ฮือฮา!! สวนสยาม จ่อตบเท้าเข้าตลาดหุ้น กลางปี 55

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
Pu
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 393
ผู้ติดตาม: 0

Re: Re:

โพสต์ที่ 91

โพสต์

JN_5480 เขียน: Fat Fest 3 ครับ ปีนั้นเป็นความทรงจำจริงๆครับ..

ติดต่อ Fat ให้ไปจัดที่สวนสยามอีกได้ไหมครับ
ก็มีการพูดคุยกันอยู่เสมอครับ แต่น่าจะยากครับ เนื่องจากพอเราติดตั้งเครื่องเล่นใหม่ที่หลายตัวมีขนาดใหญ่ เช่น

1. Vortex ใช้พื้นที่เกือบ 6 ไร่
2. Log Flume ใช้พื้นที่ 6 ไร่เศษ
3. African Adventure ใช้พื้นที่ 10 ไร่เศษ
4. Grand Canyon Express (กำหนดเปิดไตรมาศ3หรือไตรมาศ4ปีนี้) ใช้พื้นที่ประมาณ 7 ไร่

ทำเราไม่มีพื้นที่ที่จะสามารถใช้จัดเวทีที่หลายหลายได้เช่นเดิมครับ
"If you took our top fifteen decisions out, we’d have a pretty average record. It wasn’t hyperactivity,but a hell of a lot of patience. You stuck to your principles and when opportunities came along,you pounced on them with vigor"-Charlie Munger
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ii'8N
Verified User
โพสต์: 3682
ผู้ติดตาม: 0

Re: ฮือฮา!! สวนสยาม จ่อตบเท้าเข้าตลาดหุ้น กลางปี 55

โพสต์ที่ 92

โพสต์

canuseeme เขียน: 3.ทีนี้ว่า เข้า ตลาดเพื่อระดมทุน ขอ story ของการเติบโต ต่อไป แบบ ย่อๆได้มั้ยครับ

ประมาณว่า จะขยาย สวนน้ำ ไป ประจำ ภูมิภาค หรือ ไป ตปท
หรือ ที่เดิม แต่ จะอลังการ แบบ ดีสนี่
[/quote]


ประเทศเพื่อนบ้าน ลาว กัมพูชา เวียดนามนี่น่าสนใจ เพราะคู่แข่งด้านนี้ยังน้อย ตลาดยังถือว่าเป็น Blue Ocean อยู่... ชายแดนดูเหมือนทะเลาะมองหน้ากันไม่ติด แต่นั่นแค่เกมการเมืองหน้าฉากที่ผู้นำประเทศเขาเล่นกัน
ในภาคธุรกิจ บริษัทคนไทยยังขยายไปโกยเงินในบ้านเพื่อนบ้านกันเยอะเรื่อยๆ ไปไหนมาไหน ไปตลาด ไปกินข้าว ก็เจอคนไทยทั่วไปหมด

แต่เมียนม่่าร์ (พม่า) นี่...เสียดายที่ฐานประชากรผู้บริโภคใหญ่รองจากไทย ชาวบ้านทั่วไปมีน้ำใจ อัธยาศัย และซื่อสัตย์ ทรัพยากรธรรมชาติ อากาศดี อยู่สบาย
ค้าขายสินค้าชายแดน ไม่ปักหลักนี่พอไหว แต่ที่บอกเสียดายเพราะที่ไม่ไหวสำหรับการค้าขนาดใหญ่ ถ้าต้องใช้สินทรัย์ถาวรไปทิ้งไว้ในประเทศ...บรรยากาศดูไม่เหมาะจะทำธุรกิจ ทำไปทำมา ถ้ารุ่งอาจถูกฮุบเอาได้ง่ายๆ



พูดจากประสบการณ์งานที่ทำอยู่ และไปๆ มาๆ แถวนี้ .... ถ้ามี project จะขยายในภูมิภาค (ยกเว้นเมียนม่่าร์ :twisted: ) เติบโตได้เห็นๆ โดยเหนื่อยไม่มาก เข้าตลาดเมื่อไหร่จะรีบซื้อหุ้นก่อนเพื่อนเลย
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ii'8N
Verified User
โพสต์: 3682
ผู้ติดตาม: 0

Re: ฮือฮา!! สวนสยาม จ่อตบเท้าเข้าตลาดหุ้น กลางปี 55

โพสต์ที่ 93

โพสต์

ไหนๆ ก็พูดถึงเรื่องนี้แล้ว
ลองอ่านมุมมองนักบุกเบิกด้านนี้ดู


ตอนนี้ ค่อนข้างแนใจว่าธุรกิจของเสี่ยอ๊อด ลูกชายนายห้างไทยนครพัฒนา อยู่ในเพื่อนบ้านขนาดใหญ่กว่าในไทย
เป็น brand แถวหน้าทั้งนั้นในประเทศเพื่อนบ้าน อยู่ในไทยจะรู้จักแต่แอนตาซิลแจกแผลแตกตอนชกมวย แต่นอกบ้านธุรกิจของเขากว้างขวางใหญ่โต

ผมไม่ได้อยู่แวดวงธุรกิจด้านนี้นะ แต่เฝ้าดูและเห็นการเจริญเติบโตของธุรกิจไทยเป็นธุรกิจระดับภูมิภาคจริงได้แบบนี้ ก็เป็นปลื้มด้วย
เห็นมาตั้งแต่ยังไม่มีอะไร แม้กระทั่งเป็นเหยื่อเคยถูกเผาเชิงสัญลักษณ์ (ทั้งๆ ที่ผู้มีอำนาจมีเอี่ยวกับธุรกิจอยู่บ้าง) ยังกลับมาโตได้อีก และกลับมาใหญ่กว่าเดิม


http://www.brandage.com/Modules/Desktop ... oupID=1206



มุมมองศุภชัย วีระภุชงค์ นักบุกเบิกไทยในอินโดจีน
ขนิษฐา อดิศรมงคลชัย
มุมมองศุภชัย วีระภุชงค์
นักบุกเบิกไทยในอินโดจีน

“สำหรับผมไม่มีคำว่าสายเกินไปในการทำธุรกิจ”
นี่คือมุมมองส่วนตัวของ คุณศุภชัย วีระภุชงค์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยนครพัฒนา จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายยาประเภทโอทีซีรายใหญ่ของประเทศไทย ซึ่งแม้ว่าเขาจะเป็นนักลงทุนไทยรายแรกๆ ที่เข้าไปบุกเบิกการค้าขายในภูมิภาคอินโดจีนครอบคลุมประเทศลาว กัมพูชา และเวียดนามมานานเกือบ 20 ปีก็ตาม แต่ก็ยังมองว่า 3 ประเทศดังกล่าวยังมีโอกาสที่เปิดกว้าง และศักยภาพในการลงทุนอย่างล้นเหลือ
อย่างเช่นที่ไทยนครเข้าไปสร้างอาณาจักรเทรดดิ้งขายยาที่ลาวเมื่อต้นปี 1991 ปลายปีของปีเดียวกันเข้าไปทำธุรกิจจัดจำหน่ายยา ตามด้วยสนามกอล์ฟ ,โรงงานน้ำดื่ม , สถานีโทรทัศน์ และธุรกิจโรงแรม 2 ในเสียมราฐ และพนมเปญ อีก 2 ปีถัดมาเข้าไปเปิดโรงงานผลิตและจัดจำหน่ายยา และโรงงานน้ำดื่มที่เวียดนาม
“อยู่ที่ว่าคุณส่ง The Right Person ไปคุมเกมได้รึเปล่า เรื่องความพร้อมของทรัพยากรบุคคลจึงเป็นเรื่องสำคัญมากกว่าปัจจัยการลงทุน”

