อยากทราบว่า นักลงทุน VI จำเป็นต้องซื้อหุ้นที่มีปันผลหรือไม่
-
- Verified User
- โพสต์: 1141
- ผู้ติดตาม: 0
อยากทราบว่า นักลงทุน VI จำเป็นต้องซื้อหุ้นที่มีปันผลหรือไม่
โพสต์ที่ 1
มีคำถามในใจที่ผมยังขบคิดไม่ออกคือ จำเป็นหรือไม่ที่นักลงทุน VI จะต้องซื้อหุ้นเฉพาะที่มีปันผล (เห็น อ.ดร.นิเวศน์กำลังจะไปพูดในหัวข้อหุ้นปันผลพอดี) เพราะหุ้นบางตัวที่ไม่มีปันผล แต่นำเงินไปลงทุนต่อยอดเพื่อสร้าง Wealth ให้กับผู้ถือหุ้น ซึ่งสะท้อนจาก ROE ที่สูง หรือหุ้นบางตัวเป็นหุ้นที่มีผลการดำเนินงานไม่ดี แต่เมื่อมีการปรับเปลี่ยนระบบการบริหารใหม่ ทำให้ผลการดำเนินงานดีขึ้นกว่าเดิมมาก Turnaround แต่ยังจ่ายปันผลไม่ได้เพราะยังมีการขาดทุนสะสมอยู่ หรือหุ้นบางตัวเช่น BMCL ซึ่งเป็นหุ้นที่อยู่ระหว่างการลงทุน ต้องลงทุนระยะยาวจึงจะมีเงินปันผลในอนาคต ไม่ทราบว่าพี่ ๆ เพื่อน ๆ คิดยังไงกับประเด็นเรื่องเงินปันผลกับการลงทุนของ VI ครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1608
- ผู้ติดตาม: 0
อยากทราบว่า นักลงทุน VI จำเป็นต้องซื้อหุ้นที่มีปันผลหรือไม่
โพสต์ที่ 2
คงไม่จำเป็นหรอกครับ
แต่ถ้าทำไม่ได้อย่างวอเร็น ผมว่าจ่ายปันผลออกมาดีกว่า ให้ผมตัดสินใจเอง :)
แต่ถ้าทำไม่ได้อย่างวอเร็น ผมว่าจ่ายปันผลออกมาดีกว่า ให้ผมตัดสินใจเอง :)
มนุษย์เห่อลูก :lol:
http://tyakon.multiply.com
http://tyakon.multiply.com
-
- Verified User
- โพสต์: 487
- ผู้ติดตาม: 0
อยากทราบว่า นักลงทุน VI จำเป็นต้องซื้อหุ้นที่มีปันผลหรือไม่
โพสต์ที่ 5
ไม่จำเป็นแต่เกี่ยวข้อง เพราะผมต้องการกระแสเงินสดเข้ามาเพื่อความอุ่นใจ หุ้นที่ปันผลน้อยถ้าซื้อก็ต้องมีสภาพคล่องพอสมควรทีเดียว ประเภทเงินปันผลก็ไม่ได้ ขายก็ไม่ออก แบบนี้ไม่เอา
对不起,请问一下.
存货是什么意思 ?
存货是什么意思 ?
-
- Verified User
- โพสต์: 1141
- ผู้ติดตาม: 0
อยากทราบว่า นักลงทุน VI จำเป็นต้องซื้อหุ้นที่มีปันผลหรือไม่
โพสต์ที่ 6
ลองไปอ่านประวัติของวอร์เรน บัฟเฟท ทำให้มีประเด็นคำถามคือ
ระหว่างการเลือกหุ้นคุณค่าของหุ้นประเภท Super Stock ชั้นดี ในราคาเหมาะสม อาจจะมี Margin of Safety ณ ราคาปัจจุบันไม่มาก โดยเราต้องลงทุนหวังผลตอบแทนในอนาคตระยะยาว ปัจจุบันหุ้นนี้ก็มีการจ่ายปันผลต่อเนื่อง กับหุ้นประเภทที่เคยดีมาก่อน แต่บริหารงานแย่ในช่วงปัจจุบัน แต่เพิ่งจะมีการปรับปรุงการบริหารขึ้นมาใหม่ และผลงานก็ค่อย ๆ กระเตื้องขึ้นแล้ว ซึ่งราคาของหุ้นในปัจจุบันซึ่งสะท้อนตามผลงานปัจจุบัน ทำให้ราคาค่อนข้างถูก แถมไม่มีการจ่ายปันผล แต่คาดว่ามีแนวโน้มจะจ่ายปันผลได้ในอนาคต ตัวอย่าง ของหุ้นที่บัฟเฟท เคยลงทุนในหุ้นประเภทนี้ เช่น หุ้นอเมริกันเอ๊กซ์เพรส หุ้นสิ่งทอ หรือหุ้นประกัน เป็นต้น แต่หุ้นประเภทนี้จะมี Margin of Safety ในปัจจุบันที่สูง
ถ้าเป็นเพื่อน ๆ ที่เป็น VI คิดว่าควรจะเลือกหุ้นอย่างไรดีครับ
ระหว่างการเลือกหุ้นคุณค่าของหุ้นประเภท Super Stock ชั้นดี ในราคาเหมาะสม อาจจะมี Margin of Safety ณ ราคาปัจจุบันไม่มาก โดยเราต้องลงทุนหวังผลตอบแทนในอนาคตระยะยาว ปัจจุบันหุ้นนี้ก็มีการจ่ายปันผลต่อเนื่อง กับหุ้นประเภทที่เคยดีมาก่อน แต่บริหารงานแย่ในช่วงปัจจุบัน แต่เพิ่งจะมีการปรับปรุงการบริหารขึ้นมาใหม่ และผลงานก็ค่อย ๆ กระเตื้องขึ้นแล้ว ซึ่งราคาของหุ้นในปัจจุบันซึ่งสะท้อนตามผลงานปัจจุบัน ทำให้ราคาค่อนข้างถูก แถมไม่มีการจ่ายปันผล แต่คาดว่ามีแนวโน้มจะจ่ายปันผลได้ในอนาคต ตัวอย่าง ของหุ้นที่บัฟเฟท เคยลงทุนในหุ้นประเภทนี้ เช่น หุ้นอเมริกันเอ๊กซ์เพรส หุ้นสิ่งทอ หรือหุ้นประกัน เป็นต้น แต่หุ้นประเภทนี้จะมี Margin of Safety ในปัจจุบันที่สูง
ถ้าเป็นเพื่อน ๆ ที่เป็น VI คิดว่าควรจะเลือกหุ้นอย่างไรดีครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1746
- ผู้ติดตาม: 0
อยากทราบว่า นักลงทุน VI จำเป็นต้องซื้อหุ้นที่มีปันผลหรือไม่
โพสต์ที่ 7
ของอย่างนี้ผมว่าพูดยากครับ เพราะสามารถแบ่งได้เป็นหลาย ๆ กรณี ซึ่งคงไม่ถูกนัก ถ้าเราจะจำกัดความหมายของ VI ไว้แค่ที่การลงทุน แล้วได้ปันผล เพราะบางบริษัท ก็มีเงินจนจะท่วมอยู่แล้วแต่ไม่ยอมปันผล หรือบางบริษัท กำไรซะดี แต่ดันไม่มีเงินสดจะปันผล หรือบางบริษัท ตุ๋นนักลงทุน(ที่ไม่ระวัง) ด้วยการกู้เงินมาจ่ายปันผลล่อให้ซื้อหุ้นโครงการ บ้านบนดอย
ของอย่างนี้ ดีไม่ดี ยากจะบอกครับ 55555 :lol:
ของอย่างนี้ ดีไม่ดี ยากจะบอกครับ 55555 :lol:
- worapong
- Verified User
- โพสต์: 929
- ผู้ติดตาม: 0
การลงทุนแบบวีไอ
โพสต์ที่ 8
