VI ควรจะขายเมื่อไหร่ครับ ถ้า...

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
Birdigol
Verified User
โพสต์: 26
ผู้ติดตาม: 0

VI ควรจะขายเมื่อไหร่ครับ ถ้า...

โพสต์ที่ 1

โพสต์

สวัสดีครับ

สงสัยเล็กน้อยครับ จากปกติเราจะขายหุ้นเมื่อราคาได้ตามเป้าที่กำหนดไว้ แต่หากหุ้นนั้นราคาไม่ถึงเป้า ขึ้นๆลงๆ ตลอด ถือมาหลายปีราคาก็ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงซักเท่าไหร่ อย่างนี้ชาว VI จะพิจารณาอย่างไรครับ ถือไว้รอราคาให้ถึงเป้า ? หรือขาย แล้วเปลี่ยนเป้าหมายของหุ้นใหม่ ?

ผมขออนุญาติยกตัวอย่างที่ราคาไม่ค่อยเปลี่ยนเท่าไหร่นะครับ เช่น PTTEP ซึ่งราคาก็จะวนเวียนอยู่อย่างนี้ หรือ SPALI ซึ่งราคาก็ทรงๆอยู่ประมาณนี้มาซัก 2 ปีละ


ขอบคุณครับ
redsox
Verified User
โพสต์: 29
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI ควรจะขายเมื่อไหร่ครับ ถ้า...

โพสต์ที่ 2

โพสต์

เป็นคำถามที่ผมก็สงสัยเหมือนกันครับ
สมมุติว่าหุ้นที่ถือมีปันผลดี มูลค่าเติบโตดีสม่ำเสมอ ทิศทางแนวโน้มก็ยังคงดี ราคาเลยมูลค่ามาแล้ว ยังคงถือไว้ไหมครับ ส่วนตัวผมคิดว่าก็ถือต่อไป
กับอีกคำถามนึง หากมีเงินออมมาจะซื้อเพิ่ม ราคาหุ้นขึ้นไปแล้ว เราควรซื้อเพิ่มไหม
luz666
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 845
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI ควรจะขายเมื่อไหร่ครับ ถ้า...

โพสต์ที่ 3

โพสต์

ถ้าถือนานๆแล้วไม่ถึงราคาเป้าหมายซะที ก็คงต้องมาดูว่าทำไมมันไม่ถึงอ่ะครับ เราคิดอะไรผิดรึป่าว เช่น บริษัทไม่ได้ดีอย่างที่คิด เราคิดกำไรสูงไป เราให้ p/e สุงไป โครงการณ์ที่วาดฝันไว้ไม่ได้ดีอย่างที่คิด อะไรแบบนี้ ถ้าคิดได้ว่าทำไมไม่ถึงเป้า เดี๋ยวก็ตอบได้เองว่าควรขายหรือรอต่อไป
all i need is Zero
luz666
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 845
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI ควรจะขายเมื่อไหร่ครับ ถ้า...

โพสต์ที่ 4

โพสต์

ส่วนคำถามว่าถ้าหุ้นขึ้นมา เกินมูลค่าแล้ว ควรทำอย่างไร ก็เป็นปัญหาโลกแตกของ VI ส่วนใหญ่ครับ ขายหมูประจำ น่าจะเพราะ VI ส่วนใหญ่ conservative แต่บางทีบริษัทที่ดีก็มักจะทำได้ดีกว่าที่เราคิด และพอบริษัทดี ตลาดก็มักจะ re-rate p/e ให้ใหม่ สรุปแล้วก็ต้องมาคอยประเมิณมูลค่าเรื่อยๆ บางทีมันอาจจะยังไม่เกินมูลค่าก็ได้
ลองอ่านกระทู้นี้ดูครับ http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=35&t=28845
all i need is Zero
ภาพประจำตัวสมาชิก
todsapon
Verified User
โพสต์: 1137
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI ควรจะขายเมื่อไหร่ครับ ถ้า...

โพสต์ที่ 5

โพสต์

ขายเมื่อธุรกิจเปลี่ยนแบบไม่มีทางฟื้นได้อีก
ขายเมื่อเจอธุรกิจใหม่ที่คุ้มค่ากว่า
ผลตอบแทน 15% ต่อปีก็พอ
กำไรเมื่อซื้อ มิใช่กำไรเมื่อขาย
การได้ทำอะไรที่ตนเองชอบและมีปัจจัยสี่พร้อมเพียงคือสุดยอดแห่งความสุข
ขอยืมเงินหน่อยครับ
Plant
Verified User
โพสต์: 667
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI ควรจะขายเมื่อไหร่ครับ ถ้า...

โพสต์ที่ 6

โพสต์

"จะซื้อจะขาย เป้าหมายต้องชัด"
"การกระทำทุกอย่าง ต้องมีเหตุผลรองรับ"
....^^)

คือ ผมมองว่าจะซื้อหรือขาย เราต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน และมีเหตุผล
ในการซื้อ-ขายในแต่ละครั้งนะครับ อย่างคำถามของคุณ "Birdigol"
ก็ต้องมองในประเด็นที่คุณ "nameisnothing" แนะนำมาครับ
คือ ให้กลับไปดูต้นเหตุที่ซื้อ ว่าซื้อมาเพราะอะไร แล้วมาดูว่าผลตอนนี้
มันเป็นอย่างที่เราคิดไว้หรือเปล่า แล้วในอนาคตมันจะเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ
หรือมันจะเป็นไปอย่างที่เราเคยคิดไว้

ในส่วนของคุณ "redsox" มี 2 คำถาม คำถามแรกคุณตอบตัวเองไปแล้ว
ส่วนคำถามที่ 2 จะซื้อเพิ่มหรือไม่ ต้องกลับมาดูจุดประสงค์ของเราครับ
ว่าเราจะซื้อโดยหวังอะไร เงินปันผลหรือส่วนต่างราคา แล้วมองที่ MOS
เป็นหลักครับว่าเรายอมรับราคาที่มี Mos ต่ำๆได้แค่ไหน หากซื้อแล้วเป็น
ไปตามจุดประสงค์ที่ตั้งไว้ และยอมรับ Mos ที่ต่ำๆได้ ซื้อเพิ่มก็ไม่ผิดอะไรนะครับ

ประมาณนี้ครับ...^^)
ภาพประจำตัวสมาชิก
Saran
Verified User
โพสต์: 2377
ผู้ติดตาม: 1

Re: VI ควรจะขายเมื่อไหร่ครับ ถ้า...

โพสต์ที่ 7

โพสต์

ผมยังมีปัญหากับการซื้ออยู่เลยครับ ><
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4641
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI ควรจะขายเมื่อไหร่ครับ ถ้า...

โพสต์ที่ 8

โพสต์

Birdigol เขียน:สวัสดีครับ

สงสัยเล็กน้อยครับ จากปกติเราจะขายหุ้นเมื่อราคาได้ตามเป้าที่กำหนดไว้ แต่หากหุ้นนั้นราคาไม่ถึงเป้า ขึ้นๆลงๆ ตลอด ถือมาหลายปีราคาก็ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงซักเท่าไหร่ อย่างนี้ชาว VI จะพิจารณาอย่างไรครับ ถือไว้รอราคาให้ถึงเป้า ? หรือขาย แล้วเปลี่ยนเป้าหมายของหุ้นใหม่ ?

ผมขออนุญาติยกตัวอย่างที่ราคาไม่ค่อยเปลี่ยนเท่าไหร่นะครับ เช่น PTTEP ซึ่งราคาก็จะวนเวียนอยู่อย่างนี้ หรือ SPALI ซึ่งราคาก็ทรงๆอยู่ประมาณนี้มาซัก 2 ปีละ


ขอบคุณครับ
เอาโซ่แห่งคำว่า "วีไอ" ที่คล้องอยู่ออกก่อน แล้วตอบคำถามเดิม ง่ายขึ้นเยอะ
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
dojii
Verified User
โพสต์: 339
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI ควรจะขายเมื่อไหร่ครับ ถ้า...

