เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
- tum_H
- Verified User
- โพสต์: 1857
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 301
สำหรับผม เมื่อได้มาศึกษาหลักคำสอนขององค์สมเด็จพระบรมศาสดา โดยอาศัยหลักวิชามากขึ้น
ผมพบว่าการลงทุนในหุ้นของผมนั้นเปลี่ยนไปมาก ถึงแม้ว่าการปฏิบัติทางธรรมในปัจจุบันจะยัง
ลุ่มๆดอนๆอยู่ เพราะยังถูกครอบจากกิเลสอยู่มาก
ที่บอกว่าเปลี่ยนไปมาก ไม่ได้หมายถึงมีกำไรเพิ่มขึ้นอย่างมากนะครับ แต่เป็นความรู้สึกพอใจในผลตอบแทน
ตามที่ตัวเองตั้งเป้าไว้ เมื่อก่อนมีแต่ความกระวนกระวายใจ มีมากยิ่งอยากได้มาก หุ้นตกก็เป็นทุกข์ อยากไม่มีที่สิ้นสุด
แต่ตอนนี้ได้ผลตอบแทนมากกว่าเงินฝากพอควร ทำไมเราจึงจะยังเป็นทุกข์ ทำไมถึงหาแต่ทุกข์ใส่ตัว ดังธรรมที่ว่า
“เมื่อประกอบด้วยความอยากดิ้นรน โลภ หลง อยู่แล้ว จักเป็นผู้สงบระงับได้อย่างไร”
เนื้อความในธัมมะจักร กล่าวว่า ส่วนสุดสองอย่างที่พึงละคือ ส่วนของความรักคือ กามสุข และส่วนของความชัง คือ อัตตะกิละมะถา
สองส่วนนี้รวมกันกลายเป็นความหลง ทำให้เรายังติดในสมมุติอยู่
แต่เมื่อจิตหลุดจากสมมุติ กลายเป็นวิมุตติ จิตจึงพ้นจากส่วนสอง เมื่อพ้นจากส่วนสอง จิตจึงสว่างไสวไปทั้งโลกธาตุ
โลกธาตุจึงหวั่นไหว หวั่นไหวเพราะได้เห็นในของที่ไม่เคยเห็น หวั่นไหวเพราะจะไม่ได้มาเกาะบนธาตุของโลกนี้อีกเลย
กล่าวคือ ธรรมะทำให้เรารู้จักพอ พอใจในทรัพย์ที่หามาได้ด้วยกำลังตนโดยสุจริต พอใจในการใช้ชีวิตในภาวะและฐานะที่เราเป็นอยู่ในปัจจุบัน
ความอยากได้ ดิ้นรน ก็จะค่อยๆลนทอนลงไป สุดท้ายการลงทุนก็จะเป็นเพียงการหาเลี้ยงชีพตามปรกติของชีวิตไปครับ
ผมพบว่าการลงทุนในหุ้นของผมนั้นเปลี่ยนไปมาก ถึงแม้ว่าการปฏิบัติทางธรรมในปัจจุบันจะยัง
ลุ่มๆดอนๆอยู่ เพราะยังถูกครอบจากกิเลสอยู่มาก
ที่บอกว่าเปลี่ยนไปมาก ไม่ได้หมายถึงมีกำไรเพิ่มขึ้นอย่างมากนะครับ แต่เป็นความรู้สึกพอใจในผลตอบแทน
ตามที่ตัวเองตั้งเป้าไว้ เมื่อก่อนมีแต่ความกระวนกระวายใจ มีมากยิ่งอยากได้มาก หุ้นตกก็เป็นทุกข์ อยากไม่มีที่สิ้นสุด
แต่ตอนนี้ได้ผลตอบแทนมากกว่าเงินฝากพอควร ทำไมเราจึงจะยังเป็นทุกข์ ทำไมถึงหาแต่ทุกข์ใส่ตัว ดังธรรมที่ว่า
“เมื่อประกอบด้วยความอยากดิ้นรน โลภ หลง อยู่แล้ว จักเป็นผู้สงบระงับได้อย่างไร”
เนื้อความในธัมมะจักร กล่าวว่า ส่วนสุดสองอย่างที่พึงละคือ ส่วนของความรักคือ กามสุข และส่วนของความชัง คือ อัตตะกิละมะถา
สองส่วนนี้รวมกันกลายเป็นความหลง ทำให้เรายังติดในสมมุติอยู่
แต่เมื่อจิตหลุดจากสมมุติ กลายเป็นวิมุตติ จิตจึงพ้นจากส่วนสอง เมื่อพ้นจากส่วนสอง จิตจึงสว่างไสวไปทั้งโลกธาตุ
โลกธาตุจึงหวั่นไหว หวั่นไหวเพราะได้เห็นในของที่ไม่เคยเห็น หวั่นไหวเพราะจะไม่ได้มาเกาะบนธาตุของโลกนี้อีกเลย
กล่าวคือ ธรรมะทำให้เรารู้จักพอ พอใจในทรัพย์ที่หามาได้ด้วยกำลังตนโดยสุจริต พอใจในการใช้ชีวิตในภาวะและฐานะที่เราเป็นอยู่ในปัจจุบัน
ความอยากได้ ดิ้นรน ก็จะค่อยๆลนทอนลงไป สุดท้ายการลงทุนก็จะเป็นเพียงการหาเลี้ยงชีพตามปรกติของชีวิตไปครับ
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
-
- Verified User
- โพสต์: 39
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 303
บทความนี้เส้นทางธรรม
อยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อม แต่รู้เท่าทันและสามารถกำหนดรู้ที่จะเกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมนั้นๆ ได้อย่างถูกต้องเหมาะสม...การรู้เท่าทัน และสามารถกำหนดวิธีการได้เช่นนี้ จึงว่า “อยู่ใน” แต่ “อยู่เหนือ”...เหมือนหยดน้ำบนใบบัว อยู่บนใบบัว แต่ไม่เกาะติดอยู่ในใบบัวนั้น...นี่คือใจความสำคัญของสภาวะการรู้แจ้งธรรมอันสูงสุด และเป็นแก่นแท้ของพุทธธรรม
ความรู้สึกตัวเป็นเรื่องที่สำคัญมาก...
พระอรหันต์ก็ไม่ใช่ใครอื่น
นอกจากผู้ที่มีสติสมบูรณ์ทุกอิริยาบถเท่านั้น
คือท่านรู้สึกตัวอยู่ทุกขณะจิตเท่านั้น...
แต่ปุถุชนส่วนใหญ่จะลืมตัว
พลัดหลงไปจากตัว ไม่รู้สึกตัว
แต่ไปหมกหรือตกอยู่ในความคิดเสียเป็นส่วนใหญ่
เรียกว่าไม่รู้สึกตัวของตัว...
บทความนี้ให้สำหรับการลงทุนแบบวีไอ
อยากได้ยิ่งหนี อยากมียิ่งยาก
ฉะนั้น บุคคลผู้มีปัญญาพึงตัดคำว่าอยากออกเสีย
ก่อนที่จะลงมือกระทำการใดๆ
จะช่วยให้งานนั้นเสร็จเร็วยิ่งขึ้น
บทความนี้ให้สำหรับคนหาเส้นทางธรรมและการลงทุนแนววีไอ
คนที่เข้าใจเรื่องจิตของตนเอง
สามารถบรรลุได้โดยใช้ความเพียรไม่มาก
ส่วนคนที่ไม่เข้าใจ เรื่องจิตของตนเอง
ปฏิบัติไปก็ไร้ประโยชน์ ความดีความชั่วทุกอย่าง มาจากจิตของท่านเอง
การค้นหาสิ่งที่อยู่ภายนอกจิตนั้น เป็นไปไม่ได้
อยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อม แต่รู้เท่าทันและสามารถกำหนดรู้ที่จะเกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมนั้นๆ ได้อย่างถูกต้องเหมาะสม...การรู้เท่าทัน และสามารถกำหนดวิธีการได้เช่นนี้ จึงว่า “อยู่ใน” แต่ “อยู่เหนือ”...เหมือนหยดน้ำบนใบบัว อยู่บนใบบัว แต่ไม่เกาะติดอยู่ในใบบัวนั้น...นี่คือใจความสำคัญของสภาวะการรู้แจ้งธรรมอันสูงสุด และเป็นแก่นแท้ของพุทธธรรม
ความรู้สึกตัวเป็นเรื่องที่สำคัญมาก...
พระอรหันต์ก็ไม่ใช่ใครอื่น
นอกจากผู้ที่มีสติสมบูรณ์ทุกอิริยาบถเท่านั้น
คือท่านรู้สึกตัวอยู่ทุกขณะจิตเท่านั้น...
แต่ปุถุชนส่วนใหญ่จะลืมตัว
พลัดหลงไปจากตัว ไม่รู้สึกตัว
แต่ไปหมกหรือตกอยู่ในความคิดเสียเป็นส่วนใหญ่
เรียกว่าไม่รู้สึกตัวของตัว...
