เรื่องเล่าจากโรงพยาบาล จากสมองอันน้อยนิด ด้วยอุปกรณ์และสุขภา
- sorn adis
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 295
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เรื่องเล่าจากโรงพยาบาล จากสมองอันน้อยนิด ด้วยอุปกรณ์และส
โพสต์ที่ 121
ใจคุณธีสุดยอดมากครับ
ขอให้ผลบุญช่วยคุณธีหายป่วยโดยเร็ว
หลังผ่านพายุลูกนี้ ไม่มีอะไรที่ทำให้คุณธีกลัวได้อีกแล้วครับ
เป็นกำลังใจให้นะครับ
ขอให้ผลบุญช่วยคุณธีหายป่วยโดยเร็ว
หลังผ่านพายุลูกนี้ ไม่มีอะไรที่ทำให้คุณธีกลัวได้อีกแล้วครับ
เป็นกำลังใจให้นะครับ
คาถาลงทุน
BuVaPiCaMos
BuVaPiCaMos
-
- Verified User
- โพสต์: 1569
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เรื่องเล่าจากโรงพยาบาล จากสมองอันน้อยนิด ด้วยอุปกรณ์และส
โพสต์ที่ 125
ขอบคุณครับสำหรับข้อมูล PP
วันนี้วันศุกร์ วันเบาๆ ส่งเรื่องฺาๆหน่อยครับ (เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยเล่าเรื่องประสบการณ์ซื้อหุ้นโรงพยาบาล และเรื่องที่แอบฟัง
มุขจากโรงพยาบาล
สถิติจากการสอบถามพยาบาล 9 ใน 10 ที่ดูแลผมตอนนี้ยังไม่แต่งงาน
ผมคิดว่าเหตุผลที่พยาบาลไม่ค่อยได้แต่งงานเพราะติดคำพูดนี้...เวลา....
พยาบาล .... "ทำความสะอาด เช็ดแอลกอฮอล์แล้วหรือยังค่ะ"
พนักงานธนาคาร.... "ช่องบริการเต็ม กรุณาใช้ช่องถัดไปค่ะ"
พนักงานโอเปอเรเตอร์โทรศัพท์.... "กรุณารอสักครู่ค่ะ ตู๊ ตู่ ตู้ ตู "(เสียงรอสาย)
พนักงานต้อนรับ .... "ยินดีต้อนรับค่ะ" (เออ อันนี้ดี)
พนักงานเดินรถ .... "ชิดในเลยค่ะ"??
ครู .... "เก่ง ดีมาก ทำดีแล้ว ทำอีกบ่อยๆเรื่อยๆนะ "(ฮา...)
หมายเหตุ คนที่เล่าให้ฟังเป็นครู จึงอาจเข้าข้างตัวเองนิดๆ
หมายเหตุ2 มักเห็นพยาบาลกับหมอ แต่งงานกันบ่อย อาจเป็นได้ว่าชินกับการรักษาความสะอาด
วันนี้วันศุกร์ วันเบาๆ ส่งเรื่องฺาๆหน่อยครับ (เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยเล่าเรื่องประสบการณ์ซื้อหุ้นโรงพยาบาล และเรื่องที่แอบฟัง
มุขจากโรงพยาบาล
สถิติจากการสอบถามพยาบาล 9 ใน 10 ที่ดูแลผมตอนนี้ยังไม่แต่งงาน
ผมคิดว่าเหตุผลที่พยาบาลไม่ค่อยได้แต่งงานเพราะติดคำพูดนี้...เวลา....
พยาบาล .... "ทำความสะอาด เช็ดแอลกอฮอล์แล้วหรือยังค่ะ"
พนักงานธนาคาร.... "ช่องบริการเต็ม กรุณาใช้ช่องถัดไปค่ะ"
พนักงานโอเปอเรเตอร์โทรศัพท์.... "กรุณารอสักครู่ค่ะ ตู๊ ตู่ ตู้ ตู "(เสียงรอสาย)
พนักงานต้อนรับ .... "ยินดีต้อนรับค่ะ" (เออ อันนี้ดี)
พนักงานเดินรถ .... "ชิดในเลยค่ะ"??
ครู .... "เก่ง ดีมาก ทำดีแล้ว ทำอีกบ่อยๆเรื่อยๆนะ "(ฮา...)
หมายเหตุ คนที่เล่าให้ฟังเป็นครู จึงอาจเข้าข้างตัวเองนิดๆ
หมายเหตุ2 มักเห็นพยาบาลกับหมอ แต่งงานกันบ่อย อาจเป็นได้ว่าชินกับการรักษาความสะอาด
ผมเป็นคนความจำสั้น จึง post สิ่งที่อ่านหรือพบเจอที่คิดว่าอาจจะใช้ประโยชน์ใน board
เพื่อจะได้กลับมาอ่านทีหลัง
หากเยอะไปหรือ ทำให้เพื่อนๆ รำคาญในต้องขออภัยด้วยครับ
หากบางหัวข้อไม่มีเนื้อ หรือ เพื่อนๆ บันทึกเนื้อข่าวเพิ่มให้จะขอบคุณอย่างยิ่งครับ
เพื่อจะได้กลับมาอ่านทีหลัง
หากเยอะไปหรือ ทำให้เพื่อนๆ รำคาญในต้องขออภัยด้วยครับ
หากบางหัวข้อไม่มีเนื้อ หรือ เพื่อนๆ บันทึกเนื้อข่าวเพิ่มให้จะขอบคุณอย่างยิ่งครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1569
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เรื่องเล่าจากโรงพยาบาล จากสมองอันน้อยนิด ด้วยอุปกรณ์และส
โพสต์ที่ 126
แห่ะๆ จริงๆ เริ่มเกรงใจแล้ว แต่ถามว่าอายไหม ไม่อายครับ ทั้งๆที่จริงๆเราก็ไม่รู้หลายอย่าง ก็ขอยอมรับ
และถือเป็นโอกาส ของการเรียนรู้เลยครับ
สำหรับพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ที่อยากแชร์ความรู้ อึดอัด แต่ไม่อยากแชร์ออกสาธารณะ ผมยินดีรับเคราะห์ pm มาเล่าก็ได้ครับ (ผมสัญญาว่าจะไม่เปิดเผยเพราะเป็นการผิดศีลข้อ 4)
จำได้ว่าเมื่อก่อน เว็บนี้เคยมี ห้องมือใหม่ แต่ตอนนี้ไม่เห็นครับ เสียดาย ตอนนั้นแอบถามคำถามโง่ๆไปเยอะเลย อายน้อยหน่อย มี คุณ ส.สลึง กับพี่ ฉัตรช่วยมาตอบ บ่อยๆ ขอบคุณครับ
สุดท้ายฝากกลอนฝรั่งไว้ครับ ช่วยสงเคราะห์ผมด้วยนะครับ
“He who knows not and knows not he knows not: he is a fool - shun him.
He who knows not and knows he knows not: he is simple - teach him.
He who knows and knows not he knows: he is asleep - wake him.
He who knows and knows he knows: he is wise - follow him.”
และถือเป็นโอกาส ของการเรียนรู้เลยครับ
สำหรับพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ที่อยากแชร์ความรู้ อึดอัด แต่ไม่อยากแชร์ออกสาธารณะ ผมยินดีรับเคราะห์ pm มาเล่าก็ได้ครับ (ผมสัญญาว่าจะไม่เปิดเผยเพราะเป็นการผิดศีลข้อ 4)
จำได้ว่าเมื่อก่อน เว็บนี้เคยมี ห้องมือใหม่ แต่ตอนนี้ไม่เห็นครับ เสียดาย ตอนนั้นแอบถามคำถามโง่ๆไปเยอะเลย อายน้อยหน่อย มี คุณ ส.สลึง กับพี่ ฉัตรช่วยมาตอบ บ่อยๆ ขอบคุณครับ
สุดท้ายฝากกลอนฝรั่งไว้ครับ ช่วยสงเคราะห์ผมด้วยนะครับ
“He who knows not and knows not he knows not: he is a fool - shun him.
He who knows not and knows he knows not: he is simple - teach him.
He who knows and knows not he knows: he is asleep - wake him.
He who knows and knows he knows: he is wise - follow him.”
ผมเป็นคนความจำสั้น จึง post สิ่งที่อ่านหรือพบเจอที่คิดว่าอาจจะใช้ประโยชน์ใน board
เพื่อจะได้กลับมาอ่านทีหลัง
หากเยอะไปหรือ ทำให้เพื่อนๆ รำคาญในต้องขออภัยด้วยครับ
หากบางหัวข้อไม่มีเนื้อ หรือ เพื่อนๆ บันทึกเนื้อข่าวเพิ่มให้จะขอบคุณอย่างยิ่งครับ
เพื่อจะได้กลับมาอ่านทีหลัง
หากเยอะไปหรือ ทำให้เพื่อนๆ รำคาญในต้องขออภัยด้วยครับ
หากบางหัวข้อไม่มีเนื้อ หรือ เพื่อนๆ บันทึกเนื้อข่าวเพิ่มให้จะขอบคุณอย่างยิ่งครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 29
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เรื่องเล่าจากโรงพยาบาล จากสมองอันน้อยนิด ด้วยอุปกรณ์และส
โพสต์ที่ 127
คุณ T มีกำลังใจที่เข้มแข็งมากครับ
ขอให้หายป่วยไวๆ นะครับ
ขอให้หายป่วยไวๆ นะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 874
- ผู้ติดตาม: 1
Re: เรื่องเล่าจากโรงพยาบาล จากสมองอันน้อยนิด ด้วยอุปกรณ์และส
โพสต์ที่ 128
ผมนึกกลัวๆอยู่แล้วว่าน่าจะเป็นallopurinol
จริงๆ ด้วย เป็นฝันร้ายของคุณหมอที่สั่งยาและภรรยาคุณ T ครั้งใหญ่เลย
ไอ้เจ้ายีนส์(ผมได้ข้อมูลว่าเป็นHLA-B5801แฮะ)มันก็ไม่ได้ประกันว่าจะเดาได้ล่วงหน้า
เพราะถ้าคุณ T ไม่มียีนส์ตัวนี้ แล้วเกิดอาการแพ้ล่ะ?