Getting to Know…
จากประสบการณ์เกือบ 20 ปีเต็มของการลงทุนในภูมิภาคอิโดจีนของคุณศุภชัย ชี้ว่านักลงทุนรายใหม่ที่จะเข้าไปจะต้องทำความเข้าใจในธรรมชาติ และวิธีคิดของคนท้องถิ่น โดยเฉพาะกัมพูชา และเวียดนามที่ไม่เหมือนกัน
เริ่มจากประเทศกัมพูชาที่ผ่านสงครามมาตั้งแต่ปี 1979 หรือ 30 ปีที่ผ่านมา ดังนั้นคนที่อยู่ในวัยค้าขายในปัจจุบันจะมีอายุราว 45-60 ปี เพราะหากต่ำกว่า 45 ปียังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจยุคสงครามในช่วงนั้น
ดังนั้น กลุ่มนักธุรกิจที่พบอยู่ตอนนี้จะมีอายุ 45 ปี ขึ้นไป ซึ่งล้วนแต่ผ่านประสบการณ์การใช้ชีวิตในช่วงสงครามที่คิดเพียงว่าจะผ่านวันนี้ไปได้อย่างไร จะมีกินไหม หรือคิดแบบวันต่อวันไม่มีคำว่า Tomorrow ซึ่งมีผลพวงต่อเนื่องมาถึงการทำธุรกิจในปัจจุบันของเขา เพราะเมื่อมาเจอกับนักธุรกิจต่างชาติซึ่งอยู่ในประเทศที่พัฒนาแล้วและไม่มีประสบการณ์กับภาวะสงครามก็จะสะท้อนให้เห็นถึงพื้นฐานและวิธีคิดของการทำธุรกิจว่า
เปรียบเสมือน “ปลาคนละน้ำ”
ไม่ใช่เรื่องความฝังใจ หรืออคติกับชาวตะวันตก แต่เกี่ยวข้องในแง่วิธีคิดของการทำธุรกิจ ตั้งแต่การทำตลาด นโยบายการกำหนดราคา กระทั่งวิชั่นหรือยุทธศาสตร์ของบริษัทก็มีทิศทางแตกต่างกัน ด้วยธรรมชาติของคนกัมพูชาที่มีประสบการณ์การเอาตัวรอดไปวันๆ จากสงคราม จึงมักมองธุรกิจแบบ Short Term ต่างจากนักธุรกิจข้ามชาติที่ต้องการทำธุรกิจ Long Term เช่นมีวิธีเรื่องการสร้างภาพลักษณ์ตามหลักธรรมาภิบาล ฉะนั้นเมื่อนักลงทุนต่างสัญชาติมาหุ้นกันแล้วย่อมมีความคิดไม่เหมือนกัน
แน่นอนว่ามักไปด้วยกันไม่ได้ตลอดรอดฝั่ง เรื่องนี้จึงเป็นปัญหาที่พบเห็นมากของการทำธุรกิจในกัมพูชา
สำหรับเวียดนามแม้จะผ่านภาวะสงครามมาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง แต่จะอยู่คนละแนวกับกัมพูชา กล่าวคือ สืบเนื่องมาจากระบบการปกครองของเวียดนามเป็นสังคมนิยม ในขณะที่กัมพูชามีรูปแบบการปกครองแบบประชาธิปไตย ทำให้การทำธุรกิจร่วมกับคนเวียดนามจะมีปัญหาน้อยกว่า เพราะนักธุรกิจต่างชาติที่ไปลงทุนจะไปหุ้นกับภาครัฐในฐานะผู้ถือครองที่ดินทั้งหมด 100% ต่างกับกัมพูชาที่รัฐปล่อยให้เช่าเอกชนเช่า 70 ปี หรือ 99 ปี และอนุญาตให้เอกชนซื้อขายที่ดินได้
ฉะนั้นการที่นักลงทุนไปลงทุน โดยเฉพาะในจังหวัดใหญ่ อย่างดอกนาย หรือเมืองหลักๆ อย่างโฮจิมินห์ซิตี้ หรือฮานอย จะมีสภาจังหวัด หรือกรมการลงทุนจังหวัดร่วมหุ้นด้วย โดยลงทุนในลักษณะเป็นที่ดินของรัฐ จากนั้นให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในด้านการเงิน เครื่องจักร โนว์ฮาว และการตลาด
ชี้ให้เห็นว่าการถือหุ้นในแง่นิติบุคคลที่มาถือของทั้ง 2 ประเทศจะไม่เหมือนกัน กล่าวคือ กัมพูชาถือครองโดยเอกชน แต่ในเวียดนามจะมีรัฐเป็น State Own Enterprise เข้ามาถือหุ้นด้วย
จุดนี้กลายเป็นข้อดีด้วยซ้ำ เพราะการที่กระทรวงอุตสาหกรรมจังหวัด หรือสาธารณสุขจังหวัดเข้ามาถือหุ้นก็จะส่งข้าราชการมาเป็นตัวแทนของหน่วยงานนั้นๆ ในตำแหน่งกรรมการ หรือบอร์ด คนกลุ่มนี้จึงไม่ได้มองตัวเองว่ามีความเป็นเจ้าของ แต่เป็นเพียงข้าราชการทำหน้าที่ตัวแทนของรัฐทำงานตามนโยบายของพรรคคอมมิวนิสต์จังหวัดนั้นๆ การดำเนินธุรกิจก็จะทำตามหลักการที่วางไว้ ดังนั้นปัญหาสำหรับธุรกิจใหญ่ๆ ที่เข้าไปลงทุนก็จะน้อยกว่า
ยกเว้นถ้าไปลงทุนกับนักธุรกิจเวียดนาม หรือพูดง่ายๆ ว่า ระหว่างนักธุรกิจ Individual กับ Individual ด้วยกันก็จะเข้าข่ายปัญหาเดียวกับกัมพูชา เนื่องจากมีวิธีคิดต่างกันอย่างที่เกริ่นไปแล้วข้างต้น
“การผ่านประสบการณ์สงครามทำให้คนเวียดนามมีวิธีคิดคล้ายกับกัมพูชา คือคิดแบบเอาตัวรอด นักธุรกิจที่เริ่มทำธุรกิจใน 15 ปีที่ผ่านมาก็จะเป็นแบบนี้ซึ่งจะไม่ค่อยมีหลักธรรมาภิบาล ความน่าเชื่อถือในคำพูดหรืออะไรก็แล้วจะค่อนข้างน้อย ตรงนี้ไม่ผิด เพราะเป็นใครที่ผ่านประสบการณ์เหล่านี้มาย่อมคิดไม่ต่างกัน ดังนั้นนักธุรกิจต่างชาติที่จะเข้าไปลงทุนต้องเข้าใจวิธีคิดของเขาก่อน ที่สำคัญต้องอดทน และมีการวางระบบที่รัดกุม”
สำหรับข้อจำกัด และอุปสรรคในการทำธุรกิจแต่ละประเทศนั้น คุณศุภชัย มองว่าทุกประเทศกลายเป็นระบบทุนนิยมเสรีกันหมดแล้ว หลังได้ปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจมาโดยตลอด จากที่ระบบข้าราชการของรัฐทั้งสองประเทศนี้เคยมีปัญหามาก กฎหมายมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เพราะทั้งสองประเทศถูกอิทธิพลของลัทธิสังคมนิยมเข้ามาครอบงำ และต้องการเปลี่ยนเป็นทุนนิยมซึ่งขัดกับหลักการปกครองโดยตรง
การปรับรูปแบบการปกครองระบบสังคมนิยมที่ต้องการนโยบายการค้าขายให้เป็นทุนนิยมเสรีตามรอยผู้นำจีน เติ้ง เสี่ยวผิง ของเวียดนามใช้เวลาเป็นสิบปีเช่นเดียวกับกัมพูชา โดยทั้งสองประเทศนี้เรียนรู้บทเรียนความสำเร็จและความล้มเหลวจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างประเทศไทยในการออกกฎหมายต่างๆ ทำให้กฎหมายในประเทศกัมพูชา และเวียดนามมีลักษณะคล้ายคลึงกับไทย เพียงแต่พยายามแก้บางจุดที่ไทยเคยล้มเหลว โดยปิดช่องโหว่ตรงนั้น
“ยกตัวอย่างประเทศเวียดนามจากเดิมการนำเข้าสินค้าใดๆ จะต้องผ่านรัฐ ตามมาตรการที่ให้ Importer จะต้องเป็นรัฐเท่านั้น ต่อมาภายหลังมีการปรับเปลี่ยนกฎหมายยอมให้นักธุรกิจเวียดนามนำเข้าได้ จนในปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติสามารถขึ้นทะเบียนค้าขายทำเทรดดิ้งได้”
ในขณะที่กัมพูชามีทิศทางในการพัฒนาคล้ายกัน เพียงแต่ว่าระบบการปกครองของ 2 ประเทศต่างกัน คือ กัมพูชาปกครองแบบประชาธิปไตย และมีการเลือกตั้ง ส่วนเวียดนามก็มีการเลือกตั้งเช่นกัน แต่มีพรรคเดียว คือพรรคคอมมิวนิสต์ ฉะนั้นการเมืองเวียดนามจะมั่นคงมากเหมือนจีน นักลงทุนที่เข้าไปไม่ต้องห่วงเรื่องการเมือง เพราะการมีพรรคเดียวทำให้มีเสถียรภาพมาก สัญญาที่ตกลงกับนักลงทุนก็จะเป็นไปตามข้อตกลงนั้นๆ
อย่างไรก็ดี ถ้าลงลึกไปในรายละเอียดในเรื่องการเมืองของกัมพูชาเทียบกับเวียดนามแล้ว การเมืองกัมพูชาจะ Fluctuate มากกว่า สืบเนื่องตั้งแต่การเข้าไปของ UNCTAD ในปี 1991 จากนั้นปี 1993 ในการเลือกตั้ง ทำให้กัมพูชามีนายกรัฐมนตรี 2 คน คือเจ้ารณฤทธ์ และสมเด็จฮุนเซน ทำให้บรรยากาศการลงทุนระหว่างปี 1993-1996 ถดถอยไปในระดับหนึ่ง เพราะการเมืองไม่นิ่ง นักลงทุนไม่มั่นใจ ช่วงนี้จึงอยู่ในช่วงตั้งไข่หาทิศทางในการแก้ปัญหาการเมืองในประเทศก่อนเรื่องอื่น จนกระทั่งเกิดวิกฤตการเมืองมีการปฏิวัติเมื่อ 1997 และสมเด็จฮุนเซนขึ้นมีอำนาจเบ็ดเสร็จจากการเลือกตั้งในปี 2004 ทำให้การเมืองมีเสถียรภาพเรื่อยมาจนทำให้เศรษฐกิจฟื้นกลับมาเปรี้ยงปร้างอีกครั้งในปี 2007-2008 นักลงทุนจากจีน เกาหลี ไต้หวัน มาเลเซียตบเท้าเข้าไปลงทุนเยอะ
คุณศุภชัย ตั้งข้อสังเกตเพิ่มเติมในเรื่องการเมืองในกัมพูชาว่า ปัญหาการเมืองระหว่างไทยกับกัมพูชา หรือแม้แต่การเมืองของประเทศไทยเองจะส่งผลกระทบอย่างมากกับบรรยากาศการลงทุนในกัมพูชา ลาว และพม่า เพราะ 3 ประเทศนี้ใช้ไทยเป็นฮับ ไม่ว่าจะในแง่นักลงทุน หรือนักท่องเที่ยวที่จะไป 3 แห่งนี้จะอาศัยสนามบินสุวรรณภูมิเป็นทางเข้า เมื่อการเมืองไทยมีปัญหาจะทำให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยว และการค้าขายของ 3 ประเทศนี้ชะลอตัวไปด้วย ในขณะที่เวียดดนามจะได้รับกระทบน้อย เพราะปัจจุบันเวียดนามเป็นฮับใหญ่เหมือนประเทศไทย