โพสต์ที่ 9

โพสต์

ซื้อด้วยเหตุผลอะไร ก็ควรขายด้วยเหตุผลนั้น
ภาพประจำตัวสมาชิก
picatos
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 3352
ผู้ติดตาม: 1

Re: VI ควรจะขายเมื่อไหร่ครับ ถ้า...

โพสต์ที่ 10

โพสต์

ในมุมมองของผม ผมคิดว่าประเด็นในการขายนี่ยากกว่าการซื้อเยอะครับ

ผมคิดว่า ในการลงทุนแนว VI เรามักจะมีความเข้าใจผิดว่า มูลค่ากิจการที่เหมาะสม มีค่าอยู่ค่าเดียว ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วมูลค่ากิจการที่เหมาะสมจริงๆ แล้วมีค่าเป็นช่วง มีลักษณะเป็นความน่าจะเป็น ลักษณะจะคล้ายๆ กับ Quantum Physics ที่เราไม่สามารถหาตำแหน่งเป๊ะๆ ของอิเล็กตรอนได้ ไม่สามารถรู้ได้ว่าแมวของชเรอดิงเจอร์ที่อยู่ในกล่องมีชีวิตอยู่หรือไม่

อย่าง Cash Flow ของกิจการที่จะเกิดขึ้นเป็น Cash Flow ที่เกิดขึ้นภายใต้ความน่าจะเป็น ทุกสิ่งทุกอย่างไม่แน่ไม่นอน แปรเปลี่ยนของตลอดเวลา ดังนั้นนักลงทุนร้อยคน ถ้าให้กรอบความคิดที่เป็นอิสระ ไม่ลอกข้อสอบกัน ก็สามารถคำนวณหามูลค่าได้ค่าที่แตกต่างกัน

ซึ่งถ้าเราเข้าใจและตระหนักถึงความน่าจะเป็นอันหลากหลายของมูลค่าที่เป็นไปได้ของกิจการหนึ่งๆ นั่นคือที่มาของการซื้อหุ้นให้มี MOS คือ เราไม่รู้แหละว่ามูลค่าที่แท้จริงจะเป็นเท่าไหร่ เรารู้แต่ว่าเราซื้อมันให้ถูก ให้มีส่วนเผื่อความปลอดภัย เพื่อที่ว่าราคาที่เราซื้อไปเป็นความน่าจะเป็นสูงมากที่จะกำไร แต่จะกำไรในมุมไหนนี่ก็พูดยาก เพราะ ในมุมมองของ VI คือ VI เวลาซื้อนี่คือ กำไรทันทีในทางทฤษฎี ในทางปฏิบัติเราก็เชื่อกันว่าในระยะยาวแล้วราคาหุ้นควรที่จะสะท้อนมูลค่าของกิจการ แต่จะไปสะท้อนเมื่อไหร่นี่ก็พูดได้ยาก บางทีอาจจะไปสะท้อนหลังจากที่เราตาย หรือหลังจากที่ลูกหลานเราตายไปแล้วก็ได้ จึงทำได้นักลงทุนที่ก้าวข้ามผ่านการเก็งกำไรจึงหันไปมองในกำไร ปันผล สิ่งที่เราได้จริงๆ จากกิจการ โดยให้ความสนใจกับราคาหุ้นที่ขึ้นๆ ลงๆ น้อยลง เพราะ ราคาหุ้นที่ขึ้นๆ ลงๆ เป็นสิ่งที่คาดการณ์ได้ยาก แต่การคาดการณ์ผลประกอบการ แนวโน้มของกิจการเป็นสิ่งที่คาดการณ์ได้ง่ายกว่า

จริงๆ แล้ว ศาสตร์ของ VI นี่ไม่ Cover เรื่องการขายเลยแม้แต่น้อย ศาสตร์ของ VI เป็นศาสตร์ที่ Cover แต่เรื่องการซื้อ ซื้อยังไงให้กำไรทันทีในทางทฤษฏี ซื้ออย่างไรให้ปลอดภัย ซื้ออย่างไรให้มีโอกาสในการเก็งกำไรไปขายต่ออย่างไรในการขายให้ได้ราคาที่สูงๆ อย่างไรก็ตามในเรื่องของการขายจริงๆ ควรที่จะใช้ศาสตร์อื่นเข้ามาประกอบ

ยกตัวอย่าง อย่างเราซื้อหุ้นตัวหนึ่งที่ราคา 100 บาท เราประเมินมูลค่าว่ามูลค่าที่เหมาะสมอย่างน้อยควรจะที่มีสัก 150 บาท จะเห็นว่าราคาที่เราประเมินเป็นราคาที่เรามั่นใจว่าอย่างน้อยควรที่จะมีสัก 150 บาท แต่เอาเข้าจริงๆ แล้วมันอาจจะมากกว่านั้นก็ได้ ในขณะเดียวกัน ถ้าหากเราประเมินมูลค่าด้วยความไม่ Conservative หรือมีความเข้าใจกิจการที่ผิด อาจจะทำให้ราคาที่เราประเมินออกมาจริงๆ แล้วต่ำกว่า 150 ก็ได้ หรือไม่ เวลาที่เปลี่ยนไป สถานการณ์ที่เปลี่ยนไป จริงๆ แล้วพื้นฐานกิจการได้เปลี่ยนไปแล้วระหว่างตรงกลาง ทำให้มูลค่ากิจการอาจจะสูงหรือต่ำกว่า 150 แล้วก็ได้ หากเราได้ข้อมูลใหม่ๆ เหล่านี้มาใช้ในการประเมินกิจการ หรือไม่บางทีอาจจะมีพื้นฐานกิจการบางอย่างที่เราไม่ได้รับรู้ แต่ทำให้มูลค่ากิจการเปลี่ยนไปอยู่เบื้องหลัง จะได้เห็นว่า มูลค่าที่เราประเมินได้ที่ 150 บาท เป็นสิ่งที่ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นอย่างยิ่ง ดังนั้นก่อนที่เราจะตัดสินใจขาย เราควรที่จะวิเคราะห์สถานการณ์ วิเคราะห์พื้นฐานกิจการ วิเคราะห์ทางเลือกในการลงทุนในชัดเจนก่อนว่า action ที่เรากำลังจะลงมือทำเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลแล้ว ไม่ใช่เราทำเพราะมันเคยเป็นสิ่งที่เราคิดเอาไว้ก่อนหน้า จากข้อมูลชุดเก่าที่เรามีอยู่ในหัว

นอกจากนี้ กลยุทธในการขายก็ไม่มีจำเป็นว่าต้องขายทั้งหมดที่ราคาเป้าหมายอีกต่างหาก เรายังสามารถเลือกที่จะขายเป็น Step เช่น ที่ราคา 125 บาท Upside ของหุ้นที่เราถือลดลงเราอาจจะลดสัดส่วนลง โดยขายออกไปสัก 20% พอถึง 150 เราอาจจะขายออกไปอีก 30% ในขณะที่ อีก 50% ที่เราถืออยู่ เราอาจจะถือพื้นติดตามกิจการต่อไป เพราะ เรารู้ว่า 150 เป็นมูลค่าขั้นต่ำ มันยังมี Potential ที่ราคาจะขึ้นไปมากกว่านี้ได้อีกเยอะ

หรือบางทีที่ราคา 150 เราอาจจะกลับมาซื้อเพิ่มก็ได้ ถ้าพื้นฐาน หรือ ข้อมูลของกิจการที่เรารับรู้มันเปลี่ยนไป มันมีความแข็งแกร่ง มีภาพของกิจการที่เปลี่ยนแปลงไปดีขึ้น หรือไม่ กิจการอื่นๆ ที่เราลงทุนอยู่กลับขึ้นไปมาก ทางเลือกในการลงทุนอื่นไม่น่าสนใจ อาจะทำให้ราคา 150 บาท เป็นราคาที่ต้องซื้อเพิ่มก็ได้