เรื่องแจ็คผอตแบบนี้มักจะเกิดกับ"คนกันเอง"เสมอครับ
ทีนี้ต้องมาตัดสินใจแล้วล่ะว่าจะใช้probenecid หรือsulfinpyrazone
แต่ถ้าเก็บปัสสาวะแล้วยูริคสูงมากกว่า600มก.ต่อวันก็ไม่ได้อีก
นายจ้างผมเขาถึงมีนโยบายประมาณจะเอาไอ้ยาตัวนี้ออกไปให้พ้นๆ
ผมก็ยังดื้อสั่งอยู่นะ เพราะผมทนเห็นไตพังลงช้าๆไม่ได้
บ้านผมเขาเรียกว่า"มันสา"(ประมาณหิริโอตัปปะ)
ทั้งๆที่"เลี้ยงไข้"ไปงี้ก็ได้งานบ่อยดี อีกหน่อยไตวายก็ได้งานอีก
มีสี่ห้าคนแล้วที่คุยกันดิบดี คุมตัวเลขอยู่หมด
แล้วหยุดกินยาเองเพราะเห็นว่าไม่มีอาการบ้าง
ส่งไปรับยาไกล้บ้านแล้วเขาไม่สั่งให้บ้าง คงเพราะกลัวแพ้ยาแล้วเป็นเรื่อง
กลับมาอีกทีไตวายไปแระ
ผมไม่รู้ว่าอะไรบาปกว่ากัน ก็เลยบอกทุกครั้งให้ตัดสินใจเอง
ว่าจะเสี่ยงใช้ยามั้ย ยังโชคดีที่คนที่ยอมเสี่ยงกะผม ยังไม่มีใครTENS
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เนี้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง ยังเอากระดูกมาแขวนคอ
ขออภัย บ่นมากไปหน่อย ไม่เหมาะสมช่วยลบให้ด้วยนะครับ
จริงๆ ด้วย เป็นฝันร้ายของคุณหมอที่สั่งยาและภรรยาคุณ T ครั้งใหญ่เลย
ไอ้เจ้ายีนส์(ผมได้ข้อมูลว่าเป็นHLA-B5801แฮะ)มันก็ไม่ได้ประกันว่าจะเดาได้ล่วงหน้า
เพราะถ้าคุณ T ไม่มียีนส์ตัวนี้ แล้วเกิดอาการแพ้ล่ะ?
เรื่องแจ็คผอตแบบนี้มักจะเกิดกับ"คนกันเอง"เสมอครับ
ทีนี้ต้องมาตัดสินใจแล้วล่ะว่าจะใช้probenecid หรือsulfinpyrazone
แต่ถ้าเก็บปัสสาวะแล้วยูริคสูงมากกว่า600มก.ต่อวันก็ไม่ได้อีก
นายจ้างผมเขาถึงมีนโยบายประมาณจะเอาไอ้ยาตัวนี้ออกไปให้พ้นๆ
ผมก็ยังดื้อสั่งอยู่นะ เพราะผมทนเห็นไตพังลงช้าๆไม่ได้
บ้านผมเขาเรียกว่า"มันสา"(ประมาณหิริโอตัปปะ)
ทั้งๆที่"เลี้ยงไข้"ไปงี้ก็ได้งานบ่อยดี อีกหน่อยไตวายก็ได้งานอีก
มีสี่ห้าคนแล้วที่คุยกันดิบดี คุมตัวเลขอยู่หมด
แล้วหยุดกินยาเองเพราะเห็นว่าไม่มีอาการบ้าง
ส่งไปรับยาไกล้บ้านแล้วเขาไม่สั่งให้บ้าง คงเพราะกลัวแพ้ยาแล้วเป็นเรื่อง
กลับมาอีกทีไตวายไปแระ
ผมไม่รู้ว่าอะไรบาปกว่ากัน ก็เลยบอกทุกครั้งให้ตัดสินใจเอง
ว่าจะเสี่ยงใช้ยามั้ย ยังโชคดีที่คนที่ยอมเสี่ยงกะผม ยังไม่มีใครTENS
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เนี้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง ยังเอากระดูกมาแขวนคอ
ขออภัย บ่นมากไปหน่อย ไม่เหมาะสมช่วยลบให้ด้วยนะครับ
samatah
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 411
- ผู้ติดตาม: 1
Re: เรื่องเล่าจากโรงพยาบาล จากสมองอันน้อยนิด ด้วยอุปกรณ์และส
โพสต์ที่ 129
ผมเชื่อว่า" คนที่สัมผัสกับความตายอย่างใกล้ชิดแล้ว จึงจะเข้าใจคุณค่าของการมีชีวิตอยู่อย่างถ่องแท้"
ผมเคยอ่านพุทธประวัติตอนหนึ่งนานมาแล้ว
รายละเอียดอาจคลาดเคลื่อน แต่ใจความมีว่า
พระพุทธเจ้าตรัสถามพระอานนท์ว่า"เธอปวารณามรณานุสติบ่อยแค่ไหน"
พระอานนท์ตอบว่า"ศิษย์ปวารณามรณานุสติทุกชั่วยาม"
พระพุทธเจ้าตอบกลับว่า"ยังน้อยไป ตถาคตปวารณามรณานุสติทุกลมหายใจเข้าออก"
2ปีก่อนคุณพ่อผมป่วยหนักเป็นโรคมะเร็งลําใส้
มะเร็งเป็นโรคที่ทรมานคนป่วยและคนดูแลอย่างแสนสาหัส
การได้อยู่ดูแลช่วงที่คุณพ่อป่วยช่วยให้มุมมองชีวิตผมเปลี่ยนไปอย่างมาก
จากคนร่างใหญ่แข็งแรงเพราะเล่นกล้ามนํ้าหนัก80กว่ากิโล
ลดลงจนเหลือประมาณ50กิโล
คุณพ่อมีทรัพย์สินหลายสิบล้าน
แต่ในระยะท้ายๆของโรคแม้แต่นํ้าจิบเดียวทานแล้วก็ยังอาเจียน
ในภาวะวิกฤตของชีวิตจริงๆแล้ว เงินทองแทบไม่มีความหมายอะไรเลย
ความรักและกําลังใจจากลูกหลานเท่านั้นที่หล่อเลี้ยงชีวิต
หลังจากนั้นผมบอกตัวเองว่าจะใช้ชีวิตในแต่ละวันเหมือนเป็นวันสุดท้ายของชีวิต
และเริ่มนับถอยหลังเวลาในชีวิตทุกๆวัน
ผมมักจะบอกภรรยาตลอดว่าตอนนี้มีทรัพย์สินอะไรบ้างอยู่ที่ไหนอยู่บ่อยๆ
จนภรรยาถามว่าเพี้ยนหรือเปล่ามาบอกทําไมอยู่เรื่อยๆ
ผมพยายามเลิกหงุดหงิดอารมณ์เสียในเรื่องต่างๆ
เพราะเวลาในชีวิตผมเหลือน้อยเกินกว่าจะเสียไปกับความทุกข์และเรื่องไร้สาระต่างๆ
พยยามฝึกตัวเองให้มีสติและมีความสุขกับปัจจุบันขณะตลอดเวลา
ทํางานน้อยลงเล่นกับลูกมากขึ้นท่องเที่ยวมากขึ้นฯลฯ
ผมรู้สึกว่ามุมมองที่เปลี่ยนไปทําให้ชีวิตมีความสุขมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก
คุณทีได้ผ่านความเป็นความตายมาแล้ว
ผมเชื่อว่าคุณได้รับบทเรียนที่สําคัญที่สุดในชีวิตไปแล้ว
ภาษาอังกฤษอาจใช้คํว่าrebornก็ได้
ชีวิตที่เหลืออยู่ของคุณ ผมเชื่อว่าจะมีสติและมีความสุขในชีวิตมากขึ้น
อีกหลายปีนับจากนี้คุณอาจรู้สึกดีใจกับการป่วยหนักครั้งนี้
ผมเคยอ่านพุทธประวัติตอนหนึ่งนานมาแล้ว
รายละเอียดอาจคลาดเคลื่อน แต่ใจความมีว่า
พระพุทธเจ้าตรัสถามพระอานนท์ว่า"เธอปวารณามรณานุสติบ่อยแค่ไหน"
พระอานนท์ตอบว่า"ศิษย์ปวารณามรณานุสติทุกชั่วยาม"
พระพุทธเจ้าตอบกลับว่า"ยังน้อยไป ตถาคตปวารณามรณานุสติทุกลมหายใจเข้าออก"
2ปีก่อนคุณพ่อผมป่วยหนักเป็นโรคมะเร็งลําใส้
มะเร็งเป็นโรคที่ทรมานคนป่วยและคนดูแลอย่างแสนสาหัส
การได้อยู่ดูแลช่วงที่คุณพ่อป่วยช่วยให้มุมมองชีวิตผมเปลี่ยนไปอย่างมาก
จากคนร่างใหญ่แข็งแรงเพราะเล่นกล้ามนํ้าหนัก80กว่ากิโล
ลดลงจนเหลือประมาณ50กิโล
คุณพ่อมีทรัพย์สินหลายสิบล้าน
แต่ในระยะท้ายๆของโรคแม้แต่นํ้าจิบเดียวทานแล้วก็ยังอาเจียน
ในภาวะวิกฤตของชีวิตจริงๆแล้ว เงินทองแทบไม่มีความหมายอะไรเลย
ความรักและกําลังใจจากลูกหลานเท่านั้นที่หล่อเลี้ยงชีวิต
หลังจากนั้นผมบอกตัวเองว่าจะใช้ชีวิตในแต่ละวันเหมือนเป็นวันสุดท้ายของชีวิต
และเริ่มนับถอยหลังเวลาในชีวิตทุกๆวัน
ผมมักจะบอกภรรยาตลอดว่าตอนนี้มีทรัพย์สินอะไรบ้างอยู่ที่ไหนอยู่บ่อยๆ
