สถานการณ์รถยนต์

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
miracle
Verified User
โพสต์: 18364
ผู้ติดตาม: 1

สถานการณ์รถยนต์

โพสต์ที่ 1

โพสต์

ตอนนี้สถานการณ์รถยนต์แตกต่างกับปีที่แล้ว (2555) อย่างสิ้นเชิง
ที่เมื่อปีที่แล้ว ประชาชนแห่ไปจองรถยนต์ บริษัทรถยนต์ทั้งหลายมียอดจองถล่มทลายอย่างมากมาย
แต่ปีนี้ กลับกลายเป็น บริษัทรถยนต์ ทำโปรโมทชั่น ดอกเบี้ยผ่อน 0% ยาวนาน 4 ปี หรือ 5 ปี
ซึ่งกลับกลายเป็นปี 2556 เป็นปีของผู้ที่รอคอยในการซื้อรถยนต์ อย่างแท้จริง
ทำไมเป็นเช่นนั้นแหละ ไม่ถึงปีเลย ภาพที่เกิดขึ้นเป็นคนละเรื่องเดียวกัน
ตอนแรก บริษัทรถยนต์ไม่ง้อคนซื้อ ใครใคร่จองเดินเข้ามา ไม่มีอุปกรณ์อะไรแถมเลย
แต่ปีนี้ แถมไม่อั้นกันเลย ขอให้คุณแค่ซื้อรถ เดินเข้ามาเอารถไปเลยแค่นั้นเอง

สิ่งที่อยู่เบื้องหลังคือ ประชาชนไม่มีเงิน หรือ บอกอีกอย่างหนึ่ง ปีที่แล้ว สถาบันการเงินไม่ค่อยเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อเท่าไร เท่าที่ฟังเพื่อนหลายต่อหลายคนร่วมถึงประสบการณ์ของผมโดยตรงเมื่อปีทีแ่ล้ว
สถาบันการเงิน ถ้าเงินเดือนไม่ถึงเกณฑ์ ก็ใช้วิธีการโทรถามที่ทำงาน ไม่ต้องยืนยันว่า รายรับของคุณเป็นจริงตามที่ยืนหรือเปล่า
เคสของผมตลกมากกว่านั้น คือ ผมออมก่อนใช้ ซื้อหุ้นของสหกรณ์ออมทรัพย์ที่ทำงานเพิ่มทุกเดือน ธนาคารสงสัยว่าทำไมยอดส่งนี้คืออะไร โทรมาถาม เราเองก็ไม่ตอบเพราะถ้าแน่จริง ตรวจสอบอย่างไง แถมให้สำเนาสมุดบัญชีเล่มที่ใช้เงินอย่างเดียว ไม่ใช้เล่มที่ซื้อขายหลักทรัพย์หรือเข้าออก เรียกได้ว่า ปกปิดตัวตนหน่อยว่า สถาบันการเงินนั้นให้ผ่านหรือเปล่า สุดท้ายผ่านแถมมีอาการถามว่า คุณจะผ่อนดอกเบี้ยเท่าไร เล่าขำๆๆ ซึ่งเราได้ดอกเบี้ยดีแต่สุดท้ายก็คาดการณ์เรื่องดอกเบี้ยผิดไป เลยได้แพงไปหน่อย แถมซื้อเร็วไปปีหนึ่งด้วย ถ้าซื้อปีนี้ port คงใหญ่กว่านี้มากมาย ใครจะรู้หนอว่าเป็นแบบี้
เอาล่ะ ผมไปดูข้อมูลที่ www.bot.or.th ในส่วนของสินเชืื่อสถาบันทางการเงิน มีแค่บัตรเครดิตเท่านั้นที่มียอดการตั้งสำรองให้เห็นชัดเจน (บัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคลมีให้เห็นชัดเจน) แต่สินเชื่อที่เป็นรถยนต์ไม่แยกออกมาให้เห็น มีเฉพาะยอดแค่ปล่อยสินเชื่อเท่านั้น (ซึ่้งสินเชื่อบัตรเครดิตหรือสินเชื่อส่วนบุคคล มียอดที่คงค้างชำระเกิน 3 เดือน ออกมาให้เห็น ทุกเดือน มีค มิย กย และ ธค ของทุกปี ข้อมูลระยะหลังออกมาเป็นรายเดือน แต่มี 4 เดือนนั้นเห็นยอดค้างชำระเกิน 3 เืืดือนติดต่อกันให้เห็นชัดเจน)
อีกอย่างหนึ่งยอดจดทะเบียนรถยนต์นั้น ช่วงครึ่งปีหลังมียอดจดทะเบียนลดลง ยกเว้นปี 2555 ที่ยอดไม่ลดลงเลย กลับเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งเป็นช่วงที่มีโปรโมทชั่นรถยนต์คันแรก ลด 100,000 บาท ตอนนี้ยอดดังกล่าวนั้นต้องรอดูว่ากลับมาสู่สภาพปกติหรือยัง (ยอดจากกรมขนส่งทางบก ล่าช้าประมาณ 1 เดือนมีข้อมูลเผยแพร่เป็น Excel file ได้ website ของกรมฯ)
ส่วนตลาดรถยนต์มือสองนี้ข้อมูลจากหน้าหนังสือพิมพ์เมื่อเร็วๆนี้
ราคารถยนต์ ณ วันนี้หนังสือพิมพ์รายงานนั้น ลดลงจากต้นปีมาประมาณ 20-30% เพราะ ว่า ประชาชนขายรถยนต์คันเดิมซื้อรถยนต์คันใหม่ ,ประชาชนไม่มีปัญญาจะผ่อนรถยนต์ ,ประชาชนมีรถยนต์แต่ไม่มีน้ำมันจะเติมให้รถยนต์วิ่ง ,ประชาชนต้องกินข้าว ไม่กินก็อดตาย แต่ไม่เติมน้ำมันรถยนต์ได้
ดังนั้น เมื่้อ supply ของรถยนต์มือสองมาก จึงทำให้อุตสาหกรรมรถยนต์มือสองผิดเพี้ยนตามไปด้วย มีปริมาณที่รอการขายสูงกว่าปกติในปีนี้
ดังนั้น มันมิใช่แค่ รถยนต์คันแรกขายไม่ออก มันส่งผลทำให้ตลาดรถยนต์มือสองเดี้ยงไปด้วย
เมื่อเป็นเช่นนี้ไซร้แล้ว สถาบันทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับ การให้สินเชื่อรถยนต์ ก็ปรับเป้าการปล่อยสินเชื่อลดลงทันทีที่มีปัญหาเลย (ไม่เอ๋ยชื่อละกัน ถ้าใครตามข่าวน่าจะรู้ดีกว่าสถาบันไหนบางละ)
และตอนนี้สังเกตเห็นอะไรนิดหน่อยว่า ถ้าเอารถเข้าศูนย์ ต้องมีการจองคิว ไม่จองคิวเข้าศูนย์มิได้
ช่างไม่เพียงพอ ช่างมีฝีมือไม่เพียงพอ (ประเทศขาดแคลน ช่างที่อยู่ในระดับ ปวส ปวช มานานแล้ว แต่ตอนนี้เห็นชัดเจนเลยว่า ศูนย์รถยนต์ขาดเจ้าหน้าที่ซ่อมอย่างมืออาชีพ)
ไม่เพียงแค่นั้น ถ้าสังเกตให้ดี การจราจรบนท้องถนน ติดมากกว่าเดิม ประกอบกับการทำถนนเพื่อก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ (รถไฟฟ้าสีลูกกวาดเป็นต้น) ดังนั้น ต้องนั่งประเมินดูสถานการณ์กันดีละกัน ว่าเป็นเช่นไร

ปล ถ้าใครอยู่แถวระยอง มีโรงงาน รถยนต์หลายเห็น ลองไปสังเกตลานจอดรถยนต์ของบริษัทเหล่านั้นว่า
มี Flow ของรถยนต์เข้าออกมามากน้อยแค่ไหน รถเครนที่บรรทุกรถยนต์ได้ 6-8 คันต่อเที่ยว ก่อนหน้านี้ ผมไปฉะเชิงเทราบ่อยมากๆๆ เจอตลอดทาง (ช่วงเดือน ตุลาคม 2555) แต่ไปล่าสุด เดือนที่แล้ว ไม่ค่อยเห็นเลย แปลกมากๆเลยล่ะ
ท่านลองไปสำรวจดูล่ะกัน ว่าเป็นจริงหรือเปล่า
เอวังด้วยประการฉะนั้น
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18364
ผู้ติดตาม: 1

Re: สถานการณ์รถยนต์

โพสต์ที่ 2

โพสต์

เพิ่มเติม ยี่ห้อ มิตซูบิชิ ตอนนี้
ผ่อน มิราจ 48 เดือน ให้ดอกเบี้ย 0%

เชฟโรเลต อันนี้ ก็ให้ดอกเบี้ย 0% ยาวนานกว่า คือ 60 เดือน (อันนี้เกือบทุกรุ่น)
แต่ตอนนี้ มีปัญหา ครูซ เรื่องเกียร์ (เกียร์มีปัญหา ร้องเรียน สคบ แล้ว)

ฮอนด้า ให้ดอกเบี้ย 0% กับ ฮอนด้า ฟรีด
ส่วน บรีโอ้ และ อเมซ ดาวน์ 59,999 บาท ผ่อน 15 เดือนแรก 3,333 บาท ต่อไป 6,179 บาทต่อเดือน กรณีผ่อน 48 เดือน (แต่ไม่บอกว่ารุ่นล่างหรือตัวท๊อป)

งานนี้เป็นงานที่ถล่มโปรโมทชั่นออกมาอย่างชัดเจน
แข่งกันเดือดเรื่องลด stock สินค้าที่ผู้จองทิ้งใบจอง

อนาคต อาจจะมีการขึ้นค่าใบจองถ้าตลาดอยู่ในภาวะปกติ หรือเปล่า เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องนี้
และเรื่องความเข้มงวดกับการปล่อยสินเชื่อตัวนี้เพิ่มเติม

:)
:)
syj
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 4254
ผู้ติดตาม: 1

Re: สถานการณ์รถยนต์

โพสต์ที่ 3

โพสต์

ซื้อรถไม่ต้องดาวน์-ผ่อน0% ตลาดดิ่งดีลเลอร์หั่นกำไรเร่งเคลียร์สต๊อ
updated: 15 ส.ค. 2556 เวลา 08:02:37 น.

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

ดีลเลอร์ขายรถพลิกกลยุทธ์ทุกกระบวนท่า เร่งระบายสต๊อกหลังตลาดปักหัวไม่หยุด ยอมกลืนเลือดเฉือนมาร์จิ้นผลักรถให้พ้นอก สำรวจแคมเปญขายรถ ปลอดดาวน์ฟรีดอกเบี้ยเกลื่อนตลาด "หอการค้าญี่ปุ่น" ห่วงสถานการณ์ หลังยอดขายเดือน ก.ค. ต่ำสุดในรอบ 14 เดือน ยอดรวมไม่ถึงแสนคัน

ผลกระทบภาวะสต๊อกรถยนต์ล้นตลาดยังไม่จบลงง่าย ๆ แม้ผู้บริหารหลายค่ายจะตั้งแถวออกมาชี้แจงว่า ดีลเลอร์สต๊อกเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว แต่ในความเป็นจริงยังคงเห็นการรุกกระหน่ำทำแคมเปญส่งเสริมการขายยั่วยวนให้ซื้อรถ หรือเสนอเงื่อนไขเพื่อให้เป็นเจ้าของรถได้ง่ายขึ้น ถูกทยอยนำเสนอจูงใจลูกค้าอย่างต่อเนื่องถี่ยิบ

ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" รายงานว่า แคมเปญส่งเสริมการขายของค่ายรถยนต์แต่ละค่ายในช่วง 1-2 เดือนนี้จะยิ่งแข่งขันกันรุนแรงหนักหน่วงขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะแคมเปญปลอดดาวน์ ให้อัตราดอกเบี้ย 0% หรือการผ่อนชำระต่องวดเพียงไม่กี่พันบาท โดยเฉพาะในกลุ่มรถยนต์นั่งขนาดกลางและเล็ก แต่ก็ช่วยดึงดูดกำลังซื้อได้เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น

ปรากฏการณ์ที่ มีให้เห็น คือ ดีลเลอร์แต่ละรายแต่ละพื้นที่ยังต้องยอมเฉือนเนื้อตัวเอง เกลี่ยผลกำไรจากรถยนต์บางรุ่นมาทุ่มให้กลุ่มรถยนต์ที่สต๊อกบวม อันเป็นผลมาจากตลาดชะลอตัว และแรงผลักดันเพื่อต้องการตัวเลขจากค่ายรถยนต์หลายยี่ห้อ

แหล่งข่าวดีลเลอร์รถยนต์ญี่ปุ่นรายหนึ่ง กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า เหน็ดเหนื่อยมากกับภาวะการขายรถช่วงนี้ ต้องทำทุกวิถีทางให้ระบายรถให้ได้เร็วที่สุด ทั้ง ๆ ที่บริษัทแม่ก็มีแคมเปญอยู่แล้ว แต่ตอนนี้เซลส์ต้องเข้าไปดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิด เพื่อหาทางช่วยอีกแรง โดยเฉพาะเงื่อนไขทางด้านการเงิน