Potential & Attraction
เมื่อพูดถึงอุปสรรคของการทำธุรกิจของแต่ละประเทศไปแล้ว ก็มาถึงโอกาส ศักยภาพ และความน่าดึงดูดในการเข้าไปลงทุนกันบ้าง
ไล่ตั้งแต่กัมพูชาที่มีภูมิประเทศเป็นที่ราบลุ่ม ภูเขาน้อย มีแม่น้ำโขง และทะเลสาบยาว 200 กิโลเมตรครอบคลุม 6 จังหวัด เท่ากับเป็นอู่ข้าวอู่น้ำอย่างดี จึงเอื้อต่อการทำธุรกิจด้านการเกษตรไม่ว่าจะเป็นอ้อย ยางพารา กระดาษ และข้าว แต่ปัญหาในวันนี้ คือ ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากทะเลสาบได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากขาดระบบชลประทานที่ดี หากไม่มีปัญหาตรงนี้จะทำให้กัมพูชาสามารถทำนาข้าวได้ตลอดปี ทั้งยังเปิดกว้างในธุรกิจพลังงาน เพื่อป้อนแก่ประเทศเพื่อนบ้านที่ยังขาดแคลน
“ตั้งแต่ไทยนครเข้าไปทำเทรดดิ้งบริษัทยาในปี 1992 เราก็เห็นศักยภาพทางธุรกิจในกัมพูชาเรื่อยมา ประกอบกับได้เห็นเมืองเสียมราฐ สีหนุวิว ความอุดมสมบูรณ์ของทะเลสาบ และประวัติศาสตร์ที่มีครั้งหนึ่งเคยมีความเจริญมาก เพราะเป็นเมืองขึ้นฝรั่งเศสเมื่อ 50 ปีก่อน และมีท่าเรือใหญ่กัมปงสม ในแง่ภูมิประเทศก็มีทางออกทะเล มีทรัพยากรป่าไม้ มี World Heritage อย่างนครวัด นครธม เรียกว่ามีศักภาพเกือบทุกอย่างเพียงแต่ขาดการบริหารจัดการ ไทยนครจึงมีพอร์ตการลงทุนในกัมพูชามากที่สุด โดยขยายเข้าไปในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทั้งโรงแรม สนามกอล์ฟ สถานีโทรทัศน์ และโรงงานน้ำดื่ม”
ในขณะที่เวียดนามเป็นประเทศที่มีศักยภาพในธุรกิจด้านการเกษตร เพราะระบบชลประทาน อุตสาหกรรมเอื้ออำนวยมีความได้เปรียบทางจุดยุทธศาสตร์ประเทศที่ดี สามารถทำท่าเรือน้ำลึกได้เกือบทุกจังหวัด อีกประการหนึ่งมีแม่น้ำเดลต้าทำให้พัฒนาการเกษตรได้ดี แต่อาจมีปัญหาน้ำท่วมหากปีไหนน้ำมากขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการน้ำ
สำหรับลาวนั้น เนื่องจากประเทศมีขนาดเล็กมีประชากรเพียง 7 ล้านคน ซ้ำยังมีความหนาแน่นของประชากรน้อยทำให้มีปัญหาเรื่องการกระจายสินค้า หรือ Distribution Channel จึงไม่เหมาะกับธุรกิจค้าขายโดยทั่วไป เพราะประชากรจะกระจุกตัวอยู่ในเมืองหลักเท่านั้น เช่น เวียงจันทน์ หลวงพระบาง จำปาสัก และสุวรรณเขต ดังนั้นลาวมักจะถูกวางตำแหน่งเป็นทางผ่านที่เชื่อมระหว่างไทยกับเวียดนาม
อย่างไรก็ดี ธุรกิจที่น่าเข้าไปลงทุนในตอนนี้จะเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติเป็นหลัก โดยเฉพาะทรัพยากรป่าไม้ การทำเขื่อนพลังงานน้ำ โรงไฟฟ้าถ่านหิน และเหมืองทองแดง
“เมื่อเทียบสัดส่วนแล้ว ไทยนครลงทุนในประเทศลาวน้อยที่สุด คือมีเพียงธุรกิจเทรดดิ้งขายยาชื่อบริษัท ไทยเมด (เมดดิซีน) ค้าขายแต่ยา แล้วมีเจ้าหน้าที่ลาวค้าขายอยู่ บริษัทไม่มีแผนลงทุนที่นั่น ทั้งๆ ที่บริษัทเข้าไปค้าขายเกือบ 20 ปีเต็มตั้งแต่ปี 1991 และเป็นประเทศแรกในภูมิภาคอินโดจีนที่เข้าไป ตลาดยาก็เติบโตแต่เติบโตตามจำนวนประชากร ส่วนศักยภาพด้านการท่องเที่ยวผมมีความคิดว่ายังเป็นรองจากกัมพูชา และเวียดนามเยอะ เพราะลาวเป็นประเทศเล็กกึ่งปิดไม่มีทางออกทะเล และไม่มีสนามบินขนาดใหญ่”
ทั้งนี้รัฐบาลแต่ละประเทศพยายามออกมาตรการเพื่อเอื้ออำนวยแก่นักลงทุนต่างชาติ โดยให้สิทธิประโยชน์หลายด้านด้วยกัน
โดยรัฐบาลกัมพูชาเปิดกว้างให้นักลงทุนต่างชาติเข้าไปลงทุนด้านการเกษตรด้วยการให้เช่าที่ดินนานถึง 99 ปี และให้สิทธิ์การถือหุ้นโดยเอกเชน 100% ได้ ยกเว้นที่ดินที่ต้องเป็นคนท้องถิ่นถือครอง 51% (เหมือนประเทศไทย) แต่มีสิทธิ์ซื้อขายที่ดินได้
ส่วนเวียดนามเปิดโอกาสให้เอกชนถือหุ้น 100% ยกเว้นกรณีที่ดินต้องเช่ารัฐบาลตามสัญญาเช่า 50 ปีแล้วต่อสัญญาใหม่ (เหมือนประเทศจีน) โดยค่าเช่าจะต่างกันตามทำเลแบ่งเป็น พื้นที่เกษตร พื้นที่อุตสาหกรรม พื้นที่ที่อยู่อาศัย ซึ่งรัฐจะมีไกด์ในการกำหนดราคาเช่าแต่ละพื้นที่มาให้ ในกรณีมูลค่าการลงทุนไม่ถึง 10 ล้านเหรียญสหรัฐ รัฐบาลเวียดนามจะให้อำนาจของแต่ละจังหวัด (Decentralize) ในการอนุมัติคิดค่าเช่ากับนักลงทุนโดยตรง
สำหรับสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีของทั้งเวียดนาม และกัมพูชามีความใกล้เคียงกัน เนื่องจากยกเว้นภาษีให้กับนิติบุคคลนาน 8 ปี เพียงแต่เวียดนามจะให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีดีกว่า 5%
“กัมพูชาเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล 25% ส่วนเวียดนาม 20% แล้วถ้าใครลงทุนเยอะนอกจากไม่ต้องเสียภาษี 8 ปี ยังมีบวกให้อีก คือ ลด 50% ต่อไปอีก 3 ปี โดยรวมแล้วการค้าขายที่นี่สะดวกสบายกว่า ระบบการลงทุน ระบบภาษีทำให้ประเทศนี้พร้อมที่จะวิ่งได้”
ความได้เปรียบอีกประการหนึ่งของเวียดนามคือ ระบบปกครองแบบสังคมนิยม ทำให้รัฐบาลมีขั้นตอนการตัดสินใจเร็วในการแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด
ยกตัวอย่าง เมื่อปี 2008 เวียดนามต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ และกำลังซื้อจึงออกนโยบายลดภาษีเงินนิติบุคคลให้กับห้างร้านตั้งแต่เดือน 7-12 โดยยกเว้นการเสียภาษีที่เก็บ 30%
ในปี 2009 ยกเว้นภาษี 30% ตลอดทั้งปี (แต่ต้องเป็นธุรกิจขนาดกลางขึ้นไปมีพนักงานไม่เกิน 300 คน หรือเงินลงทุนไม่เกิน 5 แสนเหรียญ เพื่อซัพพอร์ตธุรกิจขนาดย่อมและกลาง)
เมื่อเทียบกันแล้วกัมพูชาจะมีอุปสรรคการลงทุนในด้านภาษีมากกว่า เพราะส่วนใหญ่แล้วรายได้ประเทศมาจากภาษีหัก ณ ที่จ่าย 12% จึงจะเป็นปัญหาต่อค่าเช่า ค้าจ้างทำของ และภาษีเงินกู้จากต่างประเทศ อีกประการหนึ่งของคืออินฟราสตักเจอร์ไม่พร้อม เช่น ถนน หรือไฟฟ้าแพงกิโลวัตต์ละ 7 บาท แพงกว่าไทยเท่ากว่า

