ่งทั้งหมดจะเกิดปัญหาตามมา 2 อย่างคือ
เมื่อราคาหุ้นขี้น ก็ไม่สามารถตัดสินใจได้ถูกว่า ระดับใดที่ หุ้นเริ่มแพงแล้ว ก็อาจจะมั่นใจ ซื้อเพิ่มขี้นเรื่อยๆ ในจำนวนที่มากกว่าเดิม (เมื่อหุ้นราคาแพงมากแล้ว) และสุดท้าย ก็ต้องขายในราคาที่แย่ลง
เมื่อราคาหุ้นลง ก็ทนไม่ไหว เพราะ ตัวเองไม่ได้เข้าใจธุรกิจ หรือบริษัทเลยว่าเป็นอย่างไร ก็ตัดใจขายทิ้งในราคาที่ขาดทุน
หรือเมื่อราคาหุ้นลง ที่แย่ไปกว่านั้น คือ ซื้อเพิ่ม แต่พื้นฐานกิจการเปลี่ยนไปแล้วอย่างสิ้นเชิงในทางลบ ซึ่งจะมีผลต่อกำไรในอนาคต พวรรู้จริงตัดสินใจขาย แต่ พวกทำเป็นรู้จริง เลยต้องมารับเพิ่มไปจากพวกรู้จริงที่ขายทิ้ง แล้วก็ฝืนยิ้มสู้ ดีใจว่าเราเป็น Value Investor คือ ยิ่งลงยิ่งซื้อ
เหตุการณ์ที่ยกตัวอย่างมาข้างต้น คงยังมีอีกหลายแนว หลายกรณี แต่หนีไม่พ้น ความจริงท้ายที่สุด คือ ไม่รู้จริง
เพราะฉะนั้น หากคุณลงทุนโดยใช้เพียง ความหวัง ความเข้าใจไปเอง โดยปราศจากการวิเคราะห์ สำหรับการลงทุนระยะสั้น อาจไม่มีผลมากนัก แต่ สำหรับการลงทุนระยะยาว โอกาสในการประสบความสำเร็จน้อยมากครับ
ส่วนข้ออื่นๆ ไว้มา post เพิ่มครับ
สาเหตุที่ทำให้คนมีความโลภและความกลัวที่มากเกินไป (ซี่งมีผลต่อการลงทุนมากๆ ) มาจากสาเหตุหลักๆ ดังนี้ครับ
1. มีความมั่นใจสูง แต่ความมั่นใจมาจากความเข้าใจไปเองโดยไม่ได้มีการหาข้อมูล และวิเคราะห์อย่างสมเหตุสมผลเพียงพอ หรือ มั่นใจเพราะมีคนเก่งๆ บอกมา หรือ มั่นใจเพราะ ราคาไปในทิศทางเดียวกับที่หวังไว้ ซึ่งทั้งหมดจะเกิดปัญหาตามมา 2 อย่างคือ
เมื่อราคาหุ้นขี้น ก็ไม่สามารถตัดสินใจได้ถูกว่า ระดับใดที่ หุ้นเริ่มแพงแล้ว ก็อาจจะมั่นใจ ซื้อเพิ่มขี้นเรื่อยๆ ในจำนวนที่มากกว่าเดิม (เมื่อหุ้นราคาแพงมากแล้ว) และสุดท้าย ก็ต้องขายในราคาที่แย่ลง
เมื่อราคาหุ้นลง ก็ทนไม่ไหว เพราะ ตัวเองไม่ได้เข้าใจธุรกิจ หรือบริษัทเลยว่าเป็นอย่างไร ก็ตัดใจขายทิ้งในราคาที่ขาดทุน
หรือเมื่อราคาหุ้นลง ที่แย่ไปกว่านั้น คือ ซื้อเพิ่ม แต่พื้นฐานกิจการเปลี่ยนไปแล้วอย่างสิ้นเชิงในทางลบ ซึ่งจะมีผลต่อกำไรในอนาคต พวรรู้จริงตัดสินใจขาย แต่ พวกทำเป็นรู้จริง เลยต้องมารับเพิ่มไปจากพวกรู้จริงที่ขายทิ้ง แล้วก็ฝืนยิ้มสู้ ดีใจว่าเราเป็น Value Investor คือ ยิ่งลงยิ่งซื้อ