ยกตัวอย่าง ขณะนี้หลาย ๆ ค่ายมีแคมเปญฟรีดาวน์ ปลอดดอกเบี้ย ผ่อนสบาย ๆ ของลูกค้ากลุ่มข้าราชการ และลูกค้าอาชีพพิเศษ เช่น หมอ วิศวกร แต่ไม่ใช่ลูกค้าที่เป็นข้าราชการทุกรายจะได้รับอนุมัติวงเงินจากลีสซิ่งทั้ง หมด เพราะลูกค้าบางรายอาจมีภาระต้องใช้เงินด้านอื่น ๆ ลีสซิ่งอาจเรียกเงินดาวน์เพิ่ม ซึ่งตรงนี้คนขายรถจะเข้าไปช่วยจัดการ โดยอาจใช้วิธีโยกกำไรส่วนอื่นมาโปะเป็นเงินดาวน์ให้ลูกค้าก่อน ส่วนเงินดาวน์ที่ลูกค้าจะต้องชำระเพิ่มก็ให้ไปชำระ 4-5 เดือนสุดท้าย ซึ่งเรียกกันติดปากว่า บอลลูน หรืออาจจะใช้วิธีเพิ่มวงเงินชำระค่างวดแต่ละเดือน ซึ่งเป็นจำนวนไม่เยอะและลูกค้าพอรับไหว

ด้านแหล่งข่าวจากตัวแทน จำหน่ายรถยนต์โตโยต้า ยอมรับกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า การแข่งขันของผู้จำหน่ายรถยนต์ในปัจจุบันว่ารุนแรงมาก เป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจและตลาดรถยนต์ซบเซา เพื่อให้ขายรถได้ทุกรายก็ต้องทำ บางรายเสนอผ่อนเริ่มต้นเพียงไม่กี่พันบาทต่อเดือน หรือแคมเปญให้ลูกค้าออกรถไปใช้ก่อน แล้วจ่ายค่างวดทีหลัง ขณะเดียวกัน ก็พยายามใช้สื่อต่าง ๆ เพื่อดึงดูดให้ลูกค้าแวะเข้าเยี่ยมชมในโชว์รูม หลังจากนั้นที่ปรึกษาการขายจะนำเสนอโปรแกรมทางการเงินให้เลือกมากมาย ขึ้นอยู่กับกำลังซื้อของลูกค้าแต่ละราย

ส่วนโปรโมชั่นการขาย แม้บริษัทแม่จะทำให้แล้ว แต่ดีลเลอร์ก็ต้องทำเพิ่ม ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของแต่ละรายว่าต้องการลูกค้าในกลุ่มใด ต้นทุนของการทำแคมเปญมาจากกำไรต่อคัน ซึ่งแต่ละรายใกล้เคียงกัน ดังนั้น หากดีลเลอร์รายใดจัดแคมเปญหนัก ก็ย่อมจะกระทบกับผลกำไรบ้าง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อย่างกรณีในส่วนของบริษัท โตโยต้า เค.มอเตอร์ส ได้มีการทำแคมเปญ "โปรวีออสใหม่ ใครว่าไม่เยอะ !!" ด้วยเงื่อนไขดอกเบี้ยพิเศษเริ่มต้น 2.35% ฟรีประกันภัยชั้น 1 พร้อม พ.ร.บ. ฟรีค่าน้ำมันเครื่อง และไส้กรองน้ำมันเครื่อง 6 ชุด, ฟรีกรองอากาศ หัวเทียน และน้ำมันเบรก อย่างละชุด, ฟรีค่าแรงเช็กระยะ 6 ครั้ง และของแถมอีกหลายรายการ อาทิ ฟิล์มกรองแสงรอบคัน พรมปูพื้น ฟรีบริการ HERO Service Plus นานถึง 3 ปี ฟรีแอปพลิเคชั่น K.Motors Help ME!! นานถึง 3 ปี รวมมูลค่ากว่า 40,000 บาท

ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" รวบรวมแคมเปญส่งเสริมการขายรถช่วงเดือนสิงหาคม ปรากฏว่ามีแคมเปญดาวน์ต่ำ ฟรีดอกเบี้ย ผ่อนยาว และของแถมให้เลือกเพียบ อาทิ ค่าย โตโยต้ามีโครงการดอกเบี้ยพิเศษสำหรับลูกค้าราชการ ดาวน์ 5% ผ่อน 84 งวด ดอกเบี้ยต่ำสุด 1.39% ค่ายมิตซูบิชิเลือกรับดอกเบี้ย 0% รับคูปองน้ำมันมูลค่าสูงสุด 65,000 บาท หรือดาวน์ต่ำเพียง 5% หรือผ่อนได้นานสูงสุดถึง 84 เดือน พร้อมฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง 1 ปี และมีสิทธิ์ลุ้นรับแพ็กเกจทัวร์ญี่ปุ่น 5 วัน 3 คืนอีกด้วย

อีซูซุ จัดแคมเปญ อีซูซุอินไซท์ ยิ่งขับดี...ยิ่งมีโชค ลุ้นรับออล-นิว อีซูซุ ดีแมคซ์ วี-ครอส, ไอแพด มินิ และรางวัลอื่น ๆ, นิสสัน ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่งกับรถทุกรุ่น ดอกเบี้ย 0% แถมคูปองน้ำมัน, มาสด้า 2 รับดอกเบี้ย 0% นาน 5 ปี, ฟอร์ด มีทั้งดอกเบี้ย 0% ผ่อนนาน 48 เดือน ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง

สำหรับฮอนด้า ซิตี้ มาพร้อมเงื่อนไขผ่อนเบา ๆ เพียงเดือนละ 3,403 บาท ดาวน์ 89,999 บาท ส่วนแอคคอร์ดใหม่นั้นรับข้อเสนอพิเศษได้ที่โชว์รูมทั่วประเทศถึง 31 สิงหาคมนี้

ค่ายเชฟโรเลต พิเศษสุดแคมเปญ "โซนิค ฟัน เดย์ ฟัน ดีล" มอบข้อเสนอพิเศษมูลค่ากว่า 100,000 บาท หรือผ่อน 0% นาน 60 เดือน และฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง

สำหรับตัวเร่งที่ทำให้ค่ายรถยนต์แต่ละ ค่ายต้องเร่งทำแคมเปญ สะท้อนจากภาวะการขายที่ย่ำแย่ โดยล่าสุดหอการค้าญี่ปุ่นในประเทศไทย หรือเจซีซี รายงานยอดขายรถยนต์ช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา (มกราคม-กรกฎาคม 2556) พบว่าตลาดรถยนต์โดยรวมมียอดขายทั้งสิ้น 833,849 คัน

แต่ที่น่าเป็น ห่วงคือ ยอดขายรถใหม่เดือนกรกฎาคมหดลงต่ำกว่า 100,000 คันครั้งแรกในรอบ 14 เดือน โดยโตโยต้ามียอดขาย 34,164 คัน ฮอนด้า 16,039 คัน

อีซูซุ 14,718 คัน มิตซูบิชิ 7,236 คัน นิสสัน 5,600 คัน ซูซูกิ 4,639 คัน เชฟโรเลต 4,177 คัน มาสด้า 3,337 คัน ฟอร์ด 3,727 คัน และยี่ห้ออื่น ๆ จำนวน 28,000 คัน

http://www.prachachat.net/news_detail.p ... 1376499143
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
syj
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 4254
ผู้ติดตาม: 1

Re: สถานการณ์รถยนต์

โพสต์ที่ 4

โพสต์

วันที่/เวลา 16 ส.ค. 2556 08:39:00
หัวข้อข่าว แจ้งมติคณะกรรมการบริษัทเรื่องการยกเลิกการได้มาซึ่งหุ้นสามัญของกิจการศูนย์จำหน่ายรถยนต์
หลักทรัพย์ WIN
แหล่งข่าว WIN
รายละเอียดแบบเต็ม คลิกที่นี่เพื่อดาวน์โหลดรายละเอียดข่าวรูปแบบเต็ม



ที่ วอพ. 085/08/2013
วันที่ 15 สิงหาคม 2556

เรื่อง แจ้งมติคณะกรรมการบริษัทเรื่องการยกเลิกการได้มาซึ่งหุ้นสามัญของกิจการศูนย์จำหน่ายรถยนต์ บริษัท เมโทร มอเตอร์เซลล์ แอนด์ เซอร์วิส จำกัด และชี้แจงเหตุผล

เรียน กรรมการและผู้จัดการ
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
สำเนาเรียน เลขาธิการ
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์

บริษัทฯ ขอแจ้งยกเลิกมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 7/2556 เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม
2556 ซึ่งได้แจ้งสารสนเทศเผยแพร่ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2553 โดยบริษัทฯ ขอแจ้งมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 8/2556 เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2556
ที่ประชุมมีมติพิจารณา และอนุมัติยกเลิกการซื้อหุ้นสามัญของกิจการศูนย์จำหน่ายรถยนต์ บริษัท เมโทร
มอเตอร์เซลล์ แอนด์ เซอร์วิส จำกัด จำนวนทั้งสิ้น 150,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 120 บาทต่อหุ้น
คิดเป็นจำนวนเงิน 18,000,000 บาท

โดยบริษัทฯ ขอชี้แจงเหตุผลในการยกเลิกการซื้อหุ้นสามัญของกิจการศูนย์จำหน่ายรถยนต์ บริษัท
เมโทรมอเตอร์เซลล์ แอนด์ เซอร์วิส จำกัด ("เมโทรฯ") จำนวนทั้งสิ้น 150,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 37.5% ของทุนจดทะเบียนทั้งหมด มูลค่าหุ้นละ 120 บาทต่อหุ้น คิดเป็นจำนวนเงิน 18,000,000 บาท
เนื่องจากการเข้าทำรายการดังกล่าวบริษัทฯ และผู้ขายได้มีข้อตกลงว่ายอดขาย
และ/หรือรายได้ต้องไม่ต่ำร้อยละ 10 จากปี 2555 (ยอดขายปี 2555 จำนวน 1,654 คัน รายได้จำนวน 1,192 ล้านบาท) โดยช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2556 บริษัทได้ทำการวิเคราะข้อมูลเบื้องต้น (Due Diligence) และได้ตัวเลขประมาณการยอดขายปี 2556 จากเมโทรฯ ซึ่งบริษัทฯ
ได้พิจารณาแล้วเห็นว่าตัวเลขประมาณการดังกล่าวอยู่ในเกณฑ์ตามข้อตกลง จากนั้นบริษัทฯ
จึงได้ขอนุมัติการเข้าทำรายการ และได้รับการอนุมัติเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2556 ต่อมาวันที่ 14 สิงหาคม
2556 บริษัทฯ ได้ทำการวิเคราะห์ผลทางการเงินเพิ่มเติมก่อนการเข้าลงนามในสัญญาซื้อขายอย่างรอบคอบอีกครั้ง ประกอบกับบริษัทฯ ได้รับรายงานตัวเลขยอดขายจริง(ช่วงเดือนมค.-มิย.) พบว่ายอดขายประมาณการ กับยอดขายจริงของเมโทรฯ ที่ตรวจสอบข้อมูล มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ และเมโทรฯ ได้มีการปรับประมาณการยอดขายลดลงจากเดิมประมาณ 30% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งจะทำให้ผลประโยชน์ที่บริษัทคาดว่าจะได้รับจากการทำรายการ อาทิ การรับรู้กำไร และ/หรือรายได้ และเงินปันผลตามสัดส่วนที่เข้าซื้อ 37.5% ซึ่งจะทำให้ประมาณการการลงทุนในสินทรัพย์ดังกล่าวในขณะนี้ไม่เป็นไปตามที่คาดไว้อย่างมีนัยสำคัญ

รายการ ยอดขาย (คัน)
ปี 2555 1,654
ปี 2556 (มค.-มิย.) 522


*เมโทรฯ ได้ปรับประมาณการยอดขายปี 2556 ลดลงเหลือ 1,100 คัน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนที่ลดลง 33.49%

โดยรายการเข้าซื้อดังกล่าวบริษัทฯ ได้ดำเนินการทำรายการในขั้นตอนต่างๆ ดังนี้

? บริษัทฯ ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงไม่เปิดเผยข้อมูลกับผู้ขายเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2556

? บริษัทฯ ได้เข้าประเมิน และวิเคราะห์ผลทางการเงินเดือนกุมภาพันธ์ 2556

? บริษัทฯ ได้วางเงินมัดจำการเข้าทำโครงการซื้อขายหุ้นเมโทรฯ ให้แก่ผู้ขายจำนวนเงิน 180,000 บาท เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2556

? วันที่ 9 สิงหาคม 2556 บริษัทฯ ได้บรรลุในบันทึกข้อตกลงเบื้องต้นในการเข้าซื้อหุ้นจากผู้ขาย

? วันที่ 13 สิงหาคม 2556 บริษัทฯ ได้รายงานสารสนเทศการได้มาซึ่งหุ้นสามัญของเมโทรฯ

? วันที่ 14 สิงหาคม 2556 บริษัทฯ ได้รับทราบข้อมูลประมาณการยอดขายของเมโทรฯ
และฝ่ายบริหารได้พิจารณาถึงความเป็นไปได้ในการเข้าทำรายการอีกครั้ง

? ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 8/2556 เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2556
มีมติอนุมัติยกเลิกการเข้าซื้อหุ้นสามัญของเมโทรฯ ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้บริษัทฯ ขอแจ้งให้ทราบว่าการยกเลิกรายการดังกล่าว ไม่ส่งผลกระทบและความเสียหายใดๆ ให้แก่บริษัทฯ เนื่องจากผู้ขายเข้าใจสถานการณ์ดีว่ายอดขาย รายได้ และผลประกอบการของเมโทรฯ
เป็นปัจจัยสำคัญในการที่บริษัทฯ จะตัดสินใจเข้าซื้อหุ้นสามัญของเมโทรฯ เมื่อพบว่ายอดขาย รายได้
และผลประกอบการไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ อีกทั้งบริษัทยังไม่ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้นกับผู้ขาย
ด้วยเหตุการณ์ดังกล่าวจึงไม่ทำให้บริษัทฯ เกิดความเสียหายจากข้อผูกพันในสัญญา
ดังนั้นบริษัทจึงได้แจ้งความประสงค์ขอยกเลิกการเข้าซื้อ ซึ่งผู้ขายได้ยินยอมให้ยกเลิกการทำรายการดังกล่าว และพร้อมคืนเงินมัดจำการเข้าทำโครงการจำนวน 180,000 บาทให้แก่บริษัท ทั้งนี้บริษัทฯ ยังมีแผนในการวิเคราะห์และศึกษาข้อมูลความเป็นไปได้ในการเข้าซื้อกิจการดังกล่าวในอนาคต หากพบว่ามีเงื่อนไขและข้อตกลงในการเข้าซื้อที่ดี ซึ่งสามารถเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัทได้มากที่สุด บริษัทอาจพิจารณาการทำรายการอีกครั้ง

