ผมว่า VI ในห้องนี้กำลังอยู่ใน red ocean
-
- Verified User
- โพสต์: 150
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ผมว่า VI ในห้องนี้กำลังอยู่ใน red ocean
โพสต์ที่ 31
VI อยู่ใน red ocean หรือเปล่า? ผมว่าไม่ครับ หลักการ vi เป็นหลักการที่สามารถใช้ซ้ำได้ เหมือนท่ีหมอบำรุงบอก เเละการท่ีคนมาศึกษา vi มากขึ้นผมว่ามันทำให้ปลอดภัยมากขึ้นนะ พอเร่ิมมีอารมณ์ไปตามตลาดก็มาอ่านความคิดดีๆของเพ่ือนๆหลายๆคน ก้อได้ฉุกคิด ผมไม่ได้เเข่งกับใคร ไม่ได้หวังรีเทิรน์เป็น 100 เปอร์เซนต์ ทุกวันนี้ผมว่าผมก็พอหาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าได้อยู่ เเต่ก็ไม่ใช่ super stock
ที่ผ่านมามีคนเล่นหุ้นขึ้นเยอะมาก คนมาสายพื้นฐานก็มากขึ้นเป็นธรรมดา เเต่รอบตัวผมไปสายเทคนิคมากกว่าพื้นฐานนะครับ ส่วนใหญ่วีไอท่ีเห็นก็เป็นสายขาว (ผมเป็นหน่ึงในนั้น) วีไอสายดำ ท่ีทำการบ้านหนัก เข้าใจธุรกิจถึงเเก่น ยังมีสัดส่วนน้อยมาก ผมว่าวีไอนอกจากต้อง ทำงานหนัก มีสายตาเฉียบคมเเล้วยังต้องเป็นคนท่ีมีความสามารถทางด้านอารมณ์สูงมาก ด้วยเหตุนี้ คิดว่า วีไอคงไม่มีทางเป็น red ocean ครับ
ปล. ขอบคุณคุณบลูท่ีตั้งคำถามให้คนช่วยกันคิด ทำให้ผมได้อ่านความคิดดีดีของหลายๆคน
ที่ผ่านมามีคนเล่นหุ้นขึ้นเยอะมาก คนมาสายพื้นฐานก็มากขึ้นเป็นธรรมดา เเต่รอบตัวผมไปสายเทคนิคมากกว่าพื้นฐานนะครับ ส่วนใหญ่วีไอท่ีเห็นก็เป็นสายขาว (ผมเป็นหน่ึงในนั้น) วีไอสายดำ ท่ีทำการบ้านหนัก เข้าใจธุรกิจถึงเเก่น ยังมีสัดส่วนน้อยมาก ผมว่าวีไอนอกจากต้อง ทำงานหนัก มีสายตาเฉียบคมเเล้วยังต้องเป็นคนท่ีมีความสามารถทางด้านอารมณ์สูงมาก ด้วยเหตุนี้ คิดว่า วีไอคงไม่มีทางเป็น red ocean ครับ
ปล. ขอบคุณคุณบลูท่ีตั้งคำถามให้คนช่วยกันคิด ทำให้ผมได้อ่านความคิดดีดีของหลายๆคน
-
- Verified User
- โพสต์: 314
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ผมว่า VI ในห้องนี้กำลังอยู่ใน red ocean
โพสต์ที่ 32
ผมคิดว่า ชาวประมงที่ถูกฝึกมาไม่ดี เตรียมตัวไม่พอก็เรือล่มตาย ถูกฉลามกินในท้องสมุทรได้นะครับ ไม่ต้องถึงกับเป็นนานาสัตว์หรอก .. ใครบ้านรวยมาก่อน ต้นทุนเยอะก็เหมือนมีแต้มต่อออกเรือประมงลำแรกเป็นเรือเดินสมุทร แต่ถ้าขับไม่เป็นก็ชนโขดหินตายอยู่ดี
แต่จะว่าต่อให้เป็นนักเดินเรือที่เก่งที่สุดในโลก หรือนักรบผู้ชนะสิบทิศก็ยังมีวันเพรี้ยงพร้ำพลาดท่าให้กับชะตาได้ .. สรุป.. เราแค่ทำให้ดีที่สุดในส่วนที่เราทำได้ครึ่งนึง ปล่อยให้ชะตานำไปอีกครึ่งหนึ่ง แล้วก็ไม่เสียใจครับ
แต่จะว่าต่อให้เป็นนักเดินเรือที่เก่งที่สุดในโลก หรือนักรบผู้ชนะสิบทิศก็ยังมีวันเพรี้ยงพร้ำพลาดท่าให้กับชะตาได้ .. สรุป.. เราแค่ทำให้ดีที่สุดในส่วนที่เราทำได้ครึ่งนึง ปล่อยให้ชะตานำไปอีกครึ่งหนึ่ง แล้วก็ไม่เสียใจครับ
Invincible MOS is knowing what you're doing
- dome@perth
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4741
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ผมว่า VI ในห้องนี้กำลังอยู่ใน red ocean
โพสต์ที่ 33
ผมไม่เข้าใจครับ
VI ไม่น่าจะมีอะไรซับซ้อน ขนาดนั้นครับ
VI ไม่น่าจะมีอะไรซับซ้อน ขนาดนั้นครับ
"ไม่มีสุตรสำเร็จ ไม่มีทางลัด ไม่ใช่แค่โชค
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
- simpleBE
- Verified User
- โพสต์: 2335
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ผมว่า VI ในห้องนี้กำลังอยู่ใน red ocean
โพสต์ที่ 35
ถ้าเราไม่ได้แข่งกับใคร
แต่เราแข่งกับตัวเอง
มุ่งมั่นที่จะเอาชนะใจตัวเอง
เราอยู่เหนือ ocean ครับ
แต่เราแข่งกับตัวเอง
มุ่งมั่นที่จะเอาชนะใจตัวเอง
เราอยู่เหนือ ocean ครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1980
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ผมว่า VI ในห้องนี้กำลังอยู่ใน red ocean
โพสต์ที่ 36
วันนี้ผมเห็นด้วยกับคุณดาวฟ้ามากที่สุดตั้งแต่รู้จักกันมา
The mother of all evils is speculation, leverage debt. Bottom line, is borrowing to the hilt. And I hate to tell you this, but it's a bankrupt business model. It won't work. It's systemic, malignant, and it's global, like cancer.
-
- Verified User
- โพสต์: 172
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ผมว่า VI ในห้องนี้กำลังอยู่ใน red ocean
โพสต์ที่ 37
ถ้ากลับไปดูที่หลักการของ vi ที่ว่าให้ ซื้อกิจการที่ราคาต่ำกว่ามูลค่า
ก็จะมีปัญหาที่ตรงการตีมูลค่าของแต่ละคนครับ บางคนให้มูลค่าบ.หนึ่งมาก จนอีกคนคิดว่าไม่น่าจะเป็นไปได้
แต่นั่นก็เป็นเรื่องของเข้านะครับ เพราะเงินของเข้า สิ่งสำคัญคือ เงินของเราครับ ว่าเราประเมินมูลค่ากิจการ แต่ละแห่งเป็นอย่างไร และเราสามารถซื้อได้ถูกกว่าที่เราประเมินได้ขนาดไหนมากกว่า
ส่วนเรื่องที่จะเป็น red ocean เพราะดูจากการที่หุ้น super stock มี pe สูงมากๆ อันนี้ก็ไม่น่าจะใช่ตัววัดที่ดีนะครับ เพราะไม่รู้ว่าคนที่มาซื้อจนทำให้ pe สูงๆ นี้เป็น vi หรือเปล่า และก็ไม่รู้ว่า ที่ pe สูงๆนี้ มันสูงจริงหรือเปล่า เพราะตัวเลข pe ที่มันโชว์ว่าสูงๆ มันคือตัวเลขในปัจจุบันนะครับ สิ่งสำคัญคือตัวเลขในอนาคต ซึ่งก็คงเป็นเรื่องที่แล้วแต่ละคนว่าจะให้ทิศทางไปในแนวทางไหนครับ
แต่ผมก็ไม่รู้หรอกครับว่า vi จริงๆ แล้วเยอะขนาดไหน แต่เยอะๆ ไม่ดีเหรอครับ พี่เหล่านั้นจะได้เข้ามาให้ความรู้ใน web นี้เยอะๆนะครับ 5555
ก็จะมีปัญหาที่ตรงการตีมูลค่าของแต่ละคนครับ บางคนให้มูลค่าบ.หนึ่งมาก จนอีกคนคิดว่าไม่น่าจะเป็นไปได้
แต่นั่นก็เป็นเรื่องของเข้านะครับ เพราะเงินของเข้า สิ่งสำคัญคือ เงินของเราครับ ว่าเราประเมินมูลค่ากิจการ แต่ละแห่งเป็นอย่างไร และเราสามารถซื้อได้ถูกกว่าที่เราประเมินได้ขนาดไหนมากกว่า
ส่วนเรื่องที่จะเป็น red ocean เพราะดูจากการที่หุ้น super stock มี pe สูงมากๆ อันนี้ก็ไม่น่าจะใช่ตัววัดที่ดีนะครับ เพราะไม่รู้ว่าคนที่มาซื้อจนทำให้ pe สูงๆ นี้เป็น vi หรือเปล่า และก็ไม่รู้ว่า ที่ pe สูงๆนี้ มันสูงจริงหรือเปล่า เพราะตัวเลข pe ที่มันโชว์ว่าสูงๆ มันคือตัวเลขในปัจจุบันนะครับ สิ่งสำคัญคือตัวเลขในอนาคต ซึ่งก็คงเป็นเรื่องที่แล้วแต่ละคนว่าจะให้ทิศทางไปในแนวทางไหนครับ
แต่ผมก็ไม่รู้หรอกครับว่า vi จริงๆ แล้วเยอะขนาดไหน แต่เยอะๆ ไม่ดีเหรอครับ พี่เหล่านั้นจะได้เข้ามาให้ความรู้ใน web นี้เยอะๆนะครับ 5555
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 957
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ผมว่า VI ในห้องนี้กำลังอยู่ใน red ocean
โพสต์ที่ 39
ขอบคุณ ครับ พี่Jeng เรื่องเล่าง่ายๆ สั้นๆ อาจเป็นคำตอบ ที่สรุปว่า ถูกต้องทุกๆคำตอบในนี้ก็ได้ หากแต่ละคนกระทำไปแบบรู้ว่า " กำลังทำอะไรอยู่ " รู้ข้อจำกัดความรู้ ความสามารถและมุมมองหรือจินตนาการในอนาคตของตนเอง แล้วผูกกับระยะเวลาที่จะใช้ตรวจคำตอบนั้นๆJeng เขียน:ผมเคยซื้อ Bigc ที่จุดต่ำสุด 12.50 ขึ้นมา 18 ขายxavi เขียน:ไม่ได้เข้ามานานครับ พี่บลูยังดุดันเหมือนเคยนะครับ
สงสัยเป็นกระทู้ต่อเนื่องจากเรื่อง PE ใช่หรือไม่ครับ
ตอนนี้ผมก็อยู่ในช่วงตัดสินใจลำบากมากเหมือนกัน เพราะหุ้นหลายตัวที่ถือนั้นน่าจะเรียกได้ว่า PE สูงไปหมดแล้ว บางตัวนี่ยังคิดไม่ออกเลยว่า Earning จะไล่ตาม Price ไปได้อย่างไร ถ้างบ Q3 ออกขึ้นมาไม่ได้ตามที่ตลาดคาดหวัง กำไรที่มีก็คงหายไปเยอะ
แต่ด้วยความที่ผมก็มีความเชื่อว่าหุ้นที่ผมถือนั้นดี และ "อาจจะ" มีสิ่งที่ผมคาดไม่ถึง "ในด้านดี" อีกก็เป็นได้ ก็ยังทำให้ผมยังถือหุ้นเหล่านี้ต่อไปยังไม่ได้ขายครับ พอตัดสินใจแบบนี้ก็ทำให้ผมหลุดเข้าไปในทะเลแดงของพี่บลูอีกคน
สุดท้าย MOS ตอนซื้อนี่ล่ะครับ จะเป็นตัวที่บอกว่าเรามีภูมิต้านทานใน ทะเลแดงนี่ได้ขนาดไหน
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าผมซื้อ Eastw ตอน 7 บาท กับมาไล่ตามซื้อหลัง ดร. ที่ 12 บาท นั่นไงล่ะครับ มันเสียวต่างกันเห็นๆครับ (ใครแอบลอกการบ้าน ดร. ยอมรับมาซะดีๆครับ ราคาขึ้นไปเยอะเชียว)
อาจารย์ซื้อ 18 ถือ
ผมซื้อหุ้นเพื่อทำกำไร ผมเดาว่าอาจารย์ซื้อกิจการที่ชนะ หมายถึงกิจการที่ไม่แพ้ง่ายๆ
กรณี eastw ก็ขึ้นได้ลงได้ในระยะสั้น
ตอนที่ bigc 18 สำหรับผมก็น่าหวาดเสียว แต่ก็เป็นความผิดพลาดที่ดีมากๆเลย
ผมเห็นด้วย คล้ายกับคำที่เฮียคลายเครียดชอบเตือน " อย่าโลภเกินความรู้ " จึงมีคำต่อมา " รู้งี้ " ขึ้นมา เพราะวันที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นๆ องค์ประกอบของตัวเองยังไม่พร้อม เลยตัดสินเป็นเช่นนั้น เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้าประสบการณ์มากขึ้น ก็จะมีคำตอบที่แตกต่างจากในวันนั้นมากมาย แล้วเลย " รู้งี้ "
วันนี้เราอาจกำลังหาคำตอบ ตามข้อจำกัดของแต่ละคน คำตอบที่ได้อาจไม่สามารถหาคำตอบที่ดีก็ได้ เพราะเราคงไม่รู้ เหตุ เป้าหมาย ระยะเวลารอตรวจคำตอบ และความพร้อมของแต่ละคนที่กระทำเช่นนั้น ครับ
ผมจึงว่า อาจจะถูกต้องทุกคนก็ได้ ตามระยะเวลารอตรวจคำตอบที่ต่างกัน ครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1172
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ผมว่า VI ในห้องนี้กำลังอยู่ใน red ocean
โพสต์ที่ 40
ในภาวะที่นักลงทุน VI มีมากขึ้น ลงทุนด้วยเหตุผลมากขึ้น ไม่ตามความโลภหรือความกลัวมากขึ้น ตลาดอาจจะหาหุ้นที่ราคาไม่เหมาะสมยากมากขึ้นเรื่อยๆ ผมไม่ทราบว่าตอนนี้ถึงจุด red ocean หรือยัง แต่สำหรับคนไม่เก่งแบบผม อาจจะรู้สึกว่า red ocean แล้วก็ได้ ส่วนคนเก่งท่านอื่นๆ อาจจะเปรียบได้กับฉลาม ที่ไม่ต้องแคร์ว่ามหาสมุทรจะเป็นอย่างไร ก็คงเอาตัวรอดได้อย่างสบาย
ไม่ควรลงทุนอะไร ถ้าไม่รู้สึกสบายใจในสิ่งนั้น
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ผมว่า VI ในห้องนี้กำลังอยู่ใน red ocean
โพสต์ที่ 41
เซียน! ทำนาย 1,400 จุด สิ้นปี!!!