จนภรรยาถามว่าเพี้ยนหรือเปล่ามาบอกทําไมอยู่เรื่อยๆ
ผมพยายามเลิกหงุดหงิดอารมณ์เสียในเรื่องต่างๆ
เพราะเวลาในชีวิตผมเหลือน้อยเกินกว่าจะเสียไปกับความทุกข์และเรื่องไร้สาระต่างๆ
พยยามฝึกตัวเองให้มีสติและมีความสุขกับปัจจุบันขณะตลอดเวลา
ทํางานน้อยลงเล่นกับลูกมากขึ้นท่องเที่ยวมากขึ้นฯลฯ
ผมรู้สึกว่ามุมมองที่เปลี่ยนไปทําให้ชีวิตมีความสุขมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก
คุณทีได้ผ่านความเป็นความตายมาแล้ว
ผมเชื่อว่าคุณได้รับบทเรียนที่สําคัญที่สุดในชีวิตไปแล้ว
ภาษาอังกฤษอาจใช้คํว่าrebornก็ได้
ชีวิตที่เหลืออยู่ของคุณ ผมเชื่อว่าจะมีสติและมีความสุขในชีวิตมากขึ้น
อีกหลายปีนับจากนี้คุณอาจรู้สึกดีใจกับการป่วยหนักครั้งนี้
-
- Verified User
- โพสต์: 1569
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เรื่องเล่าจากโรงพยาบาล จากสมองอันน้อยนิด ด้วยอุปกรณ์และส
โพสต์ที่ 130
ในช่วงแรกๆ ที่ผมยังติดตัวเลขอยู่ (ซึ่งความจริงผมเป็นพวก quant & system trade ที่มาสนใจแนว vi)
สำหรับบทความนี้อย่าเพิ่งเชื่อ เพราะมันแค่มาจากประสบการณ์ ของคนๆนึงเท่านั้น และพี่ๆกูรูครับ หากผมผิดช่วยแก้ด้วยครับ ยินดีรับ คอมเมนต์ครับ
ช่วงแรกๆจึง นำวิธีการหาตัวเลขมาใช้โดยยังไม่ได้ดูปัจจัยคุณภาพเลย เรียกว่าไถดะเลยครับ
วิธีหนึ่งที่ผมไถดะแล้วไม่ค่อยพลาดเท่าไหร่ คือวิธีก้นบุหรี่ของเกรแฮม (ไม่แน่ใจว่าประสบการณ์ยังน้อย หรือโชดีตามตลาด แต่เดี๋ยวจะขอแชร์ข้อเสียเหมือนกัน) แต่หายากนิดนึง
สูตร ประมาณนี้ (ผมจำไม่ได้ว่าอ่านจากไหนเหมือนกันครับ แต่ผมว่าเข้าท่าดี เลยลอง)
สินทรัพย์หมุนเวียน - หนี้สินทั้งหมด > (2/3) ของmarket cap
อ่านสูตรก็คงพอเดาได้ครับ ว่าเป็น asset play พวกนี้คือหุ้นต่ำบุ๊ค
ตีความก็คือว่า ถ้าเรามีเงินเราซื้อบริษัททั้งหมด แล้ว ขายสินทรัพย์สภาพคล่องออกไป(ของที่แปลงเป็นเงินได้ง่าย) แล้วใช้หนี้ทั้งหมดยังเหลือเงินอีกตั้ง 30% (ประมาณว่า ซื้อบริษัทแล้วฉีกขายนั่นแหล่ะ เคยดูหนัง pretty woman ก็ประมาณพระเอกที่ริชาร์ด เกียร์ทำ)
ทีนี้มาเรื่องปัญหาที่เจอครับ คือ
1. บางที พอเราเจอ สินทรัพย์ สภาพคล่อง มันไม่ใช่เงินสด แต่เป็น สินค้าคงเหลือ หรือลูกหนี้การค้า อย่างงี้อะ ก็ต้องเข้าไปดูคุณภาพของมันอีก
2. ส่วนใหญ่หุ้นพวกนี้ คุณภาพมักกลางๆ ถึงไม่ค่อยดี จึงมักถูกดักดาน (เคยถามอาจารย์ท่านหนึ่ง ท่านตอบว่า มันไม่ง่ายนะ คุณเห็นคนอื่นก็เห็น แล้วทำไมมันถึงไม่ขึ้น ต้องคิดด้วย)
3. นั่นเป็นที่มาของรื่องที่ 3 เรื่องที่เราจะรอการปลดล๊อค ที่ต้องลุ้น เพราะ ความเป็นจริง ผมคงซื้อไม่ได้ทั้งบริษัทอยู่แล้ว และผมก็ไม่มีวงในด้วย ถ้าปลดล๊อคไม่ได้ก็ต้องรอถูกดักดานต่อไป แถมบางทีิอาจไม่ได้ปันผลอีกด้วยซ้ำ รอฟรี ช่วงหลังจึงพยายามดูเรื่องอื่นมากขึ้น (ตรงนี้ รอ คอมเมนต์ จากพี่ๆ เพื่อน อยู่นะครับ) แต่จากการสังเกต หุ้นพวกนี้ชอบวิ่งช่วงตลาดหาตัวเล่นไม่ได้แล้ว และมักจะวิ่งกระโดดยาวเลย เหมือนหุ้นปั่นนะเนี่ย
4. บางที ผมก็ไม่กล้าเสี่ยง จึงลดอัตรา mos ลงไปอีกด้วยซ้ำ แถมพวกนั้นก็ไม่ค่อยเป็นที่นิยมอีก คุยกะใครก็ไม่มีคนเห็นด้วย(ควรจะคิดว่าดีแล้ว หรือสงสัยตัวเองดี)
5. บ่อยครั้ง ที่มักเห็นต่ำบุ๊ค แต่ p/e สูง แปลว่าเราไม่ได้มองธุรกิจและ เรามองแต่จะฉีกบริษัท มีเพื่อนคนนึงเคยบอกว่า ให้ระวังเพราะเมื่อก่อน สินทรัพย์บริษัทเป็นโรงงานหรือสิ่งที่จับต้องได้ แต่เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ ดังนั้น เดี๋ยวนี้ให้ดู รายได้ กำไร (E) มากกว่า มูลค่าของ (bv) ประมาณว่า กำไรไม่มา ราคาก็ไม่ไป ก็ต้องรอมันเจ๊งแล้วขายของใช้หนี้อย่างเดียวเลยถูกดักดาน รอเจ้าของนอนทับสินทรัพย์ต่อไป
---------
พอช่วงหลัง เคยลองอีกประเภท ไม่ค่อยจะสำเร็จนัก คือ หุ้นที่มีการถือ หุ้นบริษัทอื่น. เช่นหุ้นบ้านที่ถือหุ้นค้าปลีกที่มีมูลค่าตลาดมากกว่า mktcap ตัวเอง โรงพิมพ์ที่ถือ หุ้น โรงพิมพ์ และคอมพิวเตอร์ มากกว่า mktcap ตัวเอง. อิเล็กทรอนิคส์ที่ถือบริษัทค้าปลีกมากกว่า mktcap ตัวเอง หรือตัวอย่างจากหนังสือตีแตก ที่ บริษัทสับปะรด ถือหุ้นยางมะตอยมากกว่ามูลค่า mktcap ตัวเอง. พวกนี้เหมือนหุ้นแม่หุ้นลูก บางทีระบบบัญชีก็ไม่แสดง เพราะแล้วแต่เปอร์เซ็นต์ การถือ ว่าเป็น บริษัทร่วม ย่อย หรือ เพื่อค้า ซึ่งโดยส่วนใหญ่ ก็ไม่เคยเห็นแม่ขายลูกออกไปสักที. แถมบางทีแม่ดีลูกชั่วสลับกันไป ในตีแตก ดร.ก็เขียนเหมือนกันครับ และจำได้ว่าเคยอ่านหนังสือเล่มนึงที่เรียบเรียงจากจดหมายของบัฟเฟต เขียนเรื่องกำไรมองทะลุ (พอจะมีใคร ช่วยขยายเรื่องนี้ให้กระจ่างหน่อยไหมครับ )
สำหรับบทความนี้อย่าเพิ่งเชื่อ เพราะมันแค่มาจากประสบการณ์ ของคนๆนึงเท่านั้น และพี่ๆกูรูครับ หากผมผิดช่วยแก้ด้วยครับ ยินดีรับ คอมเมนต์ครับ
ช่วงแรกๆจึง นำวิธีการหาตัวเลขมาใช้โดยยังไม่ได้ดูปัจจัยคุณภาพเลย เรียกว่าไถดะเลยครับ
วิธีหนึ่งที่ผมไถดะแล้วไม่ค่อยพลาดเท่าไหร่ คือวิธีก้นบุหรี่ของเกรแฮม (ไม่แน่ใจว่าประสบการณ์ยังน้อย หรือโชดีตามตลาด แต่เดี๋ยวจะขอแชร์ข้อเสียเหมือนกัน) แต่หายากนิดนึง
สูตร ประมาณนี้ (ผมจำไม่ได้ว่าอ่านจากไหนเหมือนกันครับ แต่ผมว่าเข้าท่าดี เลยลอง)
สินทรัพย์หมุนเวียน - หนี้สินทั้งหมด > (2/3) ของmarket cap
อ่านสูตรก็คงพอเดาได้ครับ ว่าเป็น asset play พวกนี้คือหุ้นต่ำบุ๊ค
ตีความก็คือว่า ถ้าเรามีเงินเราซื้อบริษัททั้งหมด แล้ว ขายสินทรัพย์สภาพคล่องออกไป(ของที่แปลงเป็นเงินได้ง่าย) แล้วใช้หนี้ทั้งหมดยังเหลือเงินอีกตั้ง 30% (ประมาณว่า ซื้อบริษัทแล้วฉีกขายนั่นแหล่ะ เคยดูหนัง pretty woman ก็ประมาณพระเอกที่ริชาร์ด เกียร์ทำ)