ผมว่าถ้าเราจำกัดว่าการเป็นวีไอต้องลงทุนในหุ้นปันผลเท่านั้น วอร์เรน บัฟเฟต และปีเตอร์ ลินช์ก็ไม่ถือว่าเป็นวีไอครับ อย่าง บัฟเฟตนี่ เค้าถือหุ้น birkshire hathaway ซึ่งไม่จ่ายปันผลมานานแล้ว ส่วนลินช์ก็ลงทุนทั้งหุ้น growth dividend cyclical turnaround หุ้นแข็งแกร่ง ตามความคิดของผม วีไอคือดูราคาเทียบกับมูลค่า ถ้าราคาต่ำกว่ามูลค่ามากๆก็ซื้อ แล้วถือไว้จนกว่าราคาจะเกินมูลค่า หรือพบตัวใหม่ที่เด็ดกว่าเดิมครับ เป็นความเห็นส่วนตัวนะครับ :twisted: :twisted:
margin of safety
circle of competence
waiting for the perfect pitch
circle of competence
waiting for the perfect pitch
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 710
- ผู้ติดตาม: 1
อยากทราบว่า นักลงทุน VI จำเป็นต้องซื้อหุ้นที่มีปันผลหรือไม่
โพสต์ที่ 9
จะปันผลหรือไม่ ขึ้นอยู่กับแผนการในอนาคตและฐานะการเงินมากกว่า
ถ้ามีกำไรสะสมมากแล้วไม่มีแผนใดๆในอนาคต
ผมว่าเค้าก็ต้องจ่ายออกมา
ถ้าไม่จ่ายมันก็แปลกๆอยู่นะ
ถึงอย่างไรผมว่าก็น่าจะมาสะท้อนที่ราคาอยู่ดี
ถ้ามีกำไรสะสมมากแล้วไม่มีแผนใดๆในอนาคต
ผมว่าเค้าก็ต้องจ่ายออกมา
ถ้าไม่จ่ายมันก็แปลกๆอยู่นะ
ถึงอย่างไรผมว่าก็น่าจะมาสะท้อนที่ราคาอยู่ดี
"Failure is the only way to start again intelligently"
- สุมาอี้
- Verified User
- โพสต์: 4576
- ผู้ติดตาม: 0
อยากทราบว่า นักลงทุน VI จำเป็นต้องซื้อหุ้นที่มีปันผลหรือไม่
โพสต์ที่ 10
ถ้าบริษัทนั้นผู้บริหารไม่น่าไว้วางใจ ปันผลออกมาบ้างก็ดีครับ อย่างน้อยจะได้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเงินสดที่เห็นในงบยังมีอยู่จริงๆ
ถ้าบริษัทนั้นผู้บริหารน่าไว้วางใจ ปันผลหรือไม่ปันผลก็เหมือนกัน ยังไงเงินนั้นก็ของเราอยู่วันยังค่ำ ถ้าเขาหาโครงการที่น่าลงทุนได้ให้เขาเก็บกำไรไว้ลงทุนต่อดีกว่า
ถ้าบริษัทนั้นผู้บริหารน่าไว้วางใจ ปันผลหรือไม่ปันผลก็เหมือนกัน ยังไงเงินนั้นก็ของเราอยู่วันยังค่ำ ถ้าเขาหาโครงการที่น่าลงทุนได้ให้เขาเก็บกำไรไว้ลงทุนต่อดีกว่า
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 421
- ผู้ติดตาม: 0
เว็กเตอร์
โพสต์ที่ 11
ผมว่าต้องลองลากเส้นเวกเตอร์ดูครับผมว่าถึงไม่ปันผลตอนนี้หรือในระยะสั้นนี้ แต่เมื่อเส้นแกนนอนซึ่งเป็นเส้นเวลา กับเส้นแกนตั้งซึ่งเป็น Value ของตัวหุ้นที่จะไปเริ่มปรากฏ ณ เวลาที่เราตั้งไว้นั้น ตัวไหนที่เส้นเว็กเตอร์โด่งสุด ผมว่าก็ซื้อตัวนั้นแหละครับ จริงไหมๆ (ยังคงมีความเป็น Value investor ผสมอยู่นะครับผม เหอะๆ)
รู้สึกดีๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 1141
- ผู้ติดตาม: 0
อยากทราบว่า นักลงทุน VI จำเป็นต้องซื้อหุ้นที่มีปันผลหรือไม่
โพสต์ที่ 12
ทางออกสำหรับคำตอบในเรื่องนี้ เป็นแง่คิดนะครับ ผมได้จากหนังสือ แก่นแท้ของบัฟเผตต์ ที่อ. ดร.นิเวศน์ แปลและเรียบเรียงมานะครับ ประเด็นนี้พอมีแนวทางการประยุกต์ในการวิเคราะห์ ดังนี้
1. เก็บไว้กับบริษัทเพื่อเป็นหลักประกันความมั่นคง มีสภาพคล่องที่ดี ซึ่งหลาย ๆ บริษัทเคยใช้วิธีนี้ ในเรื่องนี้เราคงต้องมีข้อพิจารณาว่า การดำเนินงานของบริษัทนั้น มีผลตอนแทนจากการลงทุนและมีการสร้างกระแสเงินสดมากกว่าความต้องการใช้เงินในแต่ละปีหรือไม่ ต้องดูงบกระแสเงินสดประกอบ (กิจกรรมดำเนินงาน กิจกรรมลงทุน และกิจกรรมหาเงินลงทุน) ถ้ามีมากกว่า ก็ดูต่อว่า อัตราผลตอบแทนของการลงทุนตำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมหรือไม่ ถ้าต่ำกว่า ผมว่าบริษัทควรที่จะเน้นการจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้น มากกว่าจะเก็บเงินไว้ เพราะมีแนวโน้มว่าถ้าเก็บไว้เกินความต้องการ มีโอกาสที่ฝ่ายบริหารจะนำเงินไปใช้ในวัตถุประสงค์อื่นที่จะทำให้ผลตอบแทนไม่สูงเพียงพอกับค่าเสียโอกาสครับ หรือบางครั้งการเก็บกระแสเงินสดไว้กับบริษัทมากเกินไป จะส่งผลเสียเพราะเงินสดดังกล่าวไม่ได้นำไปใช้ประโยชน์เท่าที่ควร และหลายครั้งจะสะท้อนไปยังราคาหุ้นที่ตกต่ำลง ทำให้ Weath ของผู้ถือหุ้นลดลงครับ
2. ถ้ามีกระแสเงินสดเกินความต้องการ บริษัทนั้น ๆ เอากระแสเงินสดไปใช้ในการสร้างการเจริญเติบโตให้กับบริษัทหรือไม่ เช่น การซื้อการเจริญเติบโตโดยการซื้อกิจการอื่น ๆ เป็นต้น แต่หลายครั้งเราก็มักพบว่า บริษัทที่ไปซื้อกิจการอื่น ๆ บัฟเฟทตั้งข้อสงสัยว่า มักจะซื้อมาในราคาที่เกินมุลค่าของมันหรือบริษัทที่ซื้อเข้ามามักไม่ได้ดีจริงตามที่คุยไว้ ซึ่งอาจส่งผลเสียกับผู้ลงทุนในที่สุด
3. แนวทางสุดท้ายคือการจ่ายปันผลคืนให้กับผู้ลงทุน โดยให้ผู้ลงทุนเป็นผู้ตัดสินใจไปหาผลตอบแทนที่สูงกว่าการที่จะลงทุนต่อกับบริษัท
แต่ที่น่าสนใจก็คือ บริษัทเบิร์กไซร์ที่บัฟเฟทบริหารอยู่เคยถามผู้ลงทุนว่าต้องการให้บริษัทดำเนินการอย่างไร สำหรับผลตอบแทนที่สูงของบริษัทซึ่งทำให้บริษัทมีกระแสเงินสดในแต่ละปีที่สูงด้วย ซึ่งพบว่าผู้ถือหุ้นไว้วางใจกับบริษัทที่บัฟเฟทบริหารเป็นอย่างมาก ผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ขอให้คงเงินไว้ที่บริษํทโดยไม่ต้องการให้บริษัทจ่ายปันผลครับ โดยขอให้บัฟเฟทนำกระแสเงินสดส่วนเกินไปสร้างการเจริญเติบโตของบริษัทอย่างต่อเนื่อง
สิ่งที่สำคัญในเรื่องนี้ ผมคิดว่าถ้าเราได้อ่านประวัติของบัฟเฟทนั้น จะเห็นว่ามีการลงทุนในกองทุนของเขาอยู่ช่วงหนึ่ง ที่เขาเห็นว่าถ้าจะลงทุนต่อไปแล้วเขาไม่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ เขาได้ตัดสินใจขายเงินลงทุนทั้งหมดคืนผู้ถือหุ้นกลับไปทันทีครับ
ไม่รู้ว่าในเมืองไทยจะมีกองทุนที่คิดอะไรแบบบัฟเฟทบ้างนะครับ ที่มีความซื้อสัตย์ มีฝีมือการบริหารที่ดีเป็นแบบอย่างให้กับนักลงทุน VI เช่นพวกเรานะครับ
1. เก็บไว้กับบริษัทเพื่อเป็นหลักประกันความมั่นคง มีสภาพคล่องที่ดี ซึ่งหลาย ๆ บริษัทเคยใช้วิธีนี้ ในเรื่องนี้เราคงต้องมีข้อพิจารณาว่า การดำเนินงานของบริษัทนั้น มีผลตอนแทนจากการลงทุนและมีการสร้างกระแสเงินสดมากกว่าความต้องการใช้เงินในแต่ละปีหรือไม่ ต้องดูงบกระแสเงินสดประกอบ (กิจกรรมดำเนินงาน กิจกรรมลงทุน และกิจกรรมหาเงินลงทุน) ถ้ามีมากกว่า ก็ดูต่อว่า อัตราผลตอบแทนของการลงทุนตำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมหรือไม่ ถ้าต่ำกว่า ผมว่าบริษัทควรที่จะเน้นการจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้น มากกว่าจะเก็บเงินไว้ เพราะมีแนวโน้มว่าถ้าเก็บไว้เกินความต้องการ มีโอกาสที่ฝ่ายบริหารจะนำเงินไปใช้ในวัตถุประสงค์อื่นที่จะทำให้ผลตอบแทนไม่สูงเพียงพอกับค่าเสียโอกาสครับ หรือบางครั้งการเก็บกระแสเงินสดไว้กับบริษัทมากเกินไป จะส่งผลเสียเพราะเงินสดดังกล่าวไม่ได้นำไปใช้ประโยชน์เท่าที่ควร และหลายครั้งจะสะท้อนไปยังราคาหุ้นที่ตกต่ำลง ทำให้ Weath ของผู้ถือหุ้นลดลงครับ
2. ถ้ามีกระแสเงินสดเกินความต้องการ บริษัทนั้น ๆ เอากระแสเงินสดไปใช้ในการสร้างการเจริญเติบโตให้กับบริษัทหรือไม่ เช่น การซื้อการเจริญเติบโตโดยการซื้อกิจการอื่น ๆ เป็นต้น แต่หลายครั้งเราก็มักพบว่า บริษัทที่ไปซื้อกิจการอื่น ๆ บัฟเฟทตั้งข้อสงสัยว่า มักจะซื้อมาในราคาที่เกินมุลค่าของมันหรือบริษัทที่ซื้อเข้ามามักไม่ได้ดีจริงตามที่คุยไว้ ซึ่งอาจส่งผลเสียกับผู้ลงทุนในที่สุด
3. แนวทางสุดท้ายคือการจ่ายปันผลคืนให้กับผู้ลงทุน โดยให้ผู้ลงทุนเป็นผู้ตัดสินใจไปหาผลตอบแทนที่สูงกว่าการที่จะลงทุนต่อกับบริษัท
แต่ที่น่าสนใจก็คือ บริษัทเบิร์กไซร์ที่บัฟเฟทบริหารอยู่เคยถามผู้ลงทุนว่าต้องการให้บริษัทดำเนินการอย่างไร สำหรับผลตอบแทนที่สูงของบริษัทซึ่งทำให้บริษัทมีกระแสเงินสดในแต่ละปีที่สูงด้วย ซึ่งพบว่าผู้ถือหุ้นไว้วางใจกับบริษัทที่บัฟเฟทบริหารเป็นอย่างมาก ผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ขอให้คงเงินไว้ที่บริษํทโดยไม่ต้องการให้บริษัทจ่ายปันผลครับ โดยขอให้บัฟเฟทนำกระแสเงินสดส่วนเกินไปสร้างการเจริญเติบโตของบริษัทอย่างต่อเนื่อง
สิ่งที่สำคัญในเรื่องนี้ ผมคิดว่าถ้าเราได้อ่านประวัติของบัฟเฟทนั้น จะเห็นว่ามีการลงทุนในกองทุนของเขาอยู่ช่วงหนึ่ง ที่เขาเห็นว่าถ้าจะลงทุนต่อไปแล้วเขาไม่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ เขาได้ตัดสินใจขายเงินลงทุนทั้งหมดคืนผู้ถือหุ้นกลับไปทันทีครับ
ไม่รู้ว่าในเมืองไทยจะมีกองทุนที่คิดอะไรแบบบัฟเฟทบ้างนะครับ ที่มีความซื้อสัตย์ มีฝีมือการบริหารที่ดีเป็นแบบอย่างให้กับนักลงทุน VI เช่นพวกเรานะครับ