ดังนั้น การคำนวณขนาดของรายการได้มาซึ่งทรัพย์สินของบริษัท
จึงคงเหลือรายการเพียงการจองซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนรวม และการให้มาของสิทธิการเช่าพื้นที่จากกองทุนรวมซึ่งสามารถคำนวณตามเกณฑ์มูลค่ารวมของสิ่งตอบแทนซึ่งเป็นวิธีที่มีขนาดสูงสุดจากทุกเกณฑ์การคำนวณจึงสรุปการทำรายการของบริษัทได้ดังนี้

รายการ ขนาดรายการ
ต่ำสุด สูงสุด
การจองซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนรวม 39.68% 40.70%
การได้มาของสิทธิการเช่าพื้นที่จากกองทุนรวม - 57.96%
รวมขนาดรายการ 98.66%

โดยการเข้าทำรายการได้มาข้างต้น จัดเป็นรายการได้มาซึ่งทรัพย์สินโดยมีขนาดรายการ 98.66% ดังนั้นบริษัทฯ มีหน้าที่เปิดเผยรายการต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ทันที และบริษัทฯ ต้องขออนุมัติการเข้าทำรายการดังกล่าวจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น โดยต้องได้รับคะแนนเสียงอนุมัติไม่ตํ่ากว่า 3 ใน 4 ของจำนวนเสียงทั้งหมดของผู้ถือหุ้นที่มาประชุมและมีสิทธิออกเสียงลงคะแนน โดยไม่นับส่วนของผู้ถือหุ้นที่มีส่วนได้เสีย รวมทั้งบริษัทฯ ต้องจัดให้มีที่ปรึกษาทางการเงินอิสระเพื่อให้ความเห็นเกี่ยวกับความสมเหตุสมผลของรายการและความเป็นธรรมของราคาและเงื่อนไขของรายการต่อผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ เพื่อประกอบการพิจารณาอนุมัติการทำรายการ
จากเหตุผลดังกล่าว บริษัทฯ จึงขอยกเลิกสารสนเทศที่ได้รายงานเรื่องการได้มาซึ่งหุ้นสามัญของกิจการศูนย์จำหน่ายรถยนต์บริษัท เมโทรมอเตอร์เซลล์ แอนด์ เซอร์วิส จำกัด ที่เผยแพร่ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2556 โดยขอแจ้งให้ผู้ลงทุนทราบโดยทั่วกัน


จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ

ขอแสดงความนับถือ
(นางสาวกรนันท์ สุคนธ์ฤทธิกร)
รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร

http://www.set.or.th/set/newsdetails.do ... country=TH
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
opec
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 37
ผู้ติดตาม: 0

Re: สถานการณ์รถยนต์

โพสต์ที่ 5

โพสต์

โตโยต้า เผยตลาดรถยนต์ในประเทศ ก.ค. มียอดขาย 98,251 คัน ลดลง 25.4%


นายวุฒิกร สุริยะฉันทนานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยถึงการขายรถยนต์เดือนกรกฎาคม 2556 ว่า ตลาดรถยนต์ในประเทศมีปริมาณการขาย 98,251 คัน ลดลง 25.4% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา สะท้อนถึงสภาพตลาดในครึ่งปีหลังที่กำลังปรับตัวเข้าสู่สภาวะปกติ หลังจากการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในปีที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ตลาดรถยนต์นั่งมีปริมาณการขาย 47,484 คัน ลดลง 26.3% ตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์มีปริมาณการขาย 50,767 คัน ลดลง 24.6% รวมถึงรถกระบะขนาด 1 ตัน ในเซกเมนท์นี้ จำนวน 41,469 คัน ลดลง 29.6%

ขณะที่ตลาดรถยนต์สะสม 7 เดือน มีปริมาณการขาย 839,046 คัน เพิ่มขึ้น 13.6% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมาโดยตลาดรถยนต์นั่งมีปริมาณการขายสะสมที่ 399,535 คัน เพิ่มขึ้น 24.1% ตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์มีปริมาณการขายสะสมที่ 439,511 คัน เติบโตเพิ่มขึ้น 5.6% ทั้งนี้ ตลาดรถยนต์ในช่วง 4 เดือนแรกของปี มียอดขายที่สูงกว่าสภาวะปกติ ซึ่งเป็นผลจากการส่งมอบรถยนต์ที่ค้างจองจากโครงการรถยนต์คันแรก และเริ่มส่งสัญญาณการชะลอตัวเพื่อเข้าสู่สภาวะปกติตั้งแต่เดือนพฤษภาคม

ส่วนในเดือนสิงหาคม คาดว่า ตลาดรถยนต์มีแนวโน้มทรงตัวตามภาวะปกติ ตลาดรถยนต์มีสัญญาณการปรับตัวเข้าสู่สภาวะปกติหลังจากการสิ้นสุดนโยบายรถยนต์คันแรก ประกอบกับตลาดรถยนต์จะปรับตัวลดลงตามฤดูการขายซึ่งเป็นสถานการณ์ปกติ แต่อย่างไรก็ดีการเร่งทำกิจกรรมทางการตลาดและการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายของบริษัทรถยนต์ต่างๆ จะเป็นปัจจัยบวกในการกระตุ้นยอดขายรถยนต์

http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... 725.4.html
ภาพประจำตัวสมาชิก
Lastpun
Verified User
โพสต์: 819
ผู้ติดตาม: 0

Re: สถานการณ์รถยนต์

โพสต์ที่ 6

โพสต์

ผมว่าในอนาคตถ้าสถาการณ์ยังไม่ดีขึ้น อาจได้ของแถมเยอะกว่านี้อีก คนมีตังนี้สบายเบย
miracle
Verified User
โพสต์: 18364
ผู้ติดตาม: 1

Re: สถานการณ์รถยนต์

โพสต์ที่ 7

โพสต์

อันนี้คือสิ่งที่ผมเคยบอกไว้ในช่วงก่อนหน้านี้ว่า
สัญญาณแปลกๆครับ

เมื่อมีสัญญาณแปลก ต้องติดตามดูว่า สัีญญาณนั้นเป็นสัญญาณที่เป็น fault signal หรือ signal จริงๆ ครับ
(เล่นอธิบายแบบนี้ใครเข้าใจบ้างหนอ)

ถ้าใครทำงานเกี่ยวกับ ไฟฟ้าหรือเลขฐาน 2 คือ 0,1 หรือเปิดกับปิดไฟฟ้า
มันจะมีภาวะหนึ่งคือ จะเป็น 0 ก็ไม่ จะเป็น 1 ก็ไม่เชิง นั้นคือ สัญญาณที่จะเป็น Signal หรือ fault signal เกิดขึ้น
ดังนั้นจุดนี้เป็นจุดที่ทุกท่านไม่รู้ ต้องติดตามว่า อุตสาหกรรมโดนรวมเป็นเช่นไร

ตอนนี้อีกอันที่น่าเป็นห่วงคือ พวกที่เกี่ยวกับสินเชื่อภาคครัวเรือน ที่ BOT ออก สัญญาณว่า เฝ้าดูใกล้ชิด
แสดงว่า เริ่มมีสัญญาณออกมาในเชิงลบ ซึ่งสัญญาณนั้น จะเป็น Fault Signal หรือ Signal ก็ได้
:)
:)
niyom_value
Verified User
โพสต์: 362
ผู้ติดตาม: 0

Re: สถานการณ์รถยนต์

โพสต์ที่ 8

โพสต์

สังเกตุเห็นจากแถวบ้าน ถนนบางนาตราด กม.1-10

ไม่ว่่าจะเป็นพื้นที่เปล่า, พื้นที่โกดังสินค้า โหลดตู้ ตอนนี้กลายเป็นลานจอดรถรอส่งมอบเพียบเลยครับ รวมถึงพื้นที่ีรกรุงรังมีต้นไม้เยอะแยะ ก็ยังปรับพื้นเทปูนอย่างดีเพื่อทำเป็นลานจอดรถไปซะนั่น
syj
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 4254
ผู้ติดตาม: 1

Re: สถานการณ์รถยนต์

โพสต์ที่ 9

โพสต์

นายวุฒิกร สุริยะฉันทนานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยถึงยอดขายรถยนต์รวมทุกประเภทและทุกยี่ห้อ ประจำเดือน ก.ค.ปีนี้ ว่ามีทั้งสิ้น 98,251 คัน ลดลง 25.4% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว ประกอบด้วยยอดขายจากตลาดรถยนต์นั่ง 47,484 คัน ลดลง 26.3% และตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ 50,767 คัน ลดลง 24.6% โดยยอดขายจากตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ มีจำนวน 41,469 คัน ลดลง 29.6%

“ขณะที่ยอดขายสะสม 7 เดือนแรกปีนี้ (ม.ค.-ก.ค.) ของตลาดรถยนต์รวมมีปริมาณทั้งสิ้น 839,046 คัน เพิ่มขึ้น 13.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ประกอบด้วยยอดขายจากตลาดรถยนต์นั่ง 399,535 คัน เพิ่มขึ้น 24.1% และตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ 439,511 คัน เพิ่มขึ้น 5.6% โดยตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน มียอดขาย 367,664 คัน เพิ่มขึ้น 1.0%”

นายวุฒิกรกล่าวว่า บริษัทได้ตั้งข้อสังเกตถึงสภาพตลาดรถเดือน ก.ค.ปีนี้ว่า การที่ลดลง 25.4% ถือเป็นการสะท้อนถึงสภาพตลาดในครึ่งปีหลังที่กำลังปรับตัวเข้าสู่สภาวะปกติ หลังจากการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี การที่ตลาดรถยนต์สะสม 7 เดือนยังคงเพิ่มขึ้น 13.6% เป็นเพราะตลาดรถยนต์ในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-เม.ย.) มียอดขายที่สูงกว่าสภาวะปกติ ซึ่งเป็นผลจากการส่งมอบรถยนต์ที่ค้างจองจากโครงการรถยนต์คันแรก และเริ่มส่งสัญญาณการชะลอตัวเพื่อเข้าสู่สภาวะปกติตั้งแต่เดือน พ.ค. สำหรับตลาดรถยนต์ในเดือน ส.ค. มีแนวโน้มทรงตัวตามภาวะปกติ โดยตลาดรถยนต์มีสัญญาณการปรับตัวเข้าสู่สภาวะปกติหลังจากการสิ้นสุดนโยบายรถยนต์คันแรก ประกอบกับตลาดรถยนต์จะปรับตัวลดลงตามฤดูการขายซึ่งเป็นสถานการณ์ปกติ แต่อย่างไรก็ดี การเร่งทำกิจกรรมทางการตลาดจะเป็นปัจจัยบวกในการกระตุ้นยอดขายรถยนต์.

โดย: ทีมข่าวเศรษฐกิจ

http://www.thairath.co.th/content/eco/364754
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
syj
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 4254
ผู้ติดตาม: 1

Re: สถานการณ์รถยนต์

โพสต์ที่ 10

โพสต์

ตลาดรถ เดือนก.ค. ร่วงหนัก 25% หลังจากเกิดปัจจัยลบพร้อมกัน ทั้งภาวะศก. ความเชื่อมั่นผู้บริโภค กำลังซื้อล่วงหน้าถูกดึงจากโครงการรถคันแรก

ยอดขายรถยนต์โดยรวม เดือนก.ค. ที่ผ่านมา มีจำนวนทั้งสิ้น 98,251 คัน ลดลง 25.4% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีที่แล้ว และเป็นการถดถอยเดือนที่สามติดต่อกัน ขณะที่ยอดขายสะสมช่วงเดือนม.ค.-ก.ค. 839,046 คัน ยังคงเติบโต 13.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีที่แล้ว

นายวุฒิกร สุริยะฉันทนานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ยอดขายเดือนก.ค. ที่ลดลง 25.4% เป็นการสะท้อนถึงสภาพตลาดในครึ่งปีหลังที่กำลังปรับตัวเข้าสู่สภาวะปกติ หลังจากปีที่ผ่านมา มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด จากผลพวงของโครงการรถคันแรกที่มียอดจองสูงมาก และทำให้มียอดค้างจองสะสมที่ต้องส่งมอบในปีนี้ ส่งผลให้ช่วง 4 เดือนแรกมียอดขายที่สูงกว่าปกติ และเริ่มส่งสัญญาณการชะลอตัวเพื่อเข้าสู่สภาวะปกติตั้งแต่เดือนพ.ค. ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ยอดขายเดือนก.ค. แบ่งเป็น รถยนต์นั่ง 47,484 ลดลงจากเดือนเดียวกันปีที่แล้ว 26.3% รถปิกอัพ 1 ตัน 37,133 ลดลง 28.9% รถพีพีวี 4,336 คัน ลดลง 52.7% ส่วนรถเพื่อการพาณิชย์ยังคงเติบโต 10.4% ด้วยยอด 9,298 คัน