ในเรื่องของการขาย หากแบ่งแยกย่อยลงไป กิจการแต่ละประเภทก็มีพฤติกรรมของราคาที่แตกต่างกัน อย่างกิจการที่เป็น Defensive แข็งแกร่ง อิ่มตัว กำไรโตน้อย ราคาหุ้นอาจจะขึ้นลงตาม Risk Premium ที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ได้ขึ้นลงเพราะ ภาพของกิจการ พฤติกรรมราคาอาจจะเป็น Side Way การใช้ P/E Band ในการซื้อขายอาจจะเป็นทางเลือกที่ดี ในขณะที่ Growth Stock หากกิจการมีพัฒนาการของกิจการที่ดีขึ้น ราคาหุ้นอาจจะขึ้นไปได้เรื่อยๆ Forward P/E ต่ำเรื่อยๆ ทำให้ราคายิ่งขึ้น เราก็ไม่ควรขายก็เป็นไปได้

จะเห็นได้ว่า มิติของการขายนี่ช่างละเอียดซับซ้อนเสียเหลือเกิน เป็นเรื่องยากที่จะ Maximize Profit ดังนั้นสำหรับ VI สิ่งที่จำเป็นที่สุด อย่างแรก คือ ซื้อราคาไหนให้กำไร ส่วนจะขายอย่างไร ควรที่จะศึกษาศาสาตร์อื่นประกอบ อย่าง Money Management, Technical Analysis, Asset Allocation, Portfolio Manangement, Risk Management เพิ่มขึ้นน่าจะช่วยให้เข้าใจภาพในการบริหารพอร์ตได้มากยิ่งขึ้น
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
Plant
Verified User
โพสต์: 667
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI ควรจะขายเมื่อไหร่ครับ ถ้า...

โพสต์ที่ 11

โพสต์

คุณ "picatos" อธิบายละเอียด และเห็นภาพชัดเจนเลยครับ
ขอบคุณมากครับ...^^)

ส่วนตัวผมแล้ว ผมมักจะขายส่วนนึงเพื่อดึงต้นทุนตัวเองออกมาก่อน แล้วเอาเงิน
ที่ได้ไปลงตัวอื่นต่อ ส่วนที่เหลือก็ปล่อยไว้ดูติดตามต่อไป(ตามสไตล์วิธีของ
เฮียคลายเครียด) และหลักๆแล้ว ผมจะมองถึงเงินปันผลต่อปีด้วยครับว่า
ถ้าขายไปแล้ว เงินปันผลจากหุ้นที่เหลือจะได้รับตามเป้าที่วางไว้ตอนต้นปีหรือเปล่า
หากขายแล้วหุ้นที่เหลือให้ปันผลไม่ได้ตามเป้า ก็จะไม่ขาย หรือขายแล้วก็ต้องไปลง
กับหุ้นตัวอื่นที่ได้ปันผลตามเป้าที่วางไว้เช่นกัน ไม่งั้นก็ไม่ขายเหมือนกันครับ

คนส่วนใหญ่ที่กังวลเรื่องราคาขึ้นไปสูงแล้วจะขายไม่ขายดี เพราะกลัวว่าพอไม่ขายแล้ว
ราคาจะตกลงมาแล้วจะไม่ได้กำไรตามตัวเลขที่เราเคยเห็น ผมมองว่าจริงๆแล้วกำไร
ที่เราเสียดายนั้นมันเป็นเพียงตัวเลขครับ มันจะเขียว มันจะแดงมันก็คือตัวเลข
แต่เงินปันผลที่ได้รับจากผลประกอบการนี่สิคือตัวเงินจริงๆ ที่ตัวผมต้องการ
ผลประกอบการโต--->เงินปันผลโต--->ราคาโต
ผลประกอบลด--->เงินปันผลหด--->ราคาน่าใจหาย!!!
ผมมองเรื่องเงินปันผลเป็นรายได้หลัก ส่วนต่างราคาเป็นรายได้รองครับ...^^)
My House
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1317
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI ควรจะขายเมื่อไหร่ครับ ถ้า...

โพสต์ที่ 12

โพสต์

ขอแชร์การขายของผมบ้างนะครับ
เรื่องการขายตัวผมเองเคยติดกับดักว่าต้องเท่านั้นเท่านี้ถึงจะขาย แต่ปัจจุบันผมแบ่งไม้ขายครับ ถ้าราคาขึ้นมาใกล้กับมูลค่าเหมาะสมขั้นต่ำที่เราคิดไว้แล้ว แปลว่าการถือหุ้นต่อ upside เริ่มน้อยแล้ว ผมจะเริ่มแบ่งขายหุ้นทันทีครับ ส่วนจะขายเท่าไหร่ก็ขึ้นกับว่า ณ ตอนนั้น ต้องการให้สัดส่วนเงินสดต่อหุ้นเป็นเท่าไหร่ หรือเจอหุ้นที่ดีกว่า upside เยอะกว่าเราก็ขายออกมามากหน่อย และผมเองก็ดูสภาวะตลาด ณ ตอนนั้นด้วยครับ
ผมจะมองการขายหุ้นที่ขึ้นมาใกล้มูลค่าเหมาะสมว่าเป็นการขายเอาทุนออกมาครับ บางทีขายจนเอาทุนออกมาหมดเหลือไว้แต่ส่วนที่กำไร หุ้นส่วนที่เหลือที่เป็นส่วนที่เป็นกำไรเราก็เก็บไว้ลุ้น best case ของเราครับ เล่นบนกำไรย่อมปลอดภัยกว่านะครับ :B :B
harikung
Verified User
โพสต์: 2236
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI ควรจะขายเมื่อไหร่ครับ ถ้า...

โพสต์ที่ 13

โพสต์

ขอบคุณอาจารย์ตี่ Picatosมากๆครับ
นักเลงคีย์บอร์ด4.0
ภาพประจำตัวสมาชิก
Saran
Verified User
โพสต์: 2377
ผู้ติดตาม: 1

Re: VI ควรจะขายเมื่อไหร่ครับ ถ้า...

โพสต์ที่ 14

โพสต์

ขอบคุณสำหรับไอเดียพี่ๆแต่ละคนครับ
chaitorn
Verified User
โพสต์: 2547
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI ควรจะขายเมื่อไหร่ครับ ถ้า...

โพสต์ที่ 15

โพสต์

ผมเห็นด้วยครับ การซื้อสำคัญกว่าขาย ควรซื้อเมื่อ กำไรเมื่อซื้อทันที

ถ้าซื้อได้ถูกราคา มี mos มากพอ ประเด็นตัดสินใจสุดท้ายคือ max profit อย่างไรเท่านั้น การอดทนซื้อบางครั้งก็สำคัญตรงนี้

อต่ถ้าซื้อแพงไป อันนี้มีปัญหาที่ vi ต้องแก้ไข แล้วแต่วิธีการของแต่ละคน บางคนรอคอย บางคน leverage เพิ่มเพื่อลดต้นทุน บางคนขายออกไปลงทุนตัวอื่นที่ดีกว่าตัวที่เราซื้อในราคาผิดพลาด

ปกติการขายเราอาจมีวัตถุประสงค์ต่างกัน เช่น
ขายเพื่อลดต้นทุนบางส่วน ทำให้ต้นทุนใหม่ของหุ้นที่จะถือระยะยาวที่เหลือมีต้นทุนต่ำลงมี mos ที่สูงขึ้น เผ็นวิธีคลายเครียด หรือกลยุทธ์หุ้นห่านทองคำ

ขายเพราะมีตัวอื่นที่mos มากกว่า และมี upside gain ที่สูงกว่าด้วย

และสุดท้ายขายเพราะพื้นฐานเปลี่ยนแปลงเลวลงไปจากที่วิเคราะห์ไว้ครับ
Circle of competence
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
ds105
Verified User
โพสต์: 86
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI ควรจะขายเมื่อไหร่ครับ ถ้า...