Golden Opportunities!
“โอกาสทำธุรกิจเปิดอยู่ตลอดเวลา ธุรกิจไม่มีคำว่าสาย แต่อยู่ที่การประเมินตัวเองว่าเรามีความพร้อมที่จะเข้าไปทำธุรกิจในประเทศนั้นๆ ไหม แต่ไม่มีคำว่าสายสำหรับการทำธุรกิจ เพราะประเทศเขาเป็นประเทศเสรีเปิดกว้างให้นักลงทุนเข้าไป”
ทั้งนี้ กัมพูชาจัดให้มีกรมการลงทุน CDC (Council for Development of Cambodia) ในขณะที่เวียดนามมีกระทรวง MPI (Ministry of Planning and Investment ในสังกัด Foreign Investment Agency) ด้วยวัตถุประสงค์ที่ต้องการดึงนักลงทุนต่างชาติให้เข้าดำเนินธุรกิจได้อย่างสะดวกรวดเร็ว พร้อมระบบ One Stop ในการทำเอกสารทั้งหมดโดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ทั้งยังมีการแข่งขันการให้สิทธิประโยชน์โดยศึกษาประเทศเพื่อนบ้านเพื่อที่จะดึงนักลงทุน
จะเห็นได้ว่าทุกประเทศเปิดรับนักลงทุนมาก เพราะต้องการได้โนว์ฮาว และเงินมาร่วมพัฒนาประเทศ เพียงแต่วันนี้รัฐบาลอาจจะสกรีนโปรเจ็กต์มากกว่าในอดีต หลังจากเศรษฐกิจเริ่มที่จะแข็งแรงในระดับหนึ่ง ฉะนั้นจึงมีความคิดในการจำกัดธุรกิจบางประเทศที่อาจเข้าไปสร้างปัญหาให้กับสิ่งแวดล้อม สังคม และวัฒนธรรม
“แต่สิ่งที่นักลงทุนต้อง Concern หากต้องการเข้าไปลงทุน นอกจากความพร้อมด้านเงินทุนแล้ว ความสำเร็จของนักธุรกิจที่จะเข้าไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านขึ้นอยู่กับบุคลากรมาเป็นอันดับหนึ่ง โดยจะต้องส่งคนที่เข้าใจคนในชาตินั้นๆ ทั้งในแง่สังคม วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ ว่าเขาคิดอย่างไร แต่โดยทั่วไปแล้วคนเวียดนาม และกัมพูชาเปิดรับอะไรได้ง่าย เพราะเขาคิดไม่ต่างจากไทย คือ นับถือพุทธเหมือนกัน พื้นฐานด้านภาษาก็คล้ายกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกัมพูชานั้น กลุ่มคนที่กุมธุรกิจค้าขายเกือบทุกประเภทกว่าครึ่งเป็นคนจีนแต้จิ๋ว ฉะนั้นเวลาไปก็เหมือนค้าขายกับคนจีน โมเดลนี้คล้ายกับไทยซึ่งทำธุรกิจโดยคนจีน”
นอกจากนี้จะต้องศึกษากฎหมายในแต่ละประเทศ และติดตามสถานการณ์การเมือง โดยเฉพาะในธุรกิจขนาดใหญ่ก็จะมีผลกระทบกับธุรกิจได้เหมือนกัน อย่างเหตุการณ์เขาพระวิหาร และการปักเขตพรมแดน จะสร้างความไม่เข้าใจระหว่างประชาชนกับประชาชนในระดับหนึ่ง จึงกลายเป็นตัวแปรที่ไม่ควรมองข้าม
ต่างจากเวียดนามที่ผ่านจุดขัดแย้งทางด้านการแบ่งแยกทางเชื้อชาติไปแล้ว เพราะคนเวียดนามมองในแง่ของธุรกิจ และการพัฒนาประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่นำเรื่องประวัติศาสตร์มาเป็นประเด็น
สรุปว่าไม่ใช่เรื่องยากหากส่ง Right Person ไป เมื่อรู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งก็ชนะร้อยครั้ง...
Power Bank
Verified User
โพสต์: 201
ผู้ติดตาม: 0

