แนวทางความคิดการลงทุนปี 2556 ของ IH ที่ผมชอบ
- ลุงขวด
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2448
- ผู้ติดตาม: 0
แนวทางความคิดการลงทุนปี 2556 ของ IH ที่ผมชอบ
โพสต์ที่ 1
คุณ IH เป็นนักลงทุนที่เก่งและผมนับถือในความสามารถมาก ท่านเป็นรายใหญ่ของ หุ้น Jubile ซึ่งผมเคยมีและขายไปแล้ว เพราะผมคิดว่าเป็นของฟุ่มเฟือย แต่ผลการดำเนินงานของ Jubile ดีขึ้นตลอด มาทุกปี โตทั้งกำไรและยอดขาย การเพิ่มสาขา นับว่า ท่านเลือกได้ถูกต้องแล้วครับ ส่วนแนวความคิดของท่านมีดังนี้ครับ ลอกมาจากเวปกระทิงเขียวอีกทีนึงนะครับ-
..............................................
เศรษฐกิจโลกในปี 2556 ก็คงจะมีประเด็นเรื่องปัญหาเศรษฐกิจในยุโรปและสหรัฐเป็นหลัก และทำให้ธนาคารกลางของประเทศเหล่านี้พยายามดำเนินนโยบายดอกเบี้ยต่ำและมีการอัดฉีดสภาพคล่องเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ การที่ดอกเบี้ยต่ำจึงทำให้นักลงทุนต้องหาทางเลือกในการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าการฝากธนาคารหรือซื้อพันธบัตร จึงทำให้น่าจะมีสภาพคล่องไหลมายังประเทศที่มีปัญหาทางเศรษฐกิจน้อยกว่าและน่าจะให้ผลตอบแทนจากการลงทุนที่ดีกว่าได้
ในช่วงปีที่ผ่านมาจะเห็นว่าการลงทุนในตลาดหุ้นได้รับความสนใจจากผู้มีเงินออมเพิ่มขึ้นมาก ตัวชี้วัดที่เห็นได้ดีคือ จำนวนหนังสือด้านการลงทุนในหุ้นที่ถูกจัดพิมพ์ออกมาขาย และหนังสือที่ขายดี 10 อันดับแรกมักจะมีหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนถึง3-4 เล่ม และเวลาไปไหนมาไหนก็จะเริ่มมีผู้คนพูดถึงการลงทุนในหุ้นมากขึ้น และมีมุมมองที่ดีขึ้นเกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นมากขึ้น ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้ก็เป็นิสิ่งที่ดีที่ผู้ออมเงินสนใจศึกษาการลงทุนที่จะให้ผลตอบแทนที่ดีขึ้น แต่ในมุมที่น่าเป็นห่วงก็คือการมีนักลงทุนมือใหม่ที่อาจจะขาดประสบการณ์และคิดว่าลงทุนในหุ้นนั้นเป็นเรื่องง่าย รวยเร็ว และไม่เสี่ยง ซึ่งนักลงทุนกลุ่มนี้ในวันหนึ่งอาจจะพบว่าการลงทุนในหุ้นโดยขาดการศึกษาที่มากเพียงพอ การซื้อตามๆ กัน การปล่อยให้ความโลภมาครอบงำ วันหนึ่งอาจะค้นพบความจริงว่าการลงทุนในหุ้นโดยขาดการศึกษานั้นทำให้เงินหมดลงได้เร็วและจริงๆ เสี่ยงมากก็เป็นไปได้ครับ
สำหรับตลาดหุ้นไทย ที่ดัชนี 1400 กว่าจุด ซึ่งหุ้นหลายตัวได้ปรับเพิ่มขึ้นมาพอสมควรแล้วนั้น นักลงทุนก็คงจะต้องมีความระมัดระวังมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นก็ยังมีความน่าสนใจอยู่พอสมควรเมื่อเปรียบเทียบกับการลงทุนทางอื่นๆ ดังนี้