เหตุการณ์ที่ยกตัวอย่างมาข้างต้น คงยังมีอีกหลายแนว หลายกรณี แต่หนีไม่พ้น ความจริงท้ายที่สุด คือ ไม่รู้จริง
เพราะฉะนั้น หากคุณลงทุนโดยใช้เพียง ความหวัง ความเข้าใจไปเอง โดยปราศจากการวิเคราะห์ สำหรับการลงทุนระยะสั้น อาจไม่มีผลมากนัก แต่ สำหรับการลงทุนระยะยาว โอกาสในการประสบความสำเร็จน้อยมากครับ
ส่วนข้ออื่นๆ ไว้มา post เพิ่มครับ
The miracle of compounding,
- sai
- Verified User
- โพสต์: 4090
- ผู้ติดตาม: 0
กระทู้เพิ่มพลังความเชื่อในการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 45
[quote="zz99"]ผมเองขอแชร์ไอเดียจากประสบการณ์ส่วนตัวและที่เคยได้พบมากับเพื่อนๆในกลุุ่ม
สาเหตุที่ทำให้คนมีความโลภและความกลัวที่มากเกินไป (ซี่งมีผลต่อการลงทุนมากๆ ) มาจากสาเหตุหลักๆ ดังนี้ครับ
1. มีความมั่นใจสูง แต่ความมั่นใจมาจากความเข้าใจไปเองโดยไม่ได้มีการหาข้อมูล และวิเคราะห์อย่างสมเหตุสมผลเพียงพอ หรือ มั่นใจเพราะมีคนเก่งๆ บอกมา หรือ มั่นใจเพราะ ราคาไปในทิศทางเดียวกับที่หวังไว้ ซึ่งทั้งหมดจะเกิดปัญหาตามมา 2 อย่างคือ
สาเหตุที่ทำให้คนมีความโลภและความกลัวที่มากเกินไป (ซี่งมีผลต่อการลงทุนมากๆ ) มาจากสาเหตุหลักๆ ดังนี้ครับ
1. มีความมั่นใจสูง แต่ความมั่นใจมาจากความเข้าใจไปเองโดยไม่ได้มีการหาข้อมูล และวิเคราะห์อย่างสมเหตุสมผลเพียงพอ หรือ มั่นใจเพราะมีคนเก่งๆ บอกมา หรือ มั่นใจเพราะ ราคาไปในทิศทางเดียวกับที่หวังไว้ ซึ่งทั้งหมดจะเกิดปัญหาตามมา 2 อย่างคือ
Small Details Make a Big Difference
-
- Verified User
- โพสต์: 37
- ผู้ติดตาม: 0
กระทู้เพิ่มพลังความเชื่อในการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 46
ขอบคุณพี่ซาอิมากครับ
ชีวิตนี้สั้นนัก ทำความดีไว้เถิด
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2273
- ผู้ติดตาม: 0
กระทู้เพิ่มพลังความเชื่อในการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 47
ผมว่าลงทุนต้องมั่นใจให้ชัวร์ๆ
คำนวณให้ได้ว่ามูลค่ามันเท่าไหร่ แล้วเราจะสบายใจเวลาถือ
ทำทุกอย่างให้ง่าย ไม่ซับซ้อน แต่มั่นคงแน่นอน
แล้วก็อย่าหลงรักหุ้นครับ อันนี้สำคัญมาก :D
คำนวณให้ได้ว่ามูลค่ามันเท่าไหร่ แล้วเราจะสบายใจเวลาถือ