Re: ฮือฮา!! สวนสยาม จ่อตบเท้าเข้าตลาดหุ้น กลางปี 55

โพสต์ที่ 94

โพสต์

ผมเสนอให้มีบอกว่าเครื่องเล่นไหนเปิดหรือปิดบนเว็บไซต์ด้วยครับ สะดวกสำหรับนักท่องเที่ยวดี เหมือนเราจะไปดูหนังเดี๋ยวนี้คนส่วนใหญ่ก็ดูรอบหนังจากในเว็บหรือไม่ก็มือถือก่อน คนที่อยากจะเล่นผมว่าเค้าไปแน่ๆอยู่แล้ว เมื่อไปแล้วก็อยากจะได้เล่นเครื่องที่ตั้งใจไว้ด้วย :D
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ii'8N
Verified User
โพสต์: 3682
ผู้ติดตาม: 0

Re: ฮือฮา!! สวนสยาม จ่อตบเท้าเข้าตลาดหุ้น กลางปี 55

โพสต์ที่ 95

โพสต์

เริ่ม Road Show แล้วเหรอครับ :D


http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f ... &start=284
07:38ย ย 09/03/2011ย ย
สรุปข่าวธุรกิจ หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

9 มี.ค.--โพสต์ทูเดย์

Distributor - Bisnews AFE


สวนสยามดึงต่างชาติเที่ยวชดเชยต้นทุนพุ่ง
สวนสยาม โรดโชว์ต่างประเทศ หวังดูดลูกค้าต่างชาติชดเชยต้นทุนพุ่ง แต่ยังไม่ขึ้นราคาคาด 3-5 ปี
เพิ่มลูกค้า 3 ล้านคน
นายวุฒิชัย เหลืองอมรเลิศ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซิตี้วอล์ค ผู้บริหารสวนสยาม เปิดเผยว่า ปีนี้
บริษัทได้ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ออกเดินสายโรดโชว์ต่างประเทศต่อเนื่องตลอดทั้ง
ปีนี้ เนื่องจากต้องการเพิ่มกลุ่มลูกค้าชาวต่างประเทศให้เข้ามาใช้บริการเพิ่มมากขึ้น เพราะลูกค้าต่างชาติมี
กำลังซื้อค่อนข้างสูง เช่น ลูกค้าชาวอินเดียในเมืองมุมไบ อินโดนีเซีย รัสเซีย ฮ่องกง และไต้หวัน--จบ--
Pu
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 393
ผู้ติดตาม: 0

Re: ฮือฮา!! สวนสยาม จ่อตบเท้าเข้าตลาดหุ้น กลางปี 55

โพสต์ที่ 96

โพสต์

Ii'8N เขียน:เริ่ม Road Show แล้วเหรอครับ :D


http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f ... &start=284
07:38ย ย 09/03/2011ย ย
สรุปข่าวธุรกิจ หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

9 มี.ค.--โพสต์ทูเดย์

Distributor - Bisnews AFE


สวนสยามดึงต่างชาติเที่ยวชดเชยต้นทุนพุ่ง
สวนสยาม โรดโชว์ต่างประเทศ หวังดูดลูกค้าต่างชาติชดเชยต้นทุนพุ่ง แต่ยังไม่ขึ้นราคาคาด 3-5 ปี
เพิ่มลูกค้า 3 ล้านคน
นายวุฒิชัย เหลืองอมรเลิศ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซิตี้วอล์ค ผู้บริหารสวนสยาม เปิดเผยว่า ปีนี้
บริษัทได้ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ออกเดินสายโรดโชว์ต่างประเทศต่อเนื่องตลอดทั้ง
ปีนี้ เนื่องจากต้องการเพิ่มกลุ่มลูกค้าชาวต่างประเทศให้เข้ามาใช้บริการเพิ่มมากขึ้น เพราะลูกค้าต่างชาติมี
กำลังซื้อค่อนข้างสูง เช่น ลูกค้าชาวอินเดียในเมืองมุมไบ อินโดนีเซีย รัสเซีย ฮ่องกง และไต้หวัน--จบ--
ครับ อังคารนี้จะไป Moscow กลับมาแล้วมีไปฮ่องกง ไต้หวัน แล้วก็จาการ์ต้าอีกรอบครับ :D
"If you took our top fifteen decisions out, we’d have a pretty average record. It wasn’t hyperactivity,but a hell of a lot of patience. You stuck to your principles and when opportunities came along,you pounced on them with vigor"-Charlie Munger
Pu
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 393
ผู้ติดตาม: 0

Re: ฮือฮา!! สวนสยาม จ่อตบเท้าเข้าตลาดหุ้น กลางปี 55

โพสต์ที่ 97

โพสต์

Power Bank เขียน:ผมเสนอให้มีบอกว่าเครื่องเล่นไหนเปิดหรือปิดบนเว็บไซต์ด้วยครับ สะดวกสำหรับนักท่องเที่ยวดี เหมือนเราจะไปดูหนังเดี๋ยวนี้คนส่วนใหญ่ก็ดูรอบหนังจากในเว็บหรือไม่ก็มือถือก่อน คนที่อยากจะเล่นผมว่าเค้าไปแน่ๆอยู่แล้ว เมื่อไปแล้วก็อยากจะได้เล่นเครื่องที่ตั้งใจไว้ด้วย :D
เคยลองให้สายงานที่รับผิดชอบไปคิดกันอยู่ครับ ถ้าทำได้จะลองทำกันดูเลยครับ :D
"If you took our top fifteen decisions out, we’d have a pretty average record. It wasn’t hyperactivity,but a hell of a lot of patience. You stuck to your principles and when opportunities came along,you pounced on them with vigor"-Charlie Munger
Pu
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 393
ผู้ติดตาม: 0