1 การฝากธนาคาร ที่ให้ดอกเบี้ยประมาณ 1-3%
2 การซื้อพันธบัตรรัฐบาล ที่ให้ดอกเบี้ยประมาณ 4-5%
3 การซื้อคอนโดฯ ให้เช่า ที่อาจจะให้ตอบแทนประมาณ 4-8% ต่อปี แต่มีความเสี่ยงที่อาจจะหาผู้เช่าไม่ได้เพราะปัจจุบันมี supply คอนโดฯ ออกมาจำนวนมาก
หากเราดู p/e ของหุ้นในตลาด ซึ่งหุ้นส่วนใหญ่ของตลาดมี p/e อยู่ประมาณ 15-40 เท่า ซึ่งดูเหมือนเป็น p/e ที่เพิ่มขึ้นมามากจากสมัยก่อนที่หุ้นส่วนใหญ่มักจะมี p/e เพียงประมาณ 8-30 เท่า และ p/e ที่ระดับสูงๆ ของหุ้นระดับสูงๆ นั้นเป็นระดับ p/e ที่นักลงทุนหลายๆ คนไม่เคยชิน นักลงทุนหลายๆ คนอาจจะชินกับระดับ p/e ต้องต่ำกว่า 10 เท่าหรืออย่างน้อยต้องไม่เกิน 15 เท่าถึงจะเป็นหุ้นที่ถูกและน่าลงทุน
ระดับ p/e ที่ 20 เท่าที่เป็นระดับที่นักลงทุนอาจจะรู้สึกว่าเริ่มแพงและไม่เคยชินนั้น หากมองในอัตราส่วน earning yield ซึ่งเท่ากับ earning / price หรือ e/p ซึ่งเป็นส่วนกลับของ p/e ratio ก็คือ 1/20 หรือ 5% เท่ากับว่า เงิน 100 บาทที่จ่ายเงินให้กับหุ้นตัวหนึ่ง หุ้นตัวนั้นๆ จะสร้างกำไรในแต่ละปีเท่ากับ 5 บาท หรือเทียบเท่าผลตอบแทน 5% ต่อปี ซึ่งจะเห็นว่ายังสูงกว่าทางเลือกในการลงทุนอื่นๆ เช่น เงินฝากหรือพันธบัตรรัฐบาล
หากจะเปรียบเทียบกับการซื้อพันธบัตรรัฐบาลที่มีผลตอบแทน 4% ต่อปี ซึ่งมี earning yield 4% จะเปรียบเสมือนการซื้อหุ้นที่ p/e 25 เท่าแต่ไม่มีการเติบโตของกำไร หรือหากเราฝากธนาคารที่ดอกเบี้ย 2% ต่อปี ก็จะเปรียบเสมือนการซื้อหุ้น p/e 50 เท่าแต่ไม่มีการเติบโตของกำไรเช่นกัน
ในขณะที่เราซื้อหุ้น p/e 20 เท่า จะได้ earning yield 5% แต่หากหุ้นที่เราซื้อเป็นหุ้นที่มีแนวโน้มการเติบโตในระยะยาว ซึ่งหมายถึงว่าในระยะยาวนั้น p/e จะลดลงเรื่อยๆ หรือ earning yield จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผมก็เชื่อว่าการลงทุนนี้ก็น่าจะเป็นการลงทุนที่น่าจะยังดีกว่าการฝากธนาคารหรือซื้อพันธบัตรรัฐบาลครับ
แต่หากเราซื้อหุ้นที่ p/e 20 เท่าแต่เป็นหุ้นที่แนวโน้มการเติบโตและการเพิ่มขึ้นของกำไรไม่ชัดเจน ซึ่งหมายความว่ากำไรในอนาคตอาจจะลดลงได้ซึ่งทำให้ earning yield ลดลงต่ำกว่า 5% ได้ ผมคิดว่าหุ้นลักษณะนี้เราควรระมัดระวังในการเข้าลงทุนครับ
ดังนั้น ผมจึงคิดว่าตลาดหุ้นในปัจจุบันแม้จะขึ้นมามาก และน่าจะมีหุ้นหลายๆ ตัวที่มี p/e สูงเกินกว่าศักยภาพในการเติบโตและพื้นฐานระยะยาวซึ่งเป็นหุ้นทีเราควรหลีกเลี่ยง แต่ก็อาจจะยังมีหุ้นหลายๆ ตัวที่แม้ p/e จะเริ่มสูงแต่ก็ยังมีโอกาสเติบโตได้ในระยะยาว หุ้นกลุ่มหลังนี้น่าจะยังเป็นหุ้นที่น่าลงทุนอยู่ครับ