ทำทุกอย่างให้ง่าย ไม่ซับซ้อน แต่มั่นคงแน่นอน
แล้วก็อย่าหลงรักหุ้นครับ อันนี้สำคัญมาก :D
การลงทุนคือความเสี่ยง
แต่ความเสี่ยงสูงคือ ไม่รุ้ว่าอะไรคือจุดชี้เป็นชี้ตายของบริษัท
ความเสียงสุงที่สุด คือ ไม่รู้ว่าเลยว่าตัวเองทำอะไรอยู่
แต่ความเสี่ยงสูงคือ ไม่รุ้ว่าอะไรคือจุดชี้เป็นชี้ตายของบริษัท
ความเสียงสุงที่สุด คือ ไม่รู้ว่าเลยว่าตัวเองทำอะไรอยู่
-
- Verified User
- โพสต์: 480
- ผู้ติดตาม: 0
ความโลภ/ความกลัว ข้อที่ 2
โพสต์ที่ 48
ประสบการณ์ตรงที่ทำให้นักลงทุน มีความกลัว และความโลภมากเกินไป จนมีผลเสียต่อการลงทุนอย่างมาก
ข้อที่ 2 - อคติ หรือ ความรู้สึกฝังใจต่อประสบการณ์ทั้งที่ดีและเลวร้ายในอดีต เคยรู้สึกมั้ยครับว่า เราชื่นชอบหุ้น หรือ เกลียดหุ้นตัวไหนเป็นพิเศษ ซึ่งบางทีก็มีเหตุผลและบ่อยครั้งก็ไม่มี และไม่จำเป็นต้องมี :lol: ซึ่งประสบการณ์ในอดีตมีผลต่อแนวโน้มการตัดสินใจในอนาคตไม่มากก็น้อย โดย อคติ ที่เกิดขี้นมีได้หลายรูปแบบเช่นเดียวกัน รวมอยู่ในกลุ่ม Recency Bias อย่างที่คุณสุมาอี้เคยเขียนไว้
รูปแบบที่ 1: อคติ ที่มาจากราคา ผมเองจะเคยได้ยินบ่อยครั้งว่า หุ้นตัวนี้แพงแล้ว อย่าเล่นเลย หรือ ขายไปเหอะ พอถามเหตุผลว่า ทำไมถึงคิดว่าแพง คำตอบสุดท้าย คือ มันเคยอยู่ 3 บาทเองเมือเดือนที่แล้ว ตอนนี้ 5 บาท จะไม่ให้เรียกว่า แพงได้ไง เช่นเดียวกัน หุ้น Z ราคาหุ้น 2 บาทมา 2 ปีแล้วลงมาจากที่เคยขี้นไปถึง 10 บาท ต้องซื้อ downside ต่ำมาก ไม่รู้จะลงไปได้อีกเท่าไร
เป็นกันบ้างมั้ยครับ แล้วยังเป็นกันอยู่มั้ย ผมเองก็เป็น แต่ลดน้อยลงมาก เพราะ ประสบการณ์สอนว่า ราคาหุ้นต่ำ ไม่ได้บอกว่า ถูก และ ราคาหุ้นสูง ไม่ได้บอกว่าแพง และหลายๆ ครั้งมันสะท้อนสิ่งที่จะเกิดขี้นในอนาคต ไม่ใช่อดีต อดีตเป็นแค่สิ่งที่เราควรเรียนรู้ แต่อนาคตเป็นสิ่งที่กำหนดผลประกอบการ และ ราคาหุ้น ในท้ายที่สุด
รูปแบบที่ 2: อคติ จากข่าวที่เคยเกิดขี้นทั้งในแง่ดี และแง่ร้าย ซึ่งรูปแบบนี้มักเกิดขี้นกับกลุ่มที่เป็นวัฎจักรเป็นพิเศษ เช่น สินค้าโภคภัณฑ์ รับเหมาก่อสร้าง เคยแย่ยังไงก็แย่ต่อไป หรือ อดีตเคยแย่ ก็น่าจะแย่ต่อ ไม่มีทางกลับมาโดดเด่นได้หรอก อันนี้เป็นเพียงแค่การยกตัวอย่างนะครับ ซึ่งก็มักจะเห็นกันบ่อยๆ ในตลาด จะเปลี่ยนความคิดของนักลงทุนได้ก็ต่อเมือ วัฏจักรได้กลับมาเป็นขาขี้นและกำลังเข้าสุ่ช่วงอิ่มตัว แน่นอน ราคาหุ้นต้องสูงขี้นมากแล้วด้วย พวกเราถึงจะเริ่มเชื่อ ลุยซื้อตอนราคาสูงลิ่ว (ดูจากราคาอีกแล้ว :lol: ) แล้วก็หนีไม่พ้นออกตัวไม่ทัน ธุรกิจเปลี่ยนมาเป็นขาลง เราก็ยังกอดหุ้นไม้ 3 (รับต่อมาเป็นทอดๆ จากเจ้าของธุรกิจ --> นักลงทุนตัวจริง ) รับมาเป็นมรดกตกทอดกันไว้ต่อ ผลสุดท้าย พอราคาปรับลง เน้น-ต้องลงมากพอ ถึงจะตัดใจขาย แล้วก็ปลอบใจตัวเองว่า ธุรกิจมันแย่จริงๆ ขายไปอ่ะดีแล้ว เป็นวงจรอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ครับ
นี่คือ สิ่งที่เกิดขี้น และจะยังคงเกิดขี้นต่อไปเรื่อยๆ หากเราไม่วิเคราะห์ให้ถี่ถ้วนหรือ มีข้อมูลเพียงพอ เชื่อตามที่ตลาดหรือคนอื่นๆ พูดกัน ผมพูดจากประสบการณ์ตรง หวังว่าจะไม่ทำให้นักลงทุนไม่พอใจนะครับ
ส่วนข้ออื่นๆ จะมาเขียนเพิ่มเติมครับ
ข้อที่ 2 - อคติ หรือ ความรู้สึกฝังใจต่อประสบการณ์ทั้งที่ดีและเลวร้ายในอดีต เคยรู้สึกมั้ยครับว่า เราชื่นชอบหุ้น หรือ เกลียดหุ้นตัวไหนเป็นพิเศษ ซึ่งบางทีก็มีเหตุผลและบ่อยครั้งก็ไม่มี และไม่จำเป็นต้องมี :lol: ซึ่งประสบการณ์ในอดีตมีผลต่อแนวโน้มการตัดสินใจในอนาคตไม่มากก็น้อย โดย อคติ ที่เกิดขี้นมีได้หลายรูปแบบเช่นเดียวกัน รวมอยู่ในกลุ่ม Recency Bias อย่างที่คุณสุมาอี้เคยเขียนไว้
รูปแบบที่ 1: อคติ ที่มาจากราคา ผมเองจะเคยได้ยินบ่อยครั้งว่า หุ้นตัวนี้แพงแล้ว อย่าเล่นเลย หรือ ขายไปเหอะ พอถามเหตุผลว่า ทำไมถึงคิดว่าแพง คำตอบสุดท้าย คือ มันเคยอยู่ 3 บาทเองเมือเดือนที่แล้ว ตอนนี้ 5 บาท จะไม่ให้เรียกว่า แพงได้ไง เช่นเดียวกัน หุ้น Z ราคาหุ้น 2 บาทมา 2 ปีแล้วลงมาจากที่เคยขี้นไปถึง 10 บาท ต้องซื้อ downside ต่ำมาก ไม่รู้จะลงไปได้อีกเท่าไร
เป็นกันบ้างมั้ยครับ แล้วยังเป็นกันอยู่มั้ย ผมเองก็เป็น แต่ลดน้อยลงมาก เพราะ ประสบการณ์สอนว่า ราคาหุ้นต่ำ ไม่ได้บอกว่า ถูก และ ราคาหุ้นสูง ไม่ได้บอกว่าแพง และหลายๆ ครั้งมันสะท้อนสิ่งที่จะเกิดขี้นในอนาคต ไม่ใช่อดีต อดีตเป็นแค่สิ่งที่เราควรเรียนรู้ แต่อนาคตเป็นสิ่งที่กำหนดผลประกอบการ และ ราคาหุ้น ในท้ายที่สุด