ทีนี้มาเรื่องปัญหาที่เจอครับ คือ
1. บางที พอเราเจอ สินทรัพย์ สภาพคล่อง มันไม่ใช่เงินสด แต่เป็น สินค้าคงเหลือ หรือลูกหนี้การค้า อย่างงี้อะ ก็ต้องเข้าไปดูคุณภาพของมันอีก
2. ส่วนใหญ่หุ้นพวกนี้ คุณภาพมักกลางๆ ถึงไม่ค่อยดี จึงมักถูกดักดาน (เคยถามอาจารย์ท่านหนึ่ง ท่านตอบว่า มันไม่ง่ายนะ คุณเห็นคนอื่นก็เห็น แล้วทำไมมันถึงไม่ขึ้น ต้องคิดด้วย)
3. นั่นเป็นที่มาของรื่องที่ 3 เรื่องที่เราจะรอการปลดล๊อค ที่ต้องลุ้น เพราะ ความเป็นจริง ผมคงซื้อไม่ได้ทั้งบริษัทอยู่แล้ว และผมก็ไม่มีวงในด้วย ถ้าปลดล๊อคไม่ได้ก็ต้องรอถูกดักดานต่อไป แถมบางทีิอาจไม่ได้ปันผลอีกด้วยซ้ำ รอฟรี ช่วงหลังจึงพยายามดูเรื่องอื่นมากขึ้น (ตรงนี้ รอ คอมเมนต์ จากพี่ๆ เพื่อน อยู่นะครับ) แต่จากการสังเกต หุ้นพวกนี้ชอบวิ่งช่วงตลาดหาตัวเล่นไม่ได้แล้ว และมักจะวิ่งกระโดดยาวเลย เหมือนหุ้นปั่นนะเนี่ย
4. บางที ผมก็ไม่กล้าเสี่ยง จึงลดอัตรา mos ลงไปอีกด้วยซ้ำ แถมพวกนั้นก็ไม่ค่อยเป็นที่นิยมอีก คุยกะใครก็ไม่มีคนเห็นด้วย(ควรจะคิดว่าดีแล้ว หรือสงสัยตัวเองดี)
5. บ่อยครั้ง ที่มักเห็นต่ำบุ๊ค แต่ p/e สูง แปลว่าเราไม่ได้มองธุรกิจและ เรามองแต่จะฉีกบริษัท มีเพื่อนคนนึงเคยบอกว่า ให้ระวังเพราะเมื่อก่อน สินทรัพย์บริษัทเป็นโรงงานหรือสิ่งที่จับต้องได้ แต่เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ ดังนั้น เดี๋ยวนี้ให้ดู รายได้ กำไร (E) มากกว่า มูลค่าของ (bv) ประมาณว่า กำไรไม่มา ราคาก็ไม่ไป ก็ต้องรอมันเจ๊งแล้วขายของใช้หนี้อย่างเดียวเลยถูกดักดาน รอเจ้าของนอนทับสินทรัพย์ต่อไป
---------
พอช่วงหลัง เคยลองอีกประเภท ไม่ค่อยจะสำเร็จนัก คือ หุ้นที่มีการถือ หุ้นบริษัทอื่น. เช่นหุ้นบ้านที่ถือหุ้นค้าปลีกที่มีมูลค่าตลาดมากกว่า mktcap ตัวเอง โรงพิมพ์ที่ถือ หุ้น โรงพิมพ์ และคอมพิวเตอร์ มากกว่า mktcap ตัวเอง. อิเล็กทรอนิคส์ที่ถือบริษัทค้าปลีกมากกว่า mktcap ตัวเอง หรือตัวอย่างจากหนังสือตีแตก ที่ บริษัทสับปะรด ถือหุ้นยางมะตอยมากกว่ามูลค่า mktcap ตัวเอง. พวกนี้เหมือนหุ้นแม่หุ้นลูก บางทีระบบบัญชีก็ไม่แสดง เพราะแล้วแต่เปอร์เซ็นต์ การถือ ว่าเป็น บริษัทร่วม ย่อย หรือ เพื่อค้า ซึ่งโดยส่วนใหญ่ ก็ไม่เคยเห็นแม่ขายลูกออกไปสักที. แถมบางทีแม่ดีลูกชั่วสลับกันไป ในตีแตก ดร.ก็เขียนเหมือนกันครับ และจำได้ว่าเคยอ่านหนังสือเล่มนึงที่เรียบเรียงจากจดหมายของบัฟเฟต เขียนเรื่องกำไรมองทะลุ (พอจะมีใคร ช่วยขยายเรื่องนี้ให้กระจ่างหน่อยไหมครับ )
ผมเป็นคนความจำสั้น จึง post สิ่งที่อ่านหรือพบเจอที่คิดว่าอาจจะใช้ประโยชน์ใน board
เพื่อจะได้กลับมาอ่านทีหลัง
หากเยอะไปหรือ ทำให้เพื่อนๆ รำคาญในต้องขออภัยด้วยครับ
หากบางหัวข้อไม่มีเนื้อ หรือ เพื่อนๆ บันทึกเนื้อข่าวเพิ่มให้จะขอบคุณอย่างยิ่งครับ
เพื่อจะได้กลับมาอ่านทีหลัง
หากเยอะไปหรือ ทำให้เพื่อนๆ รำคาญในต้องขออภัยด้วยครับ
หากบางหัวข้อไม่มีเนื้อ หรือ เพื่อนๆ บันทึกเนื้อข่าวเพิ่มให้จะขอบคุณอย่างยิ่งครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1569
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เรื่องเล่าจากโรงพยาบาล จากสมองอันน้อยนิด ด้วยอุปกรณ์และส
โพสต์ที่ 131
สำหรับเรื่องสุขภาพวันนี้ ลดเสอรอย์ เหลือ 15 มก เป็นวันแรก ดีครับ เป้าหมายอยู่ที่ 5 มก ให้เท่ากับที่ต่อมหมวกไต ของคนปกติ ผลิตได้ แล้วค่อยๆ เปลี่ยน เป็นยาเม็ด เมื่อคืนผิวที่หน้าผากเริ่มลอกครั้งสุดท้ายแล้ว. ช่วงนี้ผมกับพยาบาลช่วยกันปรับปรุงวิธีการทำแผล(แอบใช้วิชา lean manufacturing นิดหน่อย โดยการจัด step ให้เหมาะกับเวลาพอดี ลดเวลาการรอคอย) วันนี้เลยใช้เวลาเหลือเพียง 8 นาที ลดลง 4 นาที. แต่จำได้ว่าช่วงเป็นหนักทำแผลใช้เวลา ชั่วโมงครึ่ง โดยใช้พยาบาล 2 คนและหมอดูใกล้ชิดทีเดียว และทำวันละ 2 ครั้ง
ผมเป็นคนความจำสั้น จึง post สิ่งที่อ่านหรือพบเจอที่คิดว่าอาจจะใช้ประโยชน์ใน board
เพื่อจะได้กลับมาอ่านทีหลัง
หากเยอะไปหรือ ทำให้เพื่อนๆ รำคาญในต้องขออภัยด้วยครับ
หากบางหัวข้อไม่มีเนื้อ หรือ เพื่อนๆ บันทึกเนื้อข่าวเพิ่มให้จะขอบคุณอย่างยิ่งครับ
เพื่อจะได้กลับมาอ่านทีหลัง
หากเยอะไปหรือ ทำให้เพื่อนๆ รำคาญในต้องขออภัยด้วยครับ
หากบางหัวข้อไม่มีเนื้อ หรือ เพื่อนๆ บันทึกเนื้อข่าวเพิ่มให้จะขอบคุณอย่างยิ่งครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1569
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เรื่องเล่าจากโรงพยาบาล จากสมองอันน้อยนิด ด้วยอุปกรณ์และส
โพสต์ที่ 132
สำหรับเรื่องอารมย์วันนี้ ผมสังเกตตัวเองว่า ควบคุม จิตให้เป็นสมาธิได้น้อยลง เมื่อทำสมาธิ ต้องดึงสติกลับบ่อยกว่าเดิม(อาจจะเพราะเพิ่งฟัง youtube หุ้นอีกครั้งวันแรกเมื่อวาน) แต่ดีขึ้น ก็ฟุ้งซ่านบ้างก็ดึงสติกลับ จิตคนเราคล้ายกับม้าพยศ ต้องผูกเชือกไว้กับหลักเมื่อเขาชินแม้ปล่อยเชือกเขาก็อยู่ คงคล้ายกับ ความรู้สึกที่เด็ก ทำสมาธิได้ดีกว่าผู้ใหญ่เพราะไม่ค่อยได้มีอะไรให้คิด ในขณะที่ผู้ใหญ่มีเรื่องให้คิดเยอะ. แต่ไม่เป็นไร พอเรารู้ตัวก็ดึงกลับมา ฝึก EQ ไปในตัว เมื่อมีอะไรที่ที่ผุดเข้ามาให้ต้องคิด ก็จะปล่อย(ผลักภาระ) ด้วยดึงสติกลับมา หรือจดไว้ก่อน เหมือนเป็นการผลักภาระว่าต๊ะไว้ก่อนนะแหล่ะ (ตอนนี้บัญชีของผมยาวเป็นหางว่าวเลย) แล้วก็ทำจิตเป็นหนึ่งเดียวต่อไป ทำทีละเรื่องๆไป
ผมเป็นคนความจำสั้น จึง post สิ่งที่อ่านหรือพบเจอที่คิดว่าอาจจะใช้ประโยชน์ใน board
เพื่อจะได้กลับมาอ่านทีหลัง
หากเยอะไปหรือ ทำให้เพื่อนๆ รำคาญในต้องขออภัยด้วยครับ