ในทุกๆ ตลาดขาขึ้นที่มีลักษณะฟองสบู่หรือมีการเก็งกำไรเกินขอบเขตนั้น หุ้นที่มักจะปรับตัวได้แรงกว่าตลาดมากๆ มักจะเป็นหุ้นประเภทเก็งกำไร โดยที่มักจะจะมีผลประกอบการไม่ค่อยสม่ำเสมอ หรือบางบริษัทมีผลประกอบการขาดทุนในจำนวนปีที่มากกว่าปีที่กำไร บางตัวเป็นหุ้นที่เพิ่งมีการฟื้นตัวหรือ turnaround หุ้นเหล่านี้มักจะขึ้นได้แรงและสร้างผลตอบแทนที่สูงและรวดเร็ว แต่เมื่อตลาดหมดรอบขาขึ้น หุ้นเหล่านี้มักจะปรับตัวลงอย่างรุนแรงและรวดเร็วและมักจะสร้างความเสียหายให้กับนักลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนหน้าใหม่ที่เพิ่งเข้ามาในตลาดหุ้นและขาดประสบการณ์ที่มากพอ
ดังนั้นในตลาดขาขึ้นแบบนี้ หากเรายังยึดมั่นในหลักการลงทุนแบบ VI หรือ value investment อย่างเคร่งครัด ไม่ตื่นเต้นหรือปล่อยให้ความโลภเข้าครอบงำในการไปร่วมวงในการเก็งกำไรในหุ้นเก็งกำไรที่ขาดพื้นฐานที่ดีรองรับ ผมเชื่อว่าเราก็ยังสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวและมีความเสี่ยงที่ไม่มากเกินไปนักครับ
อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าเราก็ควรจะติดตามตลาดในระดับหนึ่ง หากพบว่าภาพรวมการซื้อขายหุ้นทั้งตลาดอยู่ในภาวะร้อนแรงเกินไป ระดับ p/e ของหุ้นส่วนใหญ่สูงเกินกว่าที่เราจะรับได้เช่น เกิน 40-50 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่เหลือ earing yield 2% - 2.5% เท่านั้น ความแพงระดับนี้อาจจะเกิดขึ้นได้หากดัชนีปรับตัวร้อนแรงไป 2,000 จุดหรือมากกว่า ก็อาจจะพอสรุปได้ว่าหุ้นอาจจะแพงเกินกว่าที่จะถือต่อไปแล้วและอาจจะต้องหาทางเลือกอื่นที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าและเสี่ยงน้อยกว่า เช่น กองทุนอสังหาฯ หรือพันธบัตรรัฐบาล ก็เป็นไปได้ครับ ซึ่งผมเองก็หวังว่าดัชนีหุ้นใน 1-2 ปีจากนี้ไปคงจะไม่ร้อนแรงจนเกินไปเพราะยิ่งร้อนแรงเกินไปเท่าไหร่เวลาตลาดหมดรอบก็อาจจะปรับตัวได้แรงเช่นกันครับซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นก็อาจจะมีนักลงทุนได้รับความเสียหายและออกจากตลาดหุ้นไปจำนวนมากได้ครับ
สรุปแล้วผมก็ขอแนะนำให้เรามีสติกับการลงทุน ถือหลักตนเป็นที่พึ่งของตน อย่ายืมจมูกคนอื่นหายใจ ใช้หลักกาลามสูตร ให้เชื่อว่าออกแรงมากได้มาก ออกแรงน้อยได้น้อย อย่าปล่อยให้ความโลภครอบงำและอยู่เหนือเหตุผลและหลักการ การลงทุนไม่ใช่ของยากแต่ก็ไม่ง่ายเกินไปถึงขนาดที่ทุกคนจะประสบความสำเร็จหรือรวยกันได้หมด อย่าชะล่าใจกับความสำเร็จหากกำไรที่เราได้เป็นลักษณะ Right for the wrong reason ขออวยพรให้ทุกคนประสบความสำเร็จในการลงทุนสำหรับปี 2556 และจากนี้ไปครับ
..............................................