รูปแบบที่ 2: อคติ จากข่าวที่เคยเกิดขี้นทั้งในแง่ดี และแง่ร้าย ซึ่งรูปแบบนี้มักเกิดขี้นกับกลุ่มที่เป็นวัฎจักรเป็นพิเศษ เช่น สินค้าโภคภัณฑ์ รับเหมาก่อสร้าง เคยแย่ยังไงก็แย่ต่อไป หรือ อดีตเคยแย่ ก็น่าจะแย่ต่อ ไม่มีทางกลับมาโดดเด่นได้หรอก อันนี้เป็นเพียงแค่การยกตัวอย่างนะครับ ซึ่งก็มักจะเห็นกันบ่อยๆ ในตลาด จะเปลี่ยนความคิดของนักลงทุนได้ก็ต่อเมือ วัฏจักรได้กลับมาเป็นขาขี้นและกำลังเข้าสุ่ช่วงอิ่มตัว แน่นอน ราคาหุ้นต้องสูงขี้นมากแล้วด้วย พวกเราถึงจะเริ่มเชื่อ ลุยซื้อตอนราคาสูงลิ่ว (ดูจากราคาอีกแล้ว :lol: ) แล้วก็หนีไม่พ้นออกตัวไม่ทัน ธุรกิจเปลี่ยนมาเป็นขาลง เราก็ยังกอดหุ้นไม้ 3 (รับต่อมาเป็นทอดๆ จากเจ้าของธุรกิจ --> นักลงทุนตัวจริง ) รับมาเป็นมรดกตกทอดกันไว้ต่อ ผลสุดท้าย พอราคาปรับลง เน้น-ต้องลงมากพอ ถึงจะตัดใจขาย แล้วก็ปลอบใจตัวเองว่า ธุรกิจมันแย่จริงๆ ขายไปอ่ะดีแล้ว เป็นวงจรอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ครับ
นี่คือ สิ่งที่เกิดขี้น และจะยังคงเกิดขี้นต่อไปเรื่อยๆ หากเราไม่วิเคราะห์ให้ถี่ถ้วนหรือ มีข้อมูลเพียงพอ เชื่อตามที่ตลาดหรือคนอื่นๆ พูดกัน ผมพูดจากประสบการณ์ตรง หวังว่าจะไม่ทำให้นักลงทุนไม่พอใจนะครับ
ส่วนข้ออื่นๆ จะมาเขียนเพิ่มเติมครับ
The miracle of compounding,
- VI Wannabe
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1014
- ผู้ติดตาม: 0
กระทู้เพิ่มพลังความเชื่อในการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 49
ขอบคุณครับคุณ zz99 :Dนี่คือ สิ่งที่เกิดขี้น และจะยังคงเกิดขี้นต่อไปเรื่อยๆ หากเราไม่วิเคราะห์ให้ถี่ถ้วนหรือ มีข้อมูลเพียงพอ เชื่อตามที่ตลาดหรือคนอื่นๆ พูดกัน ผมพูดจากประสบการณ์ตรง หวังว่าจะไม่ทำให้นักลงทุนไม่พอใจนะครับ
สรุปได้โดนใจครับ ขอรอติดตามฟังข้ออื่นๆ ต่อไปครับ :D
"Attempt to be fearful when others are greedy and to be greedy only when others are fearful"
"It's far better to buy a wonderful company at a fair price than a fair company at a wonderful price"
"It's far better to buy a wonderful company at a fair price than a fair company at a wonderful price"
- thaloengsak
- Verified User
- โพสต์: 2716
- ผู้ติดตาม: 1