"ส่วนตลาดเดือนส.ค. มีแนวโน้มทรงตัว ตลาดรถยนต์มีสัญญาณการปรับตัวเข้าสู่สภาวะปกติหลังจากการสิ้นสุดนโยบายรถยนต์คันแรก ประกอบกับตลาดรถยนต์ จะปรับตัวลดลงตามช่วงเวลาการขาย แต่อย่างไรก็ดีการเร่งทำกิจกรรมทางการตลาดและการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายของบริษัทรถยนต์ต่างๆ จะเป็นปัจจัยบวกในการกระตุ้นยอดขาย"

ปัจจัยลบรุมฉุดตลาด

ด้าน นางเพียงใจ แก้วสุวรรณ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่ายรัฐกิจสัมพันธ์ บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด นายกอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย และประธานสมาพันธ์ยานยนต์อาเซียน กล่าวว่า ตลาดที่หดตัวในเดือนก.ค. เนื่องจากมีปัจจัยลบหลายๆ ด้านเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน เช่น กำลังซื้อและความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายของผู้บริโภคลดลง และไม่เฉพาะกับตลาดรถยนต์เท่านั้น แต่จะเห็นได้ว่าเกิดขึ้นกับธุรกิจทั่วไป ทั้งสินค้าอุปโภคบริโภคที่ล้วนแต่ชะลอตัวทั้งสิ้น

นอกจากนี้ ภาวะเศรษฐกิจก็อยู่ในช่วงชะลอตัวตลาดหุ้นตก และน้ำมันมีราคาแพง ยิ่งฉุดให้ผู้บริโภคไม่ต้องการใช้เงิน รวมกับการที่โครงการรถคันแรกดึงกำลังซื้อล่วงหน้าไปมาก ทำให้เมื่อสิ้นสุดโครงการ ตลาดเกิดการชะงัก

"ปัจจัยลบที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กัน รวมไปถึงการที่ราคาพืชผลการเกษตรที่ตกต่ำ ประกอบกับช่วงนี้เป็นฤดูฝน ซึ่งถือว่าเป็นช่วงนอกเวลาการขาย ก็ยิ่งทำให้ตลาดรถยนต์หดตัวมากขึ้น"

นางเพียงใจ กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม มั่นใจว่าบริษัทรถยนต์จะสามารถฝ่าวิกฤตินี้ไปได้ เพราะเคยมีประสบการณ์ที่เลวร้ายมาแล้วหลายครั้งในอดีต และยังสามารถครอบคลุมในส่วนที่เสียหายไปในช่วงเกิดวิกฤติได้ทุกครั้ง

ส่วนการแก้ไขสถานการณ์ในช่วงนี้ คงเป็นเรื่องของแต่ละค่ายที่จะต้องหามาตรการดึงกำลังซื้อ เช่น การจัดแคมเปญส่งเสริมการขาย ซึ่งก็จะต้องดูว่าจะเป็นไปในรูปแบบใด เนื่องจากเห็นว่าปัจจุบันค่อนข้างรุนแรงอยู่แล้ว

ทั้งนี้ อนาคตตลาดรถยนต์จะเป็นอย่างไร คงต้องใช้เวลาอีกสักระยะหนึ่งในการประเมินสถานการณ์ แต่เชื่อว่าอย่างน้อยเมื่อพ้นช่วงฤดูฝน และการเตรียมการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ๆ ของค่ายรถยนต์อีกหลายรุ่น หลังจากนี้ รวมไปถึงการจัดงานแสดงรถยนต์ช่วงเดือนพ.ย. จะทำให้สถานการณ์ตลาดปรับตัวดีขึ้น

"บริษัทรถยนต์มีการวางแผนไว้ล่วงหน้าแล้ว ขึ้นอยู่กับว่าจะใช้แนวทางใด จึงจะเหมาะสมกับช่วงเวลา อย่างน้อยช่องทางการขายมี 2 ช่อง คือ ในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งทำให้มีความยืดหยุ่น หากตลาดใดได้รับผลกระทบ ก็สามารถใช้อีกหนึ่งตลาดชดเชยได้"

ก่อนหน้านี้ นายฮิโรชิ นาคางาวะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชร อีซูซุเซลส์ จำกัด กล่าวว่า ตลาดในประเทศที่เริ่มหดตัวตั้งแต่เดือนพ.ค. ที่ผ่านมา ทำให้ อีซูซุ เริ่มมองหาโอกาสในการส่งออกมากขึ้น โดยเฉพาะในอาเซียน ที่ปัจจุบันยังมีปริมาณไม่มากนัก

โดยปัจจุบัน อีซูซุ มีการส่งออกปิกอัพ ดีแมคซ์ ไปมากกว่า 100 ประเทศทั่วโลก รวมถึงตลาดออสเตรเลียและยุโรปอีกเป็นจำนวนมาก

ธุรกิจรับช่วงผลิต ยอดหาย 40%

นายประเสริฐ ธรรมมนุญกุล นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมส่งเสริมการรับช่วงการผลิตไทย กล่าวว่า ขณะนี้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมรับช่วงการผลิตไทย ซึ่งมีสมาชิกรวม 300 บริษัท ในจำนวนนี้ 70% เป็นผู้รับช่วงการผลิตให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งปีที่ผ่านมาเติบโต 30-40% จากการมีโครงการรถยนต์คันแรก รวมไปถึงรถอีโคคาร์หลายๆ รุ่นเปิดตลาด ซึ่งเป็นการเติบโตที่สูง หากเทียบกับช่วงก่อนหน้าที่มีอัตราเติบโตแต่ละปีประมาณ 10-15%

แต่เมื่อสิ้นสุดโครงการรถยนต์คันแรก ยอดขายรถยนต์หดตัวลง ทำให้คำสั่งจ้างผลิตลดลงกลับมาอยู่ในระดับปกติ และยังไม่มีแนวโน้มที่จะดีขึ้น แม้ว่าตลอดปีนี้คาดว่าอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยจะมียอดผลิตรวมถึง 2.55 ล้านคันก็ตาม แต่การที่ผู้ประกอบการได้ลงทุนขยายกำลังการผลิต ลงทุนเครื่องจักรเพิ่มเติมจำนวนมากในปีที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดภาวะกำลังการผลิตล้น

ดังนั้น ผู้ประกอบการหลายค่ายจึงหาทางออกด้วยการรับงานผลิตต่างประเทศ โดยมุ่งตลาดประเทศเพื่อนบ้านเป็นหลัก ซึ่งนอกจากจะช่วยแก้ปัญหาแล้ว ยังเป็นการเริ่มต้นรุกตลาดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ เออีซี โดยอุตสาหกรรมที่เริ่มออกไปลงทุนแล้ว เช่น กลุ่มผลิตชิ้นส่วนยาง ออกไปลงทุนในพม่า เวียดนาม และ ลาว เป็นต้น นอกจากนี้ยังเพิ่มการรับช่วงการผลิตอุตสาหกรรมอื่นๆ นอกเหนือชิ้นส่วนยานยนต์อีกด้วย

"หลายประเทศ เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย สั่งให้ผลิตสินค้าเพราะเชื่อมั่นในคุณภาพสินค้าของอุตสาหกรรมรับช่วงการผลิตไทย ซึ่งเห็นว่าเป็นสินค้าที่มีคุณภาพเป็นอันดับหนึ่ง"

นายประเสริฐ กล่าวว่า มูลค่าอุตสาหกรรมรับช่วงการผลิตปี 2556 คาดว่าจะมีมูลค่ารวมทั้งสิ้นประมาณ 100,000 ล้านบาท

http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... ชดเชย.html
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
xsutt
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 98
ผู้ติดตาม: 0

Re: สถานการณ์รถยนต์

โพสต์ที่ 11

โพสต์

ยอดส่งออก เป็นไงบ้างครับ
miracle
Verified User
โพสต์: 18364
ผู้ติดตาม: 1

Re: สถานการณ์รถยนต์

โพสต์ที่ 12

โพสต์

เชิญรับชมกันตามอัธยาศัยครับ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

:)
:)
pipatc
Verified User
โพสต์: 5826
ผู้ติดตาม: 0

Re: สถานการณ์รถยนต์

โพสต์ที่ 13

โพสต์

ยานยนต์
วันที่ 27 สิงหาคม 2556 06:07
'โตโยต้า-ยูดี'รุกเพิ่มผลิตรับส่งออก

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

โรงงานเกตเวย์ 2 จะทำให้โตโยต้ามีกำลังผลิตรวม 770,000 คัน/ปี

ค่ายรถรุกขยายกำลังการผลิต โตโยต้า เปิดโรงงานใหม่ เกตเวย์ 2 ดันยอดผลิตรวมทะลุ 7.7 แสนคัน/ปี ประเดิมอีโค คาร์ รุ่นแรก ด้าน ยูดี ทรัคส์ ฟื้นตลาดรถบรรทุก เปิดตัวรถประกอบในไทยครั้งแรกของโลก พรอมลุยส่งออกอาเซียน

นายวุฒิกร สุริยะฉันทนานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด หรือ ทีเอ็มที บริษัทได้เเปิดสายการผลิตโรงงานประกอบรถยนต์แห่งใหม่ "เกตเวย์ 2" ที่ฉะเชิงเทราอย่างเป็นทางการวานนี้ (26 ส.ค.) รับผิดชอบการผลิตรถยนต์นั่ง จำนวน 80,000 คัน/ปี โดยจะเริ่มจากรถในโครงการอีโค คาร์ เป็นรุ่นแรก

โรงงานเกตเวย์ 2 เกิดขึ้นหลังจากที่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น และทีเอ็มที เห็นว่าในอนาคตอุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งในไทย และตลาดโลกมีแนวโน้มการเติบโต จึงได้ลงทุนมูลค่า 11,000 ล้านบาท และจ้างงานมากกว่า 1,500 ตำแหน่ง

ปัจจุบัน โตโยต้า มีโรงงานผลิตรถยนต์ในไทย 4 แห่ง คือ พระประแดง และบ้านโพธิ์ รับผิดชอบการผลิตรถเพื่อการพาณิชย์ โรงงานเกตเวย์ ผลิตรถยนต์นั่ง ไทยออโต้เวิคส์ ผลิตรถตู้ และการเปิดเกตเวย์ 2 จะทำให้โตโยต้ามีกำลังผลิตรวม 770,000 คัน/ปี รองรับการขายในประเทศ และส่งออกไปยัง 119 ประเทศทั่วโลก

ด้านนายโยอาคิม โรเซ็นเบิร์ก ประธานบริหารยูดี ทรัคส์ และรองประธานฝ่ายการตลาดและขาย รถบรรทุก วอลโว่ กรุ๊ป เปิดเผยว่า "ยูดี ทรัคส์" เปิดเผยว่า บริษัทเปิดตัวตัวรถบรรทุกรุ่นใหม่ "เควสเตอร์" จากสายการผลิตโรงงานในไทยเป็นครั้งแรกของโลก และจะใช้โรงงานแห่งนี้เป็นฐานการผลิตสำหรับการส่งออกไปต่างประเทศ เริ่มจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก่อนจะขยายไปยังพื้นที่อื่นๆ ต่อไป

การเปิดตัว เควสเตอร์ เป็นการกลับเข้าสู่การทำตลาดรถบรรทุก ยูดี ในไทย อีกครั้ง หลังจากที่หายไประยะหนึ่ง โดยขณะนี้ได้เตรียมความพร้อมด้านศูนย์จำหน่ายและบริการหลังการขายซึ่งจะใช้ร่วมกันทั้งวอลโว่และยูดี 10 แห่ง ทั่วประเทศ และจะเพิ่มเป็น 17 แห่ง ภายในช่วงสิ้นปีนี้

สำหรับยูดี ทรัคส์ ญี่ปุ่น ปัจจุบัน มี เอบี วอลโว่ สวีเดน ถือหุ้น 100% และสำหรับในไทย วอลโว่ ได้เดินหน้าลงทุน 5,000 ล้านบาท รองรับแผนการฟื้นตลาด ในจำนวนนี้เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพโรงงานผลิตที่บางนา-ตราด 2,000 บาท มีความสามารถในการผลิต 20,000 คัน/ปี

นายเอกนารถ สุวินทวงศ์ รองประธานฝ่ายการตลาดบริษัท วอลโว่ กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันตลาดรถบรรทุกขนาดใหญ่ของไทยยังคงมีการเติบโตที่ดี โดยตลาดเพิ่มจากหลัก 1 หมื่นคัน/ปีเป็น 2 หมื่นคัน/ปี มีอัตราเติบโตเฉลี่ยปีล่ะมากกว่า 20 % โดยมีกลุ่มลูกค้าหลักที่ซื้อรถไปใช้งานได้แก่ ธุรกิจโลจิสติกซ์ กลุ่มก่อสร้างขนาดใหญ่ และกลุ่มขนส่งสินค้าเกษตร ส่วนช่วง 7 เดือนแรกปีนี้ และเฉพาะเดือน ก.ค. ตลาดก็ยังคงขยายตัว ขณะที่รถเล็กเริ่มส่งสัญญาณถดถอยเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน

Tags : โตโยต้า
syj
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 4254
ผู้ติดตาม: 1

Re: สถานการณ์รถยนต์

โพสต์ที่ 14

โพสต์

"โตโยต้า"เคลียร์เกลี้ยงสต๊อกยาริส ได้ฤกษ์ส่ง"อีโคคาร์"ลงตลาดชูจุดขายคุ้มเกินราคา
updated: 28 ส.ค. 2556 เวลา 15:43:18 น.