Source - กรุงเทพธุรกิจ (Th), Monday, September 17, 2012
เอกยุทธ อัญชันบุตร นักลงทุนรายใหญ่ และเจ้าของเว็บไซต์ "ไทย- อินไซด์เดอร์" แนะนำการลงทุนภายในช่วง 1-2 สัปดาห์นี้ว่า มาตรการ QE3 อาจ ทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ประมาณ 3-5% จากนั้นอาจจะมีการปรับฐานลงมา แต่การออก QE3 ได้เพิ่มความมั่นใจว่าภายในสิ้นปี 2555 ดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสจะขึ้นยืนระดับ 1,400 จุด ได้ไม่ยาก
"ภายในเดือนกันยายนนี้ ผมไม่แนะนำให้นักลงทุนซื้อหุ้น อยากให้รอไปจนกว่า จะถึง "สิ้นเดือน" ส่วนใครที่มีหุ้นอยู่ในมือควรหาจังหวะ "ขาย" ที่ระดับ 1,280 จุด"
แต่หากนักลงทุนรายใดต้องการซื้อหุ้นจริงๆ แนะนำให้ช้อนกลุ่มสื่อสาร เช่น หุ้น INTUCH เพราะโอกาสที่ราคาจะวิ่งไปแตะ 80-100 บาท ไม่ใช่เรื่องยาก หากดูจากพฤติกรรมของรายใหญ่หุ้นตัวนี้อย่าใช้เหตุผลมาก (หัวเราะ) นอกจากนี้ หุ้น ADVANC และ DTAC ก็ยังมีอัพไซด์อีกประมาณ 20% สำหรับกลุ่มธนาคารพาณิชย์ให้เน้นที่ 3 ตัวใหญ่ คือ BBL, KBANK และ SCB ถ้าฟันด์โฟลว์จากต่างประเทศไหลเข้ามาจะมาซื้อหุ้นพวกนี้
ถามว่าช่วงนี้หุ้นกลุ่มพลังงานน่าซื้อหรือไม่! เอกยุทธ ตอบว่า รอให้ตลาดปรับตัวลดลงหน่อยแล้วค่อยเข้าไป "เก็บ" ที่ผ่านมาหุ้นกลุ่มพลังงานยังไม่ได้ช่วยหนุนดัชนี ยังไง! กลุ่มนี้ก็ต้อง "มา" ถ้าจะลงทุนแนะนำตัวหลักๆ ในกลุ่มปตท. ได้แก่ PTT, PTTEP, PTTGC และ IRPC ส่วนตัว เชื่อว่าหุ้น PTT ได้เห็น 400 บาทแน่! ไม่เกินสิ้นปีเดี๋ยวนักลงทุนก็หาเหตุผลมาเล่นหุ้นกลุ่มนี้เอง..คอยดูซิ! เพราะรอบที่ผ่านมาราคาขึ้นมาน้อยกว่ากลุ่มสื่อสาร และธนาคารพาณิชย์ที่เป็นตัวนำตลาด ถ้าประเมินจากพื้นฐานตอนนี้หุ้นกลุ่มพลังงานมี อัพไซด์มากสุดประมาณ 30%
"ช่วงนี้ไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องจับตาดูอย่างมีนัยสำคัญแล้ว ทุกอย่างน่าจะดีขึ้น เพราะ QE3 จะทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาฟื้นตัว คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐ (GDP) จะเติบโตอยู่ราวๆ 2% ความมั่นใจน่าจะกลับมาแล้ว แต่อยากให้จับตาดูกองทุน ซึ่งอาจขายหุ้นทำกำไรออกมาก่อนจะปิดงบไตรมาสที่ 3 จากปกติที่จะทำ Window Dressing ซื้อหุ้นเพื่อสร้างตัวเลขทางบัญชีให้ดูดี"
พีรเจต สุวรรณนภาศรี ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ยูเนี่ยน อินทราโก้ ในฐานะนักลงทุนวีไอรายใหญ่ ประเมินว่า มาตรการ QE3 ที่ออกมาจะทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 30-40 จุด หรืออาจทะยานขึ้นไปแตะ 1,300 จุดได้ในระยะสั้น แต่หากมองภาพรวมในอีก 3 เดือนข้างหน้า ภายในสิ้นปี 2555 ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสขึ้นไปยืน 1,400 จุด เพราะ QE3 มีผลทางจิตวิทยาค่อนข้างสูง ตอนแรกส่วนตัวเชื่อว่าสหรัฐอเมริกาจะใช้ QE3 หลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีผ่านไปแล้ว 3-6 เดือน แต่มีการนำมาใช้เร็วกว่าที่คาด
"นักลงทุนอยากเล่นหุ้นที่รับข่าว QE3 ก็ต้องไปซื้อดักกลุ่มที่ฟันด์โฟลว์จะมาเล่น คงหนีไม่พ้นกลุ่มพลังงานตัวใหญ่ๆ อย่างเช่น PTT, BANPU, PTTGC และ TOP รวมถึงกลุ่มคอมมูนิตี้ที่อาจออกมากระโดดโลดเต้นได้สักระยะ แต่ถ้าซื้อแล้วเงินต่างประเทศไม่มาตามนัด ก็อาจต้องถือกันยาวรอรอบต่อไป"
ส่วนนักลงทุนที่ไม่อยากเล่นข่าว QE3 ให้หันไปดูหุ้น "รับเหมาก่อสร้าง" ขนาด "กลาง-เล็ก" ที่ได้ประโยชน์จากเมกะโปรเจคของรัฐบาล แต่จะเป็นหุ้นตัวไหนบ้างต้องไปตีโจทย์กันเอาเอง แนะนำว่าให้เน้นตัวที่มีการบริหารจัดการที่ดี มีเงินสดเหลือเยอะๆ และสามารถรับรู้รายได้ไปนาน 1-2 ปี
"ตอนนี้ผมกำลังสนใจหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำ มีโอกาสได้คุยกับซีอีโอที่ทำธุรกิจบริหารจัดการน้ำ เขาบอกเทรนด์กำลังมา ซึ่งผมฟังข้อมูลแล้วก็ชอบ เพราะเรื่องของน้ำมันยากต่อการจัดการจริงๆ"
"การออก QE3 รอบนี้ ผมคิดว่ามันเป็นเกมการเมืองเพื่อเรียกคะแนนเสียงจากประชาชนก่อนมีการเลือกตั้งประธานาธิบดี ในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2555 ฉะนั้นเราต้องดูกันยาวๆ ว่าเงินจะเข้าสู่ระบบจริงหรือไม่! เพราะถ้าเงินไม่เข้าระบบแล้วไปผ่านแบงก์เหมือน QE2 ทุกอย่างก็จบ มันไม่มีอะไรดีขึ้น"
พีรเจต บอกว่า ตลาดหุ้นไทยตอนนี้ "ไม่ถูกแล้ว" (ถ้าเทียบในภูมิภาค) แต่ถ้าเราเลือก หุ้นดีต่อให้มีเรื่องร้ายๆมากระทบ หุ้นเราก็จะลงน้อยกว่าตลาดแล้วก็จะกลับมาได้ในที่สุด
"ผมแนะนำอย่างนี้ คุณพยายามหาหุ้นที่เป็น "พระเอก" ให้เจอ แล้วถือไปเลยยาวๆ อย่างน้อย "ครึ่งปี" ถ้าหาไม่เจอก็อาศัย "เล่นสั้น" ในหุ้นที่มีสตอรี่ที่ดี ในตลาดตอนนี้มีเยอะแยะ ยกตัวอย่างผมลงทุนกลุ่มลิสซิ่ง มองว่าเขาจะได้รับประโยชน์จากมาตรการรถคันแรกของรัฐบาล แต่ตอนนี้ขายไปแล้ว"
ถามว่าตลาดหุ้นแบบนี้แบ่งพอร์ตลงทุนอย่างไรดี..? พีรเจต แนะนำ ให้แบ่งเงินลงทุนหุ้นเป็น 2 กอง ก้อนแรกเป็นหุ้นที่ชอบมากๆ ซื้อไปเลย 60-70% ส่วนอีกกองเล่นหุ้นตามกระแส 20-30% ช่วงนี้นักลงทุนควรใช้ความระมัดระวังพอสมควร เพราะหุ้นที่ถูกดึงขึ้นมาเล่นตามกระแสมี "ของไม่ดี" ผสมโรงมาด้วย
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
Source - กรุงเทพธุรกิจ (Th), Monday, September 17, 2012
เอกยุทธ อัญชันบุตร นักลงทุนรายใหญ่ และเจ้าของเว็บไซต์ "ไทย- อินไซด์เดอร์" แนะนำการลงทุนภายในช่วง 1-2 สัปดาห์นี้ว่า มาตรการ QE3 อาจ ทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ประมาณ 3-5% จากนั้นอาจจะมีการปรับฐานลงมา แต่การออก QE3 ได้เพิ่มความมั่นใจว่าภายในสิ้นปี 2555 ดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสจะขึ้นยืนระดับ 1,400 จุด ได้ไม่ยาก
"ภายในเดือนกันยายนนี้ ผมไม่แนะนำให้นักลงทุนซื้อหุ้น อยากให้รอไปจนกว่า จะถึง "สิ้นเดือน" ส่วนใครที่มีหุ้นอยู่ในมือควรหาจังหวะ "ขาย" ที่ระดับ 1,280 จุด"
แต่หากนักลงทุนรายใดต้องการซื้อหุ้นจริงๆ แนะนำให้ช้อนกลุ่มสื่อสาร เช่น หุ้น INTUCH เพราะโอกาสที่ราคาจะวิ่งไปแตะ 80-100 บาท ไม่ใช่เรื่องยาก หากดูจากพฤติกรรมของรายใหญ่หุ้นตัวนี้อย่าใช้เหตุผลมาก (หัวเราะ) นอกจากนี้ หุ้น ADVANC และ DTAC ก็ยังมีอัพไซด์อีกประมาณ 20% สำหรับกลุ่มธนาคารพาณิชย์ให้เน้นที่ 3 ตัวใหญ่ คือ BBL, KBANK และ SCB ถ้าฟันด์โฟลว์จากต่างประเทศไหลเข้ามาจะมาซื้อหุ้นพวกนี้
ถามว่าช่วงนี้หุ้นกลุ่มพลังงานน่าซื้อหรือไม่! เอกยุทธ ตอบว่า รอให้ตลาดปรับตัวลดลงหน่อยแล้วค่อยเข้าไป "เก็บ" ที่ผ่านมาหุ้นกลุ่มพลังงานยังไม่ได้ช่วยหนุนดัชนี ยังไง! กลุ่มนี้ก็ต้อง "มา" ถ้าจะลงทุนแนะนำตัวหลักๆ ในกลุ่มปตท. ได้แก่ PTT, PTTEP, PTTGC และ IRPC ส่วนตัว เชื่อว่าหุ้น PTT ได้เห็น 400 บาทแน่! ไม่เกินสิ้นปีเดี๋ยวนักลงทุนก็หาเหตุผลมาเล่นหุ้นกลุ่มนี้เอง..คอยดูซิ! เพราะรอบที่ผ่านมาราคาขึ้นมาน้อยกว่ากลุ่มสื่อสาร และธนาคารพาณิชย์ที่เป็นตัวนำตลาด ถ้าประเมินจากพื้นฐานตอนนี้หุ้นกลุ่มพลังงานมี อัพไซด์มากสุดประมาณ 30%
"ช่วงนี้ไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องจับตาดูอย่างมีนัยสำคัญแล้ว ทุกอย่างน่าจะดีขึ้น เพราะ QE3 จะทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาฟื้นตัว คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐ (GDP) จะเติบโตอยู่ราวๆ 2% ความมั่นใจน่าจะกลับมาแล้ว แต่อยากให้จับตาดูกองทุน ซึ่งอาจขายหุ้นทำกำไรออกมาก่อนจะปิดงบไตรมาสที่ 3 จากปกติที่จะทำ Window Dressing ซื้อหุ้นเพื่อสร้างตัวเลขทางบัญชีให้ดูดี"
พีรเจต สุวรรณนภาศรี ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ยูเนี่ยน อินทราโก้ ในฐานะนักลงทุนวีไอรายใหญ่ ประเมินว่า มาตรการ QE3 ที่ออกมาจะทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 30-40 จุด หรืออาจทะยานขึ้นไปแตะ 1,300 จุดได้ในระยะสั้น แต่หากมองภาพรวมในอีก 3 เดือนข้างหน้า ภายในสิ้นปี 2555 ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสขึ้นไปยืน 1,400 จุด เพราะ QE3 มีผลทางจิตวิทยาค่อนข้างสูง ตอนแรกส่วนตัวเชื่อว่าสหรัฐอเมริกาจะใช้ QE3 หลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีผ่านไปแล้ว 3-6 เดือน แต่มีการนำมาใช้เร็วกว่าที่คาด
"นักลงทุนอยากเล่นหุ้นที่รับข่าว QE3 ก็ต้องไปซื้อดักกลุ่มที่ฟันด์โฟลว์จะมาเล่น คงหนีไม่พ้นกลุ่มพลังงานตัวใหญ่ๆ อย่างเช่น PTT, BANPU, PTTGC และ TOP รวมถึงกลุ่มคอมมูนิตี้ที่อาจออกมากระโดดโลดเต้นได้สักระยะ แต่ถ้าซื้อแล้วเงินต่างประเทศไม่มาตามนัด ก็อาจต้องถือกันยาวรอรอบต่อไป"
ส่วนนักลงทุนที่ไม่อยากเล่นข่าว QE3 ให้หันไปดูหุ้น "รับเหมาก่อสร้าง" ขนาด "กลาง-เล็ก" ที่ได้ประโยชน์จากเมกะโปรเจคของรัฐบาล แต่จะเป็นหุ้นตัวไหนบ้างต้องไปตีโจทย์กันเอาเอง แนะนำว่าให้เน้นตัวที่มีการบริหารจัดการที่ดี มีเงินสดเหลือเยอะๆ และสามารถรับรู้รายได้ไปนาน 1-2 ปี
"ตอนนี้ผมกำลังสนใจหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำ มีโอกาสได้คุยกับซีอีโอที่ทำธุรกิจบริหารจัดการน้ำ เขาบอกเทรนด์กำลังมา ซึ่งผมฟังข้อมูลแล้วก็ชอบ เพราะเรื่องของน้ำมันยากต่อการจัดการจริงๆ"
"การออก QE3 รอบนี้ ผมคิดว่ามันเป็นเกมการเมืองเพื่อเรียกคะแนนเสียงจากประชาชนก่อนมีการเลือกตั้งประธานาธิบดี ในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2555 ฉะนั้นเราต้องดูกันยาวๆ ว่าเงินจะเข้าสู่ระบบจริงหรือไม่! เพราะถ้าเงินไม่เข้าระบบแล้วไปผ่านแบงก์เหมือน QE2 ทุกอย่างก็จบ มันไม่มีอะไรดีขึ้น"
พีรเจต บอกว่า ตลาดหุ้นไทยตอนนี้ "ไม่ถูกแล้ว" (ถ้าเทียบในภูมิภาค) แต่ถ้าเราเลือก หุ้นดีต่อให้มีเรื่องร้ายๆมากระทบ หุ้นเราก็จะลงน้อยกว่าตลาดแล้วก็จะกลับมาได้ในที่สุด
"ผมแนะนำอย่างนี้ คุณพยายามหาหุ้นที่เป็น "พระเอก" ให้เจอ แล้วถือไปเลยยาวๆ อย่างน้อย "ครึ่งปี" ถ้าหาไม่เจอก็อาศัย "เล่นสั้น" ในหุ้นที่มีสตอรี่ที่ดี ในตลาดตอนนี้มีเยอะแยะ ยกตัวอย่างผมลงทุนกลุ่มลิสซิ่ง มองว่าเขาจะได้รับประโยชน์จากมาตรการรถคันแรกของรัฐบาล แต่ตอนนี้ขายไปแล้ว"
ถามว่าตลาดหุ้นแบบนี้แบ่งพอร์ตลงทุนอย่างไรดี..? พีรเจต แนะนำ ให้แบ่งเงินลงทุนหุ้นเป็น 2 กอง ก้อนแรกเป็นหุ้นที่ชอบมากๆ ซื้อไปเลย 60-70% ส่วนอีกกองเล่นหุ้นตามกระแส 20-30% ช่วงนี้นักลงทุนควรใช้ความระมัดระวังพอสมควร เพราะหุ้นที่ถูกดึงขึ้นมาเล่นตามกระแสมี "ของไม่ดี" ผสมโรงมาด้วย
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3645
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ผมว่า VI ในห้องนี้กำลังอยู่ใน red ocean
โพสต์ที่ 42
ชอบมุข cock = coke ครับ
แล้วก็เห็นด้วยกับพี่โดมครับ ผมว่าแนวทาง VI มันง่ายๆไม่ต้องคิดไรมากขนาดนั้นอ่ะครับ สิ่งเดียวที่จะมาเขมือบ vi ได้คือการคิดผิดในกิจการที่เราลงทุนในแบบหน้ามือเป็นหลังมือ(จริงๆผิดคาดบ้างนิดๆหน่อยๆเป็นธรรมดานะครับ เราก็เผื่อ mos ไว้ให้มากหน่อย ก็ปลอดภัยขึ้นเยอะแล้วครับ) ซึ่งถ้าเราบริหารความเสี่ยงและจัดพอร์ตดีๆ ความเสี่ยงแนว vi (ความเสี่ยงทั้งการเสียเงินต้น และความเสี่ยงจากการได้ผลตอบแทนน้อยเกินไปในระยะยาว) จากประสบการณ์ส่วนตัวผมว่าต่ำที่สุดในการลงทุนทุกแบบแล้วครับ
แล้วก็เห็นด้วยกับพี่โดมครับ ผมว่าแนวทาง VI มันง่ายๆไม่ต้องคิดไรมากขนาดนั้นอ่ะครับ สิ่งเดียวที่จะมาเขมือบ vi ได้คือการคิดผิดในกิจการที่เราลงทุนในแบบหน้ามือเป็นหลังมือ(จริงๆผิดคาดบ้างนิดๆหน่อยๆเป็นธรรมดานะครับ เราก็เผื่อ mos ไว้ให้มากหน่อย ก็ปลอดภัยขึ้นเยอะแล้วครับ) ซึ่งถ้าเราบริหารความเสี่ยงและจัดพอร์ตดีๆ ความเสี่ยงแนว vi (ความเสี่ยงทั้งการเสียเงินต้น และความเสี่ยงจากการได้ผลตอบแทนน้อยเกินไปในระยะยาว) จากประสบการณ์ส่วนตัวผมว่าต่ำที่สุดในการลงทุนทุกแบบแล้วครับ
It's earnings that count
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4641
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ผมว่า VI ในห้องนี้กำลังอยู่ใน red ocean
โพสต์ที่ 43
คุณบลูและทุกท่าน
มาค้นหาความจริงกันครับ ช่วยผมออกความเห็นหน่อยครับ
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=53395
มาค้นหาความจริงกันครับ ช่วยผมออกความเห็นหน่อยครับ
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=53395
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
- Linzhi
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1522
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ผมว่า VI ในห้องนี้กำลังอยู่ใน red ocean
โพสต์ที่ 44
เราซื้อปลา ไม่ได้ซื้อมหาสมุทรนิครับ จะ red จะ blue ตราบใดที่หาปลาคุณภาพดี ราคาถูกได้ ผมว่าโอเคนะ
ตลาดหุ้นไม่เคยมี เวลาที่สงบ หรือง่าย ๆ หรอกครับ ผมว่านะ แต่อย่าเทียบกับอดีต มองกระจกหลัง พูดอะไรก็ได้ครับ
ตลาดหุ้นไม่เคยมี เวลาที่สงบ หรือง่าย ๆ หรอกครับ ผมว่านะ แต่อย่าเทียบกับอดีต มองกระจกหลัง พูดอะไรก็ได้ครับ
ก้าวช้า ๆ และเชื่อในปาฎิหารย์ของหุ้นเปลี่ยนชีวิต
There is no secret ingredient. It's just you.
There is no secret ingredient. It's just you.
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 111
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ผมว่า VI ในห้องนี้กำลังอยู่ใน red ocean
โพสต์ที่ 45
ผมก็เห็นด้วยกับพี่โดมนะครับ กับสิ่งที่เรียกว่า "เรียบง่าย ไม่ซับซ้อน"
ส่วนตัวผมเองก็มึนอยู่ตั้งนานกับการเซาะหาวิธีการที่ีดีที่สุด ในการเลือกหุ้น
และก็ใช้ SIEVE ตาห่างๆ รูใหญ่ๆ ในการร่อนทราย สุดท้ายไม่เหลือทรายสักเม็ด
ก็เลยนึกถึงที่ อ. พูดครับ เวลาดูผู้หญิงสวยๆ เราไม่จำเป็นต้องไปวัด หน้าอก สะโพก
ช่วงไหล่ แค่ใช้ตาดูก็รู้ว่าสวย
ผมก็เลยเอามั้ง ถามแฟนว่า
- เธอชอบไปเดินเที่ยวที่ไหน เธอบอกที่ห้างสิ แอร์เย็นด้วย
- กางเกงในยี่ห้อนี้ทำไมไม่ซื้อ เธอบอกมันแพงซื้อ 3 ตัวร้อยดีกว่า มีลายการ์ตูนด้วย
- ขนมไหว้พระจันทร์อร่อยไหม เธอบอกหวานไปกลัวอ้วน
- ตื่นเช้ามาทำไมต้องเปิดดูทีวีที่มันเล่าข่าวตอนเช้าทุกวัน เหมือนสารเสพติด เธอบอกดูสาระบ้างไรบ้าง
- เหมือนเธอใช้มือถือประหนึ่งดุจดังอวัยวะที่ 33 ของร่างกายถือมากกว่าจับมือเราอีก เธอบอก ก็เราเช็ค STATUS อ่ะทำไม
55+++++++ มันง่ายดีแท้เหลา
หรือว่าที่ผ่านมาผมคิดมากไปป่าว ! อ่านหนังสือ ร่อนหาหุ้นซะหัวฟูเลย
ส่วนตัวผมเองก็มึนอยู่ตั้งนานกับการเซาะหาวิธีการที่ีดีที่สุด ในการเลือกหุ้น
และก็ใช้ SIEVE ตาห่างๆ รูใหญ่ๆ ในการร่อนทราย สุดท้ายไม่เหลือทรายสักเม็ด
ก็เลยนึกถึงที่ อ. พูดครับ เวลาดูผู้หญิงสวยๆ เราไม่จำเป็นต้องไปวัด หน้าอก สะโพก
ช่วงไหล่ แค่ใช้ตาดูก็รู้ว่าสวย
ผมก็เลยเอามั้ง ถามแฟนว่า
- เธอชอบไปเดินเที่ยวที่ไหน เธอบอกที่ห้างสิ แอร์เย็นด้วย
- กางเกงในยี่ห้อนี้ทำไมไม่ซื้อ เธอบอกมันแพงซื้อ 3 ตัวร้อยดีกว่า มีลายการ์ตูนด้วย
- ขนมไหว้พระจันทร์อร่อยไหม เธอบอกหวานไปกลัวอ้วน
- ตื่นเช้ามาทำไมต้องเปิดดูทีวีที่มันเล่าข่าวตอนเช้าทุกวัน เหมือนสารเสพติด เธอบอกดูสาระบ้างไรบ้าง
- เหมือนเธอใช้มือถือประหนึ่งดุจดังอวัยวะที่ 33 ของร่างกายถือมากกว่าจับมือเราอีก เธอบอก ก็เราเช็ค STATUS อ่ะทำไม
55+++++++ มันง่ายดีแท้เหลา
หรือว่าที่ผ่านมาผมคิดมากไปป่าว ! อ่านหนังสือ ร่อนหาหุ้นซะหัวฟูเลย
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 676
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ผมว่า VI ในห้องนี้กำลังอยู่ใน red ocean
โพสต์ที่ 46
หลักสูตร VI ที่ผมเข้าใจ มี 2 ประการ คือ
1. ราคาหุ้นที่ซื้อขายต้องต่ำกว่าพื้นฐานของกิจการ (มี margin of safety)
2. มูลค่า Port ระยะยาวต้องไม่ขาดทุน และ Port ควรโตเพิ่มขึ้นทุกปี (เพิ่มเท่าไรขึ้นอยู่กับความพอใจของแต่ละคน)
ผมอ่านตำราการลงทุนมาพอสมควร ก็ไม่เคยมีตำราเล่มไหนที่กำหนดว่าราคาพื้นฐานกิจการในอุตสาหกรรมนั้นนี้ ต้องมี P/E เท่าไร ไม่เข้าใจว่าใครมาคิดเอง เออเอง เทียบเคียงเอง แล้วเผยแพร่ออกมา (ช่างมัน)
เมื่อก่อนผมพิจารณาอัตรา P/E P/B และ Div เป็นสำคัญควบคู่กับอัตราส่วนทางการเงินของกิจการและธรรมาภิบาลของผู้บริหาร แต่ ณ เวลานี้ผมก้าวข้ามจุดนี้ไปแล้วครับ(แต่ไม่ละเลย) ผมให้ความสำคัญตัว Business Model (ที่พี่ๆ หรือเซียนในเว็ปคอยสอนคอยแนะนำ เช่น พี่ NB พี่ฉัตรชัย เฮียปรัช พี่หมอ พี่มิ คุณโจ...) มาเป็นอันดับแรกครับ ว่ามีความยั่งยืนมากน้อยเพียงใด ตามด้วยฐานะกิจการ/การตลาด และCycle ผลิตภัณฑ์ สุดท้ายจึงมาดูราคาหุ้นซื้อขายในตลาดว่า เรายินดีจะจ่ายที่ในราคานี้ไหม หรือจ่ายที่เท่าไร discount ต่อรองได้ป่ะ
การอ้างอิง P/E เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเล็กๆ ของผู้ซื้อหุ้นหน้าใหม่ๆ เท่านั้น เพราะมีเหตุผลมากมายที่อธิบาย P/E ที่เหมาะสมได้ ในทำนองกลับกันก็มีเหตุผลอีกจำนวนมากที่อธิบาย P/E ที่ไม่เหมาะสมได้อีกเช่นกัน นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับการรับรู้ (Perception) ของผู้ลงทุนแต่ละคนว่ามีประสบการณ์(ฝังใจ) มีความถนัด หรือได้รับข้อมูลการวิเคราะห์ในมุมไหน
มีความละเอียดเพียงไร
ไม่ควรเสียเวลาหาเหตุผลมาประกอบว่าหุ้นในตัวนั้นตัวนี้ หรือกลุ่มนั้นกลุ่มนี้ต้องมี P/E เท่าไร แล้วทำไม P/E ถึงต้องแตกต่างกัน ควรที่จะศึกษาหาความรู้ต่างๆ และปรับปรุง port ตัวเองให้มีความยืดหยุ่น และมีศักยภาพพอไปได้ในระยะยาวจะมีประโยชน์มากกว่าครับ
1. ราคาหุ้นที่ซื้อขายต้องต่ำกว่าพื้นฐานของกิจการ (มี margin of safety)
2. มูลค่า Port ระยะยาวต้องไม่ขาดทุน และ Port ควรโตเพิ่มขึ้นทุกปี (เพิ่มเท่าไรขึ้นอยู่กับความพอใจของแต่ละคน)
ผมอ่านตำราการลงทุนมาพอสมควร ก็ไม่เคยมีตำราเล่มไหนที่กำหนดว่าราคาพื้นฐานกิจการในอุตสาหกรรมนั้นนี้ ต้องมี P/E เท่าไร ไม่เข้าใจว่าใครมาคิดเอง เออเอง เทียบเคียงเอง แล้วเผยแพร่ออกมา (ช่างมัน)
เมื่อก่อนผมพิจารณาอัตรา P/E P/B และ Div เป็นสำคัญควบคู่กับอัตราส่วนทางการเงินของกิจการและธรรมาภิบาลของผู้บริหาร แต่ ณ เวลานี้ผมก้าวข้ามจุดนี้ไปแล้วครับ(แต่ไม่ละเลย) ผมให้ความสำคัญตัว Business Model (ที่พี่ๆ หรือเซียนในเว็ปคอยสอนคอยแนะนำ เช่น พี่ NB พี่ฉัตรชัย เฮียปรัช พี่หมอ พี่มิ คุณโจ...) มาเป็นอันดับแรกครับ ว่ามีความยั่งยืนมากน้อยเพียงใด ตามด้วยฐานะกิจการ/การตลาด และCycle ผลิตภัณฑ์ สุดท้ายจึงมาดูราคาหุ้นซื้อขายในตลาดว่า เรายินดีจะจ่ายที่ในราคานี้ไหม หรือจ่ายที่เท่าไร discount ต่อรองได้ป่ะ
การอ้างอิง P/E เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเล็กๆ ของผู้ซื้อหุ้นหน้าใหม่ๆ เท่านั้น เพราะมีเหตุผลมากมายที่อธิบาย P/E ที่เหมาะสมได้ ในทำนองกลับกันก็มีเหตุผลอีกจำนวนมากที่อธิบาย P/E ที่ไม่เหมาะสมได้อีกเช่นกัน นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับการรับรู้ (Perception) ของผู้ลงทุนแต่ละคนว่ามีประสบการณ์(ฝังใจ) มีความถนัด หรือได้รับข้อมูลการวิเคราะห์ในมุมไหน
มีความละเอียดเพียงไร
ไม่ควรเสียเวลาหาเหตุผลมาประกอบว่าหุ้นในตัวนั้นตัวนี้ หรือกลุ่มนั้นกลุ่มนี้ต้องมี P/E เท่าไร แล้วทำไม P/E ถึงต้องแตกต่างกัน ควรที่จะศึกษาหาความรู้ต่างๆ และปรับปรุง port ตัวเองให้มีความยืดหยุ่น และมีศักยภาพพอไปได้ในระยะยาวจะมีประโยชน์มากกว่าครับ
สติปัฎฐาน 4
กาย เวทนา จิต ธรรม
กาย เวทนา จิต ธรรม
- i-salmon
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 293
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ผมว่า VI ในห้องนี้กำลังอยู่ใน red ocean
โพสต์ที่ 47
ผมว่าเป็นการจุดประกายความคิดที่น่าสนใจนะครับ
แต่หากจะมองว่าเป็น Red ocean ก็ต้องบอกว่าจะใช้แนวทางไหนมันก็น่าจะ Red ทั้งนั้นนะครับ
หากมีสถิติตัวเลขประเภทของนักลงทุนจริงๆ ผมว่าคนที่เป็น VI จริงๆ จะมีซักกี่คน
บางทีคนที่เป็น VI อย่างแท้จริง และหวังผลระยะไกลนั้นอาจจะเรียกเป็น blue ocean ก็ได้ครับ
แต่หากจะมองว่าเป็น Red ocean ก็ต้องบอกว่าจะใช้แนวทางไหนมันก็น่าจะ Red ทั้งนั้นนะครับ
หากมีสถิติตัวเลขประเภทของนักลงทุนจริงๆ ผมว่าคนที่เป็น VI จริงๆ จะมีซักกี่คน
บางทีคนที่เป็น VI อย่างแท้จริง และหวังผลระยะไกลนั้นอาจจะเรียกเป็น blue ocean ก็ได้ครับ
Go against and stay alive.
-
- Verified User
- โพสต์: 2513
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ผมว่า VI ในห้องนี้กำลังอยู่ใน red ocean
โพสต์ที่ 48
เห็นด้วยครับ
สำหรับเมืองไทย ตลาด derivatives ยัง very blue ครับ สภาพคล่องน้อยเหลือเกิน
สำหรับเมืองไทย ตลาด derivatives ยัง very blue ครับ สภาพคล่องน้อยเหลือเกิน
เสรีภาพก็เหมือนอากาศที่เราไม่อาจมองเห็นด้วยตา แต่จะรู้สึกได้ในทันทีหากมีมันอยู่เบาบางหรือขาดหายไป
-จีรนุช เปรมชัยพร
-จีรนุช เปรมชัยพร
-
- Verified User
- โพสต์: 15
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ผมว่า VI ในห้องนี้กำลังอยู่ใน red ocean
โพสต์ที่ 50
ผมว่า VI ในห้องนี้กำลังอยู่ใน red ocean
....ส่วนมากก็ยังมีความสุขในมหาสมุทรนี้
คิดคล้ายๆกัน มุ่งมั่นและพอใจในหุ้นที่เป็น ...super stock
และหวังว่าจะซื้อหุ้นวันนี้ และ ถือไปเรื่อยๆ เหมือนดัง
เสมียนสาวอเมริกาที่ถือหุ้น cock จนกลายเป็นมหาเศรษฐี
และพยายามศึกษาหาความรู้เพื่อหา... super stock
ใช้ข้อมูลเชิงคุณภาพในการตัดสินหุ้นว่าดีหรือไม่
อย่างอื่นแทบไม่สนใจ
มีแต่คนธรรมดาๆเท่านั้น ที่เลือกหุ้นโดยดู PE
เซียนจะต้องมองไกลกว่านั้น ไม่ได้มองปัจจุบัน
มองไปโน่น 5-10ปีข้างหน้า...
ในกรณีนี้
มันจะเป็น Red Ocean ด้วยเหตุใดล่ะครับ
ตรงนี้ เข้ากับหลักการลงทุน
ที่มีคนเคยกล่าวไว้
แล้ว Buffett เอามาใช้ หรือ กล่าวซ้ำ
เสียด้วย
" I would rather be vaguely right than precisely wrong "
Keynes
ผมเลือกจะทำสิ่งที่ ถูกต้อง อย่างคลุมเครือ
มากกว่า จะทำสิ่งที่จะผิดพลาด อย่างชัดเจน
กรณี
เลือกหุ้นโดยเน้นปัจจัยคุณภาพ
น่าจะตรงกับ กรณีนี้ครับ
แม้ไม่ใช่การลงทุนที่ดี่ที่สุด
แต่ก็เป็นการลงทุนที่ดีกว่า การเน้นการใช้ปัจจัยเชิงปริมาณ
โดยที่ตัวเอง ไม่ได้ถ่องแท้กับมัน
....ส่วนมากก็ยังมีความสุขในมหาสมุทรนี้
คิดคล้ายๆกัน มุ่งมั่นและพอใจในหุ้นที่เป็น ...super stock
และหวังว่าจะซื้อหุ้นวันนี้ และ ถือไปเรื่อยๆ เหมือนดัง
เสมียนสาวอเมริกาที่ถือหุ้น cock จนกลายเป็นมหาเศรษฐี
และพยายามศึกษาหาความรู้เพื่อหา... super stock
ใช้ข้อมูลเชิงคุณภาพในการตัดสินหุ้นว่าดีหรือไม่
อย่างอื่นแทบไม่สนใจ
มีแต่คนธรรมดาๆเท่านั้น ที่เลือกหุ้นโดยดู PE
เซียนจะต้องมองไกลกว่านั้น ไม่ได้มองปัจจุบัน
มองไปโน่น 5-10ปีข้างหน้า...
ในกรณีนี้
มันจะเป็น Red Ocean ด้วยเหตุใดล่ะครับ
ตรงนี้ เข้ากับหลักการลงทุน
ที่มีคนเคยกล่าวไว้
แล้ว Buffett เอามาใช้ หรือ กล่าวซ้ำ
เสียด้วย
" I would rather be vaguely right than precisely wrong "
Keynes
ผมเลือกจะทำสิ่งที่ ถูกต้อง อย่างคลุมเครือ
มากกว่า จะทำสิ่งที่จะผิดพลาด อย่างชัดเจน
กรณี
เลือกหุ้นโดยเน้นปัจจัยคุณภาพ
น่าจะตรงกับ กรณีนี้ครับ
แม้ไม่ใช่การลงทุนที่ดี่ที่สุด
แต่ก็เป็นการลงทุนที่ดีกว่า การเน้นการใช้ปัจจัยเชิงปริมาณ
โดยที่ตัวเอง ไม่ได้ถ่องแท้กับมัน
-
- Verified User
- โพสต์: 15
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ผมว่า VI ในห้องนี้กำลังอยู่ใน red ocean
โพสต์ที่ 51
ขอแก้ไข
เพราะ ด้านบนที่พิมพ์ไป
อ่านอีกที ความหมายเพี้ยนไปเยอะ
ตรงนี้ คล้ายๆกับ คำกล่าวหนึ่ง
ที่มีคนเคยกล่าวไว้
แล้ว Buffett เอามาใช้ หรือ ประยุกต์
สำหรับการลงทุนของเขาเองด้วย
" I would rather be vaguely right than precisely wrong "
Keynes
"ผมเลือกจะทำสิ่งที่ ถูกต้อง อย่างคลุมเครือ
มากกว่า จะทำสิ่งที่จะผิดพลาด อย่างชัดเจน"
เพราะ ด้านบนที่พิมพ์ไป
อ่านอีกที ความหมายเพี้ยนไปเยอะ
ตรงนี้ คล้ายๆกับ คำกล่าวหนึ่ง
ที่มีคนเคยกล่าวไว้
แล้ว Buffett เอามาใช้ หรือ ประยุกต์
สำหรับการลงทุนของเขาเองด้วย
" I would rather be vaguely right than precisely wrong "
Keynes
"ผมเลือกจะทำสิ่งที่ ถูกต้อง อย่างคลุมเครือ
มากกว่า จะทำสิ่งที่จะผิดพลาด อย่างชัดเจน"
- Tibular
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 531
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ผมว่า VI ในห้องนี้กำลังอยู่ใน red ocean
โพสต์ที่ 52
เห็นด้วยคับ ว่านักลงทุนสนใจใช้หลัก VI มากขึ้น แต่ไม่รู้ถึงขั้น Red Ocean หรือเปล่า
เพราะถ้าถึงขั้นนั้น จะไม่มีใครได้กำไรพิเศษเพราะซื้อหุ้นต่ำกว่ามูลค่า(รวมคุณค่าด้วย)คับ ราคาหุ้นจะเหมาะสมกับพื้นฐานธุรกิจ
และได้ผลตอบแทนพอๆกับผลตอบแทนเฉลี่ยของธุรกิจ(จะสะท้อนโดยตลาดหุ้นซึ่งก็คือราคาหุ้นรวมปันผลของบริษัท)
แต่ นักลงทุนตัวจริงที่จะเข้าใจ รอบรู้ และใช้หลัก VI ได้สม่ำเสมอ ผมเชื่อว่า(ส่วนตัวคับ)ไม่เยอะหรอกคับ
เหมือนกันการขับรถ ทุกๆคนที่ขับรถเป็นก็ว่าขับรถดีกันหมด แต่เป็นไปไม่ได้คับ มันมีค่าเฉลี่ย ถ้า
ไปทำเป็นกราฟก็เป็นรูประฆังคว่ำ เก่งๆไม่เยอะ แย่มากๆไม่เยอะ ที่เหลือระดับเฉลี่ยๆ
กระแสช่วงนี้เหมือนจะเห่อกันมากกว่า เพราะมีตัวอย่าง
ที่ประสบความสำเร็จเยอะ ฝันหวานกันไป หนังสือนั่นนี่ออกมาเพียบ รวยแน่ๆ 555
สุดท้ายก็จะมีคนท้อเลิกไปเอง เพราะรู้ว่าทำไม่ได้
และก็จะมีคนไม่ท้อ เข้าใจหลักแจ่มแจ้ง ทำได้ดี
ทางที่ดีไม่ต้องมาคิดไรมากหรอกคับ ขยันอ่าน ขยันคิด ขยันหาความรู้ในการลงทุนดีกว่า
อย่าไปสนใจคนอื่นมากนัก ให้กลับมาดูมารู้ตัวเองก่อน
เพราะถ้าถึงขั้นนั้น จะไม่มีใครได้กำไรพิเศษเพราะซื้อหุ้นต่ำกว่ามูลค่า(รวมคุณค่าด้วย)คับ ราคาหุ้นจะเหมาะสมกับพื้นฐานธุรกิจ
และได้ผลตอบแทนพอๆกับผลตอบแทนเฉลี่ยของธุรกิจ(จะสะท้อนโดยตลาดหุ้นซึ่งก็คือราคาหุ้นรวมปันผลของบริษัท)
แต่ นักลงทุนตัวจริงที่จะเข้าใจ รอบรู้ และใช้หลัก VI ได้สม่ำเสมอ ผมเชื่อว่า(ส่วนตัวคับ)ไม่เยอะหรอกคับ
เหมือนกันการขับรถ ทุกๆคนที่ขับรถเป็นก็ว่าขับรถดีกันหมด แต่เป็นไปไม่ได้คับ มันมีค่าเฉลี่ย ถ้า
ไปทำเป็นกราฟก็เป็นรูประฆังคว่ำ เก่งๆไม่เยอะ แย่มากๆไม่เยอะ ที่เหลือระดับเฉลี่ยๆ
กระแสช่วงนี้เหมือนจะเห่อกันมากกว่า เพราะมีตัวอย่าง
ที่ประสบความสำเร็จเยอะ ฝันหวานกันไป หนังสือนั่นนี่ออกมาเพียบ รวยแน่ๆ 555
สุดท้ายก็จะมีคนท้อเลิกไปเอง เพราะรู้ว่าทำไม่ได้
และก็จะมีคนไม่ท้อ เข้าใจหลักแจ่มแจ้ง ทำได้ดี
ทางที่ดีไม่ต้องมาคิดไรมากหรอกคับ ขยันอ่าน ขยันคิด ขยันหาความรู้ในการลงทุนดีกว่า
อย่าไปสนใจคนอื่นมากนัก ให้กลับมาดูมารู้ตัวเองก่อน
- vi_tal signs
- Verified User
- โพสต์: 631
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ผมว่า VI ในห้องนี้กำลังอยู่ใน red ocean
โพสต์ที่ 54
ชอบคำนี้มากครับพี่ ส.สลึงส.สลึง เขียน:ถ้าคิดว่าจะเอาเงินคนอื่นกัน
เราก็จะมองตลาดหุ้นเป็นบ่อน
หรือเป็นสมรภูมิที่คิดแต่จะทำร้ายกัน
ถ้าคิดแบบนี้
ชีวิตไม่มีความสุขหรอกครับ
แล้วจะไม่พบกับความสนุก
ในการลงทุน
ส่วนตัว ผมมีความเชื่อครับ ว่า
ถ้าเราทำงานสนุก
เราจะทำได้ดี และมีความสุข
และการซื้อขายหุ้นใน ตลท.
ก็เป็นแค่เต็นท์หุ้นมือสองเท่านั้นเอง
มันเป็นสถานที่ที่เราเอาเงินกับหุ้น
ไปแลกเปลี่ยนกันธรรมดา
มันจะมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 332
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ผมว่า VI ในห้องนี้กำลังอยู่ใน red ocean
โพสต์ที่ 55
เห็นด้วยว่า VI เยอะขึ้น
แต่ระยะเวลาจะเป็นตัวกำหนดตัวนักลงทุนเองครับ
บางคนระยะหวังผลสั้นน่าจะแค่1ปี ทำให้ผลตอบแทนที่คาดหวังสูงขึ้นไปด้วย ฉะนั้นก็ต้องหาหุ้นที่ราคาถูกและมีตัวเร่ง
แต่บางคนมีระยะหวังผลยาวหน่อย5-10ปี ผลตอบแทนแบบยาวๆอาจจะ 15% ทบต้น ฉะนั้นเขาจะมองถึงคุณภาพก่อนเชิงปริมาณ มาดูราคาแล้วถ้าเทียบ PE แล้วก็อาจจะดูว่าแพงถ้าคิดแค่ระยะเวลา1-2ปี
แต่ถ้ามองระยะเวลานานๆแล้วราคานี้ยังถือว่า
red ocean ไม่ได้เกิดจาก VI เยอะหรอกครับ แต่จะมีนักเก็งกำไรเข้ามาผสมปนเปกันไป บางคนก็เล่นหุ้นตามกระแสหรือเก็งตามผลประกอบการไป
สุดท้ายก็อยู่ว่า VI จะต้องยึดถือกฏที่ตนเองตั้งไว้อย่างแน่วแน่ สร้างหลักการลงทุนของตัวเองขึ้นมา ถ้าเรามีความอดทนพอเดี๋ยวก็จะเจอหุ้นที่เป็น blue ocean ของเราเองครับ
แต่ระยะเวลาจะเป็นตัวกำหนดตัวนักลงทุนเองครับ
บางคนระยะหวังผลสั้นน่าจะแค่1ปี ทำให้ผลตอบแทนที่คาดหวังสูงขึ้นไปด้วย ฉะนั้นก็ต้องหาหุ้นที่ราคาถูกและมีตัวเร่ง
แต่บางคนมีระยะหวังผลยาวหน่อย5-10ปี ผลตอบแทนแบบยาวๆอาจจะ 15% ทบต้น ฉะนั้นเขาจะมองถึงคุณภาพก่อนเชิงปริมาณ มาดูราคาแล้วถ้าเทียบ PE แล้วก็อาจจะดูว่าแพงถ้าคิดแค่ระยะเวลา1-2ปี
แต่ถ้ามองระยะเวลานานๆแล้วราคานี้ยังถือว่า
red ocean ไม่ได้เกิดจาก VI เยอะหรอกครับ แต่จะมีนักเก็งกำไรเข้ามาผสมปนเปกันไป บางคนก็เล่นหุ้นตามกระแสหรือเก็งตามผลประกอบการไป
สุดท้ายก็อยู่ว่า VI จะต้องยึดถือกฏที่ตนเองตั้งไว้อย่างแน่วแน่ สร้างหลักการลงทุนของตัวเองขึ้นมา ถ้าเรามีความอดทนพอเดี๋ยวก็จะเจอหุ้นที่เป็น blue ocean ของเราเองครับ
- OutOfMyMind
- Verified User
- โพสต์: 1242
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ผมว่า VI ในห้องนี้กำลังอยู่ใน red ocean
โพสต์ที่ 56
Conservative investors sleep well
บทความดีดีสำหรับนักลงทุนเน้นคุณค่า
https://www.facebook.com/OutOfMyMindOnValueInvestment
https://www.facebook.com/OutOfMyMindOnValueInvestment
- pongo
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1075
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ผมว่า VI ในห้องนี้กำลังอยู่ใน red ocean
โพสต์ที่ 58
ผมว่าประโยคนี้ ในความคิดผมนะครับ ไม่ใช่ว่าเราจะถือหุ้นตัวนั้นไปนานๆๆๆๆๆ ราวกับเป็นเจ้าของธุรกิจsuwicha เขียน:จริงเหรอครับ...ที่ว่าวีไอในเวบนี้ค้นหาsuperstockเพื่อที่จะถือมันไปนานๆ ราวกับเป็นเจ้าของธุรกิจ?
แต่ในความหมายที่ผมเข้าใจ คือ ถ้าเราจะเปิดกิจการนั้นๆ จริงๆ โดยถือหุ้นทั้ง 100% นั้น เราจะลงทุนหรือเปล่า (ในราคาบนกระดาน ณ ขณะนั้น)
ผมว่าความหมายต่างกันนะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 309
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ผมว่า VI ในห้องนี้กำลังอยู่ใน red ocean
โพสต์ที่ 59
และส่วนมากก็ยังมีความสุขในมหาสมุทรนี้pongo เขียน:ผมว่าประโยคนี้ ในความคิดผมนะครับ ไม่ใช่ว่าเราจะถือหุ้นตัวนั้นไปนานๆๆๆๆๆ ราวกับเป็นเจ้าของธุรกิจsuwicha เขียน:จริงเหรอครับ...ที่ว่าวีไอในเวบนี้ค้นหาsuperstockเพื่อที่จะถือมันไปนานๆ ราวกับเป็นเจ้าของธุรกิจ?
แต่ในความหมายที่ผมเข้าใจ คือ ถ้าเราจะเปิดกิจการนั้นๆ จริงๆ โดยถือหุ้นทั้ง 100% นั้น เราจะลงทุนหรือเปล่า (ในราคาบนกระดาน ณ ขณะนั้น)
ผมว่าความหมายต่างกันนะครับ
คิดคล้ายๆกัน มุ่งมั่นและพอใจในหุ้นที่เป็น super stock
และหวังว่าจะซื้อหุ้นวันนี้ และ ถือไปเรื่อยๆ เหมือนดัง
เสมียนสาวอเมริกาที่ถือหุ้น cock จนกลายเป็นมหาเศรษฐี
จากข้อความของจขกท.นี่ ผมยังคงเข้าใจตามที่ผมเขียน ไม่เห็นว่าจะผิดประเด็นอะไร
แต่ก็ยินดีรับคำชี้แนะครับ เพราะผมอาจอ่านใจจขกท.ผิดก็ได้
แต่ครับแต่...ถ้า่ใครเป็นแฟนคลับจขกท.มาแต่แรก ก็จะเคยเห็นกระทู้ลักษณะนี้มาแล้ว
เพียงแต่เปลี่ยนจากต้นตำรับviในไทยเป็นเสมียนสาวชาวอเมริกันเท่านั้นครับผม