Re: ฮือฮา!! สวนสยาม จ่อตบเท้าเข้าตลาดหุ้น กลางปี 55

โพสต์ที่ 98

โพสต์

Ii'8N เขียน: ประเทศเพื่อนบ้าน ลาว กัมพูชา เวียดนามนี่น่าสนใจ เพราะคู่แข่งด้านนี้ยังน้อย ตลาดยังถือว่าเป็น Blue Ocean อยู่...
ใช่ครับ เป็นตลาดที่น่าสนใจมาก แต่ปีนี้เป็นปีแรกที่ทำการตลาด เลยจะไปตามตาราง Roadshow กับทางททท.ก่อนครับ :D
"If you took our top fifteen decisions out, we’d have a pretty average record. It wasn’t hyperactivity,but a hell of a lot of patience. You stuck to your principles and when opportunities came along,you pounced on them with vigor"-Charlie Munger
petro-expert
Verified User
โพสต์: 181
ผู้ติดตาม: 0

Re: ฮือฮา!! สวนสยาม จ่อตบเท้าเข้าตลาดหุ้น กลางปี 55

โพสต์ที่ 99

โพสต์

คุณ PU สู้สู้ นะ พี่ เชียร์อยู่นะ :P :P :P
ถ้าไม่เคยผิดพลาด คงยังเรียกตัวเอง ว่านักลงทุนมืออาชีพ ไม่ได้
Pu
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 393
ผู้ติดตาม: 0

Re: ฮือฮา!! สวนสยาม จ่อตบเท้าเข้าตลาดหุ้น กลางปี 55

โพสต์ที่ 100

โพสต์

petro-expert เขียน:คุณ PU สู้สู้ นะ พี่ เชียร์อยู่นะ :P :P :P
ขอบใจมากครับ :D
"If you took our top fifteen decisions out, we’d have a pretty average record. It wasn’t hyperactivity,but a hell of a lot of patience. You stuck to your principles and when opportunities came along,you pounced on them with vigor"-Charlie Munger
ภาพประจำตัวสมาชิก
MO101
Verified User
โพสต์: 3226
ผู้ติดตาม: 1

Re: ฮือฮา!! สวนสยาม จ่อตบเท้าเข้าตลาดหุ้น กลางปี 55

โพสต์ที่ 101

โพสต์

ผมว่าน่าจะลอง road show ประเทศที่ไม่มีเครื่องเล่นแบบนี้
เช่น เนปาล ลาว น่าจะดี
ไม่ได้ไปสวนสยามนานแล้ว เคยไปตอนเด็กๆเลยนะครับ
purinho
Verified User
โพสต์: 69
ผู้ติดตาม: 0

Re: ฮือฮา!! สวนสยาม จ่อตบเท้าเข้าตลาดหุ้น กลางปี 55

โพสต์ที่ 102

โพสต์

หุ้น Asset Play
purinho
Verified User
โพสต์: 69
ผู้ติดตาม: 0

Re: ฮือฮา!! สวนสยาม จ่อตบเท้าเข้าตลาดหุ้น กลางปี 55

โพสต์ที่ 103

โพสต์

purinho เขียน:หุ้น Asset Play
เฉยๆ กะกิจการ
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 1

Re: ฮือฮา!! สวนสยาม จ่อตบเท้าเข้าตลาดหุ้น กลางปี 55

โพสต์ที่ 104

โพสต์

สวนสยามจี้รัฐประชาสัมพันธ์ฟื้นเชื่อมั่น ชี้ทัวร์ต่างชาติยกเลิก 100% สูญรายได้กว่า 20 ล้านบาท
โดย กรุงเทพธุรกิจ , 4 พ.ย. 54

สวนสยาม เผยทัวร์ต่างชาติยกเลิก 100% คนไทยหมดอารมณ์เที่ยว ส่งผลสูญรายได้แล้วกว่า 20
ล้านบาท หวังรัฐเดินหน้าประชาสัมพันธ์ฟื้นความเชื่อมั่นต่างชาติหลังน้ำลด ชี้แผนทุ่มงบ 9 แสนล้านฟื้นฟู
ประเทศเป็นเรื่องดี แต่หากต้องกู้เงินหวั่นปัญหาไม่จบ ติงรัฐบาลสับสนลำดับความสำคัญการแก้ปัญหา
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
ภาพประจำตัวสมาชิก
Segasus_Seiya
Verified User
โพสต์: 105
ผู้ติดตาม: 0

Re: ฮือฮา!! สวนสยาม จ่อตบเท้าเข้าตลาดหุ้น กลางปี 55

โพสต์ที่ 105

โพสต์

สวนสยามโดนผลกระทบจากน้ำท่วมไหมครับ
ขอบคุณครับ
Nice
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ii'8N
Verified User
โพสต์: 3682
ผู้ติดตาม: 0

Re: ฮือฮา!! สวนสยาม จ่อตบเท้าเข้าตลาดหุ้น กลางปี 55

โพสต์ที่ 106

โพสต์

เห็นแต่รูป safari world สัตว์หนีน้ำ
แต่กลับเป็น AFP, Reuters
นักข่าวไทย คงไปเพ่งท่วมเมืองอยู่

http://www.prachachat.net/news_detail.p ... 2&catid=no
รูปภาพ
รูปภาพ
pat4310
Verified User
โพสต์: 732
ผู้ติดตาม: 0

Re: ฮือฮา!! สวนสยาม จ่อตบเท้าเข้าตลาดหุ้น กลางปี 55

โพสต์ที่ 107

โพสต์

purinho เขียน:
purinho เขียน:หุ้น Asset Play
เฉยๆ กะกิจการ
มองต่างมุม ดีครับจะได้ไม่มีใครแย่งซื้อ
ลงทุนหุ้นดี มีสตอรี่ ราคาไม่แพง เดี๋ยวก็รวย
หนังสือเล่มสองผมครับ เจาะหุ้นร้อน สแกนหุ้นเด้ง การแคะหุ้นจะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
Pu
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 393
ผู้ติดตาม: 0

Re: ฮือฮา!! สวนสยาม จ่อตบเท้าเข้าตลาดหุ้น กลางปี 55

โพสต์ที่ 108

โพสต์

Segasus_Seiya เขียน:สวนสยามโดนผลกระทบจากน้ำท่วมไหมครับ
ขอบคุณครับ
โดนครับ เยอะด้วย หายไป 90% กว่าๆ

แต่พื้นที่ 95% ไม่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม (ท่วมแค่บนถนนสวนสยาม 10-40 ซ.ม. และพื้นที่ที่ติดคลองบางชัน)

ตอนนี้มีโปรโมชั่น "9 วันคลายเครียด" ระหว่างวันที่ 9-17 พ.ย. ผ่านประตูฟรี ค่าเครื่องเล่นลด 50% ทุกชนิดครับ :D

มีคนมาคึกคักพอสมควรครับ แต่อย่างว่าแหละครับ ช่วงนี้ก็ต้องอดทนกันไปครับ :D
"If you took our top fifteen decisions out, we’d have a pretty average record. It wasn’t hyperactivity,but a hell of a lot of patience. You stuck to your principles and when opportunities came along,you pounced on them with vigor"-Charlie Munger
ภาพประจำตัวสมาชิก
dome@perth
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 4741
ผู้ติดตาม: 1

Re: ฮือฮา!! สวนสยาม จ่อตบเท้าเข้าตลาดหุ้น กลางปี 55

โพสต์ที่ 109

โพสต์

สวนสยามสู้ๆครับ

แย่หน่อยนะครับช่วงน้ำท่วมนี้
เด็กๆคงสนุกกับทะเลกรุงเทพ

พอน้ำแห้งกรุงเทพก็ยังมีทะเลอยู่ครับ "สวนสยาม"
"ไม่มีสุตรสำเร็จ ไม่มีทางลัด ไม่ใช่แค่โชค
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง
"
Pu
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 393
ผู้ติดตาม: 0

Re: ฮือฮา!! สวนสยาม จ่อตบเท้าเข้าตลาดหุ้น กลางปี 55

โพสต์ที่ 110

โพสต์

dome@perth เขียน:สวนสยามสู้ๆครับ

แย่หน่อยนะครับช่วงน้ำท่วมนี้
เด็กๆคงสนุกกับทะเลกรุงเทพ

พอน้ำแห้งกรุงเทพก็ยังมีทะเลอยู่ครับ "สวนสยาม"
ขอบคุณครับ :D
"If you took our top fifteen decisions out, we’d have a pretty average record. It wasn’t hyperactivity,but a hell of a lot of patience. You stuck to your principles and when opportunities came along,you pounced on them with vigor"-Charlie Munger
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ii'8N
Verified User
โพสต์: 3682
ผู้ติดตาม: 0

Re: ฮือฮา!! สวนสยาม จ่อตบเท้าเข้าตลาดหุ้น กลางปี 55

โพสต์ที่ 111

โพสต์

เห็นวันนีมีลงบทความในไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/life/223790


ถอดรหัสสวนสยามโมเดล ถึง น้ำ การเมืองโสโครก...? ไชยวัฒน์ เหลืองอมรเลิศ!

วันจันทร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ.2554
December 19, 2011, 8:13am
ถอดรหัสสวนสยามโมเดล ถึง น้ำ การเมืองโสโครก...? ไชยวัฒน์ เหลืองอมรเลิศ!

รูปภาพ

หากมีทำเนียบยอดนักสู้ นายไชยวัฒน์ เหลืองอมรเลิศ ผู้ก่อตั้งสวนสยาม ที่เพิ่งออกมาประกาศวางมือ ซึ่งเคยเป็นหนี้พะรุงพะรังมหาศาล กระทั่งจวนเจียนจะขายธุรกิจ หลังเกิดความท้อใจจากที่เกิดอุบัติเหตุกับเครื่องเล่นในสวนสยามหลายครั้งติด ภายในเวลาเพียง 3 เดือน

แต่ใช้รากของความศรัทธาและปรัชญามอบความสุข พาสวนสยามฝ่าฟันมาได้จนถึงทุกวันนี้ ไชยวัฒน์คงจะอยู่ในอันดับต้นๆ ของประเทศไทย

“สวนสยามรอดเพราะมีผู้นำ…" ผู้นำที่ว่า ไม่ได้หมายถึงนารีขี่ม้า ฮี่ ฮี่...ที่ไหน ทว่าหมายถึง ผู้นำของอาณาจักรสวนสยาม..!!

ท่าม กลางเสียงหัวเราะของดินแดนมอบความสุข ไทยรัฐออนไลน์มีโอกาสได้ถอดรหัสบทเรียนในการรอดจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ใน ครั้งนี้ ทั้งที่มีธุรกิจมากมายจมน้ำตาย ในสายตาเขา แม่ทัพใหญ่ และกองทัพไพร่พลสอบตก หรือผ่านการบริหารวิปโยคน้ำท่วม

“เรารอดเพราะ ผู้นำมีประสบการณ์ และการร่วมมือร่วมใจ ที่สำคัญสวนสยามมีการเตรียมความพร้อมรับมือธรรมชาติพิโรธมานานกว่า 30 ปี…” ไชยวัฒน์ยืนยันเสียงมั่นใจ พร้อมกับเล่าการบริหารจัดการพื้นที่กว้างใหญ่กว่า 300 ไร่ ให้รอดจากเงื้อมมือน้ำที่มหาศาลเหล่านี้
รูปภาพ

“พูด จริงๆ ถ้าเป็นที่อื่น น้ำท่วมวิ่งทะลุทะลวงเข้ามาหนักหน่วงแบบนี้ มันยากที่จะป้องกัน แต่เนื่องจากผมรู้จักน้ำและเตรียมตัวมากว่า 30 ปี ทำให้มีการวางระบบรองรับน้ำเป็นระบบมากกว่าที่อื่นๆ ทั้งการทำแก้มลิง ทำเอาไว้เพื่อรองรับเวลาน้ำท่วม ทำคันดินขึ้นสูง เพิ่มขึ้นจากเดิมอีกราว 1 เมตร จุดไหนไม่มีก็เสริมคันดิน 1 เมตร พร้อมกับให้พนักงานมากมายจัดเวรยามตลอด 24 ชั่วโมง ตรวจดูคันดิน และมีอาวุธเป็นเครื่องมือวัดระดับน้ำ เพื่อตรวจเช็กความเปลี่ยนแปลง โดยกำชับให้แจ้งความเคลื่อนไหวตรงต่อตัวผมเพียงผู้เดียว เพื่อผมจะได้มีคนดูภาพรวม และตัดสินใจสั่งการ หากประเมินสถานการณ์พื้นที่กว่า 300 ไร่ทุกๆ ชั่วโมงว่า หากมีอะไรฉุกเฉินฉับพลัน จะได้จัดการบริหารได้ ทำด้วยความร่วมมือร่วมใจเช่นนี้เป็นเดือนๆ ส่งผลให้สวนสยามผ่านวิกฤตการณ์น้ำท่วมท่ามกลางรอบๆ ข้างสวนสยามที่ท่วมกันหมด” นี่เป็นหนึ่งในเคล็ดลับของสุดยอดกุนซือ


หลัง จากที่พาธุรกิจมอบความสุข ผ่านกระแสน้ำท่วมพัดทำลายมาได้ นายไชยวัฒน์ บอกว่า สวนสยามก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ เพราะมีการจัดกิจกรรมคลายเครียด ด้วยการจัดงานคลายเครียดมา 9 วันให้เข้าฟรี ปรากฏว่า มีคนมาเที่ยวพักผ่อนในวันเสาร์-อาทิตย์ ราว 500,000-600,000 คน จากการขายบัตรนั้น เราจะหักทุกๆ 40 บาท เพื่อนำมาสมทบทุนช่วยน้ำท่วมกับมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย โดยมอบยอดการบริจาคไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท

“ถาม ว่าสวนสยามเสียหายไปเท่าไหร่ ในเรื่องเครื่องเล่นและกิจการไม่เสียหายเลย แต่น้ำท่วมครั้งนี้มันก็แลกมากับการที่ต้องพับโครงการ กับการที่สวนสยามจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ในปีนี้ มีอันต้องยกเลิกและยืดระยะเวลาไปอีก 1 ปี นอกจากนี้ เรื่องคนก็หายไปมากมาย ถ้าเราจะอยู่ได้ ต้องมีคนมาใช้บริการเที่ยวพักผ่อน ปีละประมาณ 1,500,000 คน (เฉลี่ยค่าใช้จ่ายคนละ 400 บาท) สวนสยามจึงจะอยู่ได้ แต่ปีนี้น้ำท่วม คนหายไปกว่าครึ่ง รายได้ก็พลาดเป้าไปจาก 400 กว่าล้านบาท เหลือเพียง 200 กว่าล้านบาท”
รูปภาพ

เจ้า ของสวนสยามบอกว่า สวนสยามมันเป็นธุรกิจอุตสาหกรรมท่องเที่ยว คนต้องเข้ามาเที่ยว เป็นธุรกิจอาถรรพณ์ มีอะไรกระทบกระเทือน นักท่องเที่ยวก็ไม่ออกมา