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

"โตโยต้า" ไม่หวั่นอีโคคาร์เฟส 2 เดินหน้า พร้อมเข็น "ยาริส อีโคคาร์" ออกสู่ตลาด หลังเดินเครื่องไลน์ผลิตสิงหาคมที่ผ่านมา แย้มอวดโฉมแน่ปลายไตรมาส 3 ชูจุดขาย "คุณภาพเกินราคา" มั่นใจแข่งกับ 7 รุ่นในตลาดได้สบาย ลั่นไม่เลื่อนแผนส่ง "อัลติสใหม่ ปลายปีมาชัวร์"

นายวุฒิกร สุริยะฉันทนานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า ขณะนี้โตโยต้าได้เริ่มเดินสายการประกอบรถยนต์นั่งอีก 1 แห่ง ซึ่งมีกำลังการผลิตในระยะแรก 80,000 คันต่อปี ที่โรงงานเกตเวย์ 2 ตั้งแต่เมื่อวันที่ 26 ส.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้โตโยต้าจะมีกำลังการผลิตรถยนต์ในประเทศไทยเพิ่มขึ้นเป็น 770,000 คันต่อปี

จากปัจจุบันที่โตโยต้ามีโรงงานประกอบรถยนต์ทั้งสิ้น 4 แห่ง คือ 1.โรงงานประกอบรถยนต์นั่ง คือ โรงงานเกตเวย์ จ.ฉะเชิงเทรา 2.โรงงานบ้านโพธิ์ จ.ฉะเชิงเทรา 3.โรงงานสำโรง จ.สมุทรปราการ ซึ่งประกอบรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ และ 4.โรงงานโตโยต้า ออโต้ เวิคส จ.สมุทรปราการ สำหรับการผลิตรถตู้ เพื่อตอบสนองการเติบโตของตลาดรถยนต์ทั้งในและนอกประเทศที่มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น และบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย ตัดสินใจลงทุนสร้างโรงงานประกอบรถยนต์เกตเวย์ 2 ที่ จ.ฉะเชิงเทรา สำหรับทำการประกอบรถยนต์นั่งอีกแห่งหนึ่งภายใต้การลงทุนมูลค่า 11,000 ล้านบาท โดยมีการจ้างงานมากกว่า 1,500 ตำแหน่ง มีกำลังการผลิตในระยะแรก 80,000 คันต่อปี บนพื้นที่ขนาด 175,000 ตารางเมตร

"โตโยต้าได้เข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2505 ตลอดระยะเวลากว่า 50 ปี ได้มีการพัฒนาและขยายตัวทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง จากการมีโรงงานประกอบรถยนต์เพื่อจำหน่ายในประเทศ ไปสู่การผลิตเพื่อส่งออกไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกกว่า 119 ประเทศ ทั้งนี้ ประเทศไทยถือเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของโตโยต้าในภูมิภาค" นายวุฒิกร กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า การลงทุนข้างต้นของโตโยต้าเพื่อขึ้นไลน์ประกอบรถยนต์นั่ง ในระยะแรก 80,000 คันต่อปีนั้นจะผลิตรถยนต์ขนาดเล็กประหยัดพลังงานหรืออีโคคาร์ ซึ่งตามแผนนั้นพร้อมแนะนำอีโคคาร์ออกสู่ตลาดประเทศไทยอย่างเป็นทางการราวปลายไตรมาส 3 ซึ่งน่าจะเป็นช่วงปลายเดือนกันยายนหรือตุลาคมที่จะถึงนี้

สอดคล้องกับตัวแทนจำหน่ายรถยนต์โตโยต้ารายใหญ่กล่าวเพิ่มเติมกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า แม้แผนเปิดตัวอีโคคาร์ของโตโยต้าจะล่าช้ากว่ากำหนดการเดิมเล็กน้อย แต่ไม่ทำให้ลูกค้าที่รอคอยผิดหวังแน่นอน

โดยจะใช้ชื่อโตโยต้า ยาริส อีโคคาร์ เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้า และง่ายต่อการสร้างความเข้าใจในการสื่อสารการตลาดโดยเฉพาะจุดเด่นอีโคคาร์ของโตโยต้าคือ เรื่องคุณภาพที่เกินตัวและเกินราคา เครื่องยนต์อาจจะมี 2 ขนาด ทั้ง 1.2 ลิตรและมากกว่า เพื่อให้สามารถแข่งขันกับอีโคคาร์ที่มีอยู่ในตลาดทั้ง 7 รุ่น จากค่ายรถยนต์ 4 ค่ายที่ได้มีการทำตลาดไปก่อนหน้านี้ได้ รวมถึงความชัดเจนของรัฐบาลที่จะสนับสนุนโครงการอีโคคาร์เฟส 2

"เราหวังว่ายาริส อีโคคาร์ จะได้รับการตอบรับจากกลุ่มลูกค้าเป็นอย่างดี และเชื่อว่าจะถูกใจลูกค้า เพราะสามารถซื้อโตโยต้า ยาริสได้ในราคาอีโคคาร์ ทั้งนี้ ยาริส อีโคคาร์เองก็จะไม่ทับไลน์กับโตโยต้ารุ่นอื่น ๆ อย่างแน่นอน ส่วนรถโตโยต้า ยาริส รุ่นเก่านั้นก็ได้มีการเคลียร์สต๊อกไปจนหมดแล้ว"

โดยในช่วงเดือนหน้านี้ โตโยต้าจะเปิดให้ตัวแทนจำหน่ายและพนักงานขายได้ทดสอบยาริส อีโคคาร์ ก่อนเปิดตัวอย่างเป็นทางการ เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจ กลยุทธ์การขายและการตลาดให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน

ด้านแผนการส่งโตโยต้า อัลติส รุ่นใหม่ โมเดล เชนจ์ ออกสู่ตลาดนั้น ขณะนี้โตโยต้ายังคงยืนยันแผนเดิม คือ จะเปิดตัวราวช่วงปลายปีในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป และขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณเลื่อนเปิดตัวแต่อย่างใดแม้ว่าขณะนี้สถานการณ์ของตลาดรถยนต์โดยรวมยังคงอยู่ในภาวะที่กำลังการผลิตเกินกว่าความต้องการซื้อ

http://www.prachachat.net/news_detail.p ... 1377679373
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
miracle
Verified User
โพสต์: 18364
ผู้ติดตาม: 1

Re: สถานการณ์รถยนต์

โพสต์ที่ 15

โพสต์

ขุนค้อนลงมาเล่นตลาด E-Co Car แล้ว
ถึงเวลาของการเอาจริงแล้วล่ะ สำหรับตลาดรถ E-Co car
กว่าจะออกมาได้ ตลาดนั้น เหลือสต๊อกบานเพียบเลยสำหรับ 4 ค่ายที่ออกมาก่อน
:)
:)
meadow
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 217
ผู้ติดตาม: 0

Re: สถานการณ์รถยนต์

โพสต์ที่ 16

โพสต์

miracle เขียน:เชิญรับชมกันตามอัธยาศัยครับ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

:)
ถ้าดูจากประวัติย้อนหลังแล้ว กำลังซื้อที่แท้จริงจะอยู่ประมาณหกหมื่นคันต่อเดือน :( :(
Dech
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 4940
ผู้ติดตาม: 1

Re: สถานการณ์รถยนต์

โพสต์ที่ 17

โพสต์

เดือนล่าสุดรายงานยอดเดือนกรกฏาคม หลุด 100,000 มาเหลือ 98,258 แล้วครับ

หลังจากนี้คงลดลงทุกเดือน กลับไปสู่กำลังซื้อจริงน่าจะอยู่ประมาณ 6-7 หมื่นคันต่อเดือน
งานนี้แสดงว่าดึงกำลังซื้อและเงินในอนาคตรถล่วงหน้ามา 2-3 ปี

ซื้อรถ มีแต่ค่าใช้จ่าย กลุ่ม 1.25 ล้านครอบครัว

คนทั้งประเทศตอนนี้เลขกลมๆ มี 65 ล้านคน มีบ้าน 23 ล้านหลัง
ตีว่าทั้งประเทศมี 23 ล้านครอบครัว คิดเป็น 5-6%

แต่ว่ากำลังซื้อน่าจะหายไปมากกว่านั้น
สีลํ พลํ อปฺปฏิมํ สีลํ อาวุธมุตฺตมํ
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
syj
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 4254
ผู้ติดตาม: 1

Re: สถานการณ์รถยนต์

โพสต์ที่ 18

โพสต์

ปัญหาคือ ห้าค่ายที่ทำ ECO Car รับเป้าปีละ 100,000 คัน
แลกสิทธิทางภาษี รวม 5 แสนคัน จะไปขายใครครับ
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
syj
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 4254
ผู้ติดตาม: 1

Re: สถานการณ์รถยนต์

โพสต์ที่ 19

โพสต์

พิษราคายางฉุดศก.ใต้-กำลังซื้อวูบ ตลาดรถยอดขายหด30%-หวั่นธุรกิจซบทั้งระบบ
updated: 03 ก.ย. 2556 เวลา 10:49:00 น.

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

เศรษฐกิจภาคใต้ทรุด พิษยางราคาตกลามเป็นลูกโซ่ ดีลเลอร์รถยนต์-จักรยานยนต์อ่วม ยอดติดลบ 30% ชี้กำลังซื้อวูบ ธุรกิจการค้าซบหนัก ภาคเอกชนปรับแผนรัดเข็มขัด-งดจ่ายโบนัสพนักงาน จี้รัฐเร่งแก้พร้อมจัดโซนนิ่งพื้นที่ปลูกยางใหม่ ชาวสวนยางถอดใจแห่โค่นยางหันปลูกพืชผลเกษตรอื่น

วิกฤตราคาผลผลิตยางตกต่ำ นอกจากจะก่อให้เกิดม็อบปิดถนนประท้วงยืดเยื้อแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจภาคใต้โดยรวม ทั้งตลาดรถ ค้าปลีก ค้าส่ง อุตสาหกรรมก่อสร้าง อุตสาหกรรมไม้ยาง สินค้าเกษตร ตลอดจนการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน

แหล่งข่าวจากสถาบันการเงินแห่งหนึ่งเปิดเผยว่า ภาวะราคาพืชเกษตรตกต่ำ โดยเฉพาะยางพาราและปาล์ม ส่งผลกระทบให้ยอดขายตลาดรถ ค้าปลีก ค้าส่ง ก่อสร้างหายไปประมาณ 30% ตลอดจนกระทบการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน หากสภาพราคาสินค้าเกษตร โดยเฉพาะราคายางยังตกต่ำต่อเนื่อง จะยิ่งทำให้เศรษฐกิจภาคใต้เสียหายมากขึ้นทั้งระบบ

นายวิฑูรย์ คู่พันธวี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท พิธานพาณิชย์ จำกัด ดีลเลอร์จำหน่ายรถจักรยานยนต์ฮอนด้าในพื้นที่ 5 จังหวัดภาคใต้ตอนล่าง กล่าวว่ายอดขายรถจักรยานยนต์ครึ่งปีแรกติดลบไปแล้วประมาณ 20% และมีแนวโน้มลดลงไปถึงต้นปีหน้า เนื่องจากราคาสินค้าเกษตร โดยเฉพาะยางพารายังไม่มีสัญญาณขาขึ้น ทำให้ผู้บริโภคไม่มีกำลังซื้อ

"หากรัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหาชาวสวนยางได้ ตลาดรถจักรยานยนต์รวมในภาคใต้จะติดลบไม่ต่ำกว่า 30% และกระทบเป็นลูกโซ่ต่อระบบเศรษฐกิจของภาคใต้อย่างรุนแรง บริษัทต่าง ๆ ทุกองค์กรจะรัดเข็มขัด จะไม่มีโบนัสให้ พนักงานก็จะขาดกำลังซื้อ ขณะที่ดีลเลอร์รถยนต์ มอเตอร์ไซค์ ก็จะงัดทุกกลยุทธ์มากระตุ้นตลาด เพื่อดึงกำลังซื้อ"

ดร.ณพพงศ์ ธีระวร ประธานหอการค้าจังหวัดยะลา เผยว่า มูลค่าส่งออกยางในจังหวัดลดลงกว่า 10% จากปัญหาราคายางพาราที่ตกต่ำลง ทำให้เศรษฐกิจในพื้นที่ได้รับผลกระทบพอสมควร ทั้งนี้ ขอเรียกร้องให้ภาครัฐส่งเสริมอุตสาหกรรมยางพาราอย่างครบวงจร

เช่นเดียวกับนายสลิล โตทับเที่ยง ประธานหอการค้าจังหวัดตรัง ระบุว่า ปัญหาราคายางตกต่ำ ส่งผลให้ยอดขายผู้ประกอบการธุรกิจในพื้นที่ตกลงอย่างมาก โดยเฉพาะยอดขายรถยนต์และรถจักรยานยนต์ เนื่องจากกำลังซื้อของประชาชนลดลง ขณะที่เกษตรกรบางส่วนตัดสินใจโค่นยางหันไปปลูกพืชและผลไม้อื่นทดแทน ทั้งนี้ เห็นว่ารัฐบาลน่าจะมีการจัดโซนนิ่งการปลูกยางพาราใหม่ โดยยึดหลักให้เหมาะสมกับความต้องการของตลาดเป็นสำคัญ

ด้านนายยุทธกิจ มานะจิตต์ ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดนครศรีธรรมราช เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์ผู้ชุมนุมเกษตรกรชาวสวนยางและชาวสวนปาล์มหลายจังหวัดในภาคใต้ได้ปักหลักชุมนุมประท้วงปิดถนนมาตั้งแต่วันที่ 23 สิงหาคม ส่งผลกระทบให้อุตสาหกรรมไม้ยางพาราที่จะขนส่งเข้ากรุงเทพฯและท่าเรือขนส่งที่ จ.สงขลา ต้องหยุดชะงักโดยสิ้นเชิง มูลค่าความเสียหายเกือบ 100 ล้านบาท

ผู้สื่อข่าวประชาชาติธุรกิจรายงานจากจังหวัดพัทลุงว่า จากการออกสำรวจถนนสายเศรษฐกิจที่สำคัญ เช่น สายแม่ขรี กงหรา ระหว่างอำเภอตะโหมด และอำเภอกงหรา จังหวัดพัทลุง พบว่า จากเดิมที่เคยมีร้านค้าปลีก ร้านอาหารตามสั่ง ร้านน้ำชา กาแฟจำนวนมาก แต่ขณะนี้ได้ทยอยปิดตัวลงเกือบหมดแล้ว โดยอ้างว่าไม่มีผู้บริโภคมาซื้อ ขณะที่ผู้บริโภคระบุว่าสินค้ามีราคาสูง ไม่มีกำลังซื้อจากได้รายได้ที่ลดลง เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นชาวสวนยางพารา ซึ่งได้รับผลกระทบจากราคายางตกต่ำ

http://www.prachachat.net/news_detail.p ... 1378180202
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
syj
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 4254
ผู้ติดตาม: 1

Re: สถานการณ์รถยนต์

โพสต์ที่ 20

โพสต์

กสิกรไทยควงเอสเอ็มอีไทย-จีนจับคู่ธุรกิจกลุ่มยานยนต์
updated: 03 ก.ย. 2556 เวลา 11:30:44 น.