เศรษฐกิจโลกในปี 2556 ก็คงจะมีประเด็นเรื่องปัญหาเศรษฐกิจในยุโรปและสหรัฐเป็นหลัก และทำให้ธนาคารกลางของประเทศเหล่านี้พยายามดำเนินนโยบายดอกเบี้ยต่ำและมีการอัดฉีดสภาพคล่องเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ การที่ดอกเบี้ยต่ำจึงทำให้นักลงทุนต้องหาทางเลือกในการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าการฝากธนาคารหรือซื้อพันธบัตร จึงทำให้น่าจะมีสภาพคล่องไหลมายังประเทศที่มีปัญหาทางเศรษฐกิจน้อยกว่าและน่าจะให้ผลตอบแทนจากการลงทุนที่ดีกว่าได้
ในช่วงปีที่ผ่านมาจะเห็นว่าการลงทุนในตลาดหุ้นได้รับความสนใจจากผู้มีเงินออมเพิ่มขึ้นมาก ตัวชี้วัดที่เห็นได้ดีคือ จำนวนหนังสือด้านการลงทุนในหุ้นที่ถูกจัดพิมพ์ออกมาขาย และหนังสือที่ขายดี 10 อันดับแรกมักจะมีหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนถึง3-4 เล่ม และเวลาไปไหนมาไหนก็จะเริ่มมีผู้คนพูดถึงการลงทุนในหุ้นมากขึ้น และมีมุมมองที่ดีขึ้นเกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นมากขึ้น ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้ก็เป็นิสิ่งที่ดีที่ผู้ออมเงินสนใจศึกษาการลงทุนที่จะให้ผลตอบแทนที่ดีขึ้น แต่ในมุมที่น่าเป็นห่วงก็คือการมีนักลงทุนมือใหม่ที่อาจจะขาดประสบการณ์และคิดว่าลงทุนในหุ้นนั้นเป็นเรื่องง่าย รวยเร็ว และไม่เสี่ยง ซึ่งนักลงทุนกลุ่มนี้ในวันหนึ่งอาจจะพบว่าการลงทุนในหุ้นโดยขาดการศึกษาที่มากเพียงพอ การซื้อตามๆ กัน การปล่อยให้ความโลภมาครอบงำ วันหนึ่งอาจะค้นพบความจริงว่าการลงทุนในหุ้นโดยขาดการศึกษานั้นทำให้เงินหมดลงได้เร็วและจริงๆ เสี่ยงมากก็เป็นไปได้ครับ
สำหรับตลาดหุ้นไทย ที่ดัชนี 1400 กว่าจุด ซึ่งหุ้นหลายตัวได้ปรับเพิ่มขึ้นมาพอสมควรแล้วนั้น นักลงทุนก็คงจะต้องมีความระมัดระวังมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นก็ยังมีความน่าสนใจอยู่พอสมควรเมื่อเปรียบเทียบกับการลงทุนทางอื่นๆ ดังนี้
1 การฝากธนาคาร ที่ให้ดอกเบี้ยประมาณ 1-3%
2 การซื้อพันธบัตรรัฐบาล ที่ให้ดอกเบี้ยประมาณ 4-5%
3 การซื้อคอนโดฯ ให้เช่า ที่อาจจะให้ตอบแทนประมาณ 4-8% ต่อปี แต่มีความเสี่ยงที่อาจจะหาผู้เช่าไม่ได้เพราะปัจจุบันมี supply คอนโดฯ ออกมาจำนวนมาก
หากเราดู p/e ของหุ้นในตลาด ซึ่งหุ้นส่วนใหญ่ของตลาดมี p/e อยู่ประมาณ 15-40 เท่า ซึ่งดูเหมือนเป็น p/e ที่เพิ่มขึ้นมามากจากสมัยก่อนที่หุ้นส่วนใหญ่มักจะมี p/e เพียงประมาณ 8-30 เท่า และ p/e ที่ระดับสูงๆ ของหุ้นระดับสูงๆ นั้นเป็นระดับ p/e ที่นักลงทุนหลายๆ คนไม่เคยชิน นักลงทุนหลายๆ คนอาจจะชินกับระดับ p/e ต้องต่ำกว่า 10 เท่าหรืออย่างน้อยต้องไม่เกิน 15 เท่าถึงจะเป็นหุ้นที่ถูกและน่าลงทุน