หากบางหัวข้อไม่มีเนื้อ หรือ เพื่อนๆ บันทึกเนื้อข่าวเพิ่มให้จะขอบคุณอย่างยิ่งครับ
เพื่อจะได้กลับมาอ่านทีหลัง
หากเยอะไปหรือ ทำให้เพื่อนๆ รำคาญในต้องขออภัยด้วยครับ
หากบางหัวข้อไม่มีเนื้อ หรือ เพื่อนๆ บันทึกเนื้อข่าวเพิ่มให้จะขอบคุณอย่างยิ่งครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1569
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เรื่องเล่าจากโรงพยาบาล จากสมองอันน้อยนิด ด้วยอุปกรณ์และส
โพสต์ที่ 133
ขอบคุณ คุณdr1 เรื่ิอง thrombophlebitisครับ น่าจะใช่วันนี้ ให้หมอดูคำนี้. ผมถ่ายรูปให้ดูด้วย ว่าจะลอง อัพดูตั้งแต่ใช้เว๊บนี้มายังไม่เคยอัพรูปสักที
ผมเป็นคนความจำสั้น จึง post สิ่งที่อ่านหรือพบเจอที่คิดว่าอาจจะใช้ประโยชน์ใน board
เพื่อจะได้กลับมาอ่านทีหลัง
หากเยอะไปหรือ ทำให้เพื่อนๆ รำคาญในต้องขออภัยด้วยครับ
หากบางหัวข้อไม่มีเนื้อ หรือ เพื่อนๆ บันทึกเนื้อข่าวเพิ่มให้จะขอบคุณอย่างยิ่งครับ
เพื่อจะได้กลับมาอ่านทีหลัง
หากเยอะไปหรือ ทำให้เพื่อนๆ รำคาญในต้องขออภัยด้วยครับ
หากบางหัวข้อไม่มีเนื้อ หรือ เพื่อนๆ บันทึกเนื้อข่าวเพิ่มให้จะขอบคุณอย่างยิ่งครับ
- kotaro
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1496
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เรื่องเล่าจากโรงพยาบาล จากสมองอันน้อยนิด ด้วยอุปกรณ์และส
โพสต์ที่ 135
อ่านของพี่ drsp แล้วเข้าใจครับdrsp เขียน:ผมเชื่อว่า" คนที่สัมผัสกับความตายอย่างใกล้ชิดแล้ว จึงจะเข้าใจคุณค่าของการมีชีวิตอยู่อย่างถ่องแท้"
2ปีก่อนคุณพ่อผมป่วยหนักเป็นโรคมะเร็งลําใส้
มะเร็งเป็นโรคที่ทรมานคนป่วยและคนดูแลอย่างแสนสาหัส
การได้อยู่ดูแลช่วงที่คุณพ่อป่วยช่วยให้มุมมองชีวิตผมเปลี่ยนไปอย่างมาก
จากคนร่างใหญ่แข็งแรงเพราะเล่นกล้ามนํ้าหนัก80กว่ากิโล
ลดลงจนเหลือประมาณ50กิโล
คุณพ่อมีทรัพย์สินหลายสิบล้าน
แต่ในระยะท้ายๆของโรคแม้แต่นํ้าจิบเดียวทานแล้วก็ยังอาเจียน
ในภาวะวิกฤตของชีวิตจริงๆแล้ว เงินทองแทบไม่มีความหมายอะไรเลย
ความรักและกําลังใจจากลูกหลานเท่านั้นที่หล่อเลี้ยงชีวิต
หลังจากนั้นผมบอกตัวเองว่าจะใช้ชีวิตในแต่ละวันเหมือนเป็นวันสุดท้ายของชีวิต
และเริ่มนับถอยหลังเวลาในชีวิตทุกๆวัน
ผมมักจะบอกภรรยาตลอดว่าตอนนี้มีทรัพย์สินอะไรบ้างอยู่ที่ไหนอยู่บ่อยๆ
จนภรรยาถามว่าเพี้ยนหรือเปล่ามาบอกทําไมอยู่เรื่อยๆ
ผมพยายามเลิกหงุดหงิดอารมณ์เสียในเรื่องต่างๆ
เพราะเวลาในชีวิตผมเหลือน้อยเกินกว่าจะเสียไปกับความทุกข์และเรื่องไร้สาระต่างๆ
พยยามฝึกตัวเองให้มีสติและมีความสุขกับปัจจุบันขณะตลอดเวลา
ทํางานน้อยลงเล่นกับลูกมากขึ้นท่องเที่ยวมากขึ้นฯลฯ
ผมรู้สึกว่ามุมมองที่เปลี่ยนไปทําให้ชีวิตมีความสุขมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก
บางครั้ง เราใช้ชีวิต โดยลืมไปจริงๆเลยว่า วันหนึ่งเราก็ต้องตายเหมือนกัน
เรื่องคุณพ่อของพี่ drsp คล้ายๆของผม เลยครับ
ตอนนี้ผมก็ดูแลคุณพ่อที่ป่วยเหมือนกัน รับคุณพ่อมาดูแลที่บ้าน ได้ 3 ปีกว่าแล้ว
ตั้งแต่วันที่พ่อผมป่วย จนถึง วันนี้ ได้เปลี่ยนความคิด การใช้ชีวิตส่วนตัวไปมากทีเดียวครับ
aggressive น้อยลง ใจเย็นขึ้น ให้อภัยคนอื่น ไม่โกรธ ไม่เกลียดใคร วันนึงไม่ช้าเร็ว เราก็ต้องจากกันไป
ให้เวลาครอบครัวเป็นหลัก
คุณพ่อผมตอนนี้เป็นเจ้าชายนิทรา จากคนเคยแข็งแรง ชอบทำงานเป็นชีวิตจิตใจ แต่ตอนนี้ต้องนอนบนเตียงตลอด ทำให้ผมคิดว่า"ความตายนี่แปลกครับ บางคนยังไม่อยากตาย แต่กลับต้องมาเจอแบบไม่ตั้งตัว บางคนอยากตาย แต่กลับตายไม่ได้"
ตั้งแต่คุณพ่อผมป่วย คนในครอบครัวผมได้สั่งเสียกันไว้หมดเลยว่า ถ้าเกิดใครป่วยจน cardiac arrest ไม่ต้องทำ cpr
ครับ เพราะตอนคุณพ่อผม cardiac arrest ผมเป็นคนทำ cpr คนแรก วินาทีนั้นเนี่ยะสุดบรรยายจริงๆ
ทุกวันนี้ผมก็คิดว่า ท่านก็กำลังสอนผม แม้ตอนที่ท่านป่วย ก็ยังสอนให้รู้จักชีวิตครับ ใช้ชีวิตบนความไม่ประมาท
ช่วงปีใหม่ ผมหยิบหนังสือในตู้มาอ่าน เรื่อง "chasing daylight" เป็นเรื่องเกี่ยวกับ CEO บริษัทใหญ่ในอเมริกา
ที่กำลังรุ่งโรจน์ แต่มารู้กระทันหันว่าตัวเองเป็นมะเร็งสมอง อยู่ได้อีกแค่ 3 เดือน เค้าบอกว่า การที่รู้ว่าต้องตายอีก 3 เดือน
เป็นเสมือนพรจากพระเจ้าครับ ผมอ่านแล้วก็เข้าใจครับ ว่าทำไมเค้าถึงหมายความอย่างนั้น เพราะทุกเวลา มีคนตายโดยที่
ไม่รู้เวลาของตนเลย ไม่ได้ตั้งตัวหรือวางแผนอะไรเลย ถ้าเราต้องตาย เราก็อยากรู้นัดหมายเราล่วงหน้า จริงไหมครับ
รู้สึกนอกเรื่องไปครับ เป็นกำลังใจให้คุณ T นะครับ ขอให้ผ่านพ้นช่วงเวลานี้ได้เร็ววัน
“Laughter is timeless. Imagination has no age. And dreams are forever.” ― Walt Disney Company
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 456
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เรื่องเล่าจากโรงพยาบาล จากสมองอันน้อยนิด ด้วยอุปกรณ์และส
โพสต์ที่ 136
เรื่องการเจ็บป่วยและภาวะเฉียดตายแบบคุณt
โดยเฉพาะหมอหรือบุคคลากรทางการแพทย์
อยากแนะนำให้อ่าน
1.dr.richard teo ผมอ่านเจอในหนังสือ"คลีนิค"ฉบับล่าสุด
2.ศ.พญ.สุมาลี นิมมานนิตย์ ให้สัมภาษณ์"แพรว"เมื่อ5ปีก่อนเสียชีวิต
ทั้ง2เรื่องหาดูได้จากgoogle
1.ท่านแรกเป็นแพทย์สิงคโปร์ อายุรแพทย์แล้วเบนเข็มมาทำคลีนิคความงามเพราะรวยช้า
จนมีเงินระดับมหาเศรษฐี ซื้อเฟอรารี่ สร้างบ้านส่วนตัวริมหน้าผาติดทะเล(แบบtony stark )
อายุ40ปีเจ็บหลังเล็กน้อยตรวจต่อพบว่าเป็นมะเร็งปอดขั้น4ให้chemoก็อยู่ได้ไม่เกิน5ด.
พบกับความจริงว่าทรัพย์สินเงินทองสะสมมาทั้งชีวิตช่วยอะไรไม่ได้
คุณหมอมาพูดเปิดใจให้นศพ.ฟังก่อนเสียชีวิต2ด.