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

จีนไม่หวั่นตลาดรถยนต์ไทยซบ มองระยะยาวไทยเจ๋งสุด เล็งแห่เข้าไทยตั้งโรงงานผลิตรถพวงมาลัยขวาป้อนอาเซียน-เอเชีย กสิกรไทยเสือปืนไวจัดจับคู่ธุรกิจยานยนต์ไทย-จีน หวังสร้างเครือข่ายและเพิ่มโอกาสให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยพบผู้ผลิตรถยนต์จากจีน คาดมีการเจรจาซื้อขาย 500 ล้านบาท ภายใน 1 ปี

นายพัชร สมะลาภา รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ปีที่ผ่านมาอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยมีการเติบโตมากถึง 30-40% จากโครงการรถยนต์คันแรกและรถยนต์อีโคคาร์ และแม้ว่าจะสิ้นสุดโครงการฯ ไปแล้ว แต่อุตสาหกรรมการรับช่วงการผลิตยังคงมีอัตราเติบโต 10-15% เมื่อเทียบกับปีก่อน ๆ เนื่องจากผู้ประกอบการไทยได้ขยายกำลังการผลิตด้วยการซื้อเครื่องจักรเพิ่มเติม ส่งผลให้กำลังการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ยังมีกำลังการผลิตเหลือ

ผู้ผลิตรถยนต์จากจีน มองว่า ไทยมีความพร้อมในการผลิตรถยนต์แบรนด์จีนเพิ่มขึ้น รวมทั้งมีความเชื่อมั่นในฝีมือการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ของผู้ประกอบการไทย จึงสนใจเข้ามาลงทุนและภายใต้ข้อกำหนดการใช้ชิ้นส่วนยานยนต์ที่ผลิตในไทยอย่างน้อย 40% จะทำให้รถดังกล่าวเป็นรถยนต์ที่ Made in Thailand ซึ่งจะเป็นโอกาสให้รถยนต์แบรนด์จีนสามารถใช้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์พวงมาลัยขวาเพื่อขยายตลาดในกลุ่มประเทศอาเซียน ทวีปเอเชีย และออสเตรเลียได้มากขึ้น

ทั้งนี้ เมื่อผู้ผลิตยานยนต์จีนทยอยเข้ามาลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง ธนาคารกสิกรไทยในฐานะผู้เชื่อมโยงและสนับสนุนการจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) เพื่อเพิ่มโอกาสให้ทั้งผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ของไทย ได้พบปะทำข้อตกลงในการซื้อขายกับผู้ผลิตจีน ทำให้ทั้งสองฝ่ายได้รับประโยชน์ในการขยายตลาดยานยนต์ในไทยเพิ่มขึ้น โดยการให้การสนับสนุนทั้งผู้ผลิตรถยนต์จีน และผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย อาทิ การให้การสนับสนุนวงเงินสินเชื่อด้าน Trade Finance แก่ผู้ผลิตจีน และเพิ่มวงเงินสินเชื่อให้แก่ลูกค้าเอสเอ็มอีที่เป็นผู้ประกอบการไทยให้สามารถเพิ่มยอดการผลิตและจำหน่ายชิ้นส่วนยานยนต์ได้มากขึ้น

สำหรับผู้ผลิตรถยนต์จีนที่มาทำการเจรจาธุรกิจในครั้งนี้ 3 บริษัท ได้แก่ บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ - ซีพี จำกัด (SAIC MOTOR - CP Co., Ltd.) บริษัท ตงฟง ออโต้โมบิล (ประเทศไทย) จำกัด (DONGFENG AUTOMOBILE (THAILAND) Co., Ltd.) และบริษัท บริลเลี่ยน ออโต้ อินเตอร์เนชั่นเนล เทรด จำกัด (Brilliance Auto International Trade Corporation) ซึ่งทั้ง 3 บริษัท ถือว่าเป็นผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำจากจีน (Top Brand) ที่เป็นผู้ผลิตรถยนต์ประเภทรถยนต์นั่งส่วนบุคคล รถบรรทุกเล็ก และรถตู้ นอกจากนี้ ยังมีผู้ประกอบการไทยที่มีศักยภาพและมีสินค้าที่ผู้ผลิตจีนมีความต้องการ จำนวน 30 บริษัท เพื่อเข้ามาทำการจับคู่ธุรกิจกับ 3 ผู้ผลิตรถยนต์จีน

ด้านนายพิพิธ เอนกนิธิ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ภาพรวมอุตสาหกรรม ยานยนต์จีนในปัจจุบันมีผู้ผลิตรถยนต์รวม 82 ราย แบ่งเป็นการร่วมทุนกับนักลงทุนต่างชาติ 40 ราย และเป็นผู้ผลิตท้องถิ่น 42 ราย จากการร่วมทุนกับต่างชาติทำให้จีนค่อย ๆ เรียนรู้เทคโนโลยี จนสามารถพัฒนาและผลิตรถยนต์ในแบรนด์จีนได้สำเร็จ และเริ่มขยายไปยังตลาดต่างประเทศ นอกจากนี้ นโยบายสนับสนุนธุรกิจจีนออกไปลงทุนในต่างประเทศของรัฐบาลจีนเป็นตัวกระตุ้นให้ขยายฐานการลงทุนในต่างประเทศมากขึ้นด้วย โดยประเทศในกลุ่มอาเซียนที่มีศักยภาพเป็นฐานการผลิตที่มีอัตราการเติบโตต่อเนื่องและมีโอกาสขยายตัว ได้แก่ ประเทศไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์และเวียดนาม

จากสถิติของสถาบันยานยนต์ที่รายงานปริมาณการผลิตและจำหน่ายรถยนต์ของประเทศในอาเซียนปี 2012 พบว่าประเทศไทยมีปริมาณการผลิตรถยนต์มากที่สุดในภูมิภาค อยู่ที่ 2.5 ล้านคัน เนื่องจากมีจุดเด่นที่มีซัพพลายเชนยานยนต์ที่มีคุณภาพสมบูรณ์ครบวงจร สามารถผลิตชิ้นส่วนในระดับมาตรฐานโลก ซึ่งจะทำให้ยานยนต์แบรนด์จีนที่ผลิตในประเทศไทยได้รับการยอมรับและเชื่อมั่นในคุณภาพของสินค้า รวมทั้งการมีข้อตกลงในเรื่องภาษี 0% และการมีพรมแดนติดต่อกับหลายประเทศ ทำให้ไทยมีศักยภาพในการเป็นศูนย์กระจายสินค้าเพื่อส่งออกไปอาเซียนและประเทศอื่นในเอเชียได้ดี

การจับคู่ทางธุรกิจในครั้งนี้ คาดว่าจะมีการเจรจาซื้อขายราว 500 ล้านบาทภายใน 1 ปี และในอนาคต ธนาคารจะยังคงสนับสนุนและผลักดันอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่มีโอกาสเติบโตในลักษณะเดียวกันต่อไป

http://www.prachachat.net/news_detail.p ... 1378182141
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: สถานการณ์รถยนต์

โพสต์ที่ 21

โพสต์

ติดตามอ่าน....ด้วยความขอบคุณค่ะ
syj
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 4254
ผู้ติดตาม: 1

Re: สถานการณ์รถยนต์

โพสต์ที่ 22

โพสต์

มาแล้ว "ยาริส อีโคคาร์" ค่ายโตโยต้าดีเดย์เปิดตัวยาริส แอล ในจีนเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา กระแสตอบรับดีเกินคาด ระบุชัดในไทยพร้อมอวดโฉมตุลาคมนี้ มี 4 รุ่น 7 สี ชูจุดขายอีโคคาร์แฮตช์แบ็กที่กว้างและยาวที่สุดในตลาด กลางเดือนนี้เริ่มทยอยเรียกเซลส์อบรม คาดราคาเริ่มต้นไม่เกิน 4 แสนบาท

แหล่งข่าวจากบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ในช่วงเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้โตโยต้าพร้อมเปิดตัวรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากลหรืออีโคคาร์ ออกสู่ตลาด หลังจากการเปิดตัวอีโคคาร์ของโตโยต้าได้ถูกเลื่อนออกมาจากแผนเดิม 2-3 เดือนซึ่งเคยระบุเป็นเดือนสิงหาคมของปี 2556 แต่ไม่สามารถบรรลุแผนงานได้เนื่องจากติดปัญหาเชิงเทคนิคบางประการ โดย

โตโยต้าได้ส่งรถให้กับสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) ตรวจสอบเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานข้อกำหนดอีโคคาร์ แต่ปรากฏว่ามีชิ้นส่วนบางประเภทไม่ผ่านเงื่อนไขที่กำหนด ทางโรงงานจึงได้ปรับปรุงก่อนนำรถกลับไปตรวจอีกครั้ง ซึ่งล่าสุดผ่านเรียบร้อยและจะได้เชิญผู้เกี่ยวข้องรวมทั้งหน่วยงานภาครัฐอื่น ๆ เข้าไปตรวจสอบรถและไลน์ประกอบที่โรงงานโตโยต้า เกตเวย์ 2 ด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อีโคคาร์ของโตโยต้าจะใช้ชื่อ "ยาริส อีโคคาร์" ซึ่งจะเป็นการทำตลาดในรูปแบบเดียวกับเมื่อครั้งซูซูกิแนะนำสวิฟท์อีโคคาร์ออกสู่ตลาด ด้วยการปรับสเป็กให้เข้ากับเงื่อนไขของอีโคคาร์

ด้วยเครื่องยนต์ขนาด 1.2 ลิตร มีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงที่ 5 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร มาตรฐานยูโร 4 ปล่อยค่าไอเสียไม่เกิน 120 กรัมต่อ 1 กิโลเมตร และมีการลงทุนขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 5,000 ล้านบาทเช่นเดียวกันโดยข้อมูลส่วนใหญ่มีสำนักข่าวต่าง ๆ รายงานความเคลื่อนไหวผ่านโลกออนไลน์ถึง GAC Toyota ประเทศจีน เปิดตัวรถยนต์โตโยต้า ยาริส แอล ซึ่งผู้เชี่ยวชาญประเมินว่าน่าจะเป็นโมเดลที่โตโยต้านำมาใช้กับอีโคคาร์ในประเทศไทยซึ่งโตโยต้า ยาริส แอล มีความโดดเด่นที่ความกว้างของตัวรถ ว่ากันว่าสูสีกับรถในเซ็กเมนต์บี-คาร์อย่างโตโยต้า วีออสเลยทีเดียว ด้วยมิติขนาดความยาวตัวรถ 4.115 เมตร ความกว้าง 1.700 เมตร และสูง 1.495 เมตร พร้อมกับขยายฐานล้อเป็น 2.550 เมตร โดยจะทำให้ยาริส อีโคคาร์กลายเป็นอีโคคาร์แฮตช์แบ็กกว้างและยาวที่สุดในตลาด รถรุ่นนี้ได้วางจำหน่ายในตลาดจีนเมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา 

สำหรับราคาขายโตโยต้า ยาริส แอล เครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.3 และ 1.5 ลิตร ระดับราคาตั้งแต่ 367,000-578,000 บาท ได้เสียงตอบรับอย่างล้นหลาม ซึ่งผู้เชี่ยวชาญทางด้านรถยนต์ก็ประเมินราคาขายในประเทศไทย ซึ่งคาดว่าจะมีด้วยกัน 4 รุ่น เครื่องยนต์ 1.2 ลิตร เกียร์ซีวีที ก็น่าจะมีราคาเริ่มต้นใกล้เคียงกัน ซึ่งสอดคล้องกับผู้บริหารจากค่ายโตโยต้าที่ยืนยันกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ยาริส อีโคคาร์นั้นจะสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับตลาดอีโคคาร์ด้วยความกว้าง-ยาวกว่าทุกรุ่นที่มีในตลาด แถมยังให้ความสนุกสนานในการขับขี่ด้วย และขณะนี้ได้เริ่มขึ้นไลน์ผลิตเรียบร้อยแล้ว

โดยก่อนหน้านี้นายวุฒิกร สุริยะฉันทนานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า โตโยต้าได้เริ่มเดินสายการประกอบรถยนต์นั่งอีก 1 แห่ง ซึ่งมีกำลังการผลิตในระยะแรก 80,000 คันต่อปี ที่โรงงานเกตเวย์ 2 ตั้งแต่เมื่อวันที่ 26 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้โตโยต้าจะมีกำลังการผลิตรถยนต์ในประเทศไทยเพิ่มขึ้นเป็น 770,000 คันต่อปี