กระทู้เพิ่มพลังความเชื่อในการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 50
ขอขอบคุณจากใจครับทุกคนสำหรับความรู้ประสบการณ์ที่มาแบ่งปันกัน
ผมซึ้งใจจริงๆที่ได้มาเป็นสมาชิกของที่นี่
อบอุ่นเป็นเสมือนครอบครัวเดียวกันจริงๆ
ผมชื่อ โจ ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ
ผมซึ้งใจจริงๆที่ได้มาเป็นสมาชิกของที่นี่
อบอุ่นเป็นเสมือนครอบครัวเดียวกันจริงๆ
ผมชื่อ โจ ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ
ลงทุนเพื่อชีวิต
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 230
- ผู้ติดตาม: 0
Re: กระทู้เพิ่มพลังความเชื่อในการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 53
มีคนเคยถามผมว่าเวลาหุ้นตกคุณไม่กลัวเหรอ ผมถามกลับว่า สมมุติว่าพี่มีอาชีพขายก๋วยเตี๋ยวเจ้าอร่อยในตลาดเยาวราชเป็นเบอร์ ๑ มาตลอด เคยขายได้วันละ ๑๐๔๐ ชาม(สมมุติตามเซทเลยล่ะกันง่ายดี) แล้วรู้สึกว่าวันสองวันที่ผ่านมา ขายได้ลดลงเหลือ ๑๐๐๖ ชาม (วันล่าสุด ๒๑ มค ๕๔) พี่จะรู้สึกตกใจไหมครับ คำตอบคือไม่ใช่ ใช่ไหมครับ เอาล่ะ ให้เหลือ ๙๐๐ ชาม รู้สึกไหมครับ อาจรู้สึก แต่ไม่มาก เหลือ ๗๐๐ ชาม อาจกลับไปคิดว่าเราทำอะไรไม่อร่อยเหมือนเดิม หรือว่า เศรษฐกิจแย่จริงๆ ผมถามว่าเหลือ ๕๐๐ ชาม จะรู้สึกไหม เขาบอกว่า คงแย่ ผมถามว่า แล้วจะขายร้านไหม เขาตอบว่าคงไม่ เพราะทำเลดี และมีลูกค้าประจำ นั้นแหละครับ คำตอบของผม และผมเชื่อว่าเป็นคำตอบเดียวกับบัฟเฟตต์และอีกหลายๆคนที่ไม่เคยขายกิจการชั้นยอดออกไปแม้ว่าราคามันจะลดลง ๕๐%
ผมว่าสองอาทิตย์ที่ผ่านมา ราคาหุ้นลง ๓ ถึง ๔ เปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่สิ่งที่ต้องตกใจหรอกครับ ถ้าคุณถือหุ้นชั้นยอด
ผมว่าสองอาทิตย์ที่ผ่านมา ราคาหุ้นลง ๓ ถึง ๔ เปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่สิ่งที่ต้องตกใจหรอกครับ ถ้าคุณถือหุ้นชั้นยอด
-
- Verified User
- โพสต์: 125
- ผู้ติดตาม: 0
Re: กระทู้เพิ่มพลังความเชื่อในการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 54