2.ท่านที่สองเป็นอจ.แพทย์ของผมเองตอนอยู่ศิริราช
เป็นปูชนียบุคคล อจ.แพทย์ที่อุทิศตัวให้กับคนไข้ลูกศิษย์และศิริราช
มาทำงานตั้งแต่7โมงเช้ากลับ2ทุ่มเสาร์อาทิตย์ก็มาราววอร์ด ไม่รับconsultรพ.เอกชน
ท่านสนใจธรรมมะและปฎิบัติธรรมกับคุณแม่สิริ กรินชัย(เสียชีวิตแล้วปี55)
5ปีก่อนเจ็บอกหายใจขัดx-rayมีน้ำในปอดเล็กน้อย ตรวจเพิ่มเติมเป็นมะเร็งรังไข่ขั้น4
ไม่Respondต่อChemo. ให้สัมภาษณ์"แพรว"ระหว่างรักษาและเสียชีวิตปี50
คำให้สัมภาษณ์แสดงถึงความมีสติมีเมตตาและปัญญาสมกับที่ท่านปฎิบัติธรรมอย่างสม่ำเสมอ
เป็นการเปรียบเทียบให้เห็นว่าไม่ว่าคุณจะมาจากไหนเป็นอะไรสุดท้ายก็ตายเหมือนกันหมดต่างกันตรงใช้ชีวิต
ที่มีอยู่อย่างไร
โดยเฉพาะหมอหรือบุคคลากรทางการแพทย์
อยากแนะนำให้อ่าน
1.dr.richard teo ผมอ่านเจอในหนังสือ"คลีนิค"ฉบับล่าสุด
2.ศ.พญ.สุมาลี นิมมานนิตย์ ให้สัมภาษณ์"แพรว"เมื่อ5ปีก่อนเสียชีวิต
ทั้ง2เรื่องหาดูได้จากgoogle
1.ท่านแรกเป็นแพทย์สิงคโปร์ อายุรแพทย์แล้วเบนเข็มมาทำคลีนิคความงามเพราะรวยช้า
จนมีเงินระดับมหาเศรษฐี ซื้อเฟอรารี่ สร้างบ้านส่วนตัวริมหน้าผาติดทะเล(แบบtony stark )
อายุ40ปีเจ็บหลังเล็กน้อยตรวจต่อพบว่าเป็นมะเร็งปอดขั้น4ให้chemoก็อยู่ได้ไม่เกิน5ด.
พบกับความจริงว่าทรัพย์สินเงินทองสะสมมาทั้งชีวิตช่วยอะไรไม่ได้
คุณหมอมาพูดเปิดใจให้นศพ.ฟังก่อนเสียชีวิต2ด.
2.ท่านที่สองเป็นอจ.แพทย์ของผมเองตอนอยู่ศิริราช
เป็นปูชนียบุคคล อจ.แพทย์ที่อุทิศตัวให้กับคนไข้ลูกศิษย์และศิริราช
มาทำงานตั้งแต่7โมงเช้ากลับ2ทุ่มเสาร์อาทิตย์ก็มาราววอร์ด ไม่รับconsultรพ.เอกชน
ท่านสนใจธรรมมะและปฎิบัติธรรมกับคุณแม่สิริ กรินชัย(เสียชีวิตแล้วปี55)
5ปีก่อนเจ็บอกหายใจขัดx-rayมีน้ำในปอดเล็กน้อย ตรวจเพิ่มเติมเป็นมะเร็งรังไข่ขั้น4
ไม่Respondต่อChemo. ให้สัมภาษณ์"แพรว"ระหว่างรักษาและเสียชีวิตปี50
คำให้สัมภาษณ์แสดงถึงความมีสติมีเมตตาและปัญญาสมกับที่ท่านปฎิบัติธรรมอย่างสม่ำเสมอ
เป็นการเปรียบเทียบให้เห็นว่าไม่ว่าคุณจะมาจากไหนเป็นอะไรสุดท้ายก็ตายเหมือนกันหมดต่างกันตรงใช้ชีวิต
ที่มีอยู่อย่างไร
- Ii'8N
- Verified User
- โพสต์: 3682
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เรื่องเล่าจากโรงพยาบาล จากสมองอันน้อยนิด ด้วยอุปกรณ์และส
โพสต์ที่ 137
โห.....สรุปด้วยคำง่ายๆ แต่ตีได้แตก ตรงไปประเด็นเลยละครับprajuvb เขียน: เป็นการเปรียบเทียบให้เห็นว่าไม่ว่าคุณจะมาจากไหนเป็นอะไรสุดท้ายก็ตายเหมือนกันหมดต่างกันตรงใช้ชีวิต
ที่มีอยู่อย่างไร
- Ii'8N
- Verified User
- โพสต์: 3682
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เรื่องเล่าจากโรงพยาบาล จากสมองอันน้อยนิด ด้วยอุปกรณ์และส
โพสต์ที่ 138
หนังสือ อาจารย์ Ben Graham เล่มฮิตครับ The intelligent investorT_0007 เขียน: สูตร ประมาณนี้ (ผมจำไม่ได้ว่าอ่านจากไหนเหมือนกันครับ แต่ผมว่าเข้าท่าดี เลยลอง)
สินทรัพย์หมุนเวียน - หนี้สินทั้งหมด > (2/3) ของmarket cap
ในหนังสือหลายเล่ม ที่พี่ WEB แปลหลายเล่ม ที่เกี่ยวกับสายหุ้นราคาถูก หุ้นก้นบุหรี่ ก็มีพูดถึงที่ อาจารย์ Graham เรียกว่าหุ้น "net-net" คือ Net ของ Net Current Asset Value ใช้อากู๋ค้นหา กลายเป็นคำที่คนพูดถึงเยอะมาก
http://www.google.co.th/search?q=graham+net-net
มีสูตรที่พูดถึง ถ้าตีเป็น PE อาจารย์ Graham ให้หุ้นที่น่าลงทุน P/E 8.5 และบวกค่าพรีเมี่ยมยอมให้ PE สูงขึ้นได้อีกด้วย 2g หรือ 2 เท่าของ EPS growth rate
เลยมาเป็นสูตร V = E (8.5+2g)
แต่ว่าอย่างที่เข้าใจกัน ถ้าจะเอาแค่ว่าถูก มันไม่ได้หมายถึงดีเสมอไป
จึงมีปัจจัยพิจารณาประกอบด้วย รวม 10 ข้อ
ที่คุณ T พูดถึงเป็น 1 ใน 10
อาจไม่ได้ครบทุกข้อ แต่ยิ่งได้มาก ยิ่งน่าสนใจ
ในสภาวะตลาดแบบนี้ หายากกว่างมเข็ม
หุ้นต่ำบุ๊คแต่สุขภาพจริงดีอยู่มากๆ แล้วไม่ถึงกับแย่ตกต่ำเป็นก้นบุหรี่ใกล้หมดมวน จะขุดหาเจอได้เกลื่อน เมื่อช่วงตลาดซบเซาคนทิ้งหุ้นเจ๊งหุ้นกันเยอะๆ แล้วหยุดซื้อขายหุ้นกัน (ช่วงที่แท๊กซี่ไม่พูดถึงหุ้น แล้วบอกผู้โดยสารว่าขับแท๊กซี่น่าสนใจกว่า)
link ที่ผมจำได้
http://www.investmenttools.com/benjamin ... _rules.htm
The 10 Ben Graham Rules:
ข้อมูลอีกอัน
1) An earnings-to-price yield of twice the triple-A bond. If the triple-A bond yield is, say 8%, then the required earnings yield is 16%. In reciprocal form, that's a price/earnings ratio of 6.25.
2) A P/E ratio down to four-tenth of the highest average P/E ratio the stock attained in the most recent five years. ( Average P/E ratio was defined as average stock price for a given year divided by the earnings for that year.)
3) A dividend yield of two-thirds the triple-A bond yield.
4) A stock price down to two-thirds of tangible book value per share.
5) A stock price down to two-thirds of "net current asset value" or "net quick liquidation value." This figure is defined as current assets less total debt. Fixed assets are not included.
6) Total debt less than tangible book value.
7) Current ratio ( current assets divided by current liabilities) of two or more.
8) Total debt equal or less than twice the net quick liquidation value as defined in No.5.
9) Earnings growth over the most recent ten years of 7% compounded - that is a doubling of earnings in a ten-year period.
10) Stability of growth in earnings, defined as no more then two declines of 5% or greater in year-end earnings (relative to the previous year) in the most recent ten years.
10 ข้อนั้น เขาแบ่งประเภทการ "evaluation สุขภาพบริษัท" เป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ
(ผมจำไม่ได้แล้ว ว่าเก็บเอามาจากไหน จึงไม่สามารถให้ credit ได้)
การคัดกรองตามหลัก 10 ข้อแบบ graham
Polarity บวก คือยิ่งสูงยิ่งดี, ลบ คือยิ่งต่ำยิ่งดีRisk evaluation.......... Polarity
E/P > 2Y ..........+
P/E < 40% average P/E 5 years ..........-
DVY > (2/3) Y ..........+
P < (2/3) BVPS (Tangible Assets) ..........-
P < (2/3) Net quick liquidation value (Net net assetVPS) = (2/3) * ( CA -CL - LL)/#share ..........-
FN Strength evaluation.......... Polarity
TL < BV (Tangible Assets) ..........-
Current Ratio CA/CL >= 2 ..........+
Sustainability of Profitability .......... Polarity
TL < Net quick liquidation value (Net net assetVPS) ..........-
EPSg > 7% compound (2 times) in 10 years ..........+
Stable EPSg, NP down < 5% <= 2 times in 10 years ..........+
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 1
Re: เรื่องเล่าจากโรงพยาบาล จากสมองอันน้อยนิด ด้วยอุปกรณ์และส
โพสต์ที่ 139
สำหรับผมแล้ว
คุณธีเป็นคนมีกำลังใจและจิตใจที่เข้มแข็ง แต่ช่างอ่อนโยนเหลือเกินในการแบ่งปัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การแบ่งปัน "ธรรมะ" และ "ธรรมชาติในชีวิตของคนเรา"
ชีวิตของคนเรา ไขว่คว้าหาแต่ "ความสุข"
จนบางครั้งลืมไปว่า "ความสุข" เป็นเพียง "ความทุกข์" ที่ยังเดินทางมาไม่ถึง
คนสมัยก่อนมีเวลามากมายในการคิดและทบทวนชีวิตของตนเอง
แต่คนในสมัยนี้ แทบไม่มีช่องว่างของเวลาเลย เพราะ มือถือ, Tablet ต่างๆ ขโมยเวลาของเราไปจนเกือบหมดสิ้น
Social Network ทำให้โลกใบนี้แคบลง แต่ก็ทำให้คนเรามีสมาธิกับตนเองได้น้อยลงด้วย
สมัยก่อนเรารอกันได้ครับ นัดกัน จะช้ากันสักครึ่ง ชม. ก็เป็นเรื่องธรรมดา
แต่ทุกวันนี้ ยังไม่ถึงเวลานัด เราก็โทรตามโทรจิกกันแล้ว
เทคโนโลยี ทำให้จิตใจของคนร้อนรุ่มขึ้น
ผมเคยเข้า 7-11 แล้วรอคิวไม่กี่นาที ผมยังรู้สึกอึดอัด
ผมแอบคิดในใจว่า...
"อืมมม คนเราเดี๋ยวนี้ มันรอคอยกันไม่ค่อยเป็นจริงๆ แม้แต่ตัวผมเอง"
...ผมสอนตัวเองแบบนั้นนะครับ
ขอบคุณน้องธี สำหรับทุกๆอย่างที่แบ่งปันนะครับ
ไม่ว่าจะเป็น ความรู้, มุมมองการลงทุน, กำลังใจที่เข้มแข็ง และมุมมองโลกใบนี้ที่สวยงาม
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ธรรมะ" ที่แบ่งปันให้แก่กัน
ขอให้น้องธีหายเร็วๆนะครับ
เป็นกำลังใจให้ และเอาใจช่วยครับผม
สู้ๆครับผม ^ ^
ปล.
ผมกำลังนั่งฟัง คลิป "เตรียมใจให้ดีในนาทีวิกฤต" ที่แนะนำมา
...น่าฟังมากๆเลยครับ
คุณธีเป็นคนมีกำลังใจและจิตใจที่เข้มแข็ง แต่ช่างอ่อนโยนเหลือเกินในการแบ่งปัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การแบ่งปัน "ธรรมะ" และ "ธรรมชาติในชีวิตของคนเรา"
ชีวิตของคนเรา ไขว่คว้าหาแต่ "ความสุข"
จนบางครั้งลืมไปว่า "ความสุข" เป็นเพียง "ความทุกข์" ที่ยังเดินทางมาไม่ถึง
คนสมัยก่อนมีเวลามากมายในการคิดและทบทวนชีวิตของตนเอง
แต่คนในสมัยนี้ แทบไม่มีช่องว่างของเวลาเลย เพราะ มือถือ, Tablet ต่างๆ ขโมยเวลาของเราไปจนเกือบหมดสิ้น
Social Network ทำให้โลกใบนี้แคบลง แต่ก็ทำให้คนเรามีสมาธิกับตนเองได้น้อยลงด้วย
สมัยก่อนเรารอกันได้ครับ นัดกัน จะช้ากันสักครึ่ง ชม. ก็เป็นเรื่องธรรมดา
แต่ทุกวันนี้ ยังไม่ถึงเวลานัด เราก็โทรตามโทรจิกกันแล้ว
เทคโนโลยี ทำให้จิตใจของคนร้อนรุ่มขึ้น
ผมเคยเข้า 7-11 แล้วรอคิวไม่กี่นาที ผมยังรู้สึกอึดอัด
ผมแอบคิดในใจว่า...
"อืมมม คนเราเดี๋ยวนี้ มันรอคอยกันไม่ค่อยเป็นจริงๆ แม้แต่ตัวผมเอง"
...ผมสอนตัวเองแบบนั้นนะครับ
ขอบคุณน้องธี สำหรับทุกๆอย่างที่แบ่งปันนะครับ
ไม่ว่าจะเป็น ความรู้, มุมมองการลงทุน, กำลังใจที่เข้มแข็ง และมุมมองโลกใบนี้ที่สวยงาม
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ธรรมะ" ที่แบ่งปันให้แก่กัน
ขอให้น้องธีหายเร็วๆนะครับ
เป็นกำลังใจให้ และเอาใจช่วยครับผม
สู้ๆครับผม ^ ^
ปล.
ผมกำลังนั่งฟัง คลิป "เตรียมใจให้ดีในนาทีวิกฤต" ที่แนะนำมา
...น่าฟังมากๆเลยครับ
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 1024
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เรื่องเล่าจากโรงพยาบาล จากสมองอันน้อยนิด ด้วยอุปกรณ์และส
โพสต์ที่ 140
ขอบคุณที่แบ่งปันเรื่องราวครับ
ขอให้กลับมาเป็นปกติโดยเร็ววันครับพี่ กำลังใจล้นหลามสู้ๆนะครับ
ขอให้กลับมาเป็นปกติโดยเร็ววันครับพี่ กำลังใจล้นหลามสู้ๆนะครับ
"เพราะเรียบง่าย จึงชนะ"
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 29
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เรื่องเล่าจากโรงพยาบาล จากสมองอันน้อยนิด ด้วยอุปกรณ์และส
โพสต์ที่ 144
ขอบคุณที่แบ่งปันเรื่องราว ขอให้คุณธีหายเร็วๆนะคะ บุญรักษาค่ะ
- Java The Boy
- Verified User
- โพสต์: 497
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เรื่องเล่าจากโรงพยาบาล จากสมองอันน้อยนิด ด้วยอุปกรณ์และส
โพสต์ที่ 147
ขอให้หายไวๆ สุขภาพแข็งแรงในเร็ววัน จะทำบุญไปให้นะครับ ขอบคุณที่แชร์เรื่องราวให้เราได้รู้
ความสุขที่แท้จริงของมนุษย์มีอยู่ 4 ข้อคือ...
ได้อยู่ในที่อากาศปลอดโปร่ง
พ้นจากความทะเยอทะยาน
ทำงานสร้างสรรค์
และรักใครสักคน ...
"อัลแบร์ กามูส์"
ได้อยู่ในที่อากาศปลอดโปร่ง
พ้นจากความทะเยอทะยาน
ทำงานสร้างสรรค์
และรักใครสักคน ...
"อัลแบร์ กามูส์"
-
- Verified User
- โพสต์: 40
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เรื่องเล่าจากโรงพยาบาล จากสมองอันน้อยนิด ด้วยอุปกรณ์และส
โพสต์ที่ 148
อ่านเรื่องของคุณธีแล้ว ดูว่าคุณมีกำลังใจในการต่อสู้มากมาย แต่อาจจะเป็นกรรมดีหรือโชคดีก็ว่าได้
ก็เลยอยากเล่าประสบการณ์เฉียดตายให้ฟังค่ะ เมื่อวานนี้ 6 โมงเช้านั่งรถตู้จากจ.เพชรบุรีเข้ากทม.
จะพาลูกสาวไปหาหมอที่สถาบันโรคผิวหนัง (นัดครั้งที่ 3) เกือบถึงจ.สมุทรสาคร (อีก 14 กม.ถึงสมุทรสาคร)
รถตู้ยางระเบิด (เป็นล้อหลังที่ดิฉันกับลูกนั่งอยู่) สองแม่ลูกจับมือกันแน่น ทุกคนในรถเงียบหมด ดิฉันได้แต่พูด
คุณพระคุณเจ้าช่วยด้วย ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ช่วงวินาทีนั้นคิดอะไรไม่ออก ไม่รู้ว่ารถมันจะเป็นไง จะคว่ำ หรือจะ
ถูกรถที่ตามมาชนต่อ ลุ้นสุดตัว สุดท้ายโชคดีที่คนขับรถประคองรถจอดนิ่งได้ น้ำตามันไหลพรากออกมา
โดยไม่รู้สึกตัว ไม่ได้ร้องไห้นะคะ หลายคนในรถเข้ามาจับมือกัน
ระหว่างรอรถมาเปลี่ยน ลูกสาวบอกว่าแม่กลับบ้านเถอะ ให้พ่อมารับ ไปไม่ไหวแล้ว ก็เลยโทร.ให้สามี
ขับรถไปรับ นี่แหละช่วงเวลาแห่งความตายไม่รู้จะมาถึงเราเมื่อไหร่ วันนี้โชคดี แต่เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา
รถตู้สายเพชรบุรี- กรุงเทพฯ ยางระเบิดมีคนเสียชีวิต 3 คน เขาไม่ได้โชคดีเหมือนดิฉัน ไปบอกคนขับรถ
ว่าไม่ไปด้วยแล้ว เขายกมือไหว้อาจจะขอโทษเรา แต่เราก็ต้องขอบคุณเขาที่ทำให้ผู้โดยสารทุกคนปลอดภัย
ลูกสาวบอกว่าแม่ไม่ไปหาหมอกรุงเทพฯแล้ว (ลูกสาวมีอาการแพ้แดด) รักษาที่เพชรบุรีก็ได้
ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ลูกจะลืมความทรงจำอันเลวร้ายครั้งนี้ได้
อยากบอกคุณธี และทุกคนว่าทุกวันนี้ชีวิตมีแต่ความเสื่ยง แต่การทำกรรมดีจะทำให้ทุกคนอยู่รอดปลอดภัยค่ะ
ขอให้ทุกคนโชคดีในทุก ๆ ด้านค่ะ
ก็เลยอยากเล่าประสบการณ์เฉียดตายให้ฟังค่ะ เมื่อวานนี้ 6 โมงเช้านั่งรถตู้จากจ.เพชรบุรีเข้ากทม.
จะพาลูกสาวไปหาหมอที่สถาบันโรคผิวหนัง (นัดครั้งที่ 3) เกือบถึงจ.สมุทรสาคร (อีก 14 กม.ถึงสมุทรสาคร)
รถตู้ยางระเบิด (เป็นล้อหลังที่ดิฉันกับลูกนั่งอยู่) สองแม่ลูกจับมือกันแน่น ทุกคนในรถเงียบหมด ดิฉันได้แต่พูด
คุณพระคุณเจ้าช่วยด้วย ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ช่วงวินาทีนั้นคิดอะไรไม่ออก ไม่รู้ว่ารถมันจะเป็นไง จะคว่ำ หรือจะ
ถูกรถที่ตามมาชนต่อ ลุ้นสุดตัว สุดท้ายโชคดีที่คนขับรถประคองรถจอดนิ่งได้ น้ำตามันไหลพรากออกมา
โดยไม่รู้สึกตัว ไม่ได้ร้องไห้นะคะ หลายคนในรถเข้ามาจับมือกัน
ระหว่างรอรถมาเปลี่ยน ลูกสาวบอกว่าแม่กลับบ้านเถอะ ให้พ่อมารับ ไปไม่ไหวแล้ว ก็เลยโทร.ให้สามี
ขับรถไปรับ นี่แหละช่วงเวลาแห่งความตายไม่รู้จะมาถึงเราเมื่อไหร่ วันนี้โชคดี แต่เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา
รถตู้สายเพชรบุรี- กรุงเทพฯ ยางระเบิดมีคนเสียชีวิต 3 คน เขาไม่ได้โชคดีเหมือนดิฉัน ไปบอกคนขับรถ
ว่าไม่ไปด้วยแล้ว เขายกมือไหว้อาจจะขอโทษเรา แต่เราก็ต้องขอบคุณเขาที่ทำให้ผู้โดยสารทุกคนปลอดภัย
ลูกสาวบอกว่าแม่ไม่ไปหาหมอกรุงเทพฯแล้ว (ลูกสาวมีอาการแพ้แดด) รักษาที่เพชรบุรีก็ได้
ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ลูกจะลืมความทรงจำอันเลวร้ายครั้งนี้ได้
อยากบอกคุณธี และทุกคนว่าทุกวันนี้ชีวิตมีแต่ความเสื่ยง แต่การทำกรรมดีจะทำให้ทุกคนอยู่รอดปลอดภัยค่ะ
ขอให้ทุกคนโชคดีในทุก ๆ ด้านค่ะ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 343
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เรื่องเล่าจากโรงพยาบาล จากสมองอันน้อยนิด ด้วยอุปกรณ์และส
โพสต์ที่ 149
ขอขอบคุณคุณธึ ที่มาแชร์ประสบการณ์ ให้เพื่อนได้รับรู้และมีบทเรียน
ขอเอาใจช่วยให้หายในเร็ววัน
ผมเอง 2 เดือนก่อน แฟก็นเป็นไข้เยื่อหุ้มสมองอักเอก อาการไข้หายแล้ว มีอาการแทรกเกิดมีลิ่มเลือดอุดตันในสมอง
ทำให้ร่างกายซีกขวาขยับไม่ได้เลย แม้แต่ขยับนิ้ว ต้องนอนไอซียู อยู่โรงพยาบาลเกือบ 2 เดือน
โชคดีตอนนี้พักฟื้นกายภาพบำบัดจนดีขึ้น หัดเดิน กลับมาอยู่บ้าน จนทำงานได้แล้ว
ตอนเฝ้าไข้ผมมองชีวิตมืดมน สิ้นหวัง สิ้นหวังเหมือนกัน
เพราะค่าใช้จ่ายรพ. เอกชน ก็มาก การงานก็ไม่ได้ทำหรืออาจต้องออกจากงานมาดูแล
และอาจต้องดูแลนาน..จนชั่วชีวิต ..แต่ก็ผ่านพ้นมาได้
สุดท้ายคิดว่าเป็นธรรมดาที่ต้องเป็นไปตามกรรม..ตามคำพระท่านว่า
เดี๋ยวนี้ ผมก็เอาบทเรียนที่ผ่านมา มาใช่ไม่ตื่นเต้นยินดีมาก..มีความสุขกับสิ่งเล็กๆน้อยๆ
การลงทุนก็ละเอียด วางแผน รอบคอบและระมัดระวังมากขึ้น
ขอให้มีกำลังใจ สู้ๆ ครับ
ขอเอาใจช่วยให้หายในเร็ววัน
ผมเอง 2 เดือนก่อน แฟก็นเป็นไข้เยื่อหุ้มสมองอักเอก อาการไข้หายแล้ว มีอาการแทรกเกิดมีลิ่มเลือดอุดตันในสมอง
ทำให้ร่างกายซีกขวาขยับไม่ได้เลย แม้แต่ขยับนิ้ว ต้องนอนไอซียู อยู่โรงพยาบาลเกือบ 2 เดือน
โชคดีตอนนี้พักฟื้นกายภาพบำบัดจนดีขึ้น หัดเดิน กลับมาอยู่บ้าน จนทำงานได้แล้ว
ตอนเฝ้าไข้ผมมองชีวิตมืดมน สิ้นหวัง สิ้นหวังเหมือนกัน
เพราะค่าใช้จ่ายรพ. เอกชน ก็มาก การงานก็ไม่ได้ทำหรืออาจต้องออกจากงานมาดูแล
และอาจต้องดูแลนาน..จนชั่วชีวิต ..แต่ก็ผ่านพ้นมาได้
สุดท้ายคิดว่าเป็นธรรมดาที่ต้องเป็นไปตามกรรม..ตามคำพระท่านว่า
เดี๋ยวนี้ ผมก็เอาบทเรียนที่ผ่านมา มาใช่ไม่ตื่นเต้นยินดีมาก..มีความสุขกับสิ่งเล็กๆน้อยๆ
การลงทุนก็ละเอียด วางแผน รอบคอบและระมัดระวังมากขึ้น
ขอให้มีกำลังใจ สู้ๆ ครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1569
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เรื่องเล่าจากโรงพยาบาล จากสมองอันน้อยนิด ด้วยอุปกรณ์และส
โพสต์ที่ 150
คุณ kotaro ไม่ได้นอกเรื่องครับ ผมก็รู้สึกดี ว่านี่คือจุดประสงค์ของผมจริงๆ เรามาแชร์เคส แชร์ ประสบการณ์ และใช้กรณีนี้เตือนสติ ถือว่า เป็นเป้าหมายของผมแล้วครับ
ได้อ่านกรณีศึกษา ของทั้งคุณ drsp และคุณ kotaro ดีมากเลยครับ
ผมถือว่า เป็นการเรียนรู้ไปในตัวเลย ผมก็ยังความรู้น้อย ต้องคอยศึกษอีกเยอะจริงๆ ต้องใช้วิกฤตินี้เป็นโอกาสและรอคำแนะนำ เพื่อนๆพี่ๆครับ. จริงๆ ยังแอบอายเลย ว่ากระทู้นี้ควรอยู่ห้องมือใหม่ ด้วยซ้ำ (ตอนแรกกลัวแสดงความไม่รู้ออกมาเยอะ) ไม่เป็นไร อุทิศชีวิตไปแล้ว รอเพื่ินๆ พี่ๆ มาตบให้เข้ารูปเข้ารอย เป็นกรณีศึกษา จะได้ให้คนอื่นได้เรียนรู้ไปด้วย
วันนี้ แอบเห็น vi สายดำมีคุณ kabu ด้วย เดี๋ยวจดไว้ พรุ่งนี้ว่าง อยู่ใน list ที่จะฟัง
ได้อ่านกรณีศึกษา ของทั้งคุณ drsp และคุณ kotaro ดีมากเลยครับ
ผมถือว่า เป็นการเรียนรู้ไปในตัวเลย ผมก็ยังความรู้น้อย ต้องคอยศึกษอีกเยอะจริงๆ ต้องใช้วิกฤตินี้เป็นโอกาสและรอคำแนะนำ เพื่อนๆพี่ๆครับ. จริงๆ ยังแอบอายเลย ว่ากระทู้นี้ควรอยู่ห้องมือใหม่ ด้วยซ้ำ (ตอนแรกกลัวแสดงความไม่รู้ออกมาเยอะ) ไม่เป็นไร อุทิศชีวิตไปแล้ว รอเพื่ินๆ พี่ๆ มาตบให้เข้ารูปเข้ารอย เป็นกรณีศึกษา จะได้ให้คนอื่นได้เรียนรู้ไปด้วย
วันนี้ แอบเห็น vi สายดำมีคุณ kabu ด้วย เดี๋ยวจดไว้ พรุ่งนี้ว่าง อยู่ใน list ที่จะฟัง
ผมเป็นคนความจำสั้น จึง post สิ่งที่อ่านหรือพบเจอที่คิดว่าอาจจะใช้ประโยชน์ใน board
เพื่อจะได้กลับมาอ่านทีหลัง
หากเยอะไปหรือ ทำให้เพื่อนๆ รำคาญในต้องขออภัยด้วยครับ
หากบางหัวข้อไม่มีเนื้อ หรือ เพื่อนๆ บันทึกเนื้อข่าวเพิ่มให้จะขอบคุณอย่างยิ่งครับ
เพื่อจะได้กลับมาอ่านทีหลัง
หากเยอะไปหรือ ทำให้เพื่อนๆ รำคาญในต้องขออภัยด้วยครับ
หากบางหัวข้อไม่มีเนื้อ หรือ เพื่อนๆ บันทึกเนื้อข่าวเพิ่มให้จะขอบคุณอย่างยิ่งครับ