จากปัจจุบันที่โตโยต้ามีโรงงานประกอบรถยนต์ทั้งสิ้น 4 แห่ง คือ 1.โรงงานประกอบรถยนต์นั่ง คือโรงงานเกตเวย์ จ.ฉะเชิงเทรา 2.โรงงานบ้านโพธิ์ จ.ฉะเชิงเทรา 3.โรงงานสำโรง จ.สมุทรปราการ ซึ่งประกอบรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ และล่าสุดโรงงานโตโยต้า 

ออโต้ เวิคส จ.สมุทรปราการ สำหรับการผลิตรถตู้เพื่อตอบสนองการเติบโตของตลาดรถยนต์ทั้งในและนอกประเทศที่มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้บริษัทโตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น และบริษัทโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย ตัดสินใจลงทุนสร้างโรงงานประกอบรถยนต์เกตเวย์ 2 ที่ จ.ฉะเชิงเทรา สำหรับประกอบรถยนต์นั่งอีกแห่งหนึ่ง ภายใต้การลงทุนมูลค่า 11,000 ล้านบาท โดยมีการจ้างงานมากกว่า 1,500 ตำแหน่ง มีกำลังการผลิตในระยะแรก 80,000 คันต่อปี บนพื้นที่ขนาด 175,000 ตารางเมตร

ด้านตัวแทนจำหน่ายรถยนต์โตโยต้า เปิดเผยว่า เร็ว ๆ นี้โตโยต้าจะเริ่มทยอยเรียกตัวแทนจำหน่ายเข้ารับทราบข้อมูลผลิตภัณฑ์และทิศทางการทำตลาดยาริส อีโคคาร์ จากนั้นจะเรียกพนักงานขายจากโชว์รูมต่าง ๆ ทั่วประเทศเข้าอบรมข้อมูลผลิตภัณฑ์ รวมทั้งทดลองขับ ซึ่งคาดว่าจะมีด้วยกัน 4 รุ่น 7 สีให้เลือก เบื้องต้นคาดว่าอาจจะใช้พื้นที่ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต รวมทั้งศูนย์อบรมโตโยต้า สุวินทวงศ์

ในขณะที่การแนะนำยาริส อีโคคาร์ครั้งนี้ ก็น่าจะต้องใช้พรีเซ็นเตอร์เพื่อเป็นสื่อกลางในการถ่ายทอดผลิตภัณฑ์ ซึ่งขณะนี้ทีมมาร์เก็ตติ้งของโตโยต้าและเอเยนซี่อยู่ระหว่างการคัดเลือก คาดว่ามีโอกาสทั้งศิลปิน นักร้อง และนักแสดงชาวไทยและต่างชาติ เนื่องจากยาริส อีโคคาร์คันนี้ถือเป็นการสร้างรถยนต์เซ็กเมนต์ใหม่ขึ้นมา นอกจากทำตลาดในประเทศไทยแล้วยังมีการส่งออกด้วย

สำหรับอีโคคาร์ในบ้านเรา เริ่มมีการเปิดตัวอย่างจริงจังครั้งแรกเมื่อต้นปี 2553 ปัจจุบันมียอดขายไปแล้วมากกว่า 500,000 คัน จากรถ 7 รุ่น 4 ยี่ห้อ ได้แก่ นิสสัน มาร์ช-อัลเมร่า, ฮอนด้า บริโอ้-อเมซ, มิตซูบิชิ มิราจ-แอททราจ และซูซูกิ สวิฟท์
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
meadow
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 217
ผู้ติดตาม: 0

Re: สถานการณ์รถยนต์

โพสต์ที่ 23

โพสต์

เป็นไปตามคาดยอดรถจดทะเบียนเดือนสิงหาคมลงต่อ
syj
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 4254
ผู้ติดตาม: 1

Re: สถานการณ์รถยนต์

โพสต์ที่ 24

โพสต์

ส.อ.ท.ดันเพิ่มสัดส่วนส่งออกรถหลังบริโภคในปท.ชะลอเหตุจบโครงการรถคันแรก

ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- ศุกร์ที่ 6 กันยายน 2556 18:35:41 น.

นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ โฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.)ระบุว่า ผลจากการชะลอตัวของการบริโภคในประเทศนั้น กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ได้ปรับลดสัดส่วนการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศลง 5 หมื่นคัน จากที่เคยอยู่ที่ระดับ 1.1 ล้านคัน แต่ปรับเพิ่มสัดส่วนการผลิตเพื่อส่งออกเพิ่มขึ้นเป็น 1.15 ล้านคัน แต่ทั้งนี้ยังคงปริมาณการผลิตรถยนต์ทั้งปีที่ระดับ 2.25 ล้านคน ปรับเพิ่มขึ้น 12% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ส่วนยอดจองรถยนต์ตามโครงการรถคันแรกของรัฐบาลนั้น ขณะนี้ยังมีผู้ถือใบจองที่ยังไม่ได้รับรถอีกกว่า 1.8 แสนคัน แต่ยังไม่สามารถสรุปยอดว่าทั้งหมดเป็นผู้ทิ้งใบจองหรือไม่ เนื่องจากยังมีสิทธิ์ในโครงการรถคันแรกอยู่จนกว่าค่ายรถยนต์จะยกเลิกการผลิตรถรุ่นเหล่านั้นที่ปกติจะมีระยะเวลาการผลิตรถยนต์แต่ละรุ่นที่ 4 ปี

โฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ กล่าวว่า ในปัจจุบันธุรกิจยานยนต์สามารถส่งออกรถยนต์ได้เพิ่มขึ้น แม้ว่าอุตสาหกรรมยานยนต์ได้ปรับโครงสร้างภาษีลงเหลือ 0% มาตั้งแต่ 3 ปีที่แล้ว และเผชิญกับการกีดกันทางการค้าในรูปแบบต่างๆ ที่ไม่ใช่ภาษี แต่ภาครัฐได้ให้การช่วยเหลือผ่านการเจรจาระหว่างประเทศผ่านทางข้อตกลง FTA

ล่าสุด หลังจากบรรลุข้อตกลง FTA กับออสเตรเลีย ยอดส่งออกรถยนต์ของไทยไปออสเตรเลียได้ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 29% และนับตั้งแต่ต้นปี ยอดส่งออกรถยนต์ในออสเตรเลียก็สูงขึ้นมาต่อเนื่อง โดยเพิ่มขึ้นจาก 22% เป็น 26%

อินโฟเควสท์ โดย อตฦ/กษมาพร/ศศิธร โทร.02-2535000 ต่อ 345 อีเมล์: [email protected]--
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
3pigs
Verified User
โพสต์: 39
ผู้ติดตาม: 0

Re: สถานการณ์รถยนต์

โพสต์ที่ 25

โพสต์

สมาร์ทโฟนแย่งซีน คนมะกันรุ่นใหม่เมินขับรถ


updated: 05 ก.ย. 2556 เวลา 19:37:20 น.

คอลัมน์ รอบโลกน่ารู้


เมื่อมีคนไปทำงานลดลง คนที่ขับรถก็น้อยลงด้วย นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ผู้เชี่ยวชาญใช้อธิบายการดิ่งลงของระยะทางที่คน อเมริกันขับรถในช่วงเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ แต่ตอนนี้แม้เศรษฐกิจสหรัฐเริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัว ระยะทางการขับรถของคนในประเทศดังกล่าวกลับยังลดลงต่อเนื่อง

ซีเอ็นบีซีอ้างรายงานของสำนักงานทางหลวงส่วนกลางสหรัฐว่า ตัวเลขระยะทางที่ยานพาหนะแต่ละคันวิ่ง (VMT) ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ยังคงร่วงลง ทั้ง ๆ ที่ควรจะเพิ่มขึ้นเมื่อดูจากภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มกระเตื้อง

สอดคล้องกับผลการศึกษาของศูนย์ระบบคมนาคมแห่งชาติ จอห์น เอ. วอล์พ ที่พบว่า ระยะทางที่แต่ละคนขับรถต่อเดือนลดลงอย่างเห็นได้ชัดในช่วงไม่กี่ปีมานี้ โดยตัวเลขดังกล่าวพุ่งสูงสุดที่ 900 ไมล์ (1,448 กม.) ต่อเดือนในเดือนกรกฎาคม 2547 แต่ในเดือนที่เจ็ดของปีกลาย ระยะทางขับรถลดเหลือ 820 ไมล์ (1,320)/เดือน

ดอน พิกเรลล์ และ เดวิด เพซ นักวิจัยของศูนย์วอล์พชี้ว่า "เกือบ 40 ปีที่ผ่านมา ตัวเลข VMT เคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับจีดีพี ช่วงเกิดวิกฤตการเงินโลกครั้งล่าสุดตัวเลขดังกล่าวก็ลดลง แต่เมื่อเศรษฐกิจเริ่มมีแนวโน้มเป็นบวก VMT กลับไม่ได้เพิ่มขึ้นตามไปด้วย ซึ่งสาเหตุบางอย่างไม่ใช่เรื่องใหม่ อาทิ ตลาดรถยนต์เริ่มถึงจุดอิ่มตัว คนรุ่นเบบี้บูมขับรถน้อยลงตามอายุที่มากขึ้น รวมถึงค่าใช้จ่ายที่สูงในการเป็นเจ้าของรถ"

ในหมู่นักขับรุ่นใหม่ก็ขับรถน้อยลงเช่นกัน เนื่องจากต้นทุนในการซื้อรถตลอดจนค่าบำรุงรักษาแพงมากเมื่อเทียบกับรายได้ อีกทั้งรัฐบาลยังเพิ่มความเข้มงวดในการอนุมัติใบขับขี่ให้กับวัยรุ่น นอกจากนี้ คนหนุ่มสาวยังเลือกที่จะติดต่อสื่อสารกันผ่านการส่งข้อความหรือโซเชียลมีเดียมากกว่าจะพบหน้าค่าตากันจริง ๆ

การบูมของอุตสาหกรรมโทรคมนาคมยังส่งผลให้คนรุ่นใหม่หมดเงินไปกับแก็ดเจตอย่างสมาร์ทโฟนหรือแท็บเลตซึ่งกลายเป็นสินค้าแสดงสถานะทางสังคมในยุคปัจจุบัน แทนที่จะนำไปซื้อรถยนต์ซึ่งเป็นสิ่งวัดสถานะทางสังคมของคนรุ่นก่อน

แนนซี แมคกัคคิน นักวิเคราะห์พฤติกรรมด้านการคมนาคมมองว่า "การใช้รถยนต์เป็นสิ่งวัดศักยภาพของผู้ชายน่าจะสิ้นสุดลงแล้วสำหรับคนบางรุ่น ฉันไม่คิดว่าผู้ชายรุ่นใหม่จะให้ความสนใจกับรถที่ตัวเองขับมากเท่ากับสมัยก่อน"

เนื่องจากภาคการผลิตขายและให้บริการหลังการขายรถยนต์เป็นแหล่งจ้างงานขนาดใหญ่ ตลอดจนเป็นอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนจีดีพีของสหรัฐ พฤติกรรมการขับรถที่เปลี่ยนแปลงไปของคนอเมริกันย่อมส่งผลกระทบครั้งใหญ่ต่อภาพรวมเศรษฐกิจในอนาคต ในรายงานของศูนย์วอล์พชี้ว่า กองทุนทรัสต์ทางหลวงซึ่งมีรายได้จากภาษีพลังงานจะมีรายรับไม่เพียงพอสำหรับการบำรุงรักษาโครงสร้างพื้นฐาน จนอาจทำให้รัฐต้องดึงงบประมาณจากส่วนอื่นมาโปะหรือปรับขึ้นภาษีเพื่อไม่ให้กองทุนติดลบ




ร่วมเป็นเฟซบุ๊คแฟนเพจประชาชาติธุรกิจออนไลน์

www.facebook.com/prachachatonline

ทวิตเตอร์ @prachachat
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... 1378381097
miracle
Verified User
โพสต์: 18364
ผู้ติดตาม: 1

Re: สถานการณ์รถยนต์

โพสต์ที่ 26

โพสต์

พบรถในกรุงเทพฯเพิ่มทำความเร็วเฉลี่ยลดลง
เมื่อวันที่ 3 ก.ย. นางสาวตรีดาว อภัยวงศ์ โฆษกกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยถึง สถานการณ์การจราจรในพื้นที่กรุงเทพฯ ในปัจจุบันว่า ปัญหาจราจรในพื้นที่กรุงเทพฯ ปัจจุบันที่การจราจรใน กทม. เข้าขั้นวิกฤต ซึ่งจะเห็นได้จากข้อมูลรถจดทะเบียนในกรุงเทพฯ ของกรมการขนส่งทางบก(ขบ.) ระบุว่าปี2554 มีรถจดทะเบียนสะสมกว่า 6,850,000 คัน ในปี 2555 มีรถจดทะเบียนใหม่ 1,072,040 คัน และล่าสุดข้อมูลเมื่อเดือน ก.ค. 2556 มีรถจดทะเบียนใหม่มีมากถึง 715,341 คัน รวมแล้วใน กทม. มีจำนวนรถจดทะเบียนสูงกว่า 8 ล้านคัน โดยข้อมูลจากสำนักการจราจรและขนส่ง(สจส.) กทม. ระบุว่าอัตราความเร็วเฉลี่ยในการเดินทางบนถนนในชั่วโมงเร่งด่วน ในปี 2554-2556 พื้นที่ชั้นในเกิดปัญหาจราจรวิกฤตขึ้นเรื่อยๆ และยังขยายพื้นที่ไปถึงเขตพื้นที่ชั้นกลาง โดยจากข้อมูลถนนงามวงศ์วาน จากแยกแคราย - แยกเกษตร เป็นเส้นทางที่มีความเร็วเฉลี่ยในการเดินทางลดลงมากที่สุด ซึ่งจากปี 2554 มีความเร็วเฉลี่ย 36.95 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ในปี 2556 ในเดือน ส.ค. วัดได้เพียง 24.34 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเท่านั้น รองลงมาคือถนนศรีอยุธยา จากแยกมักกะสัน-แยกสี่เสาเทเวศร์ ถนนสุขุมวิท จากแยกบางนา-แยกใต้ทางด่วนเพลินจิต ถนนพหลโยธิน จากแยกหลักสี่-แยกลาดพร้าว และถนนรัชดาภิเษก จากแยกรัชวิภา-แยกพระราม9