ผมผ่าน subprime มาแล้วเหมือนกัน ตอนนั้นพอร์ตลดลงไปประมาณ 30% หลังจากศึกษาและลงทุนแนว vi มาปีนึง ก็เจอวิกฤตเลย ช่วง subprime พอมีเงินก็ทยอยซื้อเพิ่มมาตลอด มีขายออกบ้างบางตัว จนถึงปัจจุบันไม่เคยนึกว่าพอร์ตจะมาได้ขนาดนี้ ผมขอนั่งยันนอนยันตรงนี้เลยว่า การลงทุนแบบ VI เป็นวิธีการที่ถูกต้องและได้ผลดีมากสำหรับผม ตอนนี้ผมชอบ panic sale ที่สุดในโลกเลย
ปล. ผมไม่เคยใช้ margin ซื้อหุ้นเลย ยึดหลักลงทุนเท่าที่เรามี ไม่ก่อหนี้ ไม่รีบร้อน
ปล. ผมไม่เคยใช้ margin ซื้อหุ้นเลย ยึดหลักลงทุนเท่าที่เรามี ไม่ก่อหนี้ ไม่รีบร้อน
สิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นดับไปเป็นธรรมดา
-
- Verified User
- โพสต์: 3350
- ผู้ติดตาม: 0
Re:
โพสต์ที่ 55
ต้องเบอร์ตองด้วยdome@perth เขียน::evil:por_jai เขียน:้แหมเีรียกซะัเสียเลยdome@perth เขียน:ความสนุก กำลังเริ่ม อีกรอบ.....ไม่เห็นจะท้อแท้เลย น้องเสอิ
อ่านว่าซาอิคุงครับ
เป็นผีสิงอยู่ในกระดานโกะครับ
แต่เล่นโกะเก่งระดับเทพ
มาจากเรื่องฮิคารุเซียนโกะ
พวกบ้านนอกเอ๊ยเมืองนอกเมืองนา
ไม่ค่อยรู้เรื่อง
ต้องมาคอยเล่าให้ฟังอยู่เรื่อยๆ...ฮ่า...[*][*]
อ่านกระทู้แล้วได้กำลังใจดีจริงๆครับ
แต่พอร์ตแด๊งแดง
ไม่เป็นไรครับ จะุถูกจะแพง ให้แดงไว้ก่อน...ฮ่า...
ไม่รุ้ว่าพี่ป้อมก็ชอบสีแดง......ว้าย (พอร์ต) สีเดียวกันเลย อิอิ
show me money.
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 1
Re: กระทู้เพิ่มพลังความเชื่อในการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 57
"ชนะตลาด แต่แพ้ใจตัวเอง...จะมีประโยชน์อันใดเล่า
หากลงทุนแล้วมีความทุกข์ แน่ใจแล้วหรือ...ว่าเรามาถูกทาง?"
สิ่งหนึ่งที่ผมมักจะเขียนทุกๆครั้ง คือ "ขอให้ทุกๆท่านมีความสุขในการลงทุน"
ผมเชื่อว่า "ความสุขและความภาคภูมิใจ" ก็ไม่ได้มีค่าน้อยไปกว่า "กำไร" ที่เราได้มา
"ความสุข"...ที่เราเลือกบริษัทฯดีๆมาอยู่เคียงข้างเรา และมีรอยยิ้มทุกครั้งเมื่อประกาศผลประกอบการออกมา
"ความภาคภูมิใจ"...ที่เราได้ก้าวเดิน และเติบโตไปพร้อมๆกับบริษัทฯที่เราได้เลือกและคัดสรรมาเป็นอย่างดีแล้ว
ผมเชื่อส่วนตัวว่า "หุ้นดีๆ(ที่ยังไม่แพง)...มีไว้กอดครับ"
กอดให้เหมือนในคลิปนี้ของน้องลาเต้เลยนะขอรับ
ที่ http://www.youtube.com/watch?v=nxymE9-eejY
หากลงทุนแล้วมีความทุกข์ แน่ใจแล้วหรือ...ว่าเรามาถูกทาง?"