บทความนี้ให้สำหรับการลงทุนแบบวีไอ
อยากได้ยิ่งหนี อยากมียิ่งยาก
ฉะนั้น บุคคลผู้มีปัญญาพึงตัดคำว่าอยากออกเสีย
ก่อนที่จะลงมือกระทำการใดๆ
จะช่วยให้งานนั้นเสร็จเร็วยิ่งขึ้น
บทความนี้ให้สำหรับคนหาเส้นทางธรรมและการลงทุนแนววีไอ
คนที่เข้าใจเรื่องจิตของตนเอง
สามารถบรรลุได้โดยใช้ความเพียรไม่มาก
ส่วนคนที่ไม่เข้าใจ เรื่องจิตของตนเอง
ปฏิบัติไปก็ไร้ประโยชน์ ความดีความชั่วทุกอย่าง มาจากจิตของท่านเอง
การค้นหาสิ่งที่อยู่ภายนอกจิตนั้น เป็นไปไม่ได้
- tum_H
- Verified User
- โพสต์: 1857
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 304
ไม่รู้ว่า ใครมีปัญหาเรื่องนอนไม่หลับบ้างไหม
สำหรับผมก่อนที่จะนอน ก็จะตั้งจิตว่า ถึงเวลานอนแล้ว จะขอนอนอย่างเดียว
เรื่องต่างๆที่วุ่นวายขอหยุดไว้ก่อน ไม่ขอคิด
หลังจากนั้น ก็จะนอนและภาวนา พุทโธ ไปด้วย
จนสุดท้ายก็จะหลับไป และก็จะตื่นเมื่อถึงเวลาที่ตั้งปลุกไว้
ไม่มีสะดุ้งตื่นกลางคันระหว่างที่นอน
เมื่อก่อนชอบตื่นขึ้นมาตอนดึกๆ นอนไม่หลับ หรือ สะดุ้งตื่น
แต่ตอนนี้พอมาภาวนา พุทโธ ในขณะที่นอน รู้สึกว่าปัญหาเรื่องการนอนไม่หลับหายไป
ทำให้มีพลังในการทำงานและการลงทุนได้ดีมากครับ
สำหรับผมก่อนที่จะนอน ก็จะตั้งจิตว่า ถึงเวลานอนแล้ว จะขอนอนอย่างเดียว
เรื่องต่างๆที่วุ่นวายขอหยุดไว้ก่อน ไม่ขอคิด
หลังจากนั้น ก็จะนอนและภาวนา พุทโธ ไปด้วย
จนสุดท้ายก็จะหลับไป และก็จะตื่นเมื่อถึงเวลาที่ตั้งปลุกไว้
ไม่มีสะดุ้งตื่นกลางคันระหว่างที่นอน
เมื่อก่อนชอบตื่นขึ้นมาตอนดึกๆ นอนไม่หลับ หรือ สะดุ้งตื่น
แต่ตอนนี้พอมาภาวนา พุทโธ ในขณะที่นอน รู้สึกว่าปัญหาเรื่องการนอนไม่หลับหายไป
ทำให้มีพลังในการทำงานและการลงทุนได้ดีมากครับ
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1223
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 305
ผมก็เคยเกิดอาการนอนไม่หลับ หรือตื่นขึ้นมากลางดึกบ้างเหมือนกันครับพี่tum_H
ส่วนใหญ่จะเกิดเฉพาะวันที่เรามีเรื่องเครียดหรือไม่สบายจากปัญหาในการทำงาน,
วันที่ทานอาหารเย็นน้อยไป จึงตื่นเพราะความหิว
หรือช่วงที่มีเรื่องตื่นเต้นในชีวิตทำให้จิตใจฟุ้งซ่านครับ...
วิธีแก้ของผมหากมีเวลาอ่านหนังสือแนวที่ทำให้จิตใจสงบก่อนนอน ก็จะใช้วิธีอ่านหนังสือ
ถ้าไม่มีเวลาหรือเหนื่อยและเพลียมาก ก็จะให้วิธีตามดูลมหายใจครับ
ถ้าปัญหาไม่ยากเกินไป ผมมักจะหลับต่อในเวลาไม่นานนัก
แต่ถ้ามีปัญหาที่ยังคิดไม่ตก บางครั้งก็เอาไม่อยู่เหมือนกัน
ครั้งหน้าจะลองใช้วิธีตั้งจิตเสริมแบบพี่tum_Hดูอีกวิธีครับ
ปล.ของผมจะนานๆเกิดซักครั้งครับ
เพราะส่วนใหญ่มักเหนื่อยจากการเลี้ยงลูกหรือออกกำลังกาย
จนหลับสนิทเสมอ แถมบ่อยครั้งที่หลับก่อนลูกๆอีก แฮ่...
ส่วนใหญ่จะเกิดเฉพาะวันที่เรามีเรื่องเครียดหรือไม่สบายจากปัญหาในการทำงาน,
วันที่ทานอาหารเย็นน้อยไป จึงตื่นเพราะความหิว
หรือช่วงที่มีเรื่องตื่นเต้นในชีวิตทำให้จิตใจฟุ้งซ่านครับ...
วิธีแก้ของผมหากมีเวลาอ่านหนังสือแนวที่ทำให้จิตใจสงบก่อนนอน ก็จะใช้วิธีอ่านหนังสือ
ถ้าไม่มีเวลาหรือเหนื่อยและเพลียมาก ก็จะให้วิธีตามดูลมหายใจครับ
ถ้าปัญหาไม่ยากเกินไป ผมมักจะหลับต่อในเวลาไม่นานนัก
แต่ถ้ามีปัญหาที่ยังคิดไม่ตก บางครั้งก็เอาไม่อยู่เหมือนกัน
ครั้งหน้าจะลองใช้วิธีตั้งจิตเสริมแบบพี่tum_Hดูอีกวิธีครับ
ปล.ของผมจะนานๆเกิดซักครั้งครับ
เพราะส่วนใหญ่มักเหนื่อยจากการเลี้ยงลูกหรือออกกำลังกาย
จนหลับสนิทเสมอ แถมบ่อยครั้งที่หลับก่อนลูกๆอีก แฮ่...
ซื้อหุ้นตัวที่เมื่อมองไปในอนาคตแล้ว ที่ปัจจุบันราคายัง undervalue ที่สุด
- tum_H
- Verified User
- โพสต์: 1857
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 306
แหมๆ อย่าเรียกผมว่าพี่เลยครับ ผมเพิ่งสามสิบสาม 555saichon เขียน:ผมก็เคยเกิดอาการนอนไม่หลับ หรือตื่นขึ้นมากลางดึกบ้างเหมือนกันครับพี่tum_H
ส่วนใหญ่จะเกิดเฉพาะวันที่เรามีเรื่องเครียดหรือไม่สบายจากปัญหาในการทำงาน,
จะว่าไปพอโพลส์เรื่องนี้เมื่อวาน ตอนนอนเลยโดนลองของเลย
ฝันอุตหลุด สดุ้งตื่นหลายรอบ แต่ก็รวบรวมกำลังใจ ภาวนาใหม่
สู้กันยันสว่าง กำหนดรู้ว่าคือความฝัน นึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า
เรื่องฝันร้ายๆ ก็เบาลง
ที่บริษัทน้องๆที่นอนไม่หลับผมก็แนะนำวิธีนี้ครับ แต่น้องบอกไม่ได้ผล
คงเป็นเพราะ เวลาภาวนาคอยคิดแต่ว่า ทำไมไม่หลับๆ เลยกลายเป็น
ไม่ได้จดจ่ออยู่ที่คำบริกรรม กลายเป็นจิตฟุ้งไป
สำหรับผม หากจิตต้องเลือกระหว่าง นอนหลับ กับ จิตเป็นสมาธิ
ดูเหมือนเขาจะยอมให้เราหลับมากกว่า เพราะว่ากลัวจะไม่ได้มาเกาะบนธาตุของโลกนี้อีกเลยครับ
(กลับกันตอนนั่งสมาธิซะงั้น)
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4940
- ผู้ติดตาม: 1
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 307
เข้ามายืนยันคนที่สนใจในธรรม คิดว่าน่าจะนอนหลับง่ายครับ
ผมว่าง่ายเกินไปด้วยนะครับ ไม่ค่อยดีเท่าไหร่
อย่างผมนี่ กลับจากทำงาน กินข้าวอาบน้ำแปรงฟัน
กะจะเอนสักหน่อย แวบเดียวเช้าแล้ว หรือไม่ก็ตื่นมาดึกๆ ลุกมาปิดไฟ นอนต่อ
ว่าจะตามดูลมหายใจอะไรก็ไม่ทันรู้ตัวด้วย ไม่ทันได้ดูเลยว่าหายใจไง หลับแล้ว
ผมว่าง่ายเกินไปด้วยนะครับ ไม่ค่อยดีเท่าไหร่
อย่างผมนี่ กลับจากทำงาน กินข้าวอาบน้ำแปรงฟัน
กะจะเอนสักหน่อย แวบเดียวเช้าแล้ว หรือไม่ก็ตื่นมาดึกๆ ลุกมาปิดไฟ นอนต่อ
ว่าจะตามดูลมหายใจอะไรก็ไม่ทันรู้ตัวด้วย ไม่ทันได้ดูเลยว่าหายใจไง หลับแล้ว
สีลํ พลํ อปฺปฏิมํ สีลํ อาวุธมุตฺตมํ
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1223
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 308
แม้พี่tum_Hจะอายุน้อยกว่า..tum_H เขียน:แหมๆ อย่าเรียกผมว่าพี่เลยครับ ผมเพิ่งสามสิบสาม 555saichon เขียน:ผมก็เคยเกิดอาการนอนไม่หลับ หรือตื่นขึ้นมากลางดึกบ้างเหมือนกันครับพี่tum_H
ส่วนใหญ่จะเกิดเฉพาะวันที่เรามีเรื่องเครียดหรือไม่สบายจากปัญหาในการทำงาน,
จะว่าไปพอโพลส์เรื่องนี้เมื่อวาน ตอนนอนเลยโดนลองของเลย
ฝันอุตหลุด สดุ้งตื่นหลายรอบ แต่ก็รวบรวมกำลังใจ ภาวนาใหม่
สู้กันยันสว่าง กำหนดรู้ว่าคือความฝัน นึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า
เรื่องฝันร้ายๆ ก็เบาลง
แต่ความคิดความอ่านเกินวัยไปเยอะเชียวครับ
สำหรับเมื่อคืนกลับกันกับผมเลยครับ
ช่วงหัวค่ำมีปัญหาที่โรงงานนิดหน่อย แต่ก่อนนอนผมตั้งจิตแบบที่พี่แนะนำครับ
ว่าขอนอนก่อนน๊ะ ไม่คิดเรื่องอื่น ตั้งจิตเสร็จก็ตามดูลมหายใจต่อ
แป๊ปเดียวหลับสนิทถึงเช้าเลยครับ
ถ้าลูกไม่ตื่นมากวนสงสัยตื่นสายกว่านั้นอีก
ไอเดียของพี่tum_H สำหรับผมแล้วได้ผลครับ
แต่เมื่อวานปัญหาอาจไม่ใหญ่มาก เอาไว้มีปัญหาเยอะๆกว่านี้จะลองดูอีกทีครับ
เข้ามาแนะนำเรื่องแนวนี้บ่อยๆน๊ะครับ ผมเป็นคนหนึ่งที่ชอบ
และกำลังศึกษาเพื่อหาความสุขสงบของจิตใจอยู่พอดีครับ
ซื้อหุ้นตัวที่เมื่อมองไปในอนาคตแล้ว ที่ปัจจุบันราคายัง undervalue ที่สุด
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4641
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 309
ตามอ่านตลอดครับ ขอบคุณคุณ tum_h กับคุณ Dech ครับ
เรื่องนอนไม่หลับผมเป็นครับ ต่อเนื่องยาวนาน
ปีนี้เลิกกาแฟขาดไปเลย ลาขาด
ปัจจุบัน 42 ครับ ใช้เทคนิคคุณ tum_h ครับ แต่คำภาวนาไม่เหมือนกัน แต่หลักการเดียวกัน
หลับครับ
เรื่องนอนไม่หลับผมเป็นครับ ต่อเนื่องยาวนาน
ปีนี้เลิกกาแฟขาดไปเลย ลาขาด
ปัจจุบัน 42 ครับ ใช้เทคนิคคุณ tum_h ครับ แต่คำภาวนาไม่เหมือนกัน แต่หลักการเดียวกัน
หลับครับ
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
- tum_H
- Verified User
- โพสต์: 1857
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 310
หากใช้ได้ผลก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีครับ เพราะสุขภาพเป็นเรื่องสำคัญมาก
สำหรับกรณีที่เกิดปัญหาหนักๆ จนคิดไม่ตก หยุดคิดไม่ได้
ผมก็จะปล่อยให้คิดไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายความคิดมาถึงตรงที่ว่า
เอ ทำไมเราถึงเป็นอย่างนี้ เราก็เคยทำแบบนี้มาก่อนหรือเปล่า หรือ หากคิดถึงเรื่องไม่ดีเหล่านี้ต่อไป
เราก็คงแย่กว่าคนที่เรากำลังคิดไม่ดีกับเขาอยู่ ทำไมเราถึงอยากทำในสิ่งที่ไม่ดี ที่เขาทำกับเรา
สุดท้ายอารมณ์ก็เบาลง จนคลายจากความยึดมั่นเรื่องนั้นไป
เช่นเดียวกับการทำความดี ย่อมสะสมไปเรื่อยๆทีละเล็กทีละน้อย
สุดท้ายก็จะไม่สามารถละการทำความดีไปจากใจตัวเองได้
ถึงแม้จะมีบางช่วงที่จิตหลุดไป แต่เมื่อหันกลับมาพิจารณาโดยใช้ปัญญา
ก็จะพบว่าคุณความดีที่เราค่อยๆสะสมมาเหล่านั้น ได้ยึดติดในจิตสันดานส่วนลึกของเราไปแล้วครับ
สำหรับกรณีที่เกิดปัญหาหนักๆ จนคิดไม่ตก หยุดคิดไม่ได้
ผมก็จะปล่อยให้คิดไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายความคิดมาถึงตรงที่ว่า
เอ ทำไมเราถึงเป็นอย่างนี้ เราก็เคยทำแบบนี้มาก่อนหรือเปล่า หรือ หากคิดถึงเรื่องไม่ดีเหล่านี้ต่อไป
เราก็คงแย่กว่าคนที่เรากำลังคิดไม่ดีกับเขาอยู่ ทำไมเราถึงอยากทำในสิ่งที่ไม่ดี ที่เขาทำกับเรา
สุดท้ายอารมณ์ก็เบาลง จนคลายจากความยึดมั่นเรื่องนั้นไป
เช่นเดียวกับการทำความดี ย่อมสะสมไปเรื่อยๆทีละเล็กทีละน้อย
สุดท้ายก็จะไม่สามารถละการทำความดีไปจากใจตัวเองได้
ถึงแม้จะมีบางช่วงที่จิตหลุดไป แต่เมื่อหันกลับมาพิจารณาโดยใช้ปัญญา
ก็จะพบว่าคุณความดีที่เราค่อยๆสะสมมาเหล่านั้น ได้ยึดติดในจิตสันดานส่วนลึกของเราไปแล้วครับ
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
- tum_H
- Verified User
- โพสต์: 1857
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 311
เพื่อนๆเคยเกิดภาวะจิตเสื่อมกันบ้างไหม
คือเวลาภาวนาแล้วจิตไม่ค่อยรวม เมื่อก่อนนั่งไม่นานจิตก็สงบ แต่ระยะหลังๆ
มักมีความคิดแทรกเข้ามาจนจิตไม่รวม เลยกลายเป็นนั่งคิดเรื่องพวกนั้นไปแทน
แต่ก็ไม่ได้รู้สึกรำคาญ คิดเยอะๆก็สบายดี
เคยได้ยินพระอาจารย์มหาบัว ท่านเคยกล่าวเรื่องจิตของท่านเสื่อม เพราะมัวเอาเวลาไปนั่งทำแต่กลด
ภาวนาไม่คล่องเหมือนเดิม ท่านวุ่นวายใจเลยไปหาหลวงปู่มั่นเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง
หลวงปู่มั่นท่านให้กำลังใจว่า สงสัยจิตมันไปเที่ยว เดี่ยวมันก็คงกลับมา
ถ้าอยากให้กลับมาก็แค่ภาวนาพุทโธ ภาวนาไปเรื่อยๆจนคล่อง เขาก็จะกลับมาเอง
ส่วนตัวพอรู้สาเหตุอยู่ว่าเกิดจากเรื่องอะไร กำลังพยายามแก้ไขอยู่ครับ
เลยสงสัยว่า เพื่อนๆเคยเกิดอาการนี้ไหม และใช้วิธีการแก้อย่างไรครับ
คือเวลาภาวนาแล้วจิตไม่ค่อยรวม เมื่อก่อนนั่งไม่นานจิตก็สงบ แต่ระยะหลังๆ
มักมีความคิดแทรกเข้ามาจนจิตไม่รวม เลยกลายเป็นนั่งคิดเรื่องพวกนั้นไปแทน
แต่ก็ไม่ได้รู้สึกรำคาญ คิดเยอะๆก็สบายดี
เคยได้ยินพระอาจารย์มหาบัว ท่านเคยกล่าวเรื่องจิตของท่านเสื่อม เพราะมัวเอาเวลาไปนั่งทำแต่กลด
ภาวนาไม่คล่องเหมือนเดิม ท่านวุ่นวายใจเลยไปหาหลวงปู่มั่นเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง
หลวงปู่มั่นท่านให้กำลังใจว่า สงสัยจิตมันไปเที่ยว เดี่ยวมันก็คงกลับมา
ถ้าอยากให้กลับมาก็แค่ภาวนาพุทโธ ภาวนาไปเรื่อยๆจนคล่อง เขาก็จะกลับมาเอง
ส่วนตัวพอรู้สาเหตุอยู่ว่าเกิดจากเรื่องอะไร กำลังพยายามแก้ไขอยู่ครับ
เลยสงสัยว่า เพื่อนๆเคยเกิดอาการนี้ไหม และใช้วิธีการแก้อย่างไรครับ
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
- Tibular
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 531
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 312
เป็นบ่อยๆคับ
อันว่า จิต มโน วิญญาณ (เป็นสิ่งเดียวกันคือผู้รับรู้อารมณ์) ไม่เที่ยงตามธรรมชาติคับ
ดวงหนึ่งเกิดขึ้น แล้วดับไป ตลอดวันตลอดคืน จิตจะไปรับรู้รูปนามตามอนุสัยความเคยชินของเราที่สะสมมา
เราฆราวาสมีเรื่องต้องทำ ต้องคิดมาก จิตเคยชินกับความคิดปรุงแต่ง(สังขาร สัญญา) ยิ่งคิดยิ่งฟุ้ง วนไปวนมา ทำสมาธิลำบาก
แต่เราก็จะเห็นได้ชัดนะว่าจิตไม่เที่ยงนี่นา จิตไม่เที่ยง
รับรู้เรื่องนั้นทีเรื่องนี้ที จิตเป็นทุกข์ เด๋วรู้เรื่องนั้น แล้วก็เปลี่ยนเป็นเรื่องนี้ นั่นคือ จิตดับไป
แล้วเกิดรับรู้สิ่งอื่นอีก จิตเป็นอนัตตา คือถือเป็นตัวตนของเราไม่ได้ ก็มันบังคับไม่ได้นี่นา จิตมีขึ้นชั่วคราวตามเหตุปัจจัย
ก็เกิดปัญญาได้เหมือนกัน ทำให้ละสักกายทิฏฐิได้เรื่อยๆ
เวลาจิตมันฟุ้ง ผมใช้สติระลึกรู้ อย่าเพิ่งเข้าสมาธิ ใช้ธัมมวิจยะหาสาเหตุทางแก้
พอสรุปได้แล้วก็หยุด แล้วก็กลับมาภาวนา ถ้าจิตยังฟุ้ง เพราะถูกดึงไปด้วยความไม่สบายใจ
ความสงสัย การคิดว่าจะดีหรือไม่ดี กลัวจะผิดพลาด อะไรต่างๆนาๆอีก ก็จะพยายามละไป
โดยการกลับมารู้ลมหายใจ ถ้าหลุดไปก็ละไป แล้วก็กลับมารู้ลมหายใจอีก ถ้ายังไม่ไหว ก็กลับมาพิจารณาดูแก้ไขปัญหา
พร้อมกับกำหนดเวลาที่ต้องทำใหม่ ถ้ายังไม่ถึงเวลา ก็จะยังไม่ทำอะไร บางทีเราอาจจะกังวลไปล่วงหน้ามากเกินไป
หรือกังวลกับสิ่งที่ทำไปแล้ว เกิดไปแล้ว (กลัวผลที่ตามมา แต่มันแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ก็ต้องยอมรับผล และแก้ไขกันไป)
สิ่งไม่ดีในอดีตจบแล้วเราควรจะละไป พยายามแก้ไขผลในปัจจุบัน ทำได้แค่ไหนก็แล้วแต่เหตุปัจจัย นอกเหนือจากนั้น
คงต้องปล่อยวางไป แล้วก็กลับมาภาวนาใหม่ สู้กันไปแบบนี้ล่ะคับ ใช้เวลาไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็กลับมาสงบได้คับ
อันว่า จิต มโน วิญญาณ (เป็นสิ่งเดียวกันคือผู้รับรู้อารมณ์) ไม่เที่ยงตามธรรมชาติคับ
ดวงหนึ่งเกิดขึ้น แล้วดับไป ตลอดวันตลอดคืน จิตจะไปรับรู้รูปนามตามอนุสัยความเคยชินของเราที่สะสมมา
เราฆราวาสมีเรื่องต้องทำ ต้องคิดมาก จิตเคยชินกับความคิดปรุงแต่ง(สังขาร สัญญา) ยิ่งคิดยิ่งฟุ้ง วนไปวนมา ทำสมาธิลำบาก
แต่เราก็จะเห็นได้ชัดนะว่าจิตไม่เที่ยงนี่นา จิตไม่เที่ยง
รับรู้เรื่องนั้นทีเรื่องนี้ที จิตเป็นทุกข์ เด๋วรู้เรื่องนั้น แล้วก็เปลี่ยนเป็นเรื่องนี้ นั่นคือ จิตดับไป
แล้วเกิดรับรู้สิ่งอื่นอีก จิตเป็นอนัตตา คือถือเป็นตัวตนของเราไม่ได้ ก็มันบังคับไม่ได้นี่นา จิตมีขึ้นชั่วคราวตามเหตุปัจจัย
ก็เกิดปัญญาได้เหมือนกัน ทำให้ละสักกายทิฏฐิได้เรื่อยๆ
เวลาจิตมันฟุ้ง ผมใช้สติระลึกรู้ อย่าเพิ่งเข้าสมาธิ ใช้ธัมมวิจยะหาสาเหตุทางแก้
พอสรุปได้แล้วก็หยุด แล้วก็กลับมาภาวนา ถ้าจิตยังฟุ้ง เพราะถูกดึงไปด้วยความไม่สบายใจ
ความสงสัย การคิดว่าจะดีหรือไม่ดี กลัวจะผิดพลาด อะไรต่างๆนาๆอีก ก็จะพยายามละไป
โดยการกลับมารู้ลมหายใจ ถ้าหลุดไปก็ละไป แล้วก็กลับมารู้ลมหายใจอีก ถ้ายังไม่ไหว ก็กลับมาพิจารณาดูแก้ไขปัญหา
พร้อมกับกำหนดเวลาที่ต้องทำใหม่ ถ้ายังไม่ถึงเวลา ก็จะยังไม่ทำอะไร บางทีเราอาจจะกังวลไปล่วงหน้ามากเกินไป
หรือกังวลกับสิ่งที่ทำไปแล้ว เกิดไปแล้ว (กลัวผลที่ตามมา แต่มันแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ก็ต้องยอมรับผล และแก้ไขกันไป)
สิ่งไม่ดีในอดีตจบแล้วเราควรจะละไป พยายามแก้ไขผลในปัจจุบัน ทำได้แค่ไหนก็แล้วแต่เหตุปัจจัย นอกเหนือจากนั้น
คงต้องปล่อยวางไป แล้วก็กลับมาภาวนาใหม่ สู้กันไปแบบนี้ล่ะคับ ใช้เวลาไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็กลับมาสงบได้คับ
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4641
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 313
ใช้วิธีตามดูครับ ไว้มาขยายความครับ
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 358
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 315
tum_H เขียน:เพื่อนๆเคยเกิดภาวะจิตเสื่อมกันบ้างไหม
คือเวลาภาวนาแล้วจิตไม่ค่อยรวม เมื่อก่อนนั่งไม่นานจิตก็สงบ แต่ระยะหลังๆ
มักมีความคิดแทรกเข้ามาจนจิตไม่รวม เลยกลายเป็นนั่งคิดเรื่องพวกนั้นไปแทน
แต่ก็ไม่ได้รู้สึกรำคาญ คิดเยอะๆก็สบายดี
เคยได้ยินพระอาจารย์มหาบัว ท่านเคยกล่าวเรื่องจิตของท่านเสื่อม เพราะมัวเอาเวลาไปนั่งทำแต่กลด
ภาวนาไม่คล่องเหมือนเดิม ท่านวุ่นวายใจเลยไปหาหลวงปู่มั่นเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง
หลวงปู่มั่นท่านให้กำลังใจว่า สงสัยจิตมันไปเที่ยว เดี่ยวมันก็คงกลับมา
ถ้าอยากให้กลับมาก็แค่ภาวนาพุทโธ ภาวนาไปเรื่อยๆจนคล่อง เขาก็จะกลับมาเอง
ส่วนตัวพอรู้สาเหตุอยู่ว่าเกิดจากเรื่องอะไร กำลังพยายามแก้ไขอยู่ครับ
เลยสงสัยว่า เพื่อนๆเคยเกิดอาการนี้ไหม และใช้วิธีการแก้อย่างไรครับ
เคยเป็นครับ เป็นอยู่ปีกว่าๆ
เมื่อวันที่13 ธค ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสไปวัดสวนสันติธรรม ผมก็เล่าให้หลวงพ่อฟังถึงอาการจิตเสื่อม
ผมถามท่านว่าผมพยายามบริกรรมพุทโธแนบอยู่ตลอด แล้วมันอึดอัด ใจมันไม่ชอบจะทำอย่างไร ขอให้หลวงพ่อช่วยบอกอุบายแก้ ท่านก็บอกว่าถ้ามันอึดอัดก็อย่าไปทำ หากรรมฐานอะไรที่มันสบาย ตัวหลวงพ่อเองก็ไม่ได้ทำอย่างนั้นเพราะใจมันก็ไม่ชอบเหมือนกัน
มรณฺง เม ภวิสฺสติ ความตายจักมีแก่เรา
- tum_H
- Verified User
- โพสต์: 1857
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 316
ขอบคุณสำหรับทุกๆคำแนะนำครับ
ผมจะลองนำมาใช้ดู
ตอนนี้ก็ใช้เกือบทุกวิธีครับ ตามรู้อย่างเดียวบ้าง
เปลี่ยนมาพิจารณาลมอย่างเดียวบ้าง ใช้กสินบ้าง
เมื่อก่อนใช้ทั้งกสินและพิจารณาลมควบคู่กับเปิดฟังพระธรรมเทศนาด้วย
เมื่อจิตเข้าสู่ภวังค์ เสียงต่างๆก็ไม่ได้ยิน จิตสงบดี
ตอนนี้จะลองเปลี่ยนมาใช้วิธีอื่นบ้างครับ
ผมจะลองนำมาใช้ดู
ตอนนี้ก็ใช้เกือบทุกวิธีครับ ตามรู้อย่างเดียวบ้าง
เปลี่ยนมาพิจารณาลมอย่างเดียวบ้าง ใช้กสินบ้าง
เมื่อก่อนใช้ทั้งกสินและพิจารณาลมควบคู่กับเปิดฟังพระธรรมเทศนาด้วย
เมื่อจิตเข้าสู่ภวังค์ เสียงต่างๆก็ไม่ได้ยิน จิตสงบดี
ตอนนี้จะลองเปลี่ยนมาใช้วิธีอื่นบ้างครับ
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
- oatty
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2444
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 317
เรื่องนอนหลับนี่ ผมไม่เคยมีปัญหาเลยครับ มีแต่ไม่ค่อยอยากจะลุก 55 เลยไม่ต้องบริกรรมอะไรมีแต่อาบน้ำให้เสร็จไว ๆ
ส่วนการสวดมนต์ ตอนนี้ก็จะพาลูกไว้พระก่อนนอน หลาย ๆ หนเลยหลับก่อนลูก
สมัยก่อนมีครอบครับ สวดพระคาถาชินบัญชร และอิติปิโส เท่าอายุ นอนหลับสบาย และตื่นมาสดชื่นดีกว่าปกติ
ส่วนการสวดมนต์ ตอนนี้ก็จะพาลูกไว้พระก่อนนอน หลาย ๆ หนเลยหลับก่อนลูก
สมัยก่อนมีครอบครับ สวดพระคาถาชินบัญชร และอิติปิโส เท่าอายุ นอนหลับสบาย และตื่นมาสดชื่นดีกว่าปกติ
"ผู้ทรงธรรมนั่นแหละคือผู้ทรงเกียรติ ผู้มีความดีนั่นแหละคือผู้มีทรัพย์ ผู้รู้จักพอนั่นแหละคือมหาเศรษฐี" ว.วชิรเมธี
- tum_H
- Verified User
- โพสต์: 1857
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 318
อานุภาพของการสวดมนต์นั้นมหาศาลมากครับoatty เขียน: สวดพระคาถาชินบัญชร และอิติปิโส เท่าอายุ นอนหลับสบาย และตื่นมาสดชื่นดีกว่าปกติ
ยกตัวอย่าง สมเด็จโต ท่านสวดแต่เพียง
พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
หลายคนคิดว่าแค่บทสั้นๆ แต่เมื่อขณะสวดจิตมุ่งแต่คำบริกรรมจนสมาธิเกิด อานุภาพนั้นยิ่งใหญ่มากครับ
ท่านเล่าว่า เคยมีคนลองวิชากับท่าน แต่ทำอะไรท่านไม่ได้เลย
เลยมาขอวิชาจากท่าน แต่ท่านบอกว่าแค่สวดมนต์เป็นประจำทุกวัน ไม่มีวิชาอะไร
แต่คนคนนั้นไม่เชื่อ เลยให้ท่านลองไม่สวดมนต์ในคืนนั้น แล้วทดลองวิชาอีกที
ปรากฏว่า คราวนี้ได้ผล สิ่งที่ส่งมาในวันนั้นแสดงผล จนสมเด็จโต ท่านต้องสวดมนต์
สิ่งที่เขาส่งมาจึงอันตรทานหายไป เขาจึงเชื่ออานิสงค์ของการสวดมนต์ของสมเด็จโต
ดังนั้น หลายคนอาจมองว่า บางบทยาว ต้องใช้เวลานาน
หันมาสวดสั้นๆ แต่ทำทุกวันเป็นประจำแทน ก็ได้ครับ
ผมก็ใช้บทบูชาพระรัตนไตร เป็นประจำทุกวันไม่ได้ขาด
แม้วันไหน ดึกๆ ตีหนึ่ง ก็สวดไม่ขาดครับ
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
-
- Verified User
- โพสต์: 39
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 320
ผมขออนุญาตขยายความจากบันทึกเสียง หลวงตาชัยรัตน์ ธุลีดิน
1. คนรู้ธรรมะ จะเอาชนะคนอื่น
สิ่งนี้เป็นจุดเริ่มต้นของผู้ศึกษาธรรมะที่ได้ฟังได้อ่านแล้วเกิดองค์ความรู้ขึ้นมา ซึ่งจุดนี้หลายท่านจะเริ่มก่อเกิดอัตตา(อีโก้) จะมีภาวะล้นในการเที่ยวเล่าเที่ยวบอกเที่ยวสอนให้คนอื่นเข้าใจจากสิ่งที่ได้รับรู้และได้รับฟังมา ช่วงเวลานี้อันตรายจะก่อเกิดการสร้างกรรมโดยไม่รู้ตัว เพราะสิ่งใดที่คนอื่นรู้หรือรับรู้สิ่งที่แตกต่างก็จะเที่ยวไปตัดสินจากองค์ความรู้ที่หยิบยืมเขามา หลวงตายกตัวอย่างว่า สภาวะนี้เหมือนคนที่เริ่มศึกษาว่าเงินคืออะไร นี่เป็นเหรียญ นี่เป็นธนบัตร นี่เป็นเงินจริง นี่เป็นเงินปลอม ดังนั้น สิ่งที่ ควรเจริญ คือ รู้ก็คือรู้
2. คนมีธรรมะ จะเอาชนะตัวเอง
เมื่อนำมาสิ่งที่รู้มาปฏิบัติช่วงเวลา ก็จะเริ่มพบความจริงแล้วว่าทุกสิ่งเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วดับไป เมื่อชนะแล้วจิดใจก็นิ่งใสสงบสว่าง แต่เมื่อปฏิบัติแล้วแพ้ก็โกรธ เศร้า เสียใจ สภาวะนี้ก็เข้าใจแล้วแพ้ชนะเป็นอย่างไรก็จะใช้เวลาไปในการเอาชนะตัวเอง หลวงตายกตัวอย่างว่า สภาวะนี้เหมือนคนที่สามารถหาเงินมาได้แล้ว เป็นหมื่น เป็นแสน เป็นล้าน สิบล้าน ร้อยล้าน ดังนั้น สิ่งที่ควรเจริญ คือ มีก็คือมี
3. คนเป็นสิ่งเดียวกับธรรมะ จะไม่เอาชนะอะไรเลย
เมื่อเข้าสู่จุดหมายนี้แล้ว คือ การปฏิบัติจนเข้าใจแล้วว่า สุข ทุกข์ เฉยๆ ก็เป็นสภาวะปัจจุบันขณะที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป ดังนั้น ตัวเรา ตัวเขา ของเรา ของเขา ก็เป็นไปตามกฎนี้ เมื่อเข้าใจสิ่งนี้แล้วก็จะไม่เอาชนะอะไรเลย หลวงตามยกตัวอย่างว่า สภาวะนี้เหมือนคนที่มีเงินแล้วใช้เงิน ประโยชน์ทั้งหมดทั้งปวงก็จะบังเกิดขึ้น มีเงินมากเงินน้อย จะสำเร็จประโยชน์ตอนที่ใช้ (บริโภค) หรือ เป็นสิ่งเดียวกัน (หิวข้าวเกิด รู้จักเงิน มีเงิน ใช้เงิน ได้ข้าว กินข้าว หิวข้าวดับ)
สุดท้ายนี้สิ่งใดที่เป็นประโยชน์ต่อท่านผู้อ่านก็ขอให้ท่านบังเกิดดวงตาแห่งธรรมะ(ความจริง) โดยเร็ววัน ส่วนข้อความใดที่ท่านอ่านแล้วบังเกิดอคติขึ้นในจิตใจ โปรดจงเสาะหาความรู้เพิ่มเติมและขออโหสิกรรมมา ณ ที่นี้ด้วยเทอญ
1. คนรู้ธรรมะ จะเอาชนะคนอื่น
สิ่งนี้เป็นจุดเริ่มต้นของผู้ศึกษาธรรมะที่ได้ฟังได้อ่านแล้วเกิดองค์ความรู้ขึ้นมา ซึ่งจุดนี้หลายท่านจะเริ่มก่อเกิดอัตตา(อีโก้) จะมีภาวะล้นในการเที่ยวเล่าเที่ยวบอกเที่ยวสอนให้คนอื่นเข้าใจจากสิ่งที่ได้รับรู้และได้รับฟังมา ช่วงเวลานี้อันตรายจะก่อเกิดการสร้างกรรมโดยไม่รู้ตัว เพราะสิ่งใดที่คนอื่นรู้หรือรับรู้สิ่งที่แตกต่างก็จะเที่ยวไปตัดสินจากองค์ความรู้ที่หยิบยืมเขามา หลวงตายกตัวอย่างว่า สภาวะนี้เหมือนคนที่เริ่มศึกษาว่าเงินคืออะไร นี่เป็นเหรียญ นี่เป็นธนบัตร นี่เป็นเงินจริง นี่เป็นเงินปลอม ดังนั้น สิ่งที่ ควรเจริญ คือ รู้ก็คือรู้
2. คนมีธรรมะ จะเอาชนะตัวเอง
เมื่อนำมาสิ่งที่รู้มาปฏิบัติช่วงเวลา ก็จะเริ่มพบความจริงแล้วว่าทุกสิ่งเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วดับไป เมื่อชนะแล้วจิดใจก็นิ่งใสสงบสว่าง แต่เมื่อปฏิบัติแล้วแพ้ก็โกรธ เศร้า เสียใจ สภาวะนี้ก็เข้าใจแล้วแพ้ชนะเป็นอย่างไรก็จะใช้เวลาไปในการเอาชนะตัวเอง หลวงตายกตัวอย่างว่า สภาวะนี้เหมือนคนที่สามารถหาเงินมาได้แล้ว เป็นหมื่น เป็นแสน เป็นล้าน สิบล้าน ร้อยล้าน ดังนั้น สิ่งที่ควรเจริญ คือ มีก็คือมี
3. คนเป็นสิ่งเดียวกับธรรมะ จะไม่เอาชนะอะไรเลย
เมื่อเข้าสู่จุดหมายนี้แล้ว คือ การปฏิบัติจนเข้าใจแล้วว่า สุข ทุกข์ เฉยๆ ก็เป็นสภาวะปัจจุบันขณะที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป ดังนั้น ตัวเรา ตัวเขา ของเรา ของเขา ก็เป็นไปตามกฎนี้ เมื่อเข้าใจสิ่งนี้แล้วก็จะไม่เอาชนะอะไรเลย หลวงตามยกตัวอย่างว่า สภาวะนี้เหมือนคนที่มีเงินแล้วใช้เงิน ประโยชน์ทั้งหมดทั้งปวงก็จะบังเกิดขึ้น มีเงินมากเงินน้อย จะสำเร็จประโยชน์ตอนที่ใช้ (บริโภค) หรือ เป็นสิ่งเดียวกัน (หิวข้าวเกิด รู้จักเงิน มีเงิน ใช้เงิน ได้ข้าว กินข้าว หิวข้าวดับ)
สุดท้ายนี้สิ่งใดที่เป็นประโยชน์ต่อท่านผู้อ่านก็ขอให้ท่านบังเกิดดวงตาแห่งธรรมะ(ความจริง) โดยเร็ววัน ส่วนข้อความใดที่ท่านอ่านแล้วบังเกิดอคติขึ้นในจิตใจ โปรดจงเสาะหาความรู้เพิ่มเติมและขออโหสิกรรมมา ณ ที่นี้ด้วยเทอญ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4940
- ผู้ติดตาม: 1
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 321
เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนหรือจะไม่ลงทุนก็ตาม นั้นง่าย
ธรรมะเป็นเรื่องง่าย เพราะธรรมคือความธรรมดา อะไรผิดไปจากความธรรมดาก็ไม่ใช่ธรรม
ความธรรมดากับธรรมชาติก็เป็นอันหนึ่งเดียวกัน พระพุทธองค์ท่านตรัสรู้ความธรรมดานี้ เราก็รู้ตามในข้อนี้
รู้ว่าธรรมชาติของทุกสิ่ง เมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว มีความไม่ยั่งยืน แปรปรวนไปตามสภาพที่มากระทบ สุดท้ายก็ดับไป มันธรรมดาแบบนี้
ทุกอย่างมีแต่เกิดและดับ ดับไปแล้วก็แปรปรวนไปตามสภาพ สิ่งนี้ดับไปสิ่งใหม่ก็เกิดมาแทนหมุนวนมาเกิด
เงินทุนก็แบบเดียวกัน ขึ้นดับไปลงก็เกิด ลงจบไปขึ้นก็เกิด เห็นง่ายๆ แค่นี้ เข้าใจ วางใจได้
กายใจนี้ก็แบบเดียว เกิดดับ แปรสภาพไปตามการกระทบ แล้วก็เกิดดับใหม่อีก วนไปเรื่อยไม่รู้จบ
กายใจคนอื่นๆ หรือสิ่งอื่นๆ ก็แบบเดียวกัน เกิดดับ เกิดดับ เข้าใจได้ วางใจได้
เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุน กับชีวิตประจำวัน คือให้รู้เห็นว่าในการดำเนินชีวิตในแต่วัน
ในชีวิตประจำวัน ทั้งหลายทั้งปวงก็วนไปแบบนี้ เป็นธรรมชาติเป็นธรรมดาของมัน
แล้วที่สำคัญให้เห็นร่างกายจิตใจตัวเอง ก็แบบเดียวกันนี้ เห็นชัดในความธรรมดา
ธรรมชาติมันมีแค่นี้เอง เห็นความธรรมดาชัด เป็นหนึ่งกับธรรมชาติ ธรรมะก็เกิด แล้วก็ดับ เกิดดับ เกิดดับ ดับเกิด จบ.
ธรรมะเป็นเรื่องง่าย เพราะธรรมคือความธรรมดา อะไรผิดไปจากความธรรมดาก็ไม่ใช่ธรรม
ความธรรมดากับธรรมชาติก็เป็นอันหนึ่งเดียวกัน พระพุทธองค์ท่านตรัสรู้ความธรรมดานี้ เราก็รู้ตามในข้อนี้
รู้ว่าธรรมชาติของทุกสิ่ง เมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว มีความไม่ยั่งยืน แปรปรวนไปตามสภาพที่มากระทบ สุดท้ายก็ดับไป มันธรรมดาแบบนี้
ทุกอย่างมีแต่เกิดและดับ ดับไปแล้วก็แปรปรวนไปตามสภาพ สิ่งนี้ดับไปสิ่งใหม่ก็เกิดมาแทนหมุนวนมาเกิด
เงินทุนก็แบบเดียวกัน ขึ้นดับไปลงก็เกิด ลงจบไปขึ้นก็เกิด เห็นง่ายๆ แค่นี้ เข้าใจ วางใจได้
กายใจนี้ก็แบบเดียว เกิดดับ แปรสภาพไปตามการกระทบ แล้วก็เกิดดับใหม่อีก วนไปเรื่อยไม่รู้จบ
กายใจคนอื่นๆ หรือสิ่งอื่นๆ ก็แบบเดียวกัน เกิดดับ เกิดดับ เข้าใจได้ วางใจได้
เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุน กับชีวิตประจำวัน คือให้รู้เห็นว่าในการดำเนินชีวิตในแต่วัน
ในชีวิตประจำวัน ทั้งหลายทั้งปวงก็วนไปแบบนี้ เป็นธรรมชาติเป็นธรรมดาของมัน
แล้วที่สำคัญให้เห็นร่างกายจิตใจตัวเอง ก็แบบเดียวกันนี้ เห็นชัดในความธรรมดา
ธรรมชาติมันมีแค่นี้เอง เห็นความธรรมดาชัด เป็นหนึ่งกับธรรมชาติ ธรรมะก็เกิด แล้วก็ดับ เกิดดับ เกิดดับ ดับเกิด จบ.
สีลํ พลํ อปฺปฏิมํ สีลํ อาวุธมุตฺตมํ
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
- picatos
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3352
- ผู้ติดตาม: 1
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 322
เป้าหมายของการเจริญสติ ปฏิบัติธรรม คือ การกำหนดรู้ตามความเป็นจริง แต่เห็นสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริงนั้นมันไม่ง่าย เพราะ อวิชชา อวิชชาทำให้เราไม่อาจมองสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง เพราะ ความยึดมั่นถือมั่นที่เรามีมานับอเนกอนันตชาติ ถึงแม้จะรู้ว่า เป้าหมายคือการมองสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริงแล้วก็ตาม แต่การจะทำได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย หนทางนี่นำไปสู่การดับสนิทของทุกข์ จึงจำเป็นต้องใช้เวลาอีกหลายต่อหลายชาติ ในการที่จะละอกุศล เจริญกุศล สั่งสมบุญบารมี จนจิตมีกำลังพอที่จะมองสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริงได้มากขึ้นๆๆๆ จนเมื่อมีกำลังกล้าแข็งอย่างถึงที่สุดจึงมองสิ่งต่างๆ ได้ตามความเป็นจริงได้มากเพียงพอที่จะประหารกิเลสที่มีอยู่ในจิตจนหมดไปDech เขียน:เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนหรือจะไม่ลงทุนก็ตาม นั้นง่าย
ธรรมะเป็นเรื่องง่าย เพราะธรรมคือความธรรมดา อะไรผิดไปจากความธรรมดาก็ไม่ใช่ธรรม
ความธรรมดากับธรรมชาติก็เป็นอันหนึ่งเดียวกัน พระพุทธองค์ท่านตรัสรู้ความธรรมดานี้ เราก็รู้ตามในข้อนี้
รู้ว่าธรรมชาติของทุกสิ่ง เมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว มีความไม่ยั่งยืน แปรปรวนไปตามสภาพที่มากระทบ สุดท้ายก็ดับไป มันธรรมดาแบบนี้
ทุกอย่างมีแต่เกิดและดับ ดับไปแล้วก็แปรปรวนไปตามสภาพ สิ่งนี้ดับไปสิ่งใหม่ก็เกิดมาแทนหมุนวนมาเกิด
เงินทุนก็แบบเดียวกัน ขึ้นดับไปลงก็เกิด ลงจบไปขึ้นก็เกิด เห็นง่ายๆ แค่นี้ เข้าใจ วางใจได้
กายใจนี้ก็แบบเดียว เกิดดับ แปรสภาพไปตามการกระทบ แล้วก็เกิดดับใหม่อีก วนไปเรื่อยไม่รู้จบ
กายใจคนอื่นๆ หรือสิ่งอื่นๆ ก็แบบเดียวกัน เกิดดับ เกิดดับ เข้าใจได้ วางใจได้
เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุน กับชีวิตประจำวัน คือให้รู้เห็นว่าในการดำเนินชีวิตในแต่วัน
ในชีวิตประจำวัน ทั้งหลายทั้งปวงก็วนไปแบบนี้ เป็นธรรมชาติเป็นธรรมดาของมัน
แล้วที่สำคัญให้เห็นร่างกายจิตใจตัวเอง ก็แบบเดียวกันนี้ เห็นชัดในความธรรมดา
ธรรมชาติมันมีแค่นี้เอง เห็นความธรรมดาชัด เป็นหนึ่งกับธรรมชาติ ธรรมะก็เกิด แล้วก็ดับ เกิดดับ เกิดดับ ดับเกิด จบ.
ธรรมชาติเป็นสิ่งที่กว้างใหญ่และยิ่งใหญ่มาก แม้แต่พระอรหันต์ที่ประหารกิเลสหมดสิ้นแล้ว ก็มีระดับปัญญาที่จะเข้าไปเห็นธรรมชาติของสิ่งต่างๆ ได้ไม่เท่ากัน ดังเช่นพระสารีบุตฝนตกลงมาห่าหนึ่ง มองเพียงแค่แว่บหนึ่งสามารถนับเม็ดฝนทั้งหมดได้ แต่พระพุทธเจ้าสามารถนับเม็ดฝนที่ตกลงมาตลอดทั้งกัลป์
ธรรมชาติในบางเรื่องเป็นธรรมชาติที่เข้าใจได้ง่าย ธรรมชาติในบางเรื่องเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ยาก ดังเช่น ธรรมชาติของคณิตศาสตร์ มีตั้งแต่บวกลบเลขธรรมดา ไปจนถึง คณิตศาสตร์ขั้นสูงที่เข้าใจได้ยาก
ธรรมชาติจึงไม่ใช่เรื่องง่าย เป็นเรื่องที่ต้องเลือกเรื่อง เลือกหัวข้อที่จะเรียนรู้ และหัวข้อที่สำคัญที่สุดของธรรมชาติที่พระพุทธเจ้าย้ำแล้วย้ำอีกคือ นี่คือทุกข์ นี่คือเหตุของทุกข์ นี่คือการดับไปของทุกข์ นี่คือหนทางที่จะนำไปสู่การดับไปของทุกข์ เป็นใบไม้เพียงกำมือเดียว เป็นธรรมชาติที่สำคัญที่สุด ที่เราควรมุ่งเป้า ใช้ความเพียร พยายามในการเข้าไปศึกษาให้กระจ่างแจ้ง แม้ว่าการศึกษาธรรมชาติ 4 อย่างนี้จะต้องใช้เวลาหลายต่อหลายชาติก็ตาม แต่ก็คุ้มค่ากับการที่จะดำเนินไปในทางสายนี้ เพราะ ทางสายนี้จะนำความสุขมาให้ทั้งในปัจจุบัน ไปจนถึงอนาคต และในวันใดวันหนึ่งหากยังมุ่งหน้าในทางสายนี้ต่อไปก็จะไปถึงที่สุดของทุกข์โดยสมบูรณ์
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4940
- ผู้ติดตาม: 1
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 323
ธรรมะและธรรมชาตินั้นเป็นเรื่องง่าย การจะไปคาดหวังกับธรรมชาตินั้นเป็นของยาก
เพราะความธรรมดาของธรรมชาติ ไม่เที่ยงแท้ คาดการณ์ไม่ได้ แปรเปลี่ยนไปตามสภาพ
สรรพสัตว์ที่อาศัยอยู่ในธรรมชาติ ย่อมได้รับทุกข์สุขหรือเฉยๆ กับสิ่งที่มากระทบ
ธรรมอันเป็นธรรมชาติอาศัยกันแล้วเกิดขึ้น ยังมีอยู่ตราบใด ย่อมไม่สามารถจะหนีจากการพบเจอนี้ได้
ไม่รู้ว่าธรรมชาติจะพัดพาเราไปเจออะไรบ้างในกาลข้างหน้า
อย่าไปคาดหวังกับอนาคต ให้เข้าใจ รู้อยู่แค่ที่เจอในปัจจุบัน ง่ายๆ
เพราะความธรรมดาของธรรมชาติ ไม่เที่ยงแท้ คาดการณ์ไม่ได้ แปรเปลี่ยนไปตามสภาพ
สรรพสัตว์ที่อาศัยอยู่ในธรรมชาติ ย่อมได้รับทุกข์สุขหรือเฉยๆ กับสิ่งที่มากระทบ
ธรรมอันเป็นธรรมชาติอาศัยกันแล้วเกิดขึ้น ยังมีอยู่ตราบใด ย่อมไม่สามารถจะหนีจากการพบเจอนี้ได้
ไม่รู้ว่าธรรมชาติจะพัดพาเราไปเจออะไรบ้างในกาลข้างหน้า
อย่าไปคาดหวังกับอนาคต ให้เข้าใจ รู้อยู่แค่ที่เจอในปัจจุบัน ง่ายๆ
สีลํ พลํ อปฺปฏิมํ สีลํ อาวุธมุตฺตมํ
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
- picatos
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3352
- ผู้ติดตาม: 1
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 324
จาก มหานิทานสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐
...
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมา ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ปฏิจจสมุบาทนี้ลึกซึ้งสุดประมาณ และปรากฏเป็นของลึก ก็แหละถึงจะเป็นเช่นนั้น ก็ยังปรากฏแก่ข้าพระองค์ เหมือนเป็นของตื้นนัก ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เธออย่าพูดอย่างนั้น อานนท์ เธออย่าพูดอย่างนั้นอานนท์ ปฏิจจสมุบาทนี้ ลึกซึ้งสุดประมาณและปรากฏเป็นของลึก ดูกรอานนท์เพราะไม่รู้จริง เพราะไม่แทงตลอด ซึ่งธรรมอันนี้ หมู่สัตว์นี้ จึงเกิดเป็นผู้ยุ่งประดุจด้ายของช่างหูก เกิดเป็นปมประหนึ่งกระจุกด้าย เป็นผู้เกิดมาเหมือนหญ้ามุงกระต่ายและหญ้าปล้อง จึงไม่พ้นอุบาย ทุคติ วินิบาต สงสาร
...
...
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมา ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ปฏิจจสมุบาทนี้ลึกซึ้งสุดประมาณ และปรากฏเป็นของลึก ก็แหละถึงจะเป็นเช่นนั้น ก็ยังปรากฏแก่ข้าพระองค์ เหมือนเป็นของตื้นนัก ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เธออย่าพูดอย่างนั้น อานนท์ เธออย่าพูดอย่างนั้นอานนท์ ปฏิจจสมุบาทนี้ ลึกซึ้งสุดประมาณและปรากฏเป็นของลึก ดูกรอานนท์เพราะไม่รู้จริง เพราะไม่แทงตลอด ซึ่งธรรมอันนี้ หมู่สัตว์นี้ จึงเกิดเป็นผู้ยุ่งประดุจด้ายของช่างหูก เกิดเป็นปมประหนึ่งกระจุกด้าย เป็นผู้เกิดมาเหมือนหญ้ามุงกระต่ายและหญ้าปล้อง จึงไม่พ้นอุบาย ทุคติ วินิบาต สงสาร
...
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
- tum_H
- Verified User
- โพสต์: 1857
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 326
เหมือนกันกับ พระนิพนธ์ ของ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ที่ว่าDech เขียน: อย่าไปคาดหวังกับอนาคต ให้เข้าใจ รู้อยู่แค่ที่เจอในปัจจุบัน ง่ายๆ
" ชีวิตนี้แม้น้อยนัก แต่ก็เป็นความสำคัญนัก สำคัญยิ่งกว่าชีวิตในอดีตและชีวิตในอนาคต ที่ว่าชีวิตนี้คือชีวิตนี้ คือชีวิตในชาติปัจจุบันนี้สำคัญ ก็เพราะในชีวิตนี้เราสามารถหนีกรรมไม่ดีที่ทำไว้ในอดีตได้ และสามารถเตรียมสร้างชีวิตในอนาคตให้ดีเลิศเพียงใดก็ได้ หรือตกต่ำเพียงใดก็ได้ ชีวิตในอดีตล่วงเลยไปแล้ว ทำอะไรอีกไม่ได้ต่อไปแล้ว ชีวิตในอนาคตก็ยังไม่ถึง ยังทำอะไรไม่ได้ เช่นนี้จึงกล่าวได้ว่าชีวิตนี้สำคัญนัก พึงใช้ชีวิตนี้ให้เป็นประโยชน์ ให้สมกับความสำคัญของชีวิตนี้ "
ทำวันนี้ให้ดีที่สุด มุ่งแต่การสั่งสมความเพียร อย่าลดละความพยายามครับ
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1575
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 327
หากผมจะรบกวนขอความรู้จากพวกเรา จะได้ไหมครับ
ผมอยากได้คำแนะนำถึง
"ปัญญาอบรมสมาธิ"
ว่าควรต้องนำไปปฏิบัติอย่างไรครับ
ผมฟัง mp3 หลวงตามหาบัวเรื่องนี้หลายครั้งมาก
แต่ยังไม่แน่ใจว่าควรนำไปปฏิบัติอย่างไร
และได้เคยเรียนถามพระอาจารย์สุชาติ วัดญาณ
รวมทั้งได้ฟัง mp3 ที่ท่านตอบคำถามเดียวกันนี้กับคนอื่น
ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ และไม่แน่ใจครับ
ท่านใดจะกรุณาแนะนำเป็นธรรมทานด้วยจะเป็นพระคุณครับ
ผมอยากได้คำแนะนำถึง
"ปัญญาอบรมสมาธิ"
ว่าควรต้องนำไปปฏิบัติอย่างไรครับ
ผมฟัง mp3 หลวงตามหาบัวเรื่องนี้หลายครั้งมาก
แต่ยังไม่แน่ใจว่าควรนำไปปฏิบัติอย่างไร
และได้เคยเรียนถามพระอาจารย์สุชาติ วัดญาณ
รวมทั้งได้ฟัง mp3 ที่ท่านตอบคำถามเดียวกันนี้กับคนอื่น
ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ และไม่แน่ใจครับ
ท่านใดจะกรุณาแนะนำเป็นธรรมทานด้วยจะเป็นพระคุณครับ
ดู clip รายการ money talk ย้อนหลังได้ที่
http://www.facebook.com/MoneyTalkTV
http://www.facebook.com/MoneyTalkTV
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1575
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 328
มีอีกวิธีหนึ่งคือ การใช้ความคิดพิจารณาธรรมเอาตรงๆ นี่แหละครับ
เช่นพิจารณาร่างกาย ให้เห็นเป็นธาตุ เป็นอสุภะ หรือพิจารณาความตาย
เมื่อพิจารณาไปแล้ว ถ้าจิตเกิดสลด หรือจิตเห็นจริงในระดับหนึ่ง(ไม่ถึงขั้นเห็นแจ้ง)
จิตจะวางการพิจารณา แล้วรวมสงบเข้ามาเป็นสมาธิเป็นคราวๆ ไป
แต่สมาธิด้วยวิธีนี้มักจะไปได้เพียงอุปจารสมาธิ
และใช้เวลามากกว่าวิธีแรกที่แยกอารมณ์อันเป็นศัตรูของสมาธิออกไปเลย
โดยคุณ สันตินันท์ (นามปากกาของหลวงพ่อปราโมทย์ก่อนบวช)
เมื่อวันที่ 25 ส.ค. 2542
ไม่แน่ใจว่าอันนี้ใช่ไหมครับ
กรุณาชี้แนะด้วยครับ
ดู clip รายการ money talk ย้อนหลังได้ที่
http://www.facebook.com/MoneyTalkTV
http://www.facebook.com/MoneyTalkTV
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4940
- ผู้ติดตาม: 1
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 329
ถ้าตามที่ผมเข้าใจ ก็แบบที่ท่านสันตินันท์บอกนั่นแหละครับ
ว่าแล้วขอเอามะพร้าวห้าวมาขายสวนสักหน่อย เพราะผมเข้าใจว่า อ. ก็รู้อยู่แล้วนะครับ
การทำปัญญาอบรมสมาธิ คือการที่เราพิจารณาให้เห็นความจริงของรูปนามไปโดยตรงครับ
ความจริงที่ว่าคือเห็นว่ากายใจเราไม่เที่ยงเป็นทุกข์ไม่ใช่ตัวตน ซึ่งอาจเรียกว่าการทำลักขณูปนิชฌานก็ได้ครับ
ลักษณะ บวกกับรูปนาม คือลักขณูปนิช นำมาบวกกับ ฌานคือการเพ่ง ได้เป็นลักขฌูปนิชฌาน
ผมแปลว่าการเพ่งในลักษณะของรูปนาม ซึ่งลักษณะของรูปนามก็คือมีสภาพอนิจจังทุกขังอนัตตา
คือการให้เราคิดพิจารณาโดยตรง ให้เห็นว่า ร่างกายจิตใจนี้แปรปรวนไปตามสภาพ
หรือรู้เห็นอะไรก็มาคิด คิดเทียบดูกับกายใจนี้ ก็เห็นว่ามันเหมือนกันคือไม่เป็นดังใจหวัง แปรเปลี่ยนไปตามเหตุปัจจัย
คิดเห็นบ่อยก็รู้ว่ามันเป็นทุกข์ เห็นว่ามันแปรไปตามเรื่องของมันเอง มันจึงเห็นว่าไม่มีตัวตนใดๆ ในกายใจนี้เลย
เห็นบ่อยๆ จากปัญญา เห็นซ้ำๆซากๆ ปัญญารวมตัวกัน จิตรู้ว่ามันไม่ใช่เรา ละความยึดมั่นได้ ขณะจิตนั้นเรียกว่าเกิดสมาธิ
เกิดสมาธิ จึงเห็นชัดด้วยตนเอง เป็นปัจจัตตังเกิดขึ้น มั่นใจได้ด้วยตนเอง ความไม่มีตนเกิดขึ้น
ปัญญาจึงอบรมสมาธิด้วยเหตุนี้ครับ
ส่วน อารัมมณูปนิชฌาน อารมณ์ บวกรูปนาม บวกฌาน ได้เป็นอารัมมณูปนิชฌาน
ผมแปลว่าให้เพ่งในอารมณ์ของรูปนาม คือเพ่งสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งก็คือรูปนามนั้นแหละ ดูๆเพ่งๆ อะไรก็ได้
ดูไปเรื่อยๆ จิตก็นิ่งสงบ เมื่อจิตมีความสงบ มีสมาธิ จิตจึงแสดงลักษณะของรูปนามออกมาให้ผู้ดูผู้เพ่งเห็น
เห็นบ่อยๆ เห็นว่ามันมีลักษณะบังคับบัญชาไม่ได้ เห็นบ่อยๆ จึงรู้ว่ามันเป็นทุกข์ แล้วจึงเข้าใจว่าตัวตนไม่มี
เกิดปัญญาจากสมาธิ จิตจึงรู้ว่าตนไม่มี จึงเรียกว่าสมาธิอบรมปัญญา
หรือบางท่านอาจจะไม่ถนัดทั้งคู่
คือปัญญาอบรมสมาธิก็ไม่เข้าใจ สมาธิอบรมปัญญาก็ไม่เข้าใจ
ก็ทำทั้งสองอย่างทำทั้งสมาธิและปัญญาไปพร้อมๆ กัน
คือปัญญาอบรมสมาธิบ้าง สมาธิอบรมปัญญาไปบ้าง ปนๆ กันไป
เพราะยังไง ทุกวิธี ก็นำมารู้สิ่งเดียวกัน คือรู้ชัดจากจิตว่า รูปนามตัวตนเรานี้มันไม่เที่ยงเป็นทุกข์ไม่ใช่ตัวตน
จึงวางใจจากตัวตนได้ครับ
จบ.
ไว้ให้ท่านผู้รู้มาแนะนำต่อละกันครับ
ว่าแล้วขอเอามะพร้าวห้าวมาขายสวนสักหน่อย เพราะผมเข้าใจว่า อ. ก็รู้อยู่แล้วนะครับ
การทำปัญญาอบรมสมาธิ คือการที่เราพิจารณาให้เห็นความจริงของรูปนามไปโดยตรงครับ
ความจริงที่ว่าคือเห็นว่ากายใจเราไม่เที่ยงเป็นทุกข์ไม่ใช่ตัวตน ซึ่งอาจเรียกว่าการทำลักขณูปนิชฌานก็ได้ครับ
ลักษณะ บวกกับรูปนาม คือลักขณูปนิช นำมาบวกกับ ฌานคือการเพ่ง ได้เป็นลักขฌูปนิชฌาน
ผมแปลว่าการเพ่งในลักษณะของรูปนาม ซึ่งลักษณะของรูปนามก็คือมีสภาพอนิจจังทุกขังอนัตตา
คือการให้เราคิดพิจารณาโดยตรง ให้เห็นว่า ร่างกายจิตใจนี้แปรปรวนไปตามสภาพ
หรือรู้เห็นอะไรก็มาคิด คิดเทียบดูกับกายใจนี้ ก็เห็นว่ามันเหมือนกันคือไม่เป็นดังใจหวัง แปรเปลี่ยนไปตามเหตุปัจจัย
คิดเห็นบ่อยก็รู้ว่ามันเป็นทุกข์ เห็นว่ามันแปรไปตามเรื่องของมันเอง มันจึงเห็นว่าไม่มีตัวตนใดๆ ในกายใจนี้เลย
เห็นบ่อยๆ จากปัญญา เห็นซ้ำๆซากๆ ปัญญารวมตัวกัน จิตรู้ว่ามันไม่ใช่เรา ละความยึดมั่นได้ ขณะจิตนั้นเรียกว่าเกิดสมาธิ
เกิดสมาธิ จึงเห็นชัดด้วยตนเอง เป็นปัจจัตตังเกิดขึ้น มั่นใจได้ด้วยตนเอง ความไม่มีตนเกิดขึ้น
ปัญญาจึงอบรมสมาธิด้วยเหตุนี้ครับ
ส่วน อารัมมณูปนิชฌาน อารมณ์ บวกรูปนาม บวกฌาน ได้เป็นอารัมมณูปนิชฌาน
ผมแปลว่าให้เพ่งในอารมณ์ของรูปนาม คือเพ่งสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งก็คือรูปนามนั้นแหละ ดูๆเพ่งๆ อะไรก็ได้
ดูไปเรื่อยๆ จิตก็นิ่งสงบ เมื่อจิตมีความสงบ มีสมาธิ จิตจึงแสดงลักษณะของรูปนามออกมาให้ผู้ดูผู้เพ่งเห็น
เห็นบ่อยๆ เห็นว่ามันมีลักษณะบังคับบัญชาไม่ได้ เห็นบ่อยๆ จึงรู้ว่ามันเป็นทุกข์ แล้วจึงเข้าใจว่าตัวตนไม่มี
เกิดปัญญาจากสมาธิ จิตจึงรู้ว่าตนไม่มี จึงเรียกว่าสมาธิอบรมปัญญา
หรือบางท่านอาจจะไม่ถนัดทั้งคู่
คือปัญญาอบรมสมาธิก็ไม่เข้าใจ สมาธิอบรมปัญญาก็ไม่เข้าใจ
ก็ทำทั้งสองอย่างทำทั้งสมาธิและปัญญาไปพร้อมๆ กัน
คือปัญญาอบรมสมาธิบ้าง สมาธิอบรมปัญญาไปบ้าง ปนๆ กันไป
เพราะยังไง ทุกวิธี ก็นำมารู้สิ่งเดียวกัน คือรู้ชัดจากจิตว่า รูปนามตัวตนเรานี้มันไม่เที่ยงเป็นทุกข์ไม่ใช่ตัวตน
จึงวางใจจากตัวตนได้ครับ
จบ.
ไว้ให้ท่านผู้รู้มาแนะนำต่อละกันครับ
สีลํ พลํ อปฺปฏิมํ สีลํ อาวุธมุตฺตมํ
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
- picatos
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3352
- ผู้ติดตาม: 1
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 330
ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันนะครับว่าเข้าใจถูกหรือเปล่านะครับเด็กใหม่ไฟแรง เขียน:หากผมจะรบกวนขอความรู้จากพวกเรา จะได้ไหมครับ
ผมอยากได้คำแนะนำถึง
"ปัญญาอบรมสมาธิ"
ว่าควรต้องนำไปปฏิบัติอย่างไรครับ
ผมฟัง mp3 หลวงตามหาบัวเรื่องนี้หลายครั้งมาก
แต่ยังไม่แน่ใจว่าควรนำไปปฏิบัติอย่างไร
และได้เคยเรียนถามพระอาจารย์สุชาติ วัดญาณ
รวมทั้งได้ฟัง mp3 ที่ท่านตอบคำถามเดียวกันนี้กับคนอื่น
ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ และไม่แน่ใจครับ
ท่านใดจะกรุณาแนะนำเป็นธรรมทานด้วยจะเป็นพระคุณครับ
แต่เท่าที่ผมปฏิบัติมา คือ ถ้าเราปฏิบัติอย่างถูกต้องแล้ว มันจะเกิดขึ้นเองเป็นอัตโนมัติ เป็นสภาวะธรรม ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติของมันอยู่แล้ว
ถ้าพูดถึงไตรสิกขา ศีลเป็นเหตุใกล้ให้เกิดสมาธิ สมาธิเป็นเหตุใกล้ให้เกิดปัญญา ปัญญาที่แก่กล้ายิ่งขึ้นก็ทำให้ศีลและสมาธิสมบูรณ์ยิ่งๆ ขึ้น
แต่ถ้าเราเราพูดถึงอินทรีย์ 5 ศรัทธาเป็นเหตุแห่งวิริยะ วิริยะเป็นเหตุแห่งสติ สติเป็นเหตุแห่งสมาธิ สมาธิเป็นเหตุแห่งปัญญา ปัญญาที่แก่กล้ามากขึ้น ปัญญาที่ได้รับการพิสูจน์ก็จะไปทำให้ศรัทธาเข้มแข็งขึ้น เป็นวงรอบแห่งการพัฒนาปัญญา อินทรีย์ 5 จะแก่กล้ามากขึ้นจนกลายเป็นพละ 5
ทีนี้เวลาเราปฏิบัติ หากศีลเราไม่สมบูรณ์มากเพียงพอ เราจะมีข้าศึกคือนิวรณ์ธรรมมาก ทำให้จิตเป็นสมาธิได้ยาก เวลาจิตจะเริ่มเป็นสมาธิ ความผิดต่างๆ ที่เราเคยทำในอดีต ที่เราไปเบียดเบียนคนอื่น หรือผิดศีล จะขึ้นมารบกวนทำให้จิตเข้าสู่ความสงบได้เพียงระดับหนึ่ง ตามกำลังของศีลที่เรามี สมาธิจึงมีได้ระดับหนึ่ง เมื่อสมาธิมีได้ระดับหนึ่งปัญญาจึงเกิดขึ้นแค่ระดับหนึ่ง ซึ่งปัญญาที่เกิดขึ้นตรงนี้จะเป็นปัญญาที่จะไปขัดเกลาศีล ให้เราเห็นถึงทุกข์โทษของการไม่สำรวมระวังศีล ทั้งศีลปกติในชีวิตประจำวัน รวมไปถึง อินทรียสังวรศีล เมื่อเราเกิดปัญญาตรงนี้เห็นทุกข์โทษ หลังจากปฏิบัติธรรม เราจะสำรวมระวังพฤติกรรม คำพูด การกระทำของเราให้ดียิ่งขึ้น เป็นเหตุให้ศีลของเราสมบูรณ์ขึ้น แน่นขึ้น จึงอาจกล่าวได้ว่า ปัญญาก็อบรมศีลเช่นกัน
เมื่อศีลสมบูรณ์ขึ้น เมื่อปฏิบัติต่อๆ ไป จิตของเราก็จะเข้าสู่ความสงบได้มากขึ้น สมาธิก็จะมีกำลังมากขึ้น นำไปสู่ปัญญาที่มากขึ้น ปัญญาที่มากขึ้นนี้ก็จะมีปัญญาตัวหนึ่ง ที่เราจะรู้ว่า เราจะต้องวางจิตอย่างไร ในตำแหน่งไหน ในการที่จะพัฒนาสมาธิให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น เป็นปัญญาที่รู้ว่าเมื่อนิวรณ์แต่ละตัวเกิดขึ้น จะจัดการกับอินทรีย์ 5 อย่างไร เช่น เมื่อเจริญสติไป เกิดสภาวะที่อินทรีย์ 5 ไม่สมส่วน สมาธิพัฒนาขึ้นอีกระดับจนมีความกล้าแข็งกว่าวิริยะ เกิดความไม่สมดุลขึ้น จนมีอาการต่างๆ จากกำลังของสมาธิที่ไม่สมส่วน ไม่เหมาะแก่การงาน ปัญญาที่ถูกพัฒนาขึ้น ก็จะรู้ว่าจะเร่งวิริยะอย่างไร จะปรับการกำหนดสติอย่างไร เพื่อที่จะพัฒนาให้วิริยะสมส่วนกับสมาธิ เมื่อปรับการกำหนดสติให้สมส่วน จึงได้สมาธิที่เหมาะแก่การงานยิ่งขึ้น จึงอาจเรียกได้ว่า ปัญญาอบรมสมาธิ
ศีลเป็นเหตุแห่งสมาธิ สมาธิเป็นเหตุแห่งปัญญา แต่ปัญญาก็เป็นเหตุแห่งศีลและสมาธิเช่นกัน เมื่อเข้าใจการปฏิบัติเช่นนี้จะเห็นว่า อินทรีย์ 5 หรือ มรรค 8 ก็จะเป็นวงรอบแห่งการพัฒนาเช่นกัน มรรค โดยนัยยะหนึ่งจึงแปลว่า ทาง เป็นทางดำเนินไปสู่ความบริสุทธิ์ เป็นทางดำเนินเพื่อก้าวข้ามผ่านความทุกข์ โดยวงรอบแห่งการก้าวเดินนี้จะนำไปซึ่งการตัดขาดให้สิ้น และเมื่อทางถูกตัดขาด ชาติพบจบสิ้น มรรคที่มีองค์ 8 จึงกลายเป็น มรรคที่มีองค์ 10 แต่ก่อนที่จะไปถึงมรรค 10 ต้องพัฒนาจิตในวงรอบแห่งมรรค 8 รอบแล้วรอบเล่า จนปัญญาแก่กล้าอย่างถึงที่สุดก่อน ประดุจดังเราหมุนเหวี่ยงลูกตุ้มรอบแล้วรอบเล่า สะสมเพิ่มโมเมนตัมให้กับลูกตุ้มอย่างถึงที่สุด ก่อนที่จะเขวี้ยงออกไปอย่างสุดแรง เพื่อที่จะได้โยนลูกตุ้มข้ามไปที่แม่น้ำฝั่งตรงข้าม
ผมมีความสามารถในการอธิบายอยู่อย่างจำกัด อีกทั้งธรรมทั้งหลายนั้นเป็นปัจจัตตัง กล่าวคือ รู้ได้เฉพาะตน การเข้าใจโดยการอธิบายเหล่านี้เป็นเพียงสุตมยปัญญา และจินตามยปัญญาเท่านั้น เป็นเพียงเข้าใจเพื่อให้เกิดศรัทธา เพื่อให้รู้แนวทางการปฏิบัติ สุดท้ายแล้วธรรมที่เกิดเฉพาะตนจะเกิดขึ้นเองในจิตของผู้ปฏิบัติเอง เป็นภาวนามยปัญญาที่รู้ได้เฉพาะตน จึงขอเชิญชวนเพื่อนๆ ทุกท่านมาปฏิบัติด้วยตนเอง และให้ธรรมทั้งหลายเหล่านี้ผุดเกิดในใจของธรรมเอง ให้กระจ่างแจ้งด้วยตนเอง
ขออนุโมทนาสาธุกับความวิริยะเพียรพยายามของทุกๆ ท่านด้วยครับ
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?