โพสต์ที่ 16

โพสต์

ส่วนตัวผมขายหลังจากมีบทวิเคราะห์ออกมาสักพัก เพราะถ้าไมใช่หุ้นmegatrendจริงๆที่สามารถขึ้นได้เรื่อยๆ ส่วนใหญ่อีกไม่นานราคาหุ้นมักจะลงก่อนtargetที่ผมตั้งไว้
chaitorn
Verified User
โพสต์: 2547
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI ควรจะขายเมื่อไหร่ครับ ถ้า...

โพสต์ที่ 17

โพสต์

ไปเจอบทความนี้ น่าจะเป็นประโยชน์ครับ

ผมขออนุญาตคุณ Invisible Hand นำบทความดีๆมาเผยแพร่ต่อนะครับ
http://www.bbznet.com/scripts3/view.php ... c=1&order=

เรื่องการขายหุ้นนั้นเป็นศิลปะที่สำคัญอย่างหนึ่งของการลงทุนครับ ผมคิดว่าไม่มีสูตรตายตัว และการตัดสินใจขายนั้นผมคิดว่ายากกว่าการตัดสินใจซื้อหลายเท่าครับ

การขายหุ้นที่เราลงทุนแต่ละตัวไม่จำเป็นต้องคาดหวังว่าจะขายได้ราคาสูงสุดหรือใกล้เคียงกับราคาสูงสุดที่หุ้นตัวนั้นจะไปถึงครับ เพราะไม่มี VI ที่สามารถทำได้ทุกครั้งแน่นอน ( ถ้าเป็นเจ้ามืออาจจะพอเป็นไปได้บ้าง ) การคิดว่าหุ้นที่เราขายทุกตัวจะต้องลงหลังจากที่เราขายหรือเราจะต้องขายที่ peak นั้นจะทำให้เราเกิดความทุกข์ในการลงทุนซึ่งเป็นความเครียดและส่งผลลบต่อร่างกายและจิตใจอย่างที่ไม่สามารถประเมินความเสียหายได้ครับ และไม่ต้องเสียดายประมาณว่ารู้งี้ถือต่อดีกว่า หรือ รู้งี้ซื้อเยอะกว่านี้ดีกว่า หรือ รู้งี้ . เพราะรู้อะไรไม่สู้รู้งี้หรอกนะครับ ( ยืมคำพูดพี่ Muffin มาครับ )

โดยทั่วไป ผมจะดูหุ้นในพอร์ตเป็นระยะๆ แล้วถามตัวเองว่า ณ ราคาหุ้นปัจจุบัน เราคิดว่าหุ้นตัวนี้ยังน่าสนใจในระยะยาวหรือไม่ หมายความว่า ถ้าไม่มีหุ้นตัวนี้อยู่เลยแล้วต้องซื้อราคานี้ ในระยะยาวจะสามารถให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจหรือไม่ ถ้าคำตอบคือใช่ แสดงว่าหุ้นตัวนั้นน่าถือต่อ ไม่สำคัญว่าเราจะได้กำไรมามากน้อยเท่าใด แต่ถ้าคำตอบคือ ไม่ใช่ แสดงว่าหุ้นตัวนั้นควรพิจารณาขาย เช่นกันครับ ไม่สำคัญว่าเราจะได้กำไรหรือขาดทุนมากน้อยก็ตาม

ดังนั้น เรื่องที่ว่าหุ้นตัวนั้นซื้อมาต้นทุนเท่าไหร่ ได้กำไรมาเท่าไหร่หรือกำลังขาดทุนอยู่เท่าไหร่ ผมจะพยายามไม่นำมาเป็นปัจจัยในการพิจารณาซื้อขายหุ้น แม้ว่ามันอาจจะขัดกับความรู้สึกของเราทุกคนก็ตาม มันก็เป็นเรื่องยากแต่ผมคิดว่าถ้าทำได้จะทำให้เรามีการตัดสินใจในการขายหุ้นที่ดีขึ้นได้ครับ

เนื่องจากการขายหุ้นเป็นเรื่องที่ยากจะตัดสินใจ และการขายหุ้น ณ ราคาสถานการณ์ปัจจุบันที่ดอกเบี้ยเงินฝาก 2% นั้นก็เท่ากับว่าเรามีความเสี่ยงกับการหาหุ้นใหม่ๆ ในการลงทุน หรือที่ผมเคยเขียนในบทความประกอบงานสัมมนา Thaivi คือ reinvestment risk ยิ่งพอร์ตใหญ่ขึ้นความเสี่ยงดังกล่าวก็ยิ่งมาก ดังนั้นในระยะหลังๆ ผมจะพยายามหาหุ้นที่สามารถถือยาวๆ ได้ในระดับ 5-10 ปี และไม่จำเป็นจะต้องขายเล่นรอบเหมือนหุ้นบางกลุ่มที่ขึ้นลงตามตลาด เช่น ธนาคาร หลักทรัพย์ หุ้นวัฎจักรหรือหุ้นเก็งกำไรอื่นๆ

ในหนังสือด้านการลงทุนบางเล่มได้บอกว่า แม้ว่าเราจะเห็นว่าผลตอบแทนดัชนีดาวโจนส์จะสูงมากในรอบ 100 ปีที่ผ่านมา คือ ให้ผลตอบแทนหลายสิบเท่า แต่เชื่อหรือไม่ว่าหากเราพลาดการถือหุ้นเต็มพอร์ตเพียงไม่กี่ปี ผลตอบแทนจะลดลงไปเกินครึ่ง เพราะบางปีดัชนีอาจจะปรับเพิ่มถึง 50-100% และแม้จะมีปรับฐานลงมาบ้างแต่ก็ไม่ลงกลับมาจุดเดิมอีกเลย ยกตัวอย่างหุ้นไทยก็ในช่วงปี 2546 ดังนั้นเรายากที่จะคาดเดาได้ถูกทุกครั้งว่าตลาดหุ้นในแต่ละปีจะเป็นอย่างไรดังนั้นการถือหุ้นเกือบเต็มพอร์ต ( ในช่วงดอกเบี้ยต่ำ 2-3% ) แบบนี้จึงเป็นสิ่งที่ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่ไม่เสี่ยงเกินไปนักกับการลงทุนแบบ VI หากเราสามารถเลือกธุรกิจและหุ้นที่เหมาะสม และมีการกระจายความเสี่ยงในจำนวนหุ้นและประเภทอุตสาหกรรมที่เหมาะสม คือ ลงทุนในอุตสาหกรรมที่เรามีความรู้ความเข้าใจอย่างแท้จริง และจำนวนหุ้นไม่มากเกินไปที่จะติดตามข้อมูลไม่ไหว และไม่น้อยเกินไปจนทำให้การลงทุนมีความเสี่ยงกับปัจจัยที่เราควบคุมไม่ได้

หุ้นที่เราควรจะถือลงทุนสำหรับการลงทุนแบบ VI ควรจะเป็นหุ้นที่เราถือแล้วไม่ต้องเฝ้าตลาด ถ้าจะดูราคาหุ้นแต่ละวันก็เป็นสิ่งที่ทำได้ มีคำถามว่า VI ตัวจริงต้องไม่ดูราคาหุ้นหรือไม่ ผมคิดว่าดูได้ไม่เสียหายอะไรถ้าไม่กระทบกระเทือนงานของเรา ราคาหุ้นอาจจะดูได้ระหว่างวันเป็นช่วงๆ หากเรามีเวลา แต่ไม่จำเป็นว่าทุกครั้งที่ดูราคาหุ้นจะต้องมีการสั่งซื้อขาย บางครั้งการดูราคาหุ้นบ่อยๆ ในแง่ VI อาจจะเป็นการฝึกความอดทนต่อความผันผวนของตลาดและราคาหุ้นที่เราถือก็ยังได้ครับ หรือการดูราคาหุ้นก็เป็นการเพิ่มโอกาสการลงทุนในหุ้นบางตัวที่ราคาลดลงมาอย่างรวดเร็วด้วยปัจจัยบางอย่างแต่พื้นฐานไม่เปลี่ยน แต่แน่นอนครับ การไม่ดูราคาหุ้นเป็นเวลา 1 สัปดาห์ หรือ 1 เดือน ก็เป็นสิ่งที่ VI ก็ต้องทำได้เช่นกันครับ เพราะ VI บางท่านอาจจะมีภาระกิจในงานประจำที่ยุ่งมาก เช่น ไปอยู่แท่นขุดเจาะน้ำมัน หรือเป็นนักบินอวกาศ ดังนั้น แม้ว่าการลงทุนทุกรูปแบบก็สามารถสร้างกำไรได้เหมือนกันหากมีความเชี่ยวชาญและมีวินัยการลงทุนที่ดีสำหรับการลงทุนแบบนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นแบบ VI แบบดูเทคนิค ดู fund flow เพราะไม่มีแมวดำแมวขาวในโลกการลงทุน การลงทุนแบบ Buffet หรือ Soros ก็ทำเงินได้เหมือนกัน แต่ข้อดีของการเป็นนักลงทุนแบบ VI อย่างหนึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับการลงทุนแบบอื่นๆ คือ สามารถที่จะไม่ต้องปรับพอร์ตได้เป็นระยะเวลานานพอสมควรหากเราไม่มีเวลา