สิ่งหนึ่งที่ผมมักจะเขียนทุกๆครั้ง คือ "ขอให้ทุกๆท่านมีความสุขในการลงทุน"
ผมเชื่อว่า "ความสุขและความภาคภูมิใจ" ก็ไม่ได้มีค่าน้อยไปกว่า "กำไร" ที่เราได้มา
"ความสุข"...ที่เราเลือกบริษัทฯดีๆมาอยู่เคียงข้างเรา และมีรอยยิ้มทุกครั้งเมื่อประกาศผลประกอบการออกมา
"ความภาคภูมิใจ"...ที่เราได้ก้าวเดิน และเติบโตไปพร้อมๆกับบริษัทฯที่เราได้เลือกและคัดสรรมาเป็นอย่างดีแล้ว
ผมเชื่อส่วนตัวว่า "หุ้นดีๆ(ที่ยังไม่แพง)...มีไว้กอดครับ"
กอดให้เหมือนในคลิปนี้ของน้องลาเต้เลยนะขอรับ
ที่ http://www.youtube.com/watch?v=nxymE9-eejY
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
- thaloengsak
- Verified User
- โพสต์: 2716
- ผู้ติดตาม: 1
Re: กระทู้เพิ่มพลังความเชื่อในการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 58
ขอบคุณมากครับ
มีประโยชน์จริงๆ
มีประโยชน์จริงๆ
ลงทุนเพื่อชีวิต
- picklife
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2567
- ผู้ติดตาม: 0
Re: กระทู้เพิ่มพลังความเชื่อในการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 59
ใครดันกระทู้นี้มาถูกจังหวะจริงๆ^^ Panicกันมันส์เลยครับช่วงนี้^^ เอาใจช่วยเพื่อนๆทุกคนคร๊าบบบ
โดยส่วนตัวก็ไม่รอดครับแห๊ะๆ แต่ยังดีที่ลดมาร์จิ้นตลอดทางจนเหลือเงินสด30% ก็เลยยังพอทน^^
แต่ผมมองว่าไม่น่ากลัวนะครับ ถ้าเราลงเพื่อนๆก็ลง เป็นเรื่องธรรมดาของตลาดมากๆ ถ้าเล่นหุ้นแล้วหุ้นไปอย่างเดียว
ไม่มีลงคงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้^^ แต่หากลงคนเดียวเพื่อนๆไม่ลงนี่ซิคงเครียด^^
สุดท้ายช่วงนี้ผมว่าเป็นช่วงที่ไม่ควรปิดคอมหนีจากตลาดไปเป็นอย่างยิ่ง เพราะตลาดPanicมาลงทุกตัวจริงๆ
แต่งบก็ใกล้ออกมากๆ ดังนั้นน่าจับตาดูบริษัทที่ผลประกอบการณ์ออกมาดีๆ เชื่อว่าเป็นโอกาสมากๆๆๆๆครับ^^
โดยส่วนตัวก็ไม่รอดครับแห๊ะๆ แต่ยังดีที่ลดมาร์จิ้นตลอดทางจนเหลือเงินสด30% ก็เลยยังพอทน^^
แต่ผมมองว่าไม่น่ากลัวนะครับ ถ้าเราลงเพื่อนๆก็ลง เป็นเรื่องธรรมดาของตลาดมากๆ ถ้าเล่นหุ้นแล้วหุ้นไปอย่างเดียว
ไม่มีลงคงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้^^ แต่หากลงคนเดียวเพื่อนๆไม่ลงนี่ซิคงเครียด^^
สุดท้ายช่วงนี้ผมว่าเป็นช่วงที่ไม่ควรปิดคอมหนีจากตลาดไปเป็นอย่างยิ่ง เพราะตลาดPanicมาลงทุกตัวจริงๆ
แต่งบก็ใกล้ออกมากๆ ดังนั้นน่าจับตาดูบริษัทที่ผลประกอบการณ์ออกมาดีๆ เชื่อว่าเป็นโอกาสมากๆๆๆๆครับ^^
เม่าน้อยคลำทางหาแสงไฟ