“อย่างมันเป็นเรื่องของจังหวะเวลาและโอกาส เหมือนอย่างที่ผมบอก ปีนี้เราตั้งใจจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ ก็ต้องชะลอไว้เลย เพราะเงินที่ได้มันหายไปกว่า 100 ล้านบาท แต่สวนสยามไม่เสียหายเพราะน้ำ เข้าเนื้อเพียงแค่นี้ ผมถือว่าโชคดีมาก ที่สำคัญในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานที่ผ่านมา สวนสยามไม่มีการปลดพนักงาน แต่ผมก็บอกว่า หากพนักงานคนไหนจะลาออกก็ได้ เราชดเชยเงินให้เต็มที่ตามกฎหมายและอายุงาน ผมก็บอกพวกเขา เพราะตอนนั้นคนน้อยมากๆ แต่ถ้าคุณอยู่ก็จะช่วยเหลือกันไป แต่หากมีความจำเป็นจริงๆ ผมจะจ่ายคุณ 75 เปอร์เซ็นต์ตามที่รัฐบาลบอก แต่ตอนนี้ผมยังจ่ายเต็มอยู่ ผมถือว่าเขาอยู่กับเรามานานแล้ว เราเสียหายเพียงไม่กี่เดือน เราก็ต้องหาวิธีการ เมื่อไม่มีก็ต้องไปกู้มาให้เขา สหกรณ์เราก็ขอลด ทางแบงก์ที่เรากู้ ก็บอกเขาว่า ขอผลัดนะ ไม่จ่ายต้นภายใน 2 เดือน ซึ่งทุกวันนี้ก็จ่ายต้นกับดอกเดือนนึงประมาณ 6 ล้าน"

เมื่อเจอปัญหาหนักๆอย่างที่ผ่านมา สิ่งหนึ่งที่ทำให้พวกเขาอบอุ่นหัวใจก็คือการให้กำลังใจกันอยู่เสมอๆ

“คำ พูดที่ติดปากครอบครัวเรา คือ อะไรมันจะเกิดก็ให้มันเกิด มันเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าเราจะแก้ไขวิกฤติ ผมบอกว่า ทุกคนต้องร่วมใจสามัคคีกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน คิดอะไรทำอะไร ขอให้ใกล้เคียงกัน อย่าต่างคนต่างคิด ต่างทำ เพราะหากเราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทุกอย่างมันแก้ได้หมด อย่างคราวนี้ น้ำท่วม ลูกน้องผม ผมจะไม่ให้ใครสั่งการนอกระบบ ผมตั้งระบบว่า ผมขอเป็นศูนย์กลาง มีอะไรต้องรายงานให้ทราบก่อน และเมื่อทำอะไรก็ต้องทำให้ดีที่สุดก็พอแล้ว มนุษย์เกิดมาตัวเปล่า ไปตัวเปล่า เมื่อมาตัวเปล่าได้ ก็กลับตัวเปล่าได้ อย่าไปทุกข์ร้อน ที่เราอยู่ทุกวันนี้ เราอยู่เพื่อคนอื่น อย่าไปอยู่เพื่อตัวเราเอง ต้องคิดว่า ถ้าเราจะอยู่ได้อย่างสบาย เราต้องอยู่ด้วยตัวเอง เราเอง อย่าไปพึ่งคนอื่น อย่าไปคิดว่าคนอื่นต้องช่วยให้เราดี เราต้องช่วยตัวเราให้ได้ดี”

รูปภาพ

รูปภาพ

สุดท้าย ไชยวัฒน์บอกว่า น้ำท่วมครั้งนี้ไม่เพียงมาจากธรรมชาติ สิ่งที่ประชาชนชาวไทยได้เรียนรู้ก็คือความโหดร้ายของเหล่านักการเมือง

“น้ำ ท่วมว่าสกปรกแล้ว ยัง มันยังสะอาดกว่านักการเมืองซะอีก ว่ากันตามจริง ผมเคยเข้าไปคลุกคลีกับวงการนี้ ผมรู้ดี ถ้านักการเมืองไม่พูดโกหกก็อยู่ไม่ได้ ถ้าไม่โกงก็อยู่ไม่ได้ ไม่ใช้อำนาจก็อยู่ไม่ได้ เพราะฉะนั้น มีอันไหนสะอาดบ้าง 3 อย่างนี้ สกปรกหมด แล้วสกปรกอย่างน่ารังเกียจด้วย แต่บางคนเขามีผงซักฟอกที่ดี ถึงจะจัดการก็สะอาดมาหน่อย ผมเคยอยู่การเมืองมาหลาย 10 ปี ผมเข้าไปอยู่ข้างในแล้วเห็นว่าสกปรก แต่สกปรกแบบไหน ผมไม่สามารถบอกได้ เพราะเขาจำเป็นต้องสกปรก ถ้าไม่สกปรกคุณจะอยู่การเมืองไม่ได้ ถ้าคนไหนไม่สกปรกเข้าไปอยู่ในการเมือง มันน่ารังเกียจ กลายเป็นแกะขาว อยู่ๆงานก็ไม่เดิน เพราะการให้งานเดินมันก็มีบกพร่อง พอบกพร่องกลายเป็นคอรัปชัน ทุกอย่างมันเป็นวงจรการเมือง ยุ่งได้แต่ยุ่งให้น้อยหน่อยเป็นเรื่องๆว่า เราควรจะยุ่งเรื่องอะไรบ้าง อันไหนช่วยได้ก็ช่วย อันไหนช่วยไม่ได้ ก็อย่าไปยุ่ง”


เจ้า ของสวนสยามยังแนะนำรัฐบาลทิ้งท้ายเรื่องเงินเยียวยา 5,000 บาท ให้กับผู้ประสบภัยน้ำท่วม มันก็แค่เงินปลอบใจ แต่ชดเชยให้คนลำบากมากมายแค่ 5,000 บาท ก็ไม่ไหว เอาไปทำอะไรได้ เพราะมันสูญเสียเยอะมาก เพราะฉะนั้นรัฐบาลและผู้ประสบภัยก็ต้องดูความเสียหายที่เป็นจริง พบกันคนละครึ่งทางดีที่สุด.

ไทยรัฐออนไลน์
• โดย ไทยรัฐออนไลน์
• 19 ธันวาคม 2554, 05:30 น.

รูปภาพ

รูปภาพ
Pu
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 393
ผู้ติดตาม: 0

Re: ฮือฮา!! สวนสยาม จ่อตบเท้าเข้าตลาดหุ้น กลางปี 55

โพสต์ที่ 112

โพสต์

ขอบคุณครับ :D
"If you took our top fifteen decisions out, we’d have a pretty average record. It wasn’t hyperactivity,but a hell of a lot of patience. You stuck to your principles and when opportunities came along,you pounced on them with vigor"-Charlie Munger
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 1

Re: ฮือฮา!! สวนสยาม จ่อตบเท้าเข้าตลาดหุ้น กลางปี 55

โพสต์ที่ 113

โพสต์

สวนสยามอั้นไม่อยู่ขึ้นค่าตั๋ว20 [ โพสต์ทูเดย์, 6 ก.ค. 55 ]

สวนสยามสุดอั้นต้นทุนพุ่ง 50% ประกาศขึ้นราคาตั๋วอีก 20 บาท ยันลูกค้ายังเที่ยวเพิ่มพร้อมเดินสาย
ดึงต่างชาติใช้บริการ

นางนพกาญจน์ เหลืองอมรเลิศ รองผู้จัดการใหญ่ฝ่ายบริหาร บริษัท ซิตี้วอล์ค ผู้บริหารสวนน้ำและ
สวนสนุก สวนสยาม เปิดเผยว่า บริษัทได้ขึ้นราคาตั๋วสวนสยามอีก 20 บาท ทำให้ราคาตั๋วผู้ใหญ่เพิ่มเป็น
320 บาท จากเดิม 300 บาท และราคาตั๋วเด็กขึ้นมาเป็น 120 บาท จากเดิมราคา 100 บาท เนื่องจาก
ได้รับผลกระทบจากต้นทุนการดำเนินงานภายในที่สูงขึ้นถึง 50%--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."