มีนักลงทุนอายุในวัยใกล้เกษียณคนหนึ่งที่ผันตัวจากการลงทุนแบบนั่งห้องค้าซื้อหุ้นตามคนอื่นๆ และไม่มีความรู้ทางกราฟเท่าที่ควร มาลงทุนโดยซื้อหุ้นตามผม เมื่อเวลาผ่านไปพอสมควร ผมได้ถามว่าตอนนี้ยังถือหุ้นอะไรอยู่บ้าง นักลงทุนท่านนั้นเลยบอกว่าขายหุ้นไปหมดเพราะว่าต้องเดินทางไปเมืองนอกหลายสัปดาห์กลัวว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นระหว่างที่เค้าไม่อยู่เมืองไทยแล้วจะปรับพอร์ตไม่ทัน คือยังติดความคิดแบบตอนที่เล่นในห้องค้าอยู่ว่าต้องซื้อๆ ขายๆ บ่อยๆ แต่เมื่อนักลงทุนท่านนั้นกลับมาก็พบว่าหุ้นบางตัวที่ขายไปแล้วนั้นก็มีราคาสูงกว่าที่ราคาที่ขายไปแล้ว ซึ่งแน่นอนครับ นักลงทุนกว่า 90% ทำใจไม่ค่อยได้ที่จะซื้อหุ้นที่ขายไปแล้วในราคาแพงกว่าที่เดิม ดังนั้นคำถามยอดฮิตของเพื่อนนักลงทุนที่ชอบขายหุ้นก่อนเวลาอันสมควรคือ แล้วหุ้น A B C ที่ขายไปแล้วมันจะลงมาอีกรึเปล่า? ซึ่งเป็นการหาคำตอบที่ผมลำบากใจจริงๆ ครับ หรือคำถามที่ว่า มีหุ้นตัวอื่นอีกมั้ย? มีหุ้นใหม่ๆ อีกมั้ย? แน่นอนครับ การหาหุ้นที่น่าสนใจใหม่ๆ นั้นคงไม่เหมือนแม่ไก่ที่ออกไข่ได้เกือบทุกวันครับ

ดังนั้นการลงทุนแบบ VI นั้นควรจะเลือกหุ้นที่สามารถถือได้ในเกือบทุกสถานการณ์ โดยเฉพาะสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับต่างประเทศแล้วส่งผมมายังบ้านเราโดยที่เป็นระยะเวลาอันสั้น ที่ผ่านมาก็เช่น 911 ระเบิดที่ลอนดอน สงครามสหรัฐกับอิรัก หรือ sub prime หรือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในบ้านเราแต่ไม่ทำให้พื้นฐานหุ้นและเศรษฐกิจเปลี่ยนอย่างถาวร เช่น ซึนามิ ไข้หวัดนก เป็นต้น อย่างตอนที่มีระเบิดที่กรุงลอนดอนในปี 2547 นั้นวันที่มีระเบิดนั้นผมเดินทางถึงลอนดอนพอดี และนั่งดูราคาหุ้นตอนปิดตลาดลดลงเกือบทุกวัน แต่ท้ายสุดราคาหุ้นก็กลับมาได้เองเมื่อสถานการณ์เริ่มปกติ ในปีนั้นก็มีนักลงทุนบางคนตกใจขายหุ้นที่ราคาเกือบจะต่ำสุดเพราะความตกใจ เพื่อนนักลงทุนมือใหม่ขี้ตกใจคนหนึ่งไม่สามารถโทรศัพท์ติดต่อผมไม่ได้ขณะผมอยู่ที่ลอนดอนก็ตัดสินใจขายขาดทุนหุ้นตัวหนึงที่ถ้าถือถึงปัจจุบันก็ได้ 2 เท่ากว่าๆ เหตุผลหนึ่งที่ขายไปคงเพราะอาจจะคิดว่าผมจะเสียชีวิตไปแล้วจากเหตุการณ์ระเบิดไปเสียแล้วก็เป็นได้ครับ แต่ตอนนี้เพื่อนนักลงทุนท่านนี้ก็เป็นโรคตกใจน้อยลงแล้วและหมั่นเข้า course อบรม และอ่านหนังสือหาความรู้เพิ่มเติมเป็นระยะแล้วครับ

-------------------------------------------------------------------------------------

คำถามหนึ่งที่อาจจะสงสัยและผมเองก็ยังสงสัยตัวเองว่า แล้วถ้าถือหุ้น 100% แล้วเวลาหุ้นลงมามากๆ จะเอาเงินที่ไหนมาซื้อหุ้น นั่นนะสิครับ

ปกติแล้วผมจะใช้วิธีการขายหุ้นบางตัวและมาซื้อบางตัว ซึ่งตัวที่ขายอาจจะเป็นตัวที่ลงน้อยกว่าหรือมีความน่าสนใจในระยะยาวๆ น้อยกว่า เพราะหากเรากระจายกลุ่มอุตสาหกรรมที่มากพอ จะพบว่าบางกลุ่มอุตสาหกรรมอาจจะมีความผันผวนเทียบกับตลาดมากหรือน้อยกว่าอีกกลุ่มหนึ่ง ทั้งๆ ที่หุ้น 2 ตัวในต่างกลุ่มอาจจะมีความสนใจใกล้เคียงกัน ยกตัวอย่างเช่น ในวันที่ 19 ธ.ค. ผมก็ขายหุ้นบางตัวที่ลงประมาณ 2-5% ไปซื้อหุ้นที่ผมคิดว่ามีพื้นฐานในระยะยาวที่ดีเหมือนกันในราคาที่ลง 25-30% ถ้าเป็นภาษาการลงทุนก็คือ เวลาลงมากๆ เราก็เพิ่ม beta ของ port ของเรานั่นเอง ( คือการขายตัวที่ลงน้อยไปซื้อตัวที่ลงมากๆ )

แต่เทคนิคนี้ถ้าจะทำเราควรจะต้องรู้พื้นฐานของหุ้นตัวที่เรากำลังจะขายและกำลังจะซื้อดีมากพอ เพราะในทุกๆ สถานการณ์ ตัวที่ลงน้อยก็ไม่ใช่ว่าควรขาย และตัวที่ลงมากๆ ก็ไม่ใช่ว่าน่าซื้อทุกตัวครับ

อย่างกรณีวันที่ 19 ธ.ค. หุ้นพื้นฐานดีตัวหนึ่งที่ลงไปติด floor อยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่งคือ AP ครับ ราคาลงไปถึง 3.40 บาท

หรือในช่วง 911 หุ้นพื้นฐานอีกตัวหนึ่งที่ราคาลงมามากคือ Tisco คือจาก 15 บาทเหลือ 10 บาท ถ้าเราซื้อ Tisco-c1 แล้วเผื่อเงินไว้แปลงส่วนหนึ่ง จะพบว่า Tisco-c1 ขึ้นจาก 1 บาทเป็น 12 บาทในระยะเวลา 6 เดือนครับ เช่นกันครับ ไม่ใช่ warrant ทุกตัวจะน่าซื้อเมื่อตลาด panic มีเป็นส่วนน้อยเท่านั้นเองครับที่น่าซื้อ

ถือหุ้นที่หลังจากเราลงทุนแล้ว เราเชื่อได้ว่า
1 ผู้บริหารมีความสามารถสูง
2 มีจริยธรรมที่เพียงพอ
3 อยู่ในธุรกิจที่มีศักยภาพในระยะยาว

ผมคิดว่าหุ้นที่ผ่านทั้ง 3 ข้อนี้เราไม่จำเป็นต้องขายเลยก็ได้แม้ว่าราคาจะมีความผันผวนขึ้นๆ ลงๆ อยู่บ้าง หรือแม้ว่าบางปีกำไรอาจจะไม่โตหรือติดลบชั่วครั้งคราวจากปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ ซึ่งทำให้ 1-2 ปีนั้นๆ ราคาหุ้นลดลงมาบ้างหรือราคาหุ้นไม่ไปไหนแต่ตลาดหุ้นขึ้นเรื่อยๆ

บางคนอาจจะถามว่า แล้วถ้ามีข้อ 1 และ 2 แต่ข้อ 3 ไม่ผ่านจะได้หรือไม่ มันก็ขึ้นอยู่กับกรณีครับ ว่าบริษัทที่ว่านั้นสามารถเติบโตด้วยการกินส่วนแบ่งการตลาดจากคนอื่นมาได้หรือไม่ ผมขอยกตัวอย่าง 3 กรณีครับ

1 กรณีของ Phillip Moris ที่ทำบุหรี่ยี่ห้อมาร์โบโร่ นักลงทุนในต่างประเทศส่วนใหญ่จะไม่ได้ลงทุนในหุ้นตัวนี้ด้วย 3 เหตุผลคือ เหตุผลแรกคือเป็นบริษัทที่ผิดศีลธรรมอันดีเพราะทำลายสุขภาพลูกค้า ( ถ้า Phillip Morris อยู่เมืองไทยไม่ได้เข้าตลาดหุ้นแน่นอนครับ ) และเหตุผลที่ 2 คือ กระแสรักษาสุขภาพอาจจะทำให้คนสูบบุหรี่น้อยลง ( ซึ่งภายหลังพบว่าอาจจะไม่จริง ) และเหตุผลที่ 3 คือ Phillip Morris ถูกฟ้องร้องตลอดเวลา แต่ผลก็คือ การคำนวณผลตอบแทนแบบ dividend reinvest คือนำเงินปันผลที่ได้จากหุ้นตัวนั้นมาลงทุนหุ้นตัวเดิม Phillip Moris สามารถสร้างผลตอบแทนได้ top5 ของตลาดหุ้นสหรัฐในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ด้วยเหตุผลคือคู่แข่งตายไปเยอะ และการห้ามโฆษณาในหลายๆ สื่อเป็นการทำให้คู่แข่งรายใหม่เกิดยากเป็น barrier to entry ในตัวและลดค่าใช้จ่ายการตลาดได้จำนวนมาก การลงทุนเพิ่มก็น้อยทำให้จ่ายปันผลได้สูง ( เมืองไทยก็ห้ามอย่างนี้รู้ไหมว่าคนดื่ม คนสูบเท่าเดิมแต่กำไรของผู้ประกอบการจะดีขึ้น แถมรายการ highlight ฟุตบอลเอาเซ็นเซอร์ไปบังนักฟุตบอลหรือป้ายโฆษณาจนมองไม่เห็นลูกฟุตบอลไปเลยครับ )

2 กรณีของ บ. พฤกษา หรือ PS เห็นได้ชัดเจนว่าตลาดบ้านในระยะ 3-4 ปีที่ผ่านมาแทบไม่เติบโตเลย แต่ PS สามารถสร้างยอดขายเพิ่มขึ้นได้อย่างมากซึ่งเป็นผลจากการได้เปรียบด้านต้นทุนกับคู่แข่งอย่างมาก ดังนั้นการเติบโตของ PS คือความสามารถในการกินส่วนแบ่งการตลาดจากคนอื่นมาได้

3 กรณีของ Aprint ซึ่งทำนิตยสารแพรว บ้านและสวน ชีวจิต Real parenting ฯลฯ แม้ว่าน่าจะผ่านข้อ 1 และ 2 แต่ภาวะตลาดโฆษณาในช่วง 1-2 ปีหลังซบเซามาก รายจ่ายโฆษณาเท่าเดิมในขณะที่นิตยสารหัวใหม่ออกเพิ่มทุกปี Aprint เองก็มีนิตยสารใหม่เช่นกันคือ Real Parenting ซึ่งเป็นแนวคิดที่ดีมากทีเดียว แต่ก็ไม่สามารถกินส่วนแบ่งจากคู่แข่งได้เพราะคู่แข่งมีมากเกินไปและ Aprint ไม่สามารถเจาะไปทุก segment ได้

สำหรับหุ้นที่ไม่ใช่หุ้นวัฎจักร ( ที่ซื้อแล้วต้องหาจังหวะขายแน่นอน ) หุ้นตัวใดตัวหนึ่งผ่านข้อ 1-3 ผมคิดว่าหุ้นตัวนั้นพอจะถือไปได้เรื่อยๆ แม้ราคาหุ้นจะขึ้นมามากแล้ว เพราะหุ้นที่ผู้บริหารดีและเก่ง จะมีเรื่องดีๆ ตามมาเองอยู่เรื่อยๆ สม่ำเสมอ ไม่ว่าการลงทุนใหม่ๆ ที่ดูชาญฉลาด ไม่ว่าจะขยายกำลังการผลิตในธุรกิจเดิม หรือขยายไปยังธุรกิจที่ใกล้เคียงกับของเดิม การจัดการการเงินที่เหมาะสม ฯลฯ หุ้นประเภทนี้น่าซื้อทุกครั้งเมื่อตลาดปรับตัวลงจากเหตุการณ์ที่ชั่วครั้งชั่วคราวและทำให้หุ้นตัวนั้นๆ ปรับลดลงมามากพอ

แต่หุ้นที่แม้ว่าจะมีอัตราส่วนทางการเงินที่สวยงาม เช่น p/bv ต่ำมาก หรือมีเงินสดมาก แต่ไม่ผ่านข้อ 1-2 แล้ว ผมคิดว่าเมื่อเราถือไปเรื่อยๆ จะมีแต่ข่าวไม่ค่อยดีเข้ามามากกว่าข่าวดีๆ การขยับเขยื้อนของผู้บริหารแต่ละครั้งจะดูเหมือนเป็นการทำลายมูลค่าของหุ้นไปเรื่อยๆ เช่น การดำเนินกลยุทธ์ทางธุรกิจที่ไม่เหมาะสม การลงทุนใหม่ๆ ที่ไม่เข้าท่า ผลตอบแทนต่ำหรือเสี่ยงจะขาดทุนสูง ( ซึ่งคนส่วนใหญ่พอรู้แต่ทำไมผู้บริหารไม่รู้? ) การปล่อยกู้บริษัทในเครือ การบริหารการเงินหรือการจ่ายปันผลที่สร้างความผิดหวังกับนักลงทุน การได้ยินคนในวงการธุรกิจนั้นๆ เล่าในสิ่งที่ไม่ดีเกี่ยวกับผู้บริหารหรือการจัดการภายใน ฯลฯ หุ้นประเภทนี้ถ้าเรามีอยู่ควรจะขายทุกครั้งที่หุ้นปรับสูงขึ้นตามรอบของตลาดครับ หรือมีใครหลงผิดมาไล่ราคาหุ้นตัวนั้น ( แบบที่เราอาจจะเคยทำเช่นกัน )

บางคนอาจจะถามว่า แล้วการที่เราเพิ่งมาศึกษาบริษัทต่างๆ มีวิธีคร่าวๆ ที่จะดูว่าบริษัทไหนมีการจัดการด้านการบริหารธุรกิจและบริหารการเงินที่ดีบ้าง ตัวกรองที่ไม่ยากนักคือการดู ROE และ ROA ครับเพราะ

ROA บ่งบอกการใช้ประสิทธิภาพของสินทรัพย์ แต่ละธุรกิจจะมี ROA ไม่เท่ากัน เช่น บางธุรกิจเป็น Asset base อาจจะมี Roa ไม่สูงนัก เช่น โรงแรม ค้าปลีกบางบริษัท บางธุรกิจไม่ต้องใช้ asset จึงมี Roa สูง เช่น หลักทรัพย์ ดังนั้นเราควรเปรียบเทียบ ROA ของหุ้นที่เราสนใจกับหุ้นในธุรกิจเดียวกัน

แต่ก็มีบางธุรกิจที่เป็น asset base และ ROA ไม่สูง และตัวที่ ROA สูงที่สุดก็ยังไม่น่าสนใจเพราะธุรกิจนั้นๆ ต้องใช้เงินลงทุนสูงมาก และการเติบโตจะเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่เพิ่มสินทรัพย์ และสินทรัพย์ที่เกิดขึ้นนั้นไม่สามารถทำ securitize หรือการขายออกไปได้ เช่นการออก property fund ทำให้ธุรกิจนี้เมื่อเติบโตถึงจุดหนึ่งต้องเพิ่มทุน ธุรกิจประเภทนี้ได้แก่ ธนาคาร สถาบันการเงินที่ปล่อยสินเชื่อ หุ้นอุตสาหกรรมที่ต้องใช้เงินลงทุนสูง ธุรกิจให้เช่าสินทรัพย์ที่ไม่สามารถ securitize ออกได้ เป็นต้น

ROE บ่งบอกถึงประสิทธิภาพการใช้เงินของผู้ถือหุ้น ROE นี้ไม่ต้องนำไปเปรียบเทียบกับอุตสาหกรรมอื่นๆ เลยครับ ถ้าหุ้นที่มี ROE ต่ำเป็นระยะเวลาติดต่อกันหลายๆ ปีแสดงว่าหุ้นตัวนั้นมีผลตอบแทนในการดำเนินธุรกิจต่ำ หรือ มีการจัดโครงสร้างเงินลงทุนไม่เหมาะสม เช่น มีกำไรค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับยอดขายหรือสินทรัพย์ ( ROA ต่ำหรือ net margin ต่ำ ) มีส่วนของผู้ถือหุ้นมากเกินไปซึ่งเกิดจากการปันผลน้อยเกินกว่าที่ควรจะเป็นทำให้มีเงินสดแช่ในบริษัทจำนวนมาก หรือพอจะขยายแต่ละทีก็เพิ่มทุนมากเกินไปทั้งๆ บางส่วนอาจจะกู้มาได้หากธุรกิจไม่เสี่ยงเกินไป มีหุ้นทำขนมปังตัวหนึ่งธุรกิจดีใช้ได้ทีเดียว และมีความเสี่ยงต่ำมาก แต่เลือกขยายกิจการด้วยการเพิ่มทุนในสัดส่วนที่ค่อนข้างสูงทั้งๆ ที่น่าจะกู้ได้มากกว่านี้ ท้ายสุด EPS เลยถูก dilute และ ROE ก็ลดลง ทำให้หุ้นตัวนี้กลายเป็นหุ้นเกรด B ไปทั้งๆ ที่อาจจะเป็นหุ้นเกรด A และถือยาวๆ ได้ตัวหนึ่งเลยทีเดียวครับ หุ้นประเภทเดียวกับหุ้นขนมปังนี้ยังมีอีกหลายตัวทีเดียวครับ

แต่ก็มีบางบริษัทที่ ROE สูงเพราะใช้โครงสร้างเงินทุนไม่เหมาะสมก็มีครับ คือ ปกติแล้ว ROE จะสัมพันธ์กับ D/E ratio คือถ้า D/E สูงขึ้น ROE จะสูงตาม ดังนั้นบางบริษัที่มี ROE สูงใช้ได้อาจจะมี D/E สูงเกินไปเมื่อเทียบกับความเหมาะสมกับธุรกิจนั้นๆ ได้ครับ ซึ่งเป็นกับดักอย่างหนึ่งเหมือนกัน

อาจจะมีคำถามต่ออีกว่า แล้วธุรกิจแบบไหนใช้ d/e สูงได้ แล้วแบบไหนไม่ควรสูง

HIGH operating risk SHOULD have LOW financial risk
LOW operating risk CAN have HIGHER financial risk

คำแปลก็คือ หุ้นที่มีความเสี่ยงธุรกิจสูงควรมีความเสี่ยงทางการเงินหรือ d/e ต่ำ และหุ้นที่มีความเสี่ยงทางธุรกิจต่ำก็สามารถมีความเสี่ยงทางการเงินหรือ d/e สูงขึ้นได้

หุ้นที่มีความเสี่ยงทางธุรกิจสูงก็คือหุ้นที่มีความไม่แน่นอนของรายได้ในแต่ละปี ประเภทที่ยอดขายในแต่ละต้นปีต้องเริ่มใหม่ที่ 0 หรือมีความไม่แน่นอนของกำไร หรือ margin ซึ่งหุ้นตัวนั้นมีความเสี่ยงสูงจากปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้สูง เช่น ราคาวัตถุดิบ ดินฟ้าอากาศ การเมือง สงคราม หรือการทุ่มตลาดของคู่แข่ง ภาวะ demand supply ในตลาดโลกฯลฯ หุ้นประเภทนี้ควรมี d/e ต่ำ

หุ้นที่มีความเสี่ยงทางธุรกิจต่ำ คือ หุ้นที่มีความแน่นอนของรายได้ในแต่ละปี ซึ่งอาจจะอยู่ในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยที่สำคัญในการดำรงชีวิตของประชาชนที่ไม่สามารถชะลอการซื้อได้นานนัก เช่น อาหาร เครื่องอุปโภคบริโภค การรักษาโรค หรือมีรายได้ที่แน่นอนจากสัญญาต่างๆ ของลูกค้าเช่น การให้เช่า เป็นต้น หุ้นประเภทนี้สามารถมี d/e สูงได้ในระดับหนึ่ง เช่นอาจจะสูงถึง 2 เท่าได้

ส่วนหุ้นที่มีการ mismatch ระหว่าง D/e และ ความเสี่ยงทางธุรกิจที่หลายคนนึกไม่ถึงคือ ธุรกิจธนาคารและสถาบันการเงินที่ปล่อยกู้บุคคล เพราะสินทรัพย์หลักของธุรกิจนี้คือลูกหนี้ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการเสียหายมากหากเศรษฐกิจตกต่ำ สถาบันการเงินจะมีทุน 1 ส่วนและระดมเงินฝากประมาณ 5-9 ส่วนเพื่อปล่อยกู้ประมาณ 6-10 ส่วน ซึ่งเงินฝากธนาคารนั้นถือว่าธนาคารเป็นลูกหนี้ของผู้ฝากเงินซึ่งผู้ฝากเงินจะถอนเมื่อไหร่ก็ได้ ดังนั้นผู้ฝากเงินถือว่าเป็นเจ้าหนี้ที่น่ากลัวเพราะในบางครั้งไม่มีกำหนดที่แน่นอน โดยเฉพาะช่วงเศรษฐกิจตกต่ำหรือมีข่าวการขาดสภาพคล่องของสถาบันการเงิน คือ ช่วงที่ธนาคารต้องการเงินสดหรือสภาพคล่องที่สุดกลับกลายเป็นช่วงที่ผู้ฝากเงินหรือเจ้าหนี้ต้องการถอนเงินออกมากที่สุดเช่นกัน อย่างที่เกิดในบ้านเราในปี 2540-2541 นั่นเอง

การที่ธุรกิจธนาคารมีทุน 1 ส่วนแต่ปล่อยกู้ 6 ถึง 10 ส่วนก็เท่ากับว่าธนาคารและสถาบันการเงินเหล่านี้มี d/e ratio สูงถึง 5-9 เท่าในขณะที่ความเสี่ยงทางธุรกิจก็ค่อนข้างสูง ในขณะที่ roe ก็อยู่ 10-20% ซึ่งไม่ได้สูงกว่าธุรกิจที่มีความเสี่ยงต่ำกว่าหรือ d/e ต่ำกว่ามากนัก ดังนั้นเราจึงเห็นเลยว่า ทำไมหุ้นธนาคารหรือสถาบันการเงินบางแห่งถึงต้องถูกลดทุนเหลือ 0 หรือเพิ่มทุนมหาศาลในช่วงวิกฤติ หรือบางธนาคารตอนนี้แม้ไม่ล้มแต่ต้องเพิ่มทุนซ้ำซากเปลี่ยนผู้ถือหุ้นไปมาอยู่ เพราะการมีทุน 1 บาท แต่ปล่อยกู้ 5-9 บาท ถ้าเงินที่ปล่อยกู้หายไป 2 บาทก็เท่ากับว่าเงินทุนติดลบแล้ว 1 บาททันที หรือที่ใกล้ตัวที่สุดคือ เหตุการณ์ subprime ได้ทำให้กำไรของสถาบันการเงินในสหรัฐและยุโรปลดลงไปมากจากการที่ต้องตั้งสำรองหนี้เสีย ดังนั้นเราจะเห็นว่าการลงทุนในหุ้นสถาบันการเงินในระยะยาวๆ มักจะไม่ค่อยให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่ากับความเสี่ยงและระยะเวลาการรอคอยนัก

ขอจบเรื่อง ขายหุ้นอย่างไรไม่ให้ช้ำใจ ภาคแรกไว้เท่านี้ก่อนนะครับ
Circle of competence
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
chaitorn
Verified User
โพสต์: 2547
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI ควรจะขายเมื่อไหร่ครับ ถ้า...

โพสต์ที่ 18

โพสต์

เรื่องจุดที่ควรขายหุ้นนั้น เราควรประเมินว่าหุ้นที่เราถือนั้นเป็นหุ้นประเภทใดครับ


1 ถ้าเป็นหุ้นประเภทหุ้นถูก หรือซื้อตอน p/e ต่ำๆ แต่ธุรกิจไม่ได้มีการเติบโตมากนักหรือไม่ได้มีความแข็งแกร่งมากนัก จุดที่เราควรขายคือ เมื่อมันไม่ถูกแล้ว คือ ราคาขึ้นมาจน p/e เริ่มสูงแล้ว หรือ อาจจะชายเปลี่ยนตัวหากเจอหุ้นที่ถูกกว่า ยกตัวอย่าง เช่น หากเราซื้อหุ้นส่งออกที่เป็น OEM ( ไม่มี brand ของตัวเอง ) ที่ p/e 5-6 เท่า หากราคาขึ้นจน p/e 10-12 เราอาจจะต้องพิจารณาขาย เพราะหุ้นส่งออกที่เป็น OEM หรือรับจ้างผลิตนั้นจะมีความเสี่ยงมากมาย เช่น ค่าเงิน การแข่งขันจากประเทศคู่แข่ง หรือความไม่แน่นอนในเรื่อง order จากลูกค้า จะหวังว่า p/e จะขึ้นไป 20 เท่าเหมือนหุ้น growth หรือหุ้นที่มีความแข็งแกร่งทางธุรกิจก็คงจะเป็นไปได้ยากครับ


2 ถ้าเป้นหุ้นวัฎจักร จุดที่ควรขายคือ จุดที่ราคาผลิตภัณฑ์หรือค่าบริการ ( เช่น ค่าระวาง ) เพิ่มขึ้นสูงมากเมื่อเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีต ( จนน่าจะทำให้ผู้ประกอบการแต่ละรายมีกำไรสูงเป็นประวัติการณ์และมีการขยายกำลังการผลิตจำนวนมากและจะเกิดภาวะ oversupply ในอนาคต ) ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นหลายเท่า และ p/bv สูง เช่น เกิน 5 เท่า หรือ market cap สูงกว่า replacement cost มากๆ เช่น 3-5 เท่า หากไม่สามารถหา replacement cost ได้ก็สามารถดู p/bv ประกอบได้ครับเพราะ 2 ตัวนี้มีความสัมพันธ์ในทางเดียวกัน จุดที่ขายหุ้นวัฎจักรมักจะยังเป็นจุดที่ p/e ยังต่ำเพราะ earning ในช่วงชาขึ้นเป็น earning ที่สูงมากครับ จุดที่ควรขายหุ้นวัฎจักรมักจะเป็นจุดที่นักลงทุน VI มือใหม่อาจจะพลาดท่าไปซื้อเพราะดูเพียงแต่ความถูกแง่มุมเดียว คือ ดูแต่ p/e ของหุ้นครับ ซึ่งเคยเกิดขึ้นกับกับหุ้นเรืออย่าง TTA PSL ตอน 40-50 บาท หรือ PTL ตอน 30 กว่าบาท


3 ถ้าเป็นหุ้นเติบโต มักจะเป็นหุ้นที่ถือได้นานกว่าหุ้นประเภทอื่นๆ เพราะถ้าเราเลือกหุ้นถูกตัว คือ เลือกหุ้นที่มีผู้บริหารที่เก่งและมีธรรมาภิบาล ธุรกิจมีความได้เปรียบในการแข่งขันและอยู่ใน megatrend คือ อยู่ใน trend ที่มีการเติบโตสูงกว่าการเติบโตของเศรษฐกิจ เราสามารถถือลงทุนไปเรื่อยๆ ตราบที่หุ้นตัวนั้นยังมีการเติบโตของรายได้และกำไรที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย และจุดที่ควรขายคือ เราเริ่มรู้สึกว่าการเติบโตมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวหรือกลับมาเติบโตได้ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ย หรือใกล้ๆ กับการเติบโตของเศรษฐกิจครับ เช่น หุ้นค้าปลีกอย่าง Walmart หรือ Home Depot ในสหรัฐ ช่วงที่เติบโตสูง p/e จะอยู่ที่ 20-30 เท่าเป็นเวลาหลายสิบปี แต่พอถึงจุดอิ่มตัวที่กำไรโตปีละ 8-10% ปัจจุบัน p/e ก็เหลือประมาณ 10-12 เท่าครับ ดังนั้นการประเมินว่าหุ้น growth แต่ละตัวจะใกล้ถึงจุดอิ่มตัวคงเป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่จะต้องใช้การอ่าน การสังเกต สอบถาม และการคาดการณ์ต่างๆ ของเราครับ
Circle of competence
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
chaitorn
Verified User
โพสต์: 2547
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI ควรจะขายเมื่อไหร่ครับ ถ้า...

โพสต์ที่ 19

โพสต์

ผมคิดว่า เหตุการณ์ในอดีต อาจเปลี่ยนแปลงไปเมื่อดูผลจากปัจจุบันแล้วครับ

แต่ประเด็นผมคือ ต้องยึดหลักวิธีคิด แล้วนำไปประยุกต์เป็นวิธีของเรา
เพราะจะเป็นเครื่องมือวิธีคิดในการลงทุนที่เราสามารถยึดเป็นแม่แบบวิธีคิดของคนที่ประสบความสำเร็จในการลงทุนคนหนึ่งที่ได้รับการยอมรับจากนักลงทุนรุ่นเก่และใหม่อย่างมาก ซึ่งให้ความกรุณากับผู้ลงทุน vi และมาเปิดเผยวิธีคิดโดยไม่ปิดบังครับ

ต้องขอขอบคุณคุณ IH มา ในโอกาสนี้ด้วยครับ
Circle of competence
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
Green_tree
Verified User
โพสต์: 296
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI ควรจะขายเมื่อไหร่ครับ ถ้า...

โพสต์ที่ 20

โพสต์

รอขึ้น100% แบ่งขายครึ่งนึง ได้ทุนคืนพอดี :B
ภาพประจำตัวสมาชิก
Suysