คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14784
- ผู้ติดตาม: 1
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 332
เมื่อ 2 วันก่อน พี่ฝันแปลกมาเลย วิบูลย์ พี่ไม่เคยฝันเรื่องหุ้นเลย
แต่พี่ฝันว่า กระทู้นี้ มีการโพส 11800 กว่าๆ
แต่จำไม่สองตัวหลังไม่ได้ ไม่งั้นหลายๆคนได้ไปซื้อหวย 2 ตัวซะแย้ว
พอตื่นมา มาดู กลายเป็น 8 พันกว่าๆ อิอิ
แต่พี่ฝันว่า กระทู้นี้ มีการโพส 11800 กว่าๆ
แต่จำไม่สองตัวหลังไม่ได้ ไม่งั้นหลายๆคนได้ไปซื้อหวย 2 ตัวซะแย้ว
พอตื่นมา มาดู กลายเป็น 8 พันกว่าๆ อิอิ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2035
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 333
พี่เจ๋งนี่แซวเจ็บ
ผมกะว่าถ้า มีอ่านครบ 10,000 ครั้งเมื่อไหร่
จะชวนพี่กับพวกคุณหมอ คุณมน
มาเสวนากันสักหน่อย
เพื่อพิจารณาว่า
ใครโพสได้
กวนทีน...เอ้ย ไม่ใช่
โพสได้น่ารักน่าอ่านที่สุด
เห็นด้วยกับพี่Chatchai ครับ
BH แปลงหนี้เป็นหุ้นกู้แปลงสภาพ
ผมรับประกันว่า เจ้าของหุ้นกู้ชุดนี้
ใช้สิทธิแปลงสภาพแน่นอน
เท่าที่จำได้
ราคาแปลงสภาพอยู่ที่ 27 และ 35 บาท
ใครจะคิดมูลค่าของ BH
อย่าลืมจำนวนหุ้นที่จะเข้ามา Dilute ด้วยนะครับ
เอ แต่ว่า คุณมนหายไปไหนอีกแล้วเนี่ย
ผมกะว่าถ้า มีอ่านครบ 10,000 ครั้งเมื่อไหร่
จะชวนพี่กับพวกคุณหมอ คุณมน
มาเสวนากันสักหน่อย
เพื่อพิจารณาว่า
ใครโพสได้
กวนทีน...เอ้ย ไม่ใช่
โพสได้น่ารักน่าอ่านที่สุด
เห็นด้วยกับพี่Chatchai ครับ
BH แปลงหนี้เป็นหุ้นกู้แปลงสภาพ
ผมรับประกันว่า เจ้าของหุ้นกู้ชุดนี้
ใช้สิทธิแปลงสภาพแน่นอน
เท่าที่จำได้
ราคาแปลงสภาพอยู่ที่ 27 และ 35 บาท
ใครจะคิดมูลค่าของ BH
อย่าลืมจำนวนหุ้นที่จะเข้ามา Dilute ด้วยนะครับ
เอ แต่ว่า คุณมนหายไปไหนอีกแล้วเนี่ย
- Mon money
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 3134
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 334
ไม่ได้ไปไหนครับ เมื่อวานเพื่อนสิงคโปมาเลยพาไปกินข้าวและพาไปเดินกินลมแถวพัฒพงมาครับ เดี๋ยวนี้แถวนั้นเงียบมากครับไม่ค่อยมีคนเดินกันเลย กลับมาก็เลยนอนอ่านหนังสือแทน ช่วงกลางวันก็ยุ่งๆกับงานที่บริษัท ก็ต้นเดือนนี่ครับต้องทำหลายอย่าง เดี๋ยวจะจัดระบบให้เรียบร้อยแล้วจะจ้างคนมาทำแทนแล้วครับ
--------------------------------------------------------------------------------------
ขอแก้ข่าวเฮียคลายเครียดก่อนครับ คือว่าผมไม่ได้อยู่ในวงการสิ่งพิมพ์ครับ แต่พอมีเพื่อนรู้จักในแวดวงนี้บาง คิดว่าจะพาเพื่อนๆสมาชิกดังกันให้หมดพร้อมๆกันคราวนี้แหละ แต่ได้แต่กล่องนะ เพราะเงินที่ได้จะเอาไปทำบุญให้หมด ผลบุญจะได้หนุนส่งให้การลงทุนเติบโตแบบสวนกระแสไปเลย
--------------------------------------------------------------------------------------
สำหรับการประเมินมูลค่า ผมมักคำนวณ Reproduction Costsหลังจากตรวจสอบคุณภาพบริษัทเป็นอันดับแรกเลย ด้วยคิดว่าจะได้ทราบว่าบริษัทนี้มีสินทรัพย์ที่จะสร้างEarningได้ในอนาคตเท่าไร จากนั้นผมจะคำนวณ Earning Powerโดยอาศัยข้อมูลย้อนหลังหลายๆปีตามแบบที่พี่เจ๋งทำ หากมีเวลาจะทำ DCFครับ ตรวจมันมากๆจะพบอะไรดีๆขึ้นเรื่อยๆ
แล้วเดี๋ยวจะมาคุยเรื่อง Earning Power Valueต่อครับ
--------------------------------------------------------------------------------------
ขอแก้ข่าวเฮียคลายเครียดก่อนครับ คือว่าผมไม่ได้อยู่ในวงการสิ่งพิมพ์ครับ แต่พอมีเพื่อนรู้จักในแวดวงนี้บาง คิดว่าจะพาเพื่อนๆสมาชิกดังกันให้หมดพร้อมๆกันคราวนี้แหละ แต่ได้แต่กล่องนะ เพราะเงินที่ได้จะเอาไปทำบุญให้หมด ผลบุญจะได้หนุนส่งให้การลงทุนเติบโตแบบสวนกระแสไปเลย
--------------------------------------------------------------------------------------
สำหรับการประเมินมูลค่า ผมมักคำนวณ Reproduction Costsหลังจากตรวจสอบคุณภาพบริษัทเป็นอันดับแรกเลย ด้วยคิดว่าจะได้ทราบว่าบริษัทนี้มีสินทรัพย์ที่จะสร้างEarningได้ในอนาคตเท่าไร จากนั้นผมจะคำนวณ Earning Powerโดยอาศัยข้อมูลย้อนหลังหลายๆปีตามแบบที่พี่เจ๋งทำ หากมีเวลาจะทำ DCFครับ ตรวจมันมากๆจะพบอะไรดีๆขึ้นเรื่อยๆ
แล้วเดี๋ยวจะมาคุยเรื่อง Earning Power Valueต่อครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2035
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 335
ขอเป็นกำลังใจให้เฮียคลายเครียดครับ
ที่ถูกปรักปรำที่ Pantip.Com
ยังไง เฮียอย่าลืมน้องๆแถวนี้แล้วกันครับ
ว่างๆ แวะเข้ามาโพสเป็นกำลังใจพวกผมอีกนะครับ
(จะด่าว่าก็ได้ครับ พวกผมยอมรับคำติชมครับ
แต่จะทำตามหรือเปล่า.... บอกไม่ได้ครับ)
เอาละ...คราวนี้ตาคุณมน ผมชกก่อนแล้วกันนะ
เพื่อนๆทราบมั๊ยครับว่า
การหามูลค่าหุ้นด้วย Earning Power Value (EPV)
จะใช้เมื่อไหร่ ดีอย่างไร และมีข้อจำกัดอย่างไร
ใครลองใช้แล้ว เป็นอย่างไรบ้าง
ส่งคำตอบมาที่นี่ถึงคุณมนได้เลยครับ
ที่ถูกปรักปรำที่ Pantip.Com
ยังไง เฮียอย่าลืมน้องๆแถวนี้แล้วกันครับ
ว่างๆ แวะเข้ามาโพสเป็นกำลังใจพวกผมอีกนะครับ
(จะด่าว่าก็ได้ครับ พวกผมยอมรับคำติชมครับ
แต่จะทำตามหรือเปล่า.... บอกไม่ได้ครับ)
เอาละ...คราวนี้ตาคุณมน ผมชกก่อนแล้วกันนะ
เพื่อนๆทราบมั๊ยครับว่า
การหามูลค่าหุ้นด้วย Earning Power Value (EPV)
จะใช้เมื่อไหร่ ดีอย่างไร และมีข้อจำกัดอย่างไร
ใครลองใช้แล้ว เป็นอย่างไรบ้าง
ส่งคำตอบมาที่นี่ถึงคุณมนได้เลยครับ
-
- ผู้ติดตาม: 0
ขอถามพี่ VIB007 หน่อยค่ะ
โพสต์ที่ 336
อาจจะเป็นคำถามที่ดูโง่หน่อยนะคะ แต่เพราะไม่เข้าใจค่ะ พี่VIB007 เขียนไว้ว่า
{คนถาม (ผมใช้ชื่อว่า A แล้วกันครับ) เลยไปถาม Charlie Munger เพื่อนซี้ของ Buffet ว่าทำไม Buffet ไม่ยอมซื้อรถใหม่ ต่อไปนี้เป็นบทสนทนาของสองคนนี้นะครับ (ผมดัดแปลงบทเล็กน้อย)
Munger ถามว่า "คุณว่ารถเบนซ์คันเท่าไหร่"
Mr.A: "40,000 เหรียญ"
Munger: "รถ Lincoln Towncar คันละเท่าไหร่"
Mr.A: "15,000 เหรียญ"
Munger: "รถสองคันราคาต่างกันเท่าไหร่"
Mr.A: "25,000 เหรียญ"
Munger: "รถสองคันนี้ไปถึงที่ทำงานได้เหมือนกันหรือเปล่า"
Mr.A: "เหมือนกัน แต่เบนซ์โก้กว่ามาก"
Munger: "คุณว่าความโก้ของคุณราคาเท่าไหร่"
Mr.A: "25,000 เหรียญ"
Munger: "นั่นเป็นมูลค่าความโก้ของคุณ แต่ไม่ใช่มูลค่าความโก้ของBuffet "
Mr.A: "ไม่เข้าใจ"
Munger: "ถ้าคุณสามารถทำอัตราผลตอบแทนได้ปีละ 24% ถามว่ามูลค่าความโก้คุณจะเป็นเท่าไหร่"
Mr.A: หยุดคิดสักนิดก่อนตอบ "31,000 เหรียญ" (25000*1.24)
Munger: "เอางี้ ผมจะบอกคุณให้ก็ได้ มูลค่าความโก้ของคุณคือ 1,022,420 เหรียญ"
Mr.A: "ไอ้หย๋า ซี้เลี้ยวหว่า เป็นไปได้ยังไง"
Munger: "ก็ถ้าคุณสามารถทำอัตราผลตอบแทนได้ปีละ 24% อัตราเงินเฝ้อที่ 3% มูลค่าความโก้ของคุณก็คือ 25,000*(1+.24)^20/(1.03)^20 = 1,022,420 เหรียญ"
Munger: "ถามว่าถ้าเป็นคุณ คุณจะซื้อรถมูลค่าหนึ่งล้านเหรียญหรือเปล่า"
Mr.A: หยุดคิดสักนิดก่อนตอบ "ซื้อครับ" }
คือน้องไม่เข้าใจว่า 25,000*(1+.24)^20/(1.03)^20 = 1,022,240 น่ะค่ะ
เจ้าตัว " ^ " แทนเครื่องหมายอะไรหรือค่ะ และตัวเลข 1 , 1.03 และ 20
มาจากไหนคะ
รบกวนพี่ช่วยตอบด้วยนะคะ........ขอบคุณค่ะ
{คนถาม (ผมใช้ชื่อว่า A แล้วกันครับ) เลยไปถาม Charlie Munger เพื่อนซี้ของ Buffet ว่าทำไม Buffet ไม่ยอมซื้อรถใหม่ ต่อไปนี้เป็นบทสนทนาของสองคนนี้นะครับ (ผมดัดแปลงบทเล็กน้อย)
Munger ถามว่า "คุณว่ารถเบนซ์คันเท่าไหร่"
Mr.A: "40,000 เหรียญ"
Munger: "รถ Lincoln Towncar คันละเท่าไหร่"
Mr.A: "15,000 เหรียญ"
Munger: "รถสองคันราคาต่างกันเท่าไหร่"
Mr.A: "25,000 เหรียญ"
Munger: "รถสองคันนี้ไปถึงที่ทำงานได้เหมือนกันหรือเปล่า"
Mr.A: "เหมือนกัน แต่เบนซ์โก้กว่ามาก"
Munger: "คุณว่าความโก้ของคุณราคาเท่าไหร่"
Mr.A: "25,000 เหรียญ"
Munger: "นั่นเป็นมูลค่าความโก้ของคุณ แต่ไม่ใช่มูลค่าความโก้ของBuffet "
Mr.A: "ไม่เข้าใจ"
Munger: "ถ้าคุณสามารถทำอัตราผลตอบแทนได้ปีละ 24% ถามว่ามูลค่าความโก้คุณจะเป็นเท่าไหร่"
Mr.A: หยุดคิดสักนิดก่อนตอบ "31,000 เหรียญ" (25000*1.24)
Munger: "เอางี้ ผมจะบอกคุณให้ก็ได้ มูลค่าความโก้ของคุณคือ 1,022,420 เหรียญ"
Mr.A: "ไอ้หย๋า ซี้เลี้ยวหว่า เป็นไปได้ยังไง"
Munger: "ก็ถ้าคุณสามารถทำอัตราผลตอบแทนได้ปีละ 24% อัตราเงินเฝ้อที่ 3% มูลค่าความโก้ของคุณก็คือ 25,000*(1+.24)^20/(1.03)^20 = 1,022,420 เหรียญ"
Munger: "ถามว่าถ้าเป็นคุณ คุณจะซื้อรถมูลค่าหนึ่งล้านเหรียญหรือเปล่า"
Mr.A: หยุดคิดสักนิดก่อนตอบ "ซื้อครับ" }
คือน้องไม่เข้าใจว่า 25,000*(1+.24)^20/(1.03)^20 = 1,022,240 น่ะค่ะ
เจ้าตัว " ^ " แทนเครื่องหมายอะไรหรือค่ะ และตัวเลข 1 , 1.03 และ 20
มาจากไหนคะ
รบกวนพี่ช่วยตอบด้วยนะคะ........ขอบคุณค่ะ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11444
- ผู้ติดตาม: 1
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 337
เครื่องหมาย ^ ก็คือยกกำลังครับ
เลข 1 ที่บวกกับ 0.24 ก็คือ 1.24 คือการคำนวณหาค่าเงินในอนาคตโดยมีผลตอบแทนที่ 24% ครับ
เช่นถ้าคุณมีเงินลงทุน 100 บาท มีผลตอบแทน 24%ต่อปี ภายใน 1 ปี คุณก็จะมีเงิน 100*(1+0.24) = 124 บาท
เลข 1.03 ก็เช่นกันคือตัวเลขเงินเฟ้อครับ ซึ่งจะมีความหมายตรงข้ามกับผลตอบแทน ดังนั้นจากที่คุณจึงหารครับ เพราะเงินเฟ้อทำให้ค่าเงินของเราในอนาคตลดลง
และถ้าคุณต้องการคำนวณมูลค่าใน 20 ปีข้างหน้า แทนที่จะหามูลค่าในปีหน้า คุณก็จะต้องยกกำลังด้วย 20 ทั้ง 1.24 และ 1.03 ครับ
ดังนั้นค่าเงิน 1,022,240 นั้นก็คือมูลค่าเงินที่แท้จริงได้รับจากการลงทุนเป็นเวลา 20 ปี ที่มีผลตอบแทน 24% และ เงินเฟ้อที่ 3% จากเงินลงทุนในปีแรกที่ 25,000 ครับ
พอเข้าใจไหมครับ
เลข 1 ที่บวกกับ 0.24 ก็คือ 1.24 คือการคำนวณหาค่าเงินในอนาคตโดยมีผลตอบแทนที่ 24% ครับ
เช่นถ้าคุณมีเงินลงทุน 100 บาท มีผลตอบแทน 24%ต่อปี ภายใน 1 ปี คุณก็จะมีเงิน 100*(1+0.24) = 124 บาท
เลข 1.03 ก็เช่นกันคือตัวเลขเงินเฟ้อครับ ซึ่งจะมีความหมายตรงข้ามกับผลตอบแทน ดังนั้นจากที่คุณจึงหารครับ เพราะเงินเฟ้อทำให้ค่าเงินของเราในอนาคตลดลง
และถ้าคุณต้องการคำนวณมูลค่าใน 20 ปีข้างหน้า แทนที่จะหามูลค่าในปีหน้า คุณก็จะต้องยกกำลังด้วย 20 ทั้ง 1.24 และ 1.03 ครับ
ดังนั้นค่าเงิน 1,022,240 นั้นก็คือมูลค่าเงินที่แท้จริงได้รับจากการลงทุนเป็นเวลา 20 ปี ที่มีผลตอบแทน 24% และ เงินเฟ้อที่ 3% จากเงินลงทุนในปีแรกที่ 25,000 ครับ
พอเข้าใจไหมครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2035
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 338
ขอบคุณพี่Chatchai ครับที่ช่วยตอบแทน
ที่นี่เยี่ยมจริงๆ
มีพี่ๆเพื่อนๆช่วยกันให้ความรู้กับน้องๆ
อย่างไม่เสียดายวิชา
ใครไม่รู้เรื่องอะไร
ถามมาได้เลยครับ
พี่ๆเพื่อนๆคนไหน
ตอบคำถามไหนได้
ช่วยผมเลยนะครับ
ขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
น้องสายลมครับ
คำถามของน้องไม่โง่หรอกครับ
ผมว่าดีมากเลยทีเดียว
อะไรที่เราไม่รู้
ถามแล้วจะได้กระจ่าง
พี่ก็โง่มานาน
อาศัยถามๆ อ่านๆ
ก็ฉลาดขึ้นมานิดหน่อย
แต่ที่ไม่รู้ก็มีอีกมาก
ต้องยอมรับว่า ยังต้องเรียนรู้อีกเยอะ
ที่น้องถามมา เขาเรียกว่า
Time Value of Money
ครับ
เงิน 100 บาทในอีก 20 ปีข้างหน้า
ก็มีค่าน้อยกว่าเงิน 100 บาทเวลานี้แน่นอน
สิ่งนี้อยู่ใกล้ๆตัวเรานี่แหละ
เมื่อ 20 ปีก่อน
เท่าที่จำได้
สมัยพี่ยังใส่กางเกงขาสั้นไปโรงเรียน
ก๋วยเตี๋ยวชามละ 7 บาท
ตอนนี้
ใส่กางเกงขาสั้นไปเที่ยว(เธค)
ก๋วยเตี๋ยวปาเข้าไปชามละ 25 บาทแล้ว
เจ้า"เงินเฝ้อ"นี่หละครับ
ศัตรูตัวร้ายของนักลงทุน
ลองคิดดูว่าถ้าเราเอาเงิน 7 บาทฝังตุ่มไว้
ผ่านไป 20 ปี
นึกขึ้นได้ ว่ามีมหาสมบัติของตระกูลฝังอยู่
ขุดตุ่มขึ้นมา
รู้สึกอยากกินขนม
กำเงิน 7 บาท
ไปร้านก๋วยเตี๋ยวหน้าปากซอย
ขอซื้อบะหมี่เกี้ยวแห้งชามนึง
กินเสร็จ คิดเงิน
ตี๋บอก "25 บาท"
อย่าตกใจจนตกเก้าอี้นะครับ
มันเป็นความจริง ไม่ใช่ความฝันครับ
ดังนั้น หน้าที่อันดับแรกของนักลงทุน
ก็คือ
การที่จะบริหารเงินลงทุนที่เรามีอยู่
ให้มีผลตอบแทน
มากกว่าอัตราเงินเฝ้อให้ได้
สถานการณ์ปัจจุบัน พศ.2546
ประเทศไทย ยุคทักษิโณมิค
ดอกเบี้ยเงินฝาก 1.25%
อัตราเงินเฝ้อ 2%
พี่ถามน้องสายลมนะครับว่า
ตอนนี้
คนที่ไม่คิดมาก
ชอบอะไรที่มันมั่นคง
เอาเงินไปฝากแบงค์หมด
คิดว่าเงินต้นไม่หาย
จะเรียกตัวเองว่า นักลงทุนได้หรือไม่
พี่มีเพื่อนคนนึง
ปีที่แล้วเขามีเงินเก็บมากกว่าพี่ประมาณสองเท่า
พี่ถามเขาว่าไม่เอาเงินไปทำอะไรอย่างอื่นหรือ
เขาตอบว่า "ไม่ล่ะ ฝากแบงค์ดีแล้ว เงินต้นไม่หาย"
โชคดีที่พี่ไม่ทำตาม
พี่เอาเงินไปซื้อหุ้นบริษัทที่เราไตร่ตรองว่าดีแน่นอน
แล้วก็เก็บหอมรอมริบ
เอาเงินมาซื้อหุ้นบริษัทดีๆราคาไม่แพง
แล้วถือไว้ ให้บริษัท (เงิน) ทำงานแทนเรา
ไม่ต้องไปเปลี่ยนบริษัทบ่อยๆ
วันนี้พี่มีพอร์ตมูลค่าเท่าเงินเก็บของเขาแล้ว
ขณะที่....... เขาถอนเงินไปสร้างบ้านใหม่หมด
................สาธุ
ถามว่าพี่กลัวหรือเปล่า
ตอบว่า
ในระยะยาว
ราคาหุ้นจะอิงกับผลประกอบการของบริษัทเราอยู่แล้วแน่นอน
ถ้าผลประกอบการบริษัทเราดี
ราคาหุ้นก็จะเป็นไปตามนั้น
แต่ในระยะสั้น ราคาจะผันผวนบ้างเป็นเรื่องธรรมดา
ถ้าทำใจไม่ได้กับราคาที่ขึ้นๆลงๆในระยะสั้น
พี่ก็แนะนำว่า
อย่ามาลงทุนในตลาดหุ้นเลย
เดี๋ยวจะพาลโกรธ
ไปด่าว่าเฮียคลายเครียดทางเน็ตเหมือนคนอื่นเขา
อันดับแรก
เราต้องมั่นใจในสิ่งที่เราทำอยู่
ก่อนที่เราจะมั่นใจได้
เราต้องเข้าใจในสิ่งที่เราทำอยู่เสียก่อน
แต่สิ่งที่เราเข้าใจ
คนอื่นอาจจะไม่เข้าใจก็ได้
ดังนั้น
ระหว่างทางของเรา
จะมีทั้งคนชื่นชม
และคนหัวเราะเยาะ
น้องต้องมั่นใจในตัวเราเอง
และศรัทธาในสิ่งที่เรากำลังปฏิบัติอยู่
ไม่เช่นนั้น
เราจะเขวออกจากทางที่คนอื่นเขาอยากให้เราเป็น
เป็นเหมือนคนอื่นๆ ที่ซื้อๆขายๆอยู่ตลอดเวลา
น้องกล้าแตกต่างหรือเปล่า
พี่คิดว่าถ้าเราเข้าใจ
เรามีความรู้
เรากล้าแน่นอน
แต่หนทางไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบแน่
ต้องให้หนามมันขูด
จนเลือดซิบๆ สักสองสามที
แล้วเราก็จะรู้ว่า
จะถือกุหลาบอย่างไร
ให้ปราศจากรอยเลือด
เอ.....ตกลง นี่มันกระทู้หุ้น
หรือ กระทู้กุหลาบแวร์ซาย..วะเนี่ย
เอาละ กลับมาที่ตัวเงินเฝ้อ
อาจารย์ Buffet บอกว่า
ถ้าใครคิดว่า
จะสามารถเข้าๆออกๆตลาดหุ้น
เพื่อจะเอาชนะเงินเฝ้อได้
อาจารย์ Buffet ขอเป็นโบรกของท่านนั้นครับ
แกไม่ยอมเป็นหุ้นส่วนของท่านนั้นเด็ดขาด
น้องสายลมเข้าใจที่อาจารย์ Buffet บอกหรือเปล่า
ดังนั้นหลังจากที่เราชนะอัตราเงินเฝ้อได้
ถึงจะคิดถึงผลตอบแทนที่สูงขึ้นไปครับ
แต่...เอ
คำถามที่ผมถามเรื่อง EPV ไม่เห็นมีคนตอบ
สงสัยต้องให้
อาจารย์ Mon Money มาเฉลยแล้วละครับ
เรียนเชิญอาจารย์ Mon ด้วยครับ
ที่นี่เยี่ยมจริงๆ
มีพี่ๆเพื่อนๆช่วยกันให้ความรู้กับน้องๆ
อย่างไม่เสียดายวิชา
ใครไม่รู้เรื่องอะไร
ถามมาได้เลยครับ
พี่ๆเพื่อนๆคนไหน
ตอบคำถามไหนได้
ช่วยผมเลยนะครับ
ขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
น้องสายลมครับ
คำถามของน้องไม่โง่หรอกครับ
ผมว่าดีมากเลยทีเดียว
อะไรที่เราไม่รู้
ถามแล้วจะได้กระจ่าง
พี่ก็โง่มานาน
อาศัยถามๆ อ่านๆ
ก็ฉลาดขึ้นมานิดหน่อย
แต่ที่ไม่รู้ก็มีอีกมาก
ต้องยอมรับว่า ยังต้องเรียนรู้อีกเยอะ
ที่น้องถามมา เขาเรียกว่า
Time Value of Money
ครับ
เงิน 100 บาทในอีก 20 ปีข้างหน้า
ก็มีค่าน้อยกว่าเงิน 100 บาทเวลานี้แน่นอน
สิ่งนี้อยู่ใกล้ๆตัวเรานี่แหละ
เมื่อ 20 ปีก่อน
เท่าที่จำได้
สมัยพี่ยังใส่กางเกงขาสั้นไปโรงเรียน
ก๋วยเตี๋ยวชามละ 7 บาท
ตอนนี้
ใส่กางเกงขาสั้นไปเที่ยว(เธค)
ก๋วยเตี๋ยวปาเข้าไปชามละ 25 บาทแล้ว
เจ้า"เงินเฝ้อ"นี่หละครับ
ศัตรูตัวร้ายของนักลงทุน
ลองคิดดูว่าถ้าเราเอาเงิน 7 บาทฝังตุ่มไว้
ผ่านไป 20 ปี
นึกขึ้นได้ ว่ามีมหาสมบัติของตระกูลฝังอยู่
ขุดตุ่มขึ้นมา
รู้สึกอยากกินขนม
กำเงิน 7 บาท
ไปร้านก๋วยเตี๋ยวหน้าปากซอย
ขอซื้อบะหมี่เกี้ยวแห้งชามนึง
กินเสร็จ คิดเงิน
ตี๋บอก "25 บาท"
อย่าตกใจจนตกเก้าอี้นะครับ
มันเป็นความจริง ไม่ใช่ความฝันครับ
ดังนั้น หน้าที่อันดับแรกของนักลงทุน
ก็คือ
การที่จะบริหารเงินลงทุนที่เรามีอยู่
ให้มีผลตอบแทน
มากกว่าอัตราเงินเฝ้อให้ได้
สถานการณ์ปัจจุบัน พศ.2546
ประเทศไทย ยุคทักษิโณมิค
ดอกเบี้ยเงินฝาก 1.25%
อัตราเงินเฝ้อ 2%
พี่ถามน้องสายลมนะครับว่า
ตอนนี้
คนที่ไม่คิดมาก
ชอบอะไรที่มันมั่นคง
เอาเงินไปฝากแบงค์หมด
คิดว่าเงินต้นไม่หาย
จะเรียกตัวเองว่า นักลงทุนได้หรือไม่
พี่มีเพื่อนคนนึง
ปีที่แล้วเขามีเงินเก็บมากกว่าพี่ประมาณสองเท่า
พี่ถามเขาว่าไม่เอาเงินไปทำอะไรอย่างอื่นหรือ
เขาตอบว่า "ไม่ล่ะ ฝากแบงค์ดีแล้ว เงินต้นไม่หาย"
โชคดีที่พี่ไม่ทำตาม
พี่เอาเงินไปซื้อหุ้นบริษัทที่เราไตร่ตรองว่าดีแน่นอน
แล้วก็เก็บหอมรอมริบ
เอาเงินมาซื้อหุ้นบริษัทดีๆราคาไม่แพง
แล้วถือไว้ ให้บริษัท (เงิน) ทำงานแทนเรา
ไม่ต้องไปเปลี่ยนบริษัทบ่อยๆ
วันนี้พี่มีพอร์ตมูลค่าเท่าเงินเก็บของเขาแล้ว
ขณะที่....... เขาถอนเงินไปสร้างบ้านใหม่หมด
................สาธุ
ถามว่าพี่กลัวหรือเปล่า
ตอบว่า
ในระยะยาว
ราคาหุ้นจะอิงกับผลประกอบการของบริษัทเราอยู่แล้วแน่นอน
ถ้าผลประกอบการบริษัทเราดี
ราคาหุ้นก็จะเป็นไปตามนั้น
แต่ในระยะสั้น ราคาจะผันผวนบ้างเป็นเรื่องธรรมดา
ถ้าทำใจไม่ได้กับราคาที่ขึ้นๆลงๆในระยะสั้น
พี่ก็แนะนำว่า
อย่ามาลงทุนในตลาดหุ้นเลย
เดี๋ยวจะพาลโกรธ
ไปด่าว่าเฮียคลายเครียดทางเน็ตเหมือนคนอื่นเขา
อันดับแรก
เราต้องมั่นใจในสิ่งที่เราทำอยู่
ก่อนที่เราจะมั่นใจได้
เราต้องเข้าใจในสิ่งที่เราทำอยู่เสียก่อน
แต่สิ่งที่เราเข้าใจ
คนอื่นอาจจะไม่เข้าใจก็ได้
ดังนั้น
ระหว่างทางของเรา
จะมีทั้งคนชื่นชม
และคนหัวเราะเยาะ
น้องต้องมั่นใจในตัวเราเอง
และศรัทธาในสิ่งที่เรากำลังปฏิบัติอยู่
ไม่เช่นนั้น
เราจะเขวออกจากทางที่คนอื่นเขาอยากให้เราเป็น
เป็นเหมือนคนอื่นๆ ที่ซื้อๆขายๆอยู่ตลอดเวลา
น้องกล้าแตกต่างหรือเปล่า
พี่คิดว่าถ้าเราเข้าใจ
เรามีความรู้
เรากล้าแน่นอน
แต่หนทางไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบแน่
ต้องให้หนามมันขูด
จนเลือดซิบๆ สักสองสามที
แล้วเราก็จะรู้ว่า
จะถือกุหลาบอย่างไร
ให้ปราศจากรอยเลือด
เอ.....ตกลง นี่มันกระทู้หุ้น
หรือ กระทู้กุหลาบแวร์ซาย..วะเนี่ย
เอาละ กลับมาที่ตัวเงินเฝ้อ
อาจารย์ Buffet บอกว่า
ถ้าใครคิดว่า
จะสามารถเข้าๆออกๆตลาดหุ้น
เพื่อจะเอาชนะเงินเฝ้อได้
อาจารย์ Buffet ขอเป็นโบรกของท่านนั้นครับ
แกไม่ยอมเป็นหุ้นส่วนของท่านนั้นเด็ดขาด
น้องสายลมเข้าใจที่อาจารย์ Buffet บอกหรือเปล่า
ดังนั้นหลังจากที่เราชนะอัตราเงินเฝ้อได้
ถึงจะคิดถึงผลตอบแทนที่สูงขึ้นไปครับ
แต่...เอ
คำถามที่ผมถามเรื่อง EPV ไม่เห็นมีคนตอบ
สงสัยต้องให้
อาจารย์ Mon Money มาเฉลยแล้วละครับ
เรียนเชิญอาจารย์ Mon ด้วยครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11444
- ผู้ติดตาม: 1
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 340
กรณี Asset รวมกับ AST นี่
ดร.ก้องเกียรติ คิดเหมือน Buffett ไหมครับ
เพราะรู้สึกว่า AST นี่มีเงินสดเหลือเหมือนนี่ครับ
เหมือนตอน Buffett ซื้อหุ้นบริษัทประกันแห่งหนึ่งที่มีพันธบัตรจำนวนมาก ซื้อด้วยวิธีแลกหุ้นเหมือนกันเลยครับ
ดร.ก้องเกียรติจะคิดเหมือน Buffett ไหมครับ ที่คิดว่า ณ.ราคานี้เกินปัจจัยพื้นฐานแล้ว
ผมสังเกตว่าเวลาบริษัทออกขายหุ้นแบบ PP เมื่อไร แสดงว่าราคาหุ้นบริษัทน่าจะอยู่ในเกณฑ์ที่สูงแล้ว ไม่งั้นเจ้าของคงไม่ออกหุ้นมาขายแบบถูกๆหรอกครับ
ดร.ก้องเกียรติ คิดเหมือน Buffett ไหมครับ
เพราะรู้สึกว่า AST นี่มีเงินสดเหลือเหมือนนี่ครับ
เหมือนตอน Buffett ซื้อหุ้นบริษัทประกันแห่งหนึ่งที่มีพันธบัตรจำนวนมาก ซื้อด้วยวิธีแลกหุ้นเหมือนกันเลยครับ
ดร.ก้องเกียรติจะคิดเหมือน Buffett ไหมครับ ที่คิดว่า ณ.ราคานี้เกินปัจจัยพื้นฐานแล้ว
ผมสังเกตว่าเวลาบริษัทออกขายหุ้นแบบ PP เมื่อไร แสดงว่าราคาหุ้นบริษัทน่าจะอยู่ในเกณฑ์ที่สูงแล้ว ไม่งั้นเจ้าของคงไม่ออกหุ้นมาขายแบบถูกๆหรอกครับ
- Mon money
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 3134
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 341
ผมขายASSETไปนานแล้วครับ ไม่คิดว่าบริษัทจะสามารถสร้างกระแสเงินสดได้มากจนทำให้มีมูลค่าได้สูงครับ
-------------------------------------------------------------------------------------
คุณวิบูลย์คุยเรื่องก๋วยเตี่ยวทำให้ผมนึกได้ว่าเคยคำนวณอัตราเงินเฟ้อจากราคาก๋วยเตี่ยวในรอบ20ปีมานี้ ผลก็คืออัตราเงินเฟ้อตกประมาณ 7.25%ต่อปีเชียวนะครับ ก๋วยเตียวนี่น่าจะใช้แทนสินค้าจำเป็นของทุกคนได้นะครับ เงินมันเฟ้อสูงเอาการทีเดียวครับ และขอยืนยันว่า
ในหลายๆบริษัทที่คำนวณReproduction cost แล้วเทียบกับราคาตลาดที่มีมูลค่าสูงกว่ามาก ก็ควรจะคำนวณ EPVเพื่อเทียบดูนะครับ
ข้อจำกัดของมันน่าจะเป็นเรื่องของการใช้ข้อมูลในอดีต กับการใช้ Discount rate ครับ
เอาเป็นว่า หมัดนี้ผมหลบได้หวุดหวิดครับ กำลังฟลุคเวิครอคำเฉลยครับ
-------------------------------------------------------------------------------------
คุณวิบูลย์คุยเรื่องก๋วยเตี่ยวทำให้ผมนึกได้ว่าเคยคำนวณอัตราเงินเฟ้อจากราคาก๋วยเตี่ยวในรอบ20ปีมานี้ ผลก็คืออัตราเงินเฟ้อตกประมาณ 7.25%ต่อปีเชียวนะครับ ก๋วยเตียวนี่น่าจะใช้แทนสินค้าจำเป็นของทุกคนได้นะครับ เงินมันเฟ้อสูงเอาการทีเดียวครับ และขอยืนยันว่า
_____________________________________________________อาจารย์ Buffet บอกว่า
ถ้าใครคิดว่า
จะสามารถเข้าๆออกๆตลาดหุ้น
เพื่อจะเอาชนะเงินเฝ้อได้
อาจารย์ Buffet ขอเป็นโบรกของท่านนั้นครับ
แกไม่ยอมเป็นหุ้นส่วนของท่านนั้นเด็ดขาด
บางบริษัทที่สามารถสร้างกำไรได้ใกล้เคียงกับกระแสเงินสดอิสระนั่นแหละครับ กำไรสม่ำเสมอ ซึ่งอาจจะมีการเติบโตของกำไรน้อยมาก ROEสูงแต่Growth rateน้อย WGของคุณฉัตรชัยน่าจะเข้าข่ายนะครับเพื่อนๆทราบมั๊ยครับว่า
การหามูลค่าหุ้นด้วย Earning Power Value (EPV)
จะใช้เมื่อไหร่ ดีอย่างไร และมีข้อจำกัดอย่างไร
ใครลองใช้แล้ว เป็นอย่างไรบ้าง
ในหลายๆบริษัทที่คำนวณReproduction cost แล้วเทียบกับราคาตลาดที่มีมูลค่าสูงกว่ามาก ก็ควรจะคำนวณ EPVเพื่อเทียบดูนะครับ
ข้อจำกัดของมันน่าจะเป็นเรื่องของการใช้ข้อมูลในอดีต กับการใช้ Discount rate ครับ
เอาเป็นว่า หมัดนี้ผมหลบได้หวุดหวิดครับ กำลังฟลุคเวิครอคำเฉลยครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2035
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 342
ตอบพี่Chathcai เรื่อง Merger & Acquisition
Buffet เคยบอกไว้ว่า
แกจะใช้หุ้น Berkshire ของแก
ในการควบรวมกิจการ
ก็ต่อเมื่อ
บริษัทที่รวมกิจการ
มี Intrinsic Value
ใกล้เคียงกับมูลค่าหุ้นของ Berkshire ครับ
คือพูดง่ายๆว่า
แกจะไม่ยอมให้ผู้ถือหุ้น Berkshire
ของแกเสียเปรียบเป็นอันขาด
ปกติ แกจะชอบซื้อกิจการ
ด้วยเงินสดครับ
หลังๆนี้จะไม่ได้ยินข่าวว่า
Berkshire แลกหุ้นกับใครอีก
เพราะอาจารย์ Buffet เคยสารภาพ
ไว้ในรายงานประจำปีครั้งหนึ่งว่า
แกเสียใจมากที่แลกหุ้นกับบริษัท Dextor Shoes
เพราะบริษัทนี้ในระยะยาว
ผลประกอบการไม่ดีเลย
เพราะธุรกิจรองเท้า
มีปัญหาเรื่องการตัดราคาจากประเทศอื่น
มีครั้งหนึ่ง ตอนที่ราคาหุ้น Berkshire สูงมากๆ
เกิน Intrinsic Value ไปเยอะ
แกก็แลกหุ้นกับบริษัทประกันอย่างที่พี่ Chatchai
บอกไว้นั่นหละครับ
เพื่อเปลี่ยนจากหุ้นไปถือพันธบัตร
โดยไม่ต้องขายหุ้นสักหุ้นเดียว
ฉลาดป็นกรดจริงๆ
ส่วนในกรณี Asset+ นั้น
ผมมองว่า
ผู้บริหารรู้ว่าราคาหุ้นตอนนี้เกินพื้นฐานไปเยอะ
ขนาดผมเห็นยังตกใจ
จาก 25 บาทเป็น 72 บาท
ภายในเวลาไม่กี่เดือน
เมื่อวานออกข่าวไป
ราคาพุ่งขึ้นไปเป็น 82 บาท
ถ้าผมเป็นผุ้บริหาร
ผมจะมองว่าผมยังขาดอะไรอยู่
นั่นคือ Volume การซื้อขาย
การหาบริษัทดีๆ แล้วแลกหุ้นกัน
ถึงแม้จะเป็นราคาตลาด
ผมมองว่า ผู้ถือหุ้นบริษัทผมได้ประโยชน์มาก
เหมือนซื้อบริษัทอื่น
ในราคาถูกจริงๆ
ถ้าเป็นปีที่แล้ว
Asset+ อาจจะต้องควักเงินสดเพิ่ม
แต่ตอนนี้ได้ Volume การซื้อขายมาฟรีๆ
ด้วยการเอาหุ้นแลก
อือม์.........สมแล้ว
ที่เขาเล่ากันว่า
ดร.ก้องเกียรติเป็นจอมยุทธ IB
ท่าจะจริง นะเนี่ย
ข้าน้อย ขอคารวะหนึ่งจอก
เพิ่งรู้ว่า คุณมนขายหุ้น Asset+ ไปแล้ว
ไม่งั้นรวยกว่าเดิมอีกหลายบาท
เอาละ ขายแล้วขายไป
ไม่ต้องเสียใจนะครับ
ไม่รวยวันนี้ วันหน้าก็รวยครับ
ขนาด ดร.ก้องเกียรติ ยังสละเรือ
แล้วผู้ถือหุ้นรายย่อยจะทำอย่างไร
ส่วนเรื่อง EPV
ผมแกล้งทำให้มันยุ่งๆไปอย่างนั้นแหละ
จริงๆแล้ว
มันก็คือ ส่วนกลับของ P/E นั่นเอง
ถ้าง่ายๆ ก็คือ
การหามูลค่าหุ้นด้วยการใช้ P/E Ratio นั่นเอง
เอาละ ผมยังไม่เฉลย
แต่จะขอถามทุกท่านใหม่ว่า
"เพื่อนๆทราบมั๊ยครับว่า
การหามูลค่าหุ้นด้วย P/E Ratio
จะใช้เมื่อไหร่ ดีอย่างไร และมีข้อจำกัดอย่างไร
ใครลองใช้แล้ว เป็นอย่างไรบ้าง
ช่วยบอกให้ทราบด้วย...ด่วน"
ไม่ต้องกลัวว่าจะตอบถูกหรือผิดนะครับ
คือผมอยากรู้ว่า
แต่ละท่านมีความคิดเห็นอย่างไรกับ
การใช้ P/E Ratio มาหามูลค่าหุ้น
แล้วตัดสินใจซื้อตามนั้น
กำลังรอคำตอบจากทุกท่านครับ
Buffet เคยบอกไว้ว่า
แกจะใช้หุ้น Berkshire ของแก
ในการควบรวมกิจการ
ก็ต่อเมื่อ
บริษัทที่รวมกิจการ
มี Intrinsic Value
ใกล้เคียงกับมูลค่าหุ้นของ Berkshire ครับ
คือพูดง่ายๆว่า
แกจะไม่ยอมให้ผู้ถือหุ้น Berkshire
ของแกเสียเปรียบเป็นอันขาด
ปกติ แกจะชอบซื้อกิจการ
ด้วยเงินสดครับ
หลังๆนี้จะไม่ได้ยินข่าวว่า
Berkshire แลกหุ้นกับใครอีก
เพราะอาจารย์ Buffet เคยสารภาพ
ไว้ในรายงานประจำปีครั้งหนึ่งว่า
แกเสียใจมากที่แลกหุ้นกับบริษัท Dextor Shoes
เพราะบริษัทนี้ในระยะยาว
ผลประกอบการไม่ดีเลย
เพราะธุรกิจรองเท้า
มีปัญหาเรื่องการตัดราคาจากประเทศอื่น
มีครั้งหนึ่ง ตอนที่ราคาหุ้น Berkshire สูงมากๆ
เกิน Intrinsic Value ไปเยอะ
แกก็แลกหุ้นกับบริษัทประกันอย่างที่พี่ Chatchai
บอกไว้นั่นหละครับ
เพื่อเปลี่ยนจากหุ้นไปถือพันธบัตร
โดยไม่ต้องขายหุ้นสักหุ้นเดียว
ฉลาดป็นกรดจริงๆ
ส่วนในกรณี Asset+ นั้น
ผมมองว่า
ผู้บริหารรู้ว่าราคาหุ้นตอนนี้เกินพื้นฐานไปเยอะ
ขนาดผมเห็นยังตกใจ
จาก 25 บาทเป็น 72 บาท
ภายในเวลาไม่กี่เดือน
เมื่อวานออกข่าวไป
ราคาพุ่งขึ้นไปเป็น 82 บาท
ถ้าผมเป็นผุ้บริหาร
ผมจะมองว่าผมยังขาดอะไรอยู่
นั่นคือ Volume การซื้อขาย
การหาบริษัทดีๆ แล้วแลกหุ้นกัน
ถึงแม้จะเป็นราคาตลาด
ผมมองว่า ผู้ถือหุ้นบริษัทผมได้ประโยชน์มาก
เหมือนซื้อบริษัทอื่น
ในราคาถูกจริงๆ
ถ้าเป็นปีที่แล้ว
Asset+ อาจจะต้องควักเงินสดเพิ่ม
แต่ตอนนี้ได้ Volume การซื้อขายมาฟรีๆ
ด้วยการเอาหุ้นแลก
อือม์.........สมแล้ว
ที่เขาเล่ากันว่า
ดร.ก้องเกียรติเป็นจอมยุทธ IB
ท่าจะจริง นะเนี่ย
ข้าน้อย ขอคารวะหนึ่งจอก
เพิ่งรู้ว่า คุณมนขายหุ้น Asset+ ไปแล้ว
ไม่งั้นรวยกว่าเดิมอีกหลายบาท
เอาละ ขายแล้วขายไป
ไม่ต้องเสียใจนะครับ
ไม่รวยวันนี้ วันหน้าก็รวยครับ
ขนาด ดร.ก้องเกียรติ ยังสละเรือ
แล้วผู้ถือหุ้นรายย่อยจะทำอย่างไร
ส่วนเรื่อง EPV
ผมแกล้งทำให้มันยุ่งๆไปอย่างนั้นแหละ
จริงๆแล้ว
มันก็คือ ส่วนกลับของ P/E นั่นเอง
ถ้าง่ายๆ ก็คือ
การหามูลค่าหุ้นด้วยการใช้ P/E Ratio นั่นเอง
เอาละ ผมยังไม่เฉลย
แต่จะขอถามทุกท่านใหม่ว่า
"เพื่อนๆทราบมั๊ยครับว่า
การหามูลค่าหุ้นด้วย P/E Ratio
จะใช้เมื่อไหร่ ดีอย่างไร และมีข้อจำกัดอย่างไร
ใครลองใช้แล้ว เป็นอย่างไรบ้าง
ช่วยบอกให้ทราบด้วย...ด่วน"
ไม่ต้องกลัวว่าจะตอบถูกหรือผิดนะครับ
คือผมอยากรู้ว่า
แต่ละท่านมีความคิดเห็นอย่างไรกับ
การใช้ P/E Ratio มาหามูลค่าหุ้น
แล้วตัดสินใจซื้อตามนั้น
กำลังรอคำตอบจากทุกท่านครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11444
- ผู้ติดตาม: 1
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 343
ขอตอบน้อง VIB007 หน่อยนะ
ข้อเสียของการใช้ P/E Ratio วิเคราะห์อย่างเดียวมีมากมายครับ
1. ค่า P/E ไม่ได้สะท้อนถึงการเติบโตของผลกำไรในอนาคตเลย
2. E นั้นสามารถแต่งค่าให้มากหรือน้อยกว่าปรกติได้ง่าย อีกทั้งมีรายการพิเศษที่ไม่ได้เกิดจากการดำเนินงานตามปรกติมากมายด้วย
3. ไม่ได้แสดงถึงความมั่นคงของฐานะทางการเงินของบริษัทเลย บางบริษัทมี P/E ต่ำ แต่มีหนี้แถบจะท่วมบริษัท หาเงินมาใช้หนี้ 20 ปีก็ไม่หมด
4. ไม่ได้แสดงถึงสภาพคล่องของบริษัท บริษัทมีกำไรมากมาย แต่ไม่มีเงินซื้อวัตถุดิบ จ่ายเงินเดือนพนักงาน หรือจ่ายชำระหนี้ ก็มีมากมายครับ
เอาแค่นี้ก่อนละกันนะครับ เผื่อคนอื่นตอบบ้าง
ข้อเสียของการใช้ P/E Ratio วิเคราะห์อย่างเดียวมีมากมายครับ
1. ค่า P/E ไม่ได้สะท้อนถึงการเติบโตของผลกำไรในอนาคตเลย
2. E นั้นสามารถแต่งค่าให้มากหรือน้อยกว่าปรกติได้ง่าย อีกทั้งมีรายการพิเศษที่ไม่ได้เกิดจากการดำเนินงานตามปรกติมากมายด้วย
3. ไม่ได้แสดงถึงความมั่นคงของฐานะทางการเงินของบริษัทเลย บางบริษัทมี P/E ต่ำ แต่มีหนี้แถบจะท่วมบริษัท หาเงินมาใช้หนี้ 20 ปีก็ไม่หมด
4. ไม่ได้แสดงถึงสภาพคล่องของบริษัท บริษัทมีกำไรมากมาย แต่ไม่มีเงินซื้อวัตถุดิบ จ่ายเงินเดือนพนักงาน หรือจ่ายชำระหนี้ ก็มีมากมายครับ
เอาแค่นี้ก่อนละกันนะครับ เผื่อคนอื่นตอบบ้าง
- Mon money
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 3134
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 344
การคำนวณEPVยังมีข้อจำกัดในเรื่องของมูลค่าของfranchiseอีกนะครับ หากบริษัทมีDCAคำนวณEPVมาก็ไม่ได้สะท้อนให้เห็น
การคำนวณ RPCA เทียบกับEPVก็จะได้เห็นถึงความแตกต่างระหว่าง มูลค่าของสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้ กับพลังในการสร้างกำไร ส่วนต่างที่เกิดขึ้นจะเป็นตัวบอกถึงความดึงดูดในให้มีคู่แข่งเข้ามาแย่งผลกำไรนั้น บริษัทที่มีDCAแข็งจริงจะรักษาและเพิ่มส่วนต่างนี้ได้ดีในระยะยาวครับ
จุดนี้ทำให้เรากลับเข้ามาถึงอัตราส่วนที่เรานิยมใช้กันมาก เช่น P/BV และ P/E ครับ
P/BV นั้นคือราคาตลาดต่อ Reproduction Cost of Assets(BV นั้นต้องถูกปรับตัวเลขมาบ้างแล้ว)
P/E นั้นคือ EPV นั่นเอง
เอาละครับถึงตรงนี้เราก็รู้ที่มาที่ไปของอัตราส่วนที่เราใช้กันมานานแล้วนะครับ
คุณฉัตรชัย คุณวิบูลย์ พี่เจ๋ง และเพื่อนๆมาต่อกันได้เลยครับ
การคำนวณ RPCA เทียบกับEPVก็จะได้เห็นถึงความแตกต่างระหว่าง มูลค่าของสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้ กับพลังในการสร้างกำไร ส่วนต่างที่เกิดขึ้นจะเป็นตัวบอกถึงความดึงดูดในให้มีคู่แข่งเข้ามาแย่งผลกำไรนั้น บริษัทที่มีDCAแข็งจริงจะรักษาและเพิ่มส่วนต่างนี้ได้ดีในระยะยาวครับ
จุดนี้ทำให้เรากลับเข้ามาถึงอัตราส่วนที่เรานิยมใช้กันมาก เช่น P/BV และ P/E ครับ
P/BV นั้นคือราคาตลาดต่อ Reproduction Cost of Assets(BV นั้นต้องถูกปรับตัวเลขมาบ้างแล้ว)
P/E นั้นคือ EPV นั่นเอง
เอาละครับถึงตรงนี้เราก็รู้ที่มาที่ไปของอัตราส่วนที่เราใช้กันมานานแล้วนะครับ
คุณฉัตรชัย คุณวิบูลย์ พี่เจ๋ง และเพื่อนๆมาต่อกันได้เลยครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2035
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 345
สงสัยกระทู้นี้
จะเหลือแค่สามคน
ขอบคุณคุณมน กะ พี่Chatchai ครับ
ผมว่าประเด็นนี้เป็นประเด็นที่สำคัญมากครับ
ผมยังไม่อยากผ่านไปง่ายๆ
เพราะถ้าเราสังเกตุดู รอบๆตัวเรา
จะพบว่า
มีการพูดถึง P/E P/B กันอย่างมากมาย
บ้างก็ติต่างเลยว่า
หุ้น Value คือหุ้นที่มีค่า P/E P/B ต่ำๆ
หุ้น Growth คือหุ้นที่มีค่า P/E P/B สูงๆ
ผมว่ามันไม่ถูกต้องสักเท่าไหร่
บางโบรกก็ใช้ P/E P/B มาใช้หามูลค่าหุ้น
แล้วเลือกลงทุนกันเลย
อันตรายพอสมควร
ถ้าเราไม่รู้ว่า P/E P/B ของบริษัทนั้นมีคุณภาพแค่ไหน
ผมยังไม่สรุปประเด็นนี้นะครับ
อยากฟังความเห็นของท่านอื่นๆอีกสักวัน
ว่าคิดอย่างไรกับการหามูลค่าหุ้นด้วย P/E
พี่ๆเพื่อนๆ ช่วยแสดงความเห็นด้วยครับ
มือใหม่ก็ไม่ต้องกลัวนะครับ ส่งมาได้เลย
จะเหลือแค่สามคน
ขอบคุณคุณมน กะ พี่Chatchai ครับ
ผมว่าประเด็นนี้เป็นประเด็นที่สำคัญมากครับ
ผมยังไม่อยากผ่านไปง่ายๆ
เพราะถ้าเราสังเกตุดู รอบๆตัวเรา
จะพบว่า
มีการพูดถึง P/E P/B กันอย่างมากมาย
บ้างก็ติต่างเลยว่า
หุ้น Value คือหุ้นที่มีค่า P/E P/B ต่ำๆ
หุ้น Growth คือหุ้นที่มีค่า P/E P/B สูงๆ
ผมว่ามันไม่ถูกต้องสักเท่าไหร่
บางโบรกก็ใช้ P/E P/B มาใช้หามูลค่าหุ้น
แล้วเลือกลงทุนกันเลย
อันตรายพอสมควร
ถ้าเราไม่รู้ว่า P/E P/B ของบริษัทนั้นมีคุณภาพแค่ไหน
ผมยังไม่สรุปประเด็นนี้นะครับ
อยากฟังความเห็นของท่านอื่นๆอีกสักวัน
ว่าคิดอย่างไรกับการหามูลค่าหุ้นด้วย P/E
พี่ๆเพื่อนๆ ช่วยแสดงความเห็นด้วยครับ
มือใหม่ก็ไม่ต้องกลัวนะครับ ส่งมาได้เลย
-
- Verified User
- โพสต์: 130
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 346
ผมขอพูดข้อดีของ พีอี เรโช นะครับ...เท่าที่คิดออก..
1.เป็นอัตราส่วนที่นิยมมากที่สุด เพราะคำนวณได้ไม่ยาก มีเหตุมีผล คือเป็น ตัวเลขที่แสดงว่ากิจการจะใช้เวลากี่ปี เพื่อที่จะทำกำไรได้เท่ากับราคาหุ้น...
2.น่าเชื่อถือ คือคำนวณขึ้นจากกำไรจริงที่ผ่านมา ทำให้ตัวเลขที่แน่นอน ไม่ต้องอาศัยการคาดเดากำไรในอนาคต ที่ไม่แน่นอน..
ผมเองก็ใช้อัตราส่วนนี้ในการหาหุ้นที่น่าลงทุนครับ ที่ผ่านมาก็ให้ผลตอบแทนพอสมควร...
แต่แน่นอนว่าเราต้องดูอัตราส่วน-องค์ประกอบอื่นๆ ประกอบด้วยครับ ส่วนข้อเสียก็ตามที่คุณฉัตรชัยว่ามาละครับ ถูกต้องทุกประการ...
1.เป็นอัตราส่วนที่นิยมมากที่สุด เพราะคำนวณได้ไม่ยาก มีเหตุมีผล คือเป็น ตัวเลขที่แสดงว่ากิจการจะใช้เวลากี่ปี เพื่อที่จะทำกำไรได้เท่ากับราคาหุ้น...
2.น่าเชื่อถือ คือคำนวณขึ้นจากกำไรจริงที่ผ่านมา ทำให้ตัวเลขที่แน่นอน ไม่ต้องอาศัยการคาดเดากำไรในอนาคต ที่ไม่แน่นอน..
ผมเองก็ใช้อัตราส่วนนี้ในการหาหุ้นที่น่าลงทุนครับ ที่ผ่านมาก็ให้ผลตอบแทนพอสมควร...
แต่แน่นอนว่าเราต้องดูอัตราส่วน-องค์ประกอบอื่นๆ ประกอบด้วยครับ ส่วนข้อเสียก็ตามที่คุณฉัตรชัยว่ามาละครับ ถูกต้องทุกประการ...
"การลงทุนคืออาหารที่อร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว"
-
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 347
PB เป็นตัวที่ผมใช้น้อยที่สุด เพราะไม่มีประโยชน์สำหรับนักลงทุน ยกเว้นจะบอกว่าหุ้นนี้ถูก แต่ไม่สามารถบอกว่าหุ้นแพง
-
- ผู้ติดตาม: 0
ขอบคุณพี่ๆ ค่ะ
โพสต์ที่ 348
ขอบคุณพี่ฉัตรชัย และ พี่VIB007 ค่ะ ที่ช่วยกรุณาตอบคำถามให้:D
แต่ก็ยังสงสัยอยู่บางส่วนค่ะ
1. ตัวเลข 1.03 หามาได้อย่างไรคะ เห็นพี่บอกว่า
อัตราเงินเฟ้อที่ 3% แล้ว 1.03 มาจากค่าไหนคะ
2. ที่พี่ VIB007 ถามว่า
"พี่ถามน้องสายลมนะครับว่า
ตอนนี้ คนที่ไม่คิดมาก ชอบอะไรที่มันมั่นคง
เอาเงินไปฝากแบงค์หมด คิดว่าเงินต้นไม่หาย
จะเรียกตัวเองว่า นักลงทุนได้หรือไม่ "
ในความคิดของน้องคิดว่าไม่ใช่นักลงทุนค่ะ
เพราะหากเขาเป็นนักลงทุน เขาก็ต้องพยายามทำให้
เงินที่เขามีอยู่งอกเงยขึ้นมาได้ แต่เขาเป็นพวกนักเก็บออม
เพราะเขาไม่รู้ควรจะทำอย่างไรดี จะเอาไปลงทุนทำอะไรกลัวไปหมด
กลัวว่าเงินต้นที่ตนเองเพียรเก็บมาจะสูญ จึงไม่กล้าที่จะเสี่ยง
ในความคิดของเขา เขาก็คงจะคิดว่า ลงทุนในสิ่งที่ตนไม่รู้
และไม่เข้าใจ และไม่มีความถนัดนั้น สู้เขาเก็บเงินไว้ดีกว่า
วันดี คืนดี ก็มานึกว่าตนมีสตางค์อยู่ ก็นำออกมาใช้แบบเปล่าประโยชน์
(เป็นแค่ความคิดเห็นส่วนตัวนะคะ
ไม่รู้ว่าจะถูกตามแบบที่นักลงทุนอย่างรุ่นพี่ๆ มองกันอยู่หรือเปล่า)
3. อยากจะขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณ และขอบคุณ พี่ๆ เพื่อนๆ
ทุกคนในเว็บนี้ ทั้งพี่ฉัตรชัย พี่VIB007 พี่มน คุณยีน พี่ธันวา คุณสต็อก คุณลูกอีสาน คุณFinance eng. พี่ปรัชญา และทุกๆท่านที่ไม่ได้เอ่ยนาม
ที่สละเวลามาให้ความรู้ซึ่งมีประโยชน์มากๆๆๆ กับมือใหม่
ติดตามอ่านมาได้หลายอาทิตย์แล้วค่ะ แต่ก็ยังไม่ได้ซื้อสักกะตัว เพราะ
ยังคำนวณค่าต่างๆ ไม่เป็น เมื่อยังไม่มั่นใจจึงยังไม่ซื้อค่ะ
ก็ได้ความรู้จากพี่ที่นี่หละค่ะ ศึกษาไปเรื่อยๆ จนแน่ใจก่อน
เพราะพี่ๆทุกท่านความรู้ขั้นปรมาจารย์ทั้งนั้นเลย บางครั้งอ่านแล้วก็ยังงงๆ
แต่ก็พยายามจะทำความเข้าใจกับค่าต่างๆค่ะ
แต่ก็ยังสงสัยอยู่บางส่วนค่ะ
1. ตัวเลข 1.03 หามาได้อย่างไรคะ เห็นพี่บอกว่า
อัตราเงินเฟ้อที่ 3% แล้ว 1.03 มาจากค่าไหนคะ
2. ที่พี่ VIB007 ถามว่า
"พี่ถามน้องสายลมนะครับว่า
ตอนนี้ คนที่ไม่คิดมาก ชอบอะไรที่มันมั่นคง
เอาเงินไปฝากแบงค์หมด คิดว่าเงินต้นไม่หาย
จะเรียกตัวเองว่า นักลงทุนได้หรือไม่ "
ในความคิดของน้องคิดว่าไม่ใช่นักลงทุนค่ะ
เพราะหากเขาเป็นนักลงทุน เขาก็ต้องพยายามทำให้
เงินที่เขามีอยู่งอกเงยขึ้นมาได้ แต่เขาเป็นพวกนักเก็บออม
เพราะเขาไม่รู้ควรจะทำอย่างไรดี จะเอาไปลงทุนทำอะไรกลัวไปหมด
กลัวว่าเงินต้นที่ตนเองเพียรเก็บมาจะสูญ จึงไม่กล้าที่จะเสี่ยง
ในความคิดของเขา เขาก็คงจะคิดว่า ลงทุนในสิ่งที่ตนไม่รู้
และไม่เข้าใจ และไม่มีความถนัดนั้น สู้เขาเก็บเงินไว้ดีกว่า
วันดี คืนดี ก็มานึกว่าตนมีสตางค์อยู่ ก็นำออกมาใช้แบบเปล่าประโยชน์
(เป็นแค่ความคิดเห็นส่วนตัวนะคะ
ไม่รู้ว่าจะถูกตามแบบที่นักลงทุนอย่างรุ่นพี่ๆ มองกันอยู่หรือเปล่า)
3. อยากจะขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณ และขอบคุณ พี่ๆ เพื่อนๆ
ทุกคนในเว็บนี้ ทั้งพี่ฉัตรชัย พี่VIB007 พี่มน คุณยีน พี่ธันวา คุณสต็อก คุณลูกอีสาน คุณFinance eng. พี่ปรัชญา และทุกๆท่านที่ไม่ได้เอ่ยนาม
ที่สละเวลามาให้ความรู้ซึ่งมีประโยชน์มากๆๆๆ กับมือใหม่
ติดตามอ่านมาได้หลายอาทิตย์แล้วค่ะ แต่ก็ยังไม่ได้ซื้อสักกะตัว เพราะ
ยังคำนวณค่าต่างๆ ไม่เป็น เมื่อยังไม่มั่นใจจึงยังไม่ซื้อค่ะ
ก็ได้ความรู้จากพี่ที่นี่หละค่ะ ศึกษาไปเรื่อยๆ จนแน่ใจก่อน
เพราะพี่ๆทุกท่านความรู้ขั้นปรมาจารย์ทั้งนั้นเลย บางครั้งอ่านแล้วก็ยังงงๆ
แต่ก็พยายามจะทำความเข้าใจกับค่าต่างๆค่ะ
- ปรัชญา1
- Verified User
- โพสต์: 1092
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 349
มาตอบเฮียคลายเครียด ช้าไปหน่อยครับคลายเครียด เขียน: นักเล่นเกมล่าส่วนเกินทุน ที่กล้าถือหุ้นนานๆแค่นั้นครับ
คุณปรัชญา
พักนี้ได้หลายเด้งเลยนะครับ ฮาๆๆๆ
ไม่เห็นเล่าบ้างเลยว่า อาการประสาทหูเสื่อมดีขึ้นหรือยัง
เรื่องปลายปราสาทหูเสื่อม ก็เสื่อมมากขึ้นครับ
มีเสียงดังตลอด กำลังทำใจอยู่ เพราะหมอบอกว่าวันไหนคุณ
ไม่ได้ยินเสียงดัง คุณคงจากโลกนี้ไปแล้ว
ที่ว่า...ผมได้หลายเด้ง คงเป็นเพราะฟลุ๊ค ครับ
ปกติพอท์ตผมก็ถือหุ้นแบบVI (คือรอรับปันผลอยู่80%)
มีเงินอีก20%ไปเล่น โต้คลื่นโต้ลม ที่ได้ก็มีแต่ที่เสียก็มีครับ
ผมได้เหล็กเล็ก กับไปขุดเหมืองทองกับเฮีย
แต่มาเสียเงินให้กับKTB กับ3Tวันข่าวมั่วๆน่ะครับ
ที่ได้มาก็อาศัยท่านยาจกซู กับเฮียคลายเครียด
ตามกระทู้ต่างๆครับ คือผมรับข้อมูลทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาให้เห็น
ไม่ปฏิเสธ เพราะบางจุดผมก็มองผ่าน บางจุดก็เส้นผมบังภูเขาครับ
ก็ตั้งใจจะยืนหยัดคุยกับ ทุกๆท่าน จนกว่าไฟอารมณ์จะไม่ทำงาน
ผมก็อ่านประสพการณ์ของเฮียมาตลอดเป็นอุทาหรณ์สอนใจ
และก็ดูตัวเองว่า เราก็ผ่านเหตุการณ์แบบไม่เคยคิดเคยฝัน
ผมก็อดเป็นห่วง นักลงทุนรุ่นใหม่ไม่ได้ว่าจะรู้ไม่ทันพวกฉวยโอกาส
ถ้าได้เฮียคลายเครียด ท่านยาจกซู คุณปีเตอร์ชาง คุณCK
คุณมน คุณวิบูลย์ คุณเจ๋ง นักดูดาว พี่ครรชิต
ลุงขวด คุณลูกอีสาน คุณสมบัติ คุณอาจอง
และผู้อาวุโสทุกท่าน คอยชี้แนะก็จะดี คนรุ่นเก่าแบบพวกเรา100คน
คงออกจากตลาดไป90กว่าคนแล้ว และหมดเงินไป
เลยด่าลูก ด่าหลานไม่ให้เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น
ผมก็อยากเห็นสังคมนี้ มีตัวอย่างและมีผู้ประสพความสำเร็จ
กระทู้นี้ได้รวบรวมข้อคิดความเห็นได้ดีที่สุด
แบบเฮียคลายเครียดว่า น่าพิมพ์หนังสือเลยครับ
ฝันถึง วัน ฟ้าสวย...... อยากร่ำรวย-ด้วยเล่นหุ้น
ฝัน เป็น นักลงทุน..... ลุ้นความหวัง-ความตั้งใจ
ฝัน เป็น นักลงทุน..... ลุ้นความหวัง-ความตั้งใจ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2035
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 350
ขอบคุณทุกท่านสำหรับความคิดเห็นครับ
แต่เอ....สงสัยพี่เจ๋งจะไม่ได้ใช้ P/E
ในการหามูลค่าหุ้น
เลยไม่ได้แสดงความคิดเห็น
ฮิ ฮิ
เห็นด้วยกับคุณลูกอีสานกับพี่Chatchai ครับ
การใช้ P/E มีทั้งข้อดี ข้อเสีย
สำคัญที่สุดอยู่ที่ว่า
เรารู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่
ผมขอเล่าประสบการณ์ส่วนตัวแล้วกัน
ช่วงแรก ผมลงทุนตามอาจารย์Graham ครับ
โดยใช้สูตร
P/E<10
P/B<2
P/E*P/B<20
แล้วซื้อหุ้นไว้ 2-3 บริษัท
ตามที่อาจารย์ Graham สอน
ผมพบว่า
ผลประกอบการของบริษัทเหล่านี้
ไม่ได้ไปไหนไกล
เรียกว่า ขึ้นๆลงๆ อยู่แถวๆเดิม
ผมรออยู่พอสมควร
จนพบสัจธรรมที่ว่า
หุ้นก้นบุหรี่เป็นอย่างไร
ถ้าผลประกอบการจะดีขึ้น
ต้องอาศัย "ข่าวดี" ครับ
แล้วก็สูบเข้าปอดสักปื้ดนึง
ให้ชื่นใจ แล้วก็มอดใหม่
ใครไม่ลองไม่รู้ครับ
ตอนนี้ก็ยังกอดไว้อยู่บางตัว
P/E, P/B ก็เหมือนเดิม
เพิ่มขึ้น ลดลงนิดหน่อย
พอหอมปากหอมคอ
แล้วผมก็ลองตำราของอาจารย์ Fisher บ้างครับ
ผมเลือกหุ้นที่มีอัตราการเจริญเติบโตสูง
มีผลประกอบการที่แข็งแกร่ง
มีผู้บริหารที่มีความสามารถ
มีสินค้าและบริการที่ครองใจลูกค้าได้ ฯลฯ
ผมซื้อหุ้นตัวนั้นที่
P/E ประมาณ 15
P/B ประมาณ 4
ผมถืออยู่เกือบสองปี
ตอนนี้ ถ้าคิดตามราคาที่ผมซื้อจะได้
P/E ประมาณ 10
P/B ประมาณ 3
แต่ราคาตามตลาด
มากกว่าที่ซื้อมาสองเท่าตัวเป็น
P/E ประมาณ 20
P/B ประมาณ 6
คำถามมีอยู่ว่า
ถ้าผมอาศัยเฉพาะ P/E, P/B
ในการเลือกซื้อกิจการ
ผมจะกล้าซื้อบริษัทที่สองหรือเปล่า
คำตอบก็คือ ไม่กล้าแน่นอนครับ
เพราะมันเสี่ยงสูง
เนื่องด้วยค่า P/E, P/B สูงกว่า
P/E, P/B ของตลาดมากกว่าสองเท่า ณ ตอนนั้น
คำตอบของผมก็คือว่า
P/E, P/B คือเรื่องของอดีตครับ
มันบอกเราได้คร่าวๆว่า
ที่ผ่านมาธุรกิจนี้ได้รับการกำหนดมูลค่า
จาก Financial Community เท่าไหร่
แต่ไม่ได้บอกว่าบริษัทนั้นมีมูลค่าที่แท้จริงเท่าไหร่
สับสนไหมครับ
คร่าวๆก็คือว่า
ราคาบนกระดาน
ไม่ใช่ Intrinsic Value ครับ
VI ต้องไม่ถูกสายตาของเราหลอก
ต้องมองโลกด้วยความเป็นจริงครับ
เราต้องเข้าใจในกิจการนั้นจริงๆ
ราคาบนกระดานคือส่วนผสมของเหตุผล บวกกับ
อารมณ์ บวกกับ ความกลัว บวกกับ ความโลภ
แต่ VI ต้องละโลภ โกรธ หลง กลัว
ต้องมองโลกด้วยเหตุผลอย่างเดียวครับ
เราถึงจะไม่กลายเป็นส่วนหนึ่ง
ของนักลงทุนที่บ้าคลั่งเหล่านั้น
โอย...เหนื่อยแฮะ
ตกลงนี่จะสอนธรรมะในการเล่นหุ้นหรือไงเนี่ย
บางท่านอาจมีคำถาม
แต่ผมขอบอกว่า
ความจริงก็คือความจริงครับ
ถ้าท่านละโลภ โกรธ หลง กลัว ไม่ได้
มันก็ยากขึ้นที่เราจะทำตัวสวนกระแส
แบบอาจารย์ Buffet
ที่ชอบว่ายทวนน้ำที่ Wall Street อยู่บ่อยๆ
แล้วกลายเป็นมหาเศรษฐีอันดับสองของโลก
ไม่ลองไม่รู้ครับ
เอ้า กลับมาที่คำถามของคุณสายลมครับ
เรื่อง 1.03
มันมาจากสูตรครับ
Future Value = Present Value * ((1+Interest Rate)^Years)
Present Value = Future Value /((1+Interest Rate)^Years)
1.03 = 1+Inflation Rate = 1+.03 ครับ
เอาไว้หารเพื่อมูลค่า ณ ปีปัจจุบัน
ลองอ่านคำตอบของพี่Chatchai อีกสักรอบแล้วกันครับ
ผมว่าค่อนข้างClearนะ
ขอบคุณคุณ Boring Stock Lover ครับ
สำหรับความคิดเห็น
ค่า P/B ก็มีประโยชน์ครับ
อย่างที่คุณมนบอกไว้
ที่ว่าเป็นตัวที่จะบอกเราว่ามูลค่าของบริษัทนั้น
มีคุณค่านอกเหนือจากทรัพย์สินเท่าไหร่
เราจะจ่ายอะไรมากกว่าทรัพย์สินที่บริษัทมีอยู่
บริษัทที่มี P/B > 1 แสดงว่าเราจ่ายเป็น
ค่า Brand Equity หรือ Hidden Asset อื่นๆด้วยครับ
ถ้าจะจ่ายมากกว่าหนึ่งเท่าของ Book Value
ต้องถามตัวเราเองละครับว่า
บริษัทนั้นมีค่ามากกว่านั้นหรือเปล่า
ถ้าเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจที่เป็น Commodity
ผมคงไม่ยอมจ่ายเพิ่มแน่นอน
ถ้าเราใช้ P/E อย่างเดียว
ไม่ได้ดู P/B
เราอาจจะถูก Earning หลอกได้ครับ
แล้ว Earning ก็ขึ้นๆลงๆไม่แน่นอนเหมือน Book Value
ผมว่าดู P/B หน่อยก็ดีนะครับ
ขอบคุณพี่ปรัชญาครับ
ที่เป็นกำลังใจ(อีกแล้ว)
สงสัยผมคงต้องแบ่งพอร์ต
มาเล่นอะไรสนุกๆแบบพี่ปรัชญามั่งแล้ว
เผื่อจะได้มีผลตอบแทนที่มากขึ้นบ้าง
เอาล่ะ คุณมน
ผมกำลังรอขวาตรงอยู่
จะชกอะไรมาก็ว่ากันมาเลยครับ
แต่เอ....สงสัยพี่เจ๋งจะไม่ได้ใช้ P/E
ในการหามูลค่าหุ้น
เลยไม่ได้แสดงความคิดเห็น
ฮิ ฮิ
เห็นด้วยกับคุณลูกอีสานกับพี่Chatchai ครับ
การใช้ P/E มีทั้งข้อดี ข้อเสีย
สำคัญที่สุดอยู่ที่ว่า
เรารู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่
ผมขอเล่าประสบการณ์ส่วนตัวแล้วกัน
ช่วงแรก ผมลงทุนตามอาจารย์Graham ครับ
โดยใช้สูตร
P/E<10
P/B<2
P/E*P/B<20
แล้วซื้อหุ้นไว้ 2-3 บริษัท
ตามที่อาจารย์ Graham สอน
ผมพบว่า
ผลประกอบการของบริษัทเหล่านี้
ไม่ได้ไปไหนไกล
เรียกว่า ขึ้นๆลงๆ อยู่แถวๆเดิม
ผมรออยู่พอสมควร
จนพบสัจธรรมที่ว่า
หุ้นก้นบุหรี่เป็นอย่างไร
ถ้าผลประกอบการจะดีขึ้น
ต้องอาศัย "ข่าวดี" ครับ
แล้วก็สูบเข้าปอดสักปื้ดนึง
ให้ชื่นใจ แล้วก็มอดใหม่
ใครไม่ลองไม่รู้ครับ
ตอนนี้ก็ยังกอดไว้อยู่บางตัว
P/E, P/B ก็เหมือนเดิม
เพิ่มขึ้น ลดลงนิดหน่อย
พอหอมปากหอมคอ
แล้วผมก็ลองตำราของอาจารย์ Fisher บ้างครับ
ผมเลือกหุ้นที่มีอัตราการเจริญเติบโตสูง
มีผลประกอบการที่แข็งแกร่ง
มีผู้บริหารที่มีความสามารถ
มีสินค้าและบริการที่ครองใจลูกค้าได้ ฯลฯ
ผมซื้อหุ้นตัวนั้นที่
P/E ประมาณ 15
P/B ประมาณ 4
ผมถืออยู่เกือบสองปี
ตอนนี้ ถ้าคิดตามราคาที่ผมซื้อจะได้
P/E ประมาณ 10
P/B ประมาณ 3
แต่ราคาตามตลาด
มากกว่าที่ซื้อมาสองเท่าตัวเป็น
P/E ประมาณ 20
P/B ประมาณ 6
คำถามมีอยู่ว่า
ถ้าผมอาศัยเฉพาะ P/E, P/B
ในการเลือกซื้อกิจการ
ผมจะกล้าซื้อบริษัทที่สองหรือเปล่า
คำตอบก็คือ ไม่กล้าแน่นอนครับ
เพราะมันเสี่ยงสูง
เนื่องด้วยค่า P/E, P/B สูงกว่า
P/E, P/B ของตลาดมากกว่าสองเท่า ณ ตอนนั้น
คำตอบของผมก็คือว่า
P/E, P/B คือเรื่องของอดีตครับ
มันบอกเราได้คร่าวๆว่า
ที่ผ่านมาธุรกิจนี้ได้รับการกำหนดมูลค่า
จาก Financial Community เท่าไหร่
แต่ไม่ได้บอกว่าบริษัทนั้นมีมูลค่าที่แท้จริงเท่าไหร่
สับสนไหมครับ
คร่าวๆก็คือว่า
ราคาบนกระดาน
ไม่ใช่ Intrinsic Value ครับ
VI ต้องไม่ถูกสายตาของเราหลอก
ต้องมองโลกด้วยความเป็นจริงครับ
เราต้องเข้าใจในกิจการนั้นจริงๆ
ราคาบนกระดานคือส่วนผสมของเหตุผล บวกกับ
อารมณ์ บวกกับ ความกลัว บวกกับ ความโลภ
แต่ VI ต้องละโลภ โกรธ หลง กลัว
ต้องมองโลกด้วยเหตุผลอย่างเดียวครับ
เราถึงจะไม่กลายเป็นส่วนหนึ่ง
ของนักลงทุนที่บ้าคลั่งเหล่านั้น
โอย...เหนื่อยแฮะ
ตกลงนี่จะสอนธรรมะในการเล่นหุ้นหรือไงเนี่ย
บางท่านอาจมีคำถาม
แต่ผมขอบอกว่า
ความจริงก็คือความจริงครับ
ถ้าท่านละโลภ โกรธ หลง กลัว ไม่ได้
มันก็ยากขึ้นที่เราจะทำตัวสวนกระแส
แบบอาจารย์ Buffet
ที่ชอบว่ายทวนน้ำที่ Wall Street อยู่บ่อยๆ
แล้วกลายเป็นมหาเศรษฐีอันดับสองของโลก
ไม่ลองไม่รู้ครับ
เอ้า กลับมาที่คำถามของคุณสายลมครับ
เรื่อง 1.03
มันมาจากสูตรครับ
Future Value = Present Value * ((1+Interest Rate)^Years)
Present Value = Future Value /((1+Interest Rate)^Years)
1.03 = 1+Inflation Rate = 1+.03 ครับ
เอาไว้หารเพื่อมูลค่า ณ ปีปัจจุบัน
ลองอ่านคำตอบของพี่Chatchai อีกสักรอบแล้วกันครับ
ผมว่าค่อนข้างClearนะ
ขอบคุณคุณ Boring Stock Lover ครับ
สำหรับความคิดเห็น
ค่า P/B ก็มีประโยชน์ครับ
อย่างที่คุณมนบอกไว้
ที่ว่าเป็นตัวที่จะบอกเราว่ามูลค่าของบริษัทนั้น
มีคุณค่านอกเหนือจากทรัพย์สินเท่าไหร่
เราจะจ่ายอะไรมากกว่าทรัพย์สินที่บริษัทมีอยู่
บริษัทที่มี P/B > 1 แสดงว่าเราจ่ายเป็น
ค่า Brand Equity หรือ Hidden Asset อื่นๆด้วยครับ
ถ้าจะจ่ายมากกว่าหนึ่งเท่าของ Book Value
ต้องถามตัวเราเองละครับว่า
บริษัทนั้นมีค่ามากกว่านั้นหรือเปล่า
ถ้าเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจที่เป็น Commodity
ผมคงไม่ยอมจ่ายเพิ่มแน่นอน
ถ้าเราใช้ P/E อย่างเดียว
ไม่ได้ดู P/B
เราอาจจะถูก Earning หลอกได้ครับ
แล้ว Earning ก็ขึ้นๆลงๆไม่แน่นอนเหมือน Book Value
ผมว่าดู P/B หน่อยก็ดีนะครับ
ขอบคุณพี่ปรัชญาครับ
ที่เป็นกำลังใจ(อีกแล้ว)
สงสัยผมคงต้องแบ่งพอร์ต
มาเล่นอะไรสนุกๆแบบพี่ปรัชญามั่งแล้ว
เผื่อจะได้มีผลตอบแทนที่มากขึ้นบ้าง
เอาล่ะ คุณมน
ผมกำลังรอขวาตรงอยู่
จะชกอะไรมาก็ว่ากันมาเลยครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14784
- ผู้ติดตาม: 1
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 351
เรื่อง P/E พี่ไม่ค่อยใช้ครับ ใช้ E/P มากกว่า ซึ่งก็เป็นตัวเดียวกัน แต่พี่เข้าใจมากกว่านะคัรบ
P/E ถ้าอยู่ในราคา 4-6 ได้ยิ่งดีครับ
ซึ่งไม่ได้แปลว่า ซื้อ P/E 4-6 แล้วจะสู้ P/E 15 ไม่ได้นะครับ
มีตัวอย่างมากมายเหมือนกันที่ PE 4-6 ชนะ PE 15
เรื่องแบบนี้เป็นประสบการณ์ส่วนตัว ยังไม่สามารถสรุปได้ครับ แต่ส่วนตัวแล้ว เชื่อเรื่องความเสี่ยงครับ
ในตลาดขาขึ้น PE 15 อาจจะไม่เสี่ยง
แต่ในตลาดขาลง PE 4-6 อาจจะเสี่ยงน้อยกว่า
แล้วแต่คิดนะครับ เพราะพี่ยึดอดีตเพื่อทำนายอนาคต
ซึ่งพี่ว่าน่าจะดีกว่ายึดอนาคตเพื่อทำนายอนาคต
เช่นตอนนี้คนำกำลังเก็ง ว่า เงินบาทน่าจะแข็งขึ้นอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก ต้องมีปัญหาแน่นอน
ฟังแล้วดูเหมือนแน่นอนเลย คนที่คิดแบบนี้ก็เลยขาย metco ออกมา พี่ก็เลยเข้าไปซื้อ
P/E ถ้าอยู่ในราคา 4-6 ได้ยิ่งดีครับ
ซึ่งไม่ได้แปลว่า ซื้อ P/E 4-6 แล้วจะสู้ P/E 15 ไม่ได้นะครับ
มีตัวอย่างมากมายเหมือนกันที่ PE 4-6 ชนะ PE 15
เรื่องแบบนี้เป็นประสบการณ์ส่วนตัว ยังไม่สามารถสรุปได้ครับ แต่ส่วนตัวแล้ว เชื่อเรื่องความเสี่ยงครับ
ในตลาดขาขึ้น PE 15 อาจจะไม่เสี่ยง
แต่ในตลาดขาลง PE 4-6 อาจจะเสี่ยงน้อยกว่า
แล้วแต่คิดนะครับ เพราะพี่ยึดอดีตเพื่อทำนายอนาคต
ซึ่งพี่ว่าน่าจะดีกว่ายึดอนาคตเพื่อทำนายอนาคต
เช่นตอนนี้คนำกำลังเก็ง ว่า เงินบาทน่าจะแข็งขึ้นอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก ต้องมีปัญหาแน่นอน
ฟังแล้วดูเหมือนแน่นอนเลย คนที่คิดแบบนี้ก็เลยขาย metco ออกมา พี่ก็เลยเข้าไปซื้อ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2035
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 352
เรื่อง P/E ผมแซวพี่เล่นน่ะพี่เจ๋ง
เรื่อง Metco
ถ้าซื้อที่ P/E < 6.67
แสดงว่าที่อัตราผลตอบแทน 15%
เราได้ Growth มาฟรีครับ
ตอนนี้ผมหาหุ้นลงทุนได้ยากมากเลยครับ
ก็เลยมีเวลามาตอบกระทู้เยอะหน่อย
หุ้นไม่ค่อยลง
ลงแล้วก็ขึ้นใหม่
ก็เลยไม่ได้จังหวะสักที
สงสัยต้องหัดเก็บก้นบุหรี่สูบอย่างพี่Chatchaiซะแล้ว
จะได้ไม่ว่างมาก
เรื่อง Metco
ถ้าซื้อที่ P/E < 6.67
แสดงว่าที่อัตราผลตอบแทน 15%
เราได้ Growth มาฟรีครับ
ตอนนี้ผมหาหุ้นลงทุนได้ยากมากเลยครับ
ก็เลยมีเวลามาตอบกระทู้เยอะหน่อย
หุ้นไม่ค่อยลง
ลงแล้วก็ขึ้นใหม่
ก็เลยไม่ได้จังหวะสักที
สงสัยต้องหัดเก็บก้นบุหรี่สูบอย่างพี่Chatchaiซะแล้ว
จะได้ไม่ว่างมาก
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14784
- ผู้ติดตาม: 1
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 353
วิบูลย์ ช่วยอธิบายตรงนี้หน่อยซิ
ขอบคุณครับ
โค้ด: เลือกทั้งหมด
เรื่อง Metco
ถ้าซื้อที่ P/E < 6.67
แสดงว่าที่อัตราผลตอบแทน 15%
เราได้ Growth มาฟรีครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2035
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 354
ใช้หลัก EPV ครับ
ถ้าเราต้องการผลตอบแทนการลงทุน 15% ของเงินลงทุน
ตามหลัก EPV ก็คือ หารผลตอบแทนด้วย 0.15
ในกรณีที่เราต้องการหามูลค่าของกิจการ
นั่นคือเราต้องหารผลตอบแทนของกิจการ (กำไรสุทธิ) ด้วย 15%
สมมุติ กำไรสุทธิเท่ากับ 100 ล้านบาท
มูลค่ากิจการจะเท่ากับ 100/0.15 = 666 ล้านบาท
ถ้าแปลงเป็น P/E ก็จะเท่ากับ 666/100 = 6.67
หมายความว่าถ้าในอนาคต
บริษัทมีการเติบโต (Growth) มากขึ้น
บริษัทก็จะมีกำไรสุทธิมากขึ้น สมมุติเป็น 150 ล้านบาท
มูลค่ากิจการที่ผลตอบแทน 15% ก็มากขึ้น
กลายเป็น 150/0.15 = 1,000 ล้านบาท
แต่เราไม่ได้จ่ายมากขึ้นเพราะเราจ่ายเงินซื้อกิจการนี้ไปแล้ว
ที่ 666 ล้านบาท
แสดงว่าเราได้ Growth มาฟรี
ผมอธิบายได้พอเข้าใจไหมครับ พี่เจ๋ง
ถ้าเราต้องการผลตอบแทนการลงทุน 15% ของเงินลงทุน
ตามหลัก EPV ก็คือ หารผลตอบแทนด้วย 0.15
ในกรณีที่เราต้องการหามูลค่าของกิจการ
นั่นคือเราต้องหารผลตอบแทนของกิจการ (กำไรสุทธิ) ด้วย 15%
สมมุติ กำไรสุทธิเท่ากับ 100 ล้านบาท
มูลค่ากิจการจะเท่ากับ 100/0.15 = 666 ล้านบาท
ถ้าแปลงเป็น P/E ก็จะเท่ากับ 666/100 = 6.67
หมายความว่าถ้าในอนาคต
บริษัทมีการเติบโต (Growth) มากขึ้น
บริษัทก็จะมีกำไรสุทธิมากขึ้น สมมุติเป็น 150 ล้านบาท
มูลค่ากิจการที่ผลตอบแทน 15% ก็มากขึ้น
กลายเป็น 150/0.15 = 1,000 ล้านบาท
แต่เราไม่ได้จ่ายมากขึ้นเพราะเราจ่ายเงินซื้อกิจการนี้ไปแล้ว
ที่ 666 ล้านบาท
แสดงว่าเราได้ Growth มาฟรี
ผมอธิบายได้พอเข้าใจไหมครับ พี่เจ๋ง
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11444
- ผู้ติดตาม: 1
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 356
น้อง VIB007 ตอนนี้ก้นบุหรี่ก็ไม่ค่อยเหลือครับ ที่มีเหลืออยู่ก็แถบจะหมดม้วนอยู่แล้วครับ จนบางทีไม่คุ้มค่าก้มลงไปเก็บ
พี่ก็ไม่ค่อยได้ซื้อขายหุ้นมาเป็นปีแล้ว ยังโชคดีที่ Marketing ยังจำพี่ได้ อาศัยติดต่อกันมาเกือบ 10 ปี อดีตซื้อขายบ่อยมากเห็นมูลค่าซื้อขายและค่าคอม.แล้วตกใจครับ
ส่วนเรื่องที่ซื้อ P/E ต่ำ กับ P/E สูงแต่มี Growthนั้น พี่ว่าก็ขึ้นอยู่กับการวิเคราะห์เชิงคุณภาพของแต่ละคนด้วย
ถ้าวิเคราะห์ไม่เก่งนัก พี่ว่าการลงทุนในบริษัทที่มี P/E ต่ำและฐานะทางการเงินมั่นคง ย่อมปลอดภัยกว่านะครับ พี่ยอมกำไรน้อยลงบ้างเพื่อลดความเสี่ยงจากการประมาณการการเติบโตที่ผิดพลาดของเรา และที่สำคัญเพื่อยึดหลักการไม่ขาดทุนของ Buffett ครับ
ถ้าเราไม่เก่งพอ แต่ลงทุนในบริษัทที่มี P/E สูง อาจจะเสียหายมากก็ได้ สภาวะเศรษฐกิจกำลังฟื้นก็โอเคครับ แต่ถ้าเศรษฐกิจมีปัญหาเมื่อไรบริษัทที่มี P/E สูง แต่มี Growth สูง ก็จะมีปัญหามากกว่าเพราะ Growth จะลดลง
พี่ก็ไม่ค่อยได้ซื้อขายหุ้นมาเป็นปีแล้ว ยังโชคดีที่ Marketing ยังจำพี่ได้ อาศัยติดต่อกันมาเกือบ 10 ปี อดีตซื้อขายบ่อยมากเห็นมูลค่าซื้อขายและค่าคอม.แล้วตกใจครับ
ส่วนเรื่องที่ซื้อ P/E ต่ำ กับ P/E สูงแต่มี Growthนั้น พี่ว่าก็ขึ้นอยู่กับการวิเคราะห์เชิงคุณภาพของแต่ละคนด้วย
ถ้าวิเคราะห์ไม่เก่งนัก พี่ว่าการลงทุนในบริษัทที่มี P/E ต่ำและฐานะทางการเงินมั่นคง ย่อมปลอดภัยกว่านะครับ พี่ยอมกำไรน้อยลงบ้างเพื่อลดความเสี่ยงจากการประมาณการการเติบโตที่ผิดพลาดของเรา และที่สำคัญเพื่อยึดหลักการไม่ขาดทุนของ Buffett ครับ
ถ้าเราไม่เก่งพอ แต่ลงทุนในบริษัทที่มี P/E สูง อาจจะเสียหายมากก็ได้ สภาวะเศรษฐกิจกำลังฟื้นก็โอเคครับ แต่ถ้าเศรษฐกิจมีปัญหาเมื่อไรบริษัทที่มี P/E สูง แต่มี Growth สูง ก็จะมีปัญหามากกว่าเพราะ Growth จะลดลง
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14784
- ผู้ติดตาม: 1
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 357
โค้ด: เลือกทั้งหมด
ถ้าวิเคราะห์ไม่เก่งนัก พี่ว่าการลงทุนในบริษัทที่มี P/E ต่ำและฐานะทางการเงินมั่นคง ย่อมปลอดภัยกว่านะครับ พี่ยอมกำไรน้อยลงบ้างเพื่อลดความเสี่ยงจากการประมาณการการเติบโตที่ผิดพลาดของเรา และที่สำคัญเพื่อยึดหลักการไม่ขาดทุนของ Buffett ครับ
ถ้าเราไม่เก่งพอ แต่ลงทุนในบริษัทที่มี P/E สูง อาจจะเสียหายมากก็ได้ สภาวะเศรษฐกิจกำลังฟื้นก็โอเคครับ แต่ถ้าเศรษฐกิจมีปัญหาเมื่อไรบริษัทที่มี P/E สูง แต่มี Growth สูง ก็จะมีปัญหามากกว่าเพราะ Growth จะลดลง
-
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 358
คุณ Jeng
ผมคิดว่าหุ้นตัวที่2 นั้นใช่ xxxxx หรือไม่
ผมเคยอ่านบทความของ Fisher คร่าวๆ รวมถึงคนอื่นๆ แต่ไม่เคยซึมซับในการใช้ PB ในการเลือกหุ้น เข้าใจว่าอาจจะมาจาก Graham ที่คุณ jeng ว่า หรือ ดร.นิเวศย์
ในสิ่งที่ซึมเข้ามาในหัว คือ การหว้งกำไรอนาคตของกิจการ โดยดูจาด DCF หรือ วิธีอื่น การดูถึง Good Business Model (ขอใช้ศัพย์นี้แทน) ของ Warren วึ่งไม่สามารถคำนวนได้ ความสามารถของผู้บริหาร หัวข้อนี้ที่ทำให้ผมบอกว่า PB นั้นบอกได้แต่หุ้นถูกแต่ไม่สามารถบอกว่าหุ้นแพง
ความสามารถของผู้บริหาร เป็นส่วนหนึ่งที่โดนตลาดสะท้อนออกมาในรูปของ Price ที่สูง วึ่งทำให้ PB สูง
ถ้าหากหุ้นตัวที่2 เป็น xxxxx และ PB สูงมาก (โดยสมมติให้ BV ต่ำมาก เพื่อ PE เท่าเดิม) ผมคงมีความสุขมากขึ้น ว่าผู้บริหารมีความสามารถ ในกรณีนี้ใช้ ROA จะง่ายกว่า
ผมคิดว่าหุ้นตัวที่2 นั้นใช่ xxxxx หรือไม่
ผมเคยอ่านบทความของ Fisher คร่าวๆ รวมถึงคนอื่นๆ แต่ไม่เคยซึมซับในการใช้ PB ในการเลือกหุ้น เข้าใจว่าอาจจะมาจาก Graham ที่คุณ jeng ว่า หรือ ดร.นิเวศย์
ในสิ่งที่ซึมเข้ามาในหัว คือ การหว้งกำไรอนาคตของกิจการ โดยดูจาด DCF หรือ วิธีอื่น การดูถึง Good Business Model (ขอใช้ศัพย์นี้แทน) ของ Warren วึ่งไม่สามารถคำนวนได้ ความสามารถของผู้บริหาร หัวข้อนี้ที่ทำให้ผมบอกว่า PB นั้นบอกได้แต่หุ้นถูกแต่ไม่สามารถบอกว่าหุ้นแพง
ความสามารถของผู้บริหาร เป็นส่วนหนึ่งที่โดนตลาดสะท้อนออกมาในรูปของ Price ที่สูง วึ่งทำให้ PB สูง
ถ้าหากหุ้นตัวที่2 เป็น xxxxx และ PB สูงมาก (โดยสมมติให้ BV ต่ำมาก เพื่อ PE เท่าเดิม) ผมคงมีความสุขมากขึ้น ว่าผู้บริหารมีความสามารถ ในกรณีนี้ใช้ ROA จะง่ายกว่า
- Mon money
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 3134
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 359
ยกที่13แล้วนะคุณวิบูลย์ จะมารอกันทำไมครับ ยิงก่อนได้เปรียบเด้อ
ก่อนไปเรื่องDCFผมขอClearทั้งสองเรื่องนี้ก่อนนะครับ
ในกรณีของพี่เจ๋งนี่ใช้ EPVเต็มๆเลยละ ไม่ต้องปฎิเสธให้ยากเลยครับ ในกรณีที่ไม่ดูBVประกอบนี้เราต้องวิเคราะห์เชิงคุณภาพอย่างมากที่เดียว สำหรับBVนี่เป็นเรื่องสำคัญเอาการนะครับ Buffettกล่าวถึงเรื่องนี้เอาไว้ ว่ามีคนถามเรื่องการคำนวณ Intrinsic Valueของเขา และมักข้องใจกันว่าเขาคำนวณจริงๆอย่างที่โม้หรือเปล่า เขาบอกว่าเขาคำนวณนะครับ แต่มันค่อนขางซับซ้อน เขาเลยให้สังเกตุที่BVการขยับขึ้นลงของBVเทียบได้กับการขยับขึ้นลงของIntrinsic Valueครับ
ในการคิดแบบGrahamนั้นเป็นวิธีที่หลายคนคิดว่าปลอดภัยมากที่สุด บางทีก็ไม่นะครับ บางบริษัทราคาตกลงมากจนเข้าเกณฑ์ NET-NET ของGraham แต่จนแล้วจนรอดมันก็ลงมาแน่นิ่งแบบนั้นตลอดไป Grahamเองยังใช้หลักการถือหุ้นที่เข้าข่ายNET-NETเอาไว้มากมายเพื่อว่าบริษัทไหนไปไม่รอดจริงๆ อีกหลายบริษัทยังอยู่และทำกำไรได้ครับ
หลักการที่ดีกว่าก็คือการสรรหาบริษัทที่มีDCA การมีDCAได้ไม่ใช่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติครับ ผู้บริหารที่ดีเป็นผู้ทำให้เกิดครับ การตรวจสอบROA ROEเป็นการตรวจสอบว่าบริษัทสามารถสร้างมูลค่าได้มากน้อยหรือกำลังทำลายมูลค่าอยู่โดยไม่รู้ตัว อย่างที่ผมเคยกล่าวครับ บางที่Growthนั้นทำลายมูลค่านะครับ บางทียิ่งGrowthยิ่งเร่งการทำลายมูลค่าครับ
เอาแค่นี้ก่อนนะครับ ขวาตรงของผมยิงต้องที่Growthดีหรือไม่ดีอย่างไร คุณวิบูลย์ พี่เจ๋ง คุณฉัตร และท่านอื่นๆเชิญต่อได้เลยครับ
ก่อนไปเรื่องDCFผมขอClearทั้งสองเรื่องนี้ก่อนนะครับ
ในกรณีของพี่เจ๋งนี่ใช้ EPVเต็มๆเลยละ ไม่ต้องปฎิเสธให้ยากเลยครับ ในกรณีที่ไม่ดูBVประกอบนี้เราต้องวิเคราะห์เชิงคุณภาพอย่างมากที่เดียว สำหรับBVนี่เป็นเรื่องสำคัญเอาการนะครับ Buffettกล่าวถึงเรื่องนี้เอาไว้ ว่ามีคนถามเรื่องการคำนวณ Intrinsic Valueของเขา และมักข้องใจกันว่าเขาคำนวณจริงๆอย่างที่โม้หรือเปล่า เขาบอกว่าเขาคำนวณนะครับ แต่มันค่อนขางซับซ้อน เขาเลยให้สังเกตุที่BVการขยับขึ้นลงของBVเทียบได้กับการขยับขึ้นลงของIntrinsic Valueครับ
ในการคิดแบบGrahamนั้นเป็นวิธีที่หลายคนคิดว่าปลอดภัยมากที่สุด บางทีก็ไม่นะครับ บางบริษัทราคาตกลงมากจนเข้าเกณฑ์ NET-NET ของGraham แต่จนแล้วจนรอดมันก็ลงมาแน่นิ่งแบบนั้นตลอดไป Grahamเองยังใช้หลักการถือหุ้นที่เข้าข่ายNET-NETเอาไว้มากมายเพื่อว่าบริษัทไหนไปไม่รอดจริงๆ อีกหลายบริษัทยังอยู่และทำกำไรได้ครับ
หลักการที่ดีกว่าก็คือการสรรหาบริษัทที่มีDCA การมีDCAได้ไม่ใช่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติครับ ผู้บริหารที่ดีเป็นผู้ทำให้เกิดครับ การตรวจสอบROA ROEเป็นการตรวจสอบว่าบริษัทสามารถสร้างมูลค่าได้มากน้อยหรือกำลังทำลายมูลค่าอยู่โดยไม่รู้ตัว อย่างที่ผมเคยกล่าวครับ บางที่Growthนั้นทำลายมูลค่านะครับ บางทียิ่งGrowthยิ่งเร่งการทำลายมูลค่าครับ
เอาแค่นี้ก่อนนะครับ ขวาตรงของผมยิงต้องที่Growthดีหรือไม่ดีอย่างไร คุณวิบูลย์ พี่เจ๋ง คุณฉัตร และท่านอื่นๆเชิญต่อได้เลยครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11444
- ผู้ติดตาม: 1
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 360
ถ้า NET-NET คือมีสินทรัพย์หมุนเวียนกว่าหนี้สินทั้งหมดมากๆ ผมว่าก็ไม่เพียงพอครับ ผมเลือกที่บริษัทไม่ต้องถึงกับ NET-NET หรอกครับ แต่มีกำไรสุทธิและ FCF ในแต่ละปีมากด้วยครับเมื่อเปรียบเทียบกับราคาหุ้น