ระดับ p/e ที่ 20 เท่าที่เป็นระดับที่นักลงทุนอาจจะรู้สึกว่าเริ่มแพงและไม่เคยชินนั้น หากมองในอัตราส่วน earning yield ซึ่งเท่ากับ earning / price หรือ e/p ซึ่งเป็นส่วนกลับของ p/e ratio ก็คือ 1/20 หรือ 5% เท่ากับว่า เงิน 100 บาทที่จ่ายเงินให้กับหุ้นตัวหนึ่ง หุ้นตัวนั้นๆ จะสร้างกำไรในแต่ละปีเท่ากับ 5 บาท หรือเทียบเท่าผลตอบแทน 5% ต่อปี ซึ่งจะเห็นว่ายังสูงกว่าทางเลือกในการลงทุนอื่นๆ เช่น เงินฝากหรือพันธบัตรรัฐบาล
หากจะเปรียบเทียบกับการซื้อพันธบัตรรัฐบาลที่มีผลตอบแทน 4% ต่อปี ซึ่งมี earning yield 4% จะเปรียบเสมือนการซื้อหุ้นที่ p/e 25 เท่าแต่ไม่มีการเติบโตของกำไร หรือหากเราฝากธนาคารที่ดอกเบี้ย 2% ต่อปี ก็จะเปรียบเสมือนการซื้อหุ้น p/e 50 เท่าแต่ไม่มีการเติบโตของกำไรเช่นกัน
ในขณะที่เราซื้อหุ้น p/e 20 เท่า จะได้ earning yield 5% แต่หากหุ้นที่เราซื้อเป็นหุ้นที่มีแนวโน้มการเติบโตในระยะยาว ซึ่งหมายถึงว่าในระยะยาวนั้น p/e จะลดลงเรื่อยๆ หรือ earning yield จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผมก็เชื่อว่าการลงทุนนี้ก็น่าจะเป็นการลงทุนที่น่าจะยังดีกว่าการฝากธนาคารหรือซื้อพันธบัตรรัฐบาลครับ
แต่หากเราซื้อหุ้นที่ p/e 20 เท่าแต่เป็นหุ้นที่แนวโน้มการเติบโตและการเพิ่มขึ้นของกำไรไม่ชัดเจน ซึ่งหมายความว่ากำไรในอนาคตอาจจะลดลงได้ซึ่งทำให้ earning yield ลดลงต่ำกว่า 5% ได้ ผมคิดว่าหุ้นลักษณะนี้เราควรระมัดระวังในการเข้าลงทุนครับ
ดังนั้น ผมจึงคิดว่าตลาดหุ้นในปัจจุบันแม้จะขึ้นมามาก และน่าจะมีหุ้นหลายๆ ตัวที่มี p/e สูงเกินกว่าศักยภาพในการเติบโตและพื้นฐานระยะยาวซึ่งเป็นหุ้นทีเราควรหลีกเลี่ยง แต่ก็อาจจะยังมีหุ้นหลายๆ ตัวที่แม้ p/e จะเริ่มสูงแต่ก็ยังมีโอกาสเติบโตได้ในระยะยาว หุ้นกลุ่มหลังนี้น่าจะยังเป็นหุ้นที่น่าลงทุนอยู่ครับ
ในทุกๆ ตลาดขาขึ้นที่มีลักษณะฟองสบู่หรือมีการเก็งกำไรเกินขอบเขตนั้น หุ้นที่มักจะปรับตัวได้แรงกว่าตลาดมากๆ มักจะเป็นหุ้นประเภทเก็งกำไร โดยที่มักจะจะมีผลประกอบการไม่ค่อยสม่ำเสมอ หรือบางบริษัทมีผลประกอบการขาดทุนในจำนวนปีที่มากกว่าปีที่กำไร บางตัวเป็นหุ้นที่เพิ่งมีการฟื้นตัวหรือ turnaround หุ้นเหล่านี้มักจะขึ้นได้แรงและสร้างผลตอบแทนที่สูงและรวดเร็ว แต่เมื่อตลาดหมดรอบขาขึ้น หุ้นเหล่านี้มักจะปรับตัวลงอย่างรุนแรงและรวดเร็วและมักจะสร้างความเสียหายให้กับนักลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนหน้าใหม่ที่เพิ่งเข้ามาในตลาดหุ้นและขาดประสบการณ์ที่มากพอ
ดังนั้นในตลาดขาขึ้นแบบนี้ หากเรายังยึดมั่นในหลักการลงทุนแบบ VI หรือ value investment อย่างเคร่งครัด ไม่ตื่นเต้นหรือปล่อยให้ความโลภเข้าครอบงำในการไปร่วมวงในการเก็งกำไรในหุ้นเก็งกำไรที่ขาดพื้นฐานที่ดีรองรับ ผมเชื่อว่าเราก็ยังสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวและมีความเสี่ยงที่ไม่มากเกินไปนักครับ
อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าเราก็ควรจะติดตามตลาดในระดับหนึ่ง หากพบว่าภาพรวมการซื้อขายหุ้นทั้งตลาดอยู่ในภาวะร้อนแรงเกินไป ระดับ p/e ของหุ้นส่วนใหญ่สูงเกินกว่าที่เราจะรับได้เช่น เกิน 40-50 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่เหลือ earing yield 2% - 2.5% เท่านั้น ความแพงระดับนี้อาจจะเกิดขึ้นได้หากดัชนีปรับตัวร้อนแรงไป 2,000 จุดหรือมากกว่า ก็อาจจะพอสรุปได้ว่าหุ้นอาจจะแพงเกินกว่าที่จะถือต่อไปแล้วและอาจจะต้องหาทางเลือกอื่นที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าและเสี่ยงน้อยกว่า เช่น กองทุนอสังหาฯ หรือพันธบัตรรัฐบาล ก็เป็นไปได้ครับ ซึ่งผมเองก็หวังว่าดัชนีหุ้นใน 1-2 ปีจากนี้ไปคงจะไม่ร้อนแรงจนเกินไปเพราะยิ่งร้อนแรงเกินไปเท่าไหร่เวลาตลาดหมดรอบก็อาจจะปรับตัวได้แรงเช่นกันครับซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นก็อาจจะมีนักลงทุนได้รับความเสียหายและออกจากตลาดหุ้นไปจำนวนมากได้ครับ
สรุปแล้วผมก็ขอแนะนำให้เรามีสติกับการลงทุน ถือหลักตนเป็นที่พึ่งของตน อย่ายืมจมูกคนอื่นหายใจ ใช้หลักกาลามสูตร ให้เชื่อว่าออกแรงมากได้มาก ออกแรงน้อยได้น้อย อย่าปล่อยให้ความโลภครอบงำและอยู่เหนือเหตุผลและหลักการ การลงทุนไม่ใช่ของยากแต่ก็ไม่ง่ายเกินไปถึงขนาดที่ทุกคนจะประสบความสำเร็จหรือรวยกันได้หมด อย่าชะล่าใจกับความสำเร็จหากกำไรที่เราได้เป็นลักษณะ Right for the wrong reason ขออวยพรให้ทุกคนประสบความสำเร็จในการลงทุนสำหรับปี 2556 และจากนี้ไปครับ
หุ้นจะขึ้นหรือลง อยู่ที่ผลประกอบการ ซึ่งประกอบด้วย ความสามารถของผู้บริหารกับ ธรรมาภิบาล.........ใหญ่ในเล็กย่อม ดีกว่าเล็กในใหญ่
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 490
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แนวทางความคิดการลงทุนปี 2556 ของ IH ที่ผมชอบ
โพสต์ที่ 5
ขอบคุณคุณลุงขวดมากครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 21
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แนวทางความคิดการลงทุนปี 2556 ของ IH ที่ผมชอบ
โพสต์ที่ 6
ขอบคุณครับ
- อ่อนซ่อนศิลป์
- Verified User
- โพสต์: 274
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แนวทางความคิดการลงทุนปี 2556 ของ IH ที่ผมชอบ
โพสต์ที่ 7
เยี่ยมครับ เหมือนสูตรของลินซ์ PEG ครับ ยังคงใช้ได้เสมอ
เงินทองเป็นของมายา ข้าวปลาคือของจริง
- kongkiti
- Verified User
- โพสต์: 5830
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แนวทางความคิดการลงทุนปี 2556 ของ IH ที่ผมชอบ
โพสต์ที่ 8
ขอบคุณลุงขวดที่เอามาแปะให้พวกเราได้อ่านกัน
และขอบคุณพี่ IH ที่เขียนได้ชัดเจนมากครับ เป็นประโยชน์มากๆ (สงสัยต้องแว๊บไปเวบกระทิงเขียวซักหน่อย )
และขอบคุณพี่ IH ที่เขียนได้ชัดเจนมากครับ เป็นประโยชน์มากๆ (สงสัยต้องแว๊บไปเวบกระทิงเขียวซักหน่อย )
“Its like a finger pointing away to the moon. Don't concentrate on the finger
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee
FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee
FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
-
- Verified User
- โพสต์: 101
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แนวทางความคิดการลงทุนปี 2556 ของ IH ที่ผมชอบ
โพสต์ที่ 10
ขอบคุณลุงขวด และขอบคุณพี่ IH ด้วยครับ
ได้ความรู้ แง่คิด ที่เป็นประโยชน์มากๆครับ
ได้ความรู้ แง่คิด ที่เป็นประโยชน์มากๆครับ
"วันคืนล่วงเลยไปๆ บัดนี้เราทำอะไรอยู่"
"สิ่งทั้งหลายทั้งปวง อันใครๆ ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น"
........ คำสอน พระพุทธเจ้า ........
"สิ่งทั้งหลายทั้งปวง อันใครๆ ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น"
........ คำสอน พระพุทธเจ้า ........
- dino
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1286
- ผู้ติดตาม: 1
Re: แนวทางความคิดการลงทุนปี 2556 ของ IH ที่ผมชอบ
โพสต์ที่ 18
ขอบคุณลุงขวดมากครับ สำหรับบทความดีๆ ขอบคุณครับ
1 ซื้อหุ้นของกิจการที่ดี
2 มีกำไรต่อเนื่องไปในอนาคต
3 ซื้อในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของกิจการ
4 ผู้บริหารมีคุณธรรมและความสามารถ
5 และถือมันไว้ ตราบที่มันยังเป็นธุรกิจที่ดีอยู่
วอเรนซ์ บัฟเฟตต์
2 มีกำไรต่อเนื่องไปในอนาคต
3 ซื้อในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของกิจการ
4 ผู้บริหารมีคุณธรรมและความสามารถ
5 และถือมันไว้ ตราบที่มันยังเป็นธุรกิจที่ดีอยู่
วอเรนซ์ บัฟเฟตต์
- บูรพาไม่แพ้
- Verified User
- โพสต์: 2533
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แนวทางความคิดการลงทุนปี 2556 ของ IH ที่ผมชอบ
โพสต์ที่ 20
ขอขอบคุณมากครับ..
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 85
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แนวทางความคิดการลงทุนปี 2556 ของ IH ที่ผมชอบ
โพสต์ที่ 21
ขอบคุณมากครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1063
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แนวทางความคิดการลงทุนปี 2556 ของ IH ที่ผมชอบ
โพสต์ที่ 25
มีสติกับการลงทุน ถือหลักตนเป็นที่พึ่งของตน อย่ายืมจมูกคนอื่นหายใจ ใช้หลักกาลามสูตร ให้เชื่อว่าออกแรงมากได้มาก ออกแรงน้อยได้น้อย อย่าปล่อยให้ความโลภครอบงำและอยู่เหนือเหตุผลและหลักการ การลงทุนไม่ใช่ของยากแต่ก็ไม่ง่ายเกินไปถึงขนาดที่ทุกคนจะประสบความสำเร็จหรือรวยกันได้หมด อย่าชะล่าใจกับความสำเร็จหากกำไรที่เราได้เป็นลักษณะ Right for the wrong reason
ชอบสรุปสุดท้ายมาก ขอบคุณครับ
ชอบสรุปสุดท้ายมาก ขอบคุณครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 262
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แนวทางความคิดการลงทุนปี 2556 ของ IH ที่ผมชอบ
โพสต์ที่ 27
ขอบคุณท่านลุงขวดและท่าน IH มากครับผม