นางสาวตรีดาว กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตามปีนี้ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม.ได้ร่วมมือกับทุกภาคส่วน จัดงาน "บางกอกคาร์ฟรีเดย์2013" เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคลอย่างจริงจัง เป็นกรบรรเทาปัญหาการจราจรที่บั่นทอนสุขภาพกาย สุขภาพจิตของคนเมืองหลวง โดยจะมีการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 4 ก.ย.นี้ ที่ศาลาว่าการ กทม.
http://www.dailynews.co.th/bkk/230589
---------------------------------------------------------------
อ่านแล้วรู้สึกกันอย่างไงละครับ
:)
:)
yoko
Verified User
โพสต์: 4395
ผู้ติดตาม: 0

Re: สถานการณ์รถยนต์

โพสต์ที่ 27

โพสต์

คนไทยชอบขับรถครับ
ข้างบ้านมีรถสามคัน
สามี1คัน
ภรรยา1คัน
ลูกสาว1คัน
ทั้งสามคนขับไปทำงานครับ
syj
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 4254
ผู้ติดตาม: 1

Re: สถานการณ์รถยนต์

โพสต์ที่ 28

โพสต์

ชิ้นส่วนคึกรับรถจีนปักหลักลงทุน เซี่ยงไฮ้-ซีพีเท9พันล.ประเดิม"MG6"ชนค่ายญี่ปุ่น

updated: 09 ก.ย. 2556 เวลา 11:50:53 น.

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

ชิ้นส่วนคึกคักรับค่ายรถจีน หลังเซี่ยงไฮ้ ออโตฯผนึกซีพีลุยตั้งโรงงานรถผลิตประเดิมขายคอมแพ็กต์คาร์ MG6 กลางปีหน้า ย้ำราคาสูสีค่ายญี่ปุ่น ตั้งเป้า 2,000 คัน ด้าน "บริลเลี่ยน" แย้มผลิตรถมินิบัส "จินเป่ย" จีบนักลงทุนไทยร่วมทุนแล้ว "เคแบงก์" ระบุชัดเอสเอ็มอีชิ้นส่วนไทยจับคู่ธุรกิจ 3 ค่ายรถจีนสนุกมือ คาดยอดเจรจาธุรกิจทะลุ 500 ล้าน

นายอำนวย ศิริจันทร์สว่าง ประธานบริหารด้านการเงิน บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่างบริษัทเซี่ยงไฮ้ ออโตโมทีฟ อินดัสทรี คอร์ปอเรชั่น หรือ SAIC ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ในจีน กับเครือเจริญโภคภัณฑ์หรือซีพี เพื่อผลิตและจำหน่ายรถยนต์สัญชาติอังกฤษแบรนด์ "เอ็มจี" เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ถึงความคืบหน้าการลงทุนในประเทศไทย ว่า ได้ใช้งบประมาณการตั้งฐานผลิตในไทยกว่า 9,000 ล้านบาท บนพื้นที่กว่า 26 ไร่ของนิคมอุตสาหกรรมเหมราช อีสเทิร์นซีบอร์ด มีพื้นที่ใช้สอยราว 16,000 ตร.ม. กำลังการผลิตรวม 50,000 คันต่อปีจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในราวเดือนมิถุนายนปีหน้า ประเดิมผลิต 1 รุ่น คือ "MG6" ซึ่งเป็นรถคอมแพ็กต์คาร์ ขนาดเครื่องยนต์ 1,800 ซีซี โดยตั้งเป้ายอดขายในปีแรกไว้ที่ 2,000 คัน และในอนาคตจะแนะนำรถรุ่น "MG3" และ "MG5" ที่เป็นรถยนต์ซับคอมแพ็กต์ขนาด 1,500 ซีซี ซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่ และได้เริ่มเจรจาหาผู้แทนจำหน่ายแล้ว เบื้องต้นมีผู้สนใจแล้วกว่า 10-20 ราย ที่จะเปิดทั้งในกรุงเทพฯ และตามหัวเมืองใหญ่

ในช่วงแรกจะมุ่งเน้นทำตลาดในประเทศไทยเป็นหลักก่อน หลังจากนั้นจะส่งออกไปจำหน่ายในอาเซียน โดยประเทศที่น่าสนใจ คือ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นตลาดรถพวงมาลัยขวา

ขณะที่แหล่งข่าวจากบริษัท บริลเลี่ยน ออโต้ อินเตอร์เนชั่นแนล เทรด จำกัด เปิดเผยว่า พร้อมจะเข้ามาผลิตรถมินิบัสในประเทศไทย ภายใต้ชื่อแบรนด์ "จินเป่ย" (Jinbei) โดยบริษัทได้หาพาร์ตเนอร์ในไทยสำหรับตั้งโรงงานผลิต คาดว่าน่าจะเริ่มผลิตได้ภายในปีหน้า ด้วยกำลังการผลิต 3,000-5,000 คันต่อปี เพื่อจำหน่ายรถ 4 รุ่น ทั้งประเภทดีเซล, ซีเอ็นจี, แอลพีจี และแบบ 2 ระบบ ตั้งเป้าว่าในปีหน้าจะมียอดขายราว 2,000 คัน

แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า การก้าวเข้ามาทำตลาดในประเทศของกลุ่มรถยนต์สัญชาติจีน ส่งผลให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนทั้งของไทยและจีนคึกคักกันมาก ช่วงนี้ทยอยเข้ามาลงทุนกันเป็นจำนวนมาก

นายพัชร สมะลาภา รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยถึงภาพของกลุ่มทุนจีนโดยเฉพาะผู้ผลิตรถยนต์ว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลจีนมีนโยบายสนับสนุนธุรกิจจีนให้ออกไปลงทุนในต่างประเทศ ส่งผลให้กลุ่มผู้ผลิตยานยนต์และชิ้นส่วนเริ่มขยายธุรกิจสู่ต่างประเทศโดยเฉพาะในอาเซียนมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ซึ่งเป็นประเทศที่มีการผลิตรถยนต์

และประเทศไทยถือเป็นประเทศที่น่าสนใจ เนื่องจากมีคลัสเตอร์ผลิตชิ้นส่วนขนาดใหญ่ด้วยจำนวนผู้ผลิตชิ้นส่วนหลักหมื่นราย ปีที่ผ่านมาตลาดรถยนต์มีการเติบโต 30-40% และในปีนี้ตลาดยังเติบโตได้ 10-15% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าที่มีโครงการรถคันแรก ทำให้ผู้ผลิตจีนสนใจเข้ามาลงทุนภายใต้ข้อกำหนดการใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในไทยอย่างน้อย 40% ตามข้อกำหนดของเขตปลอดอากรหรือฟรีโซน เพื่อให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์พวงมาลัยขวา สำหรับส่งออกไปยังประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค

โดยบริษัทจะจัดการจับคู่ธุรกิจหรือบิสซิเนสแมตชิ่ง เพื่อให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์จีนและไทยได้มีโอกาสพบปะและทำข้อตกลงร่วมทุน หรือซื้อขายสินค้าระหว่างกัน โดยบริษัทได้จัดโครงการสนับสนุนวงเงินสินเชื่อด้านเทรดไฟแนนซ์ให้แก่ผู้ผลิตจีน และจะเพิ่มวงเงินสินเชื่อให้แก่ลูกค้าเอสเอ็มอีไทยด้วย เบื้องต้นมีค่ายรถ 3 รายที่สนใจ คือ เอ็มจี จินเป่ย และตงฟง ออโต้โมบิล สนใจที่จะหาพาร์ตเนอร์ ผู้ประกอบการไทยที่มีศักยภาพและมีสินค้าที่ผู้ประกอบการจีนต้องการมีจำนวน 30 บริษัทที่เตรียมจะจับคู่ต่อไป ซึ่งคาดว่าภายใน 1 ปีน่าจะมียอดเจรจาธุรกิจไม่น้อยกว่า 500 ล้านบาท

ด้านนายเจอรี่ เฉิน รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีเอส รับเบอร์ อินดัสตรี จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทเป็นผู้ผลิตรับเบอร์คอมปาวด์เพื่อป้อนให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนต่อไป ซึ่งเป็นบริษัทคนไทย 100% ที่สนใจเข้าร่วมการจับคู่ธุรกิจกับผู้ประกอบการจีน เนื่องจากต้องการขยายตลาดสู่ประเทศจีน ปัจจุบันมีลูกค้าทั้งในประเทศ และส่งออก คือ เกาหลี และไต้หวันแล้ว ประกอบกับเมื่อตลาดรถยนต์ในประเทศหดตัวลงกระทบกับซัพพลายเออร์ ทำให้บริษัทต้องหาลูกค้าเพิ่ม จึงคาดว่าหากสามารถจับคู่กับกลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนในจีนได้ก็จะเพิ่มยอดขายและกำลังการผลิตต่อไปได้ และยังสนใจหาผู้ร่วมทุนชาวจีนเพื่อขยายธุรกิจไปสู่การผลิตยางรถยนต์เพื่อจำหน่ายในประเทศจีนต่อไป

http://www.prachachat.net/news_detail.p ... 1378701696
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
syj
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 4254
ผู้ติดตาม: 1

Re: สถานการณ์รถยนต์

โพสต์ที่ 29

โพสต์

เปิด ตัวเลขยอดขายรถยนต์ต่ำกว่าแสนคันต่อเดือน 3 เดือนติด แต่ยอดรวม 8 เดือนยังฉิวทะลุ 9.37 แสน

"ฮอนด้า" ยังเหนียวแน่น ครองแชมป์เก๋ง ฟากซูซูกิปลื้มสวิฟท์รักษาเบอร์หนึ่งอีโคคาร์

หอการค้าญี่ปุ่น รายงานยอดขายรถยนต์เดือนสิงหาคมที่ผ่านมาว่า มียอดขาย 98,937 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกรกฎาคมที่ทำได้ 97,634 คันเพียงเล็กน้อย ซึ่งเป็นภาวะการขายที่ตกต่ำกว่าแสนคันต่อเดือน เป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน

แต่ อย่างไรก็ตาม ยอดขายรวม 7 เดือนยังสามารถสร้างตัวเลขได้ถึง 937,990 คัน โดยค่ายโตโยต้ามียอดการจำหน่ายสูงสุดที่ 31,237 คัน, ฮอนด้า 15,762 คัน, อีซูซุ จำนวน 14,276 คัน, มิตซูบิชิ จำนวน 8,102 คัน, นิสสัน จำนวน 7,209 คัน, เชฟโรเลต จำนวน 5,818 คัน, ซูซูกิ จำนวน 4,838 คัน, ฟอร์ด จำนวน 4,300 คัน, มาสด้า จำนวน 3,901 คัน อื่น ๆ 3,500 คัน

เซ็กเมนต์รถยนต์ นั่ง พบว่า ฮอนด้ายังคงรักษายอดการจำหน่ายสูงสุด 15,762 คัน รองลงมา คือ โตโยต้า จำนวน 13,706 คัน, นิสสัน จำนวน 5,772 คัน, มิตซูบิชิ จำนวน 4,406 คัน, ซูซูกิ จำนวน 4,377 คัน, มาสด้า จำนวน 1,914 คัน ส่วนค่ายเชฟโรเลตและฟอร์ดขณะนี้ยังไม่มีการแจ้งยอดขาย

ขณะที่รถ ปิกอัพขนาด 1 ตัน และรถเพื่อการพาณิชย์ พบว่า โตโยต้ามียอดขาย 17,525 คัน, อีซูซุ จำนวน 14,276 คัน มิตซูบิชิ จำนวน 3,696 คัน นิสสัน จำนวน 1,437 คัน ซูซูกิ จำนวน 461 คัน และมาสด้า จำนวน 1,987 คัน ส่วนที่เหลือยังไม่มีการรายงาน

ส่วน อีโคคาร์ในเดือนสิงหาคมมียอดการจำหน่ายทั้งสิ้น 15,189 คัน ซูซูกิ สวิฟท์ ยังคงครองแชมป์ยอดการจำหน่ายสูงสุดเมื่อเทียบรุ่นต่อรุ่น ด้วยยอดขาย 4,001 คัน รองลงมา คือ นิสสัน อัลเมร่า จำนวน 3,413 คัน, มิตซูบิชิ แอททราจ จำนวน 2,928 คัน ฮอนด้า อเมซ จำนวน 1,986 คัน, มิตซูบิชิ มิราจ จำนวน 1,415 คัน, นิสสัน มาร์ช จำนวน 1,073 คัน และฮอนด้า บริโอ้ จำนวน 373 คัน

http://www.prachachat.net/news_detail.p ... catid=0800
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
miracle
Verified User
โพสต์: 18364
ผู้ติดตาม: 1

Re: สถานการณ์รถยนต์

โพสต์ที่ 30

โพสต์

จากค่ายนิสสัน
http://d1exrww4rcli6i.cloudfront.net/pu ... =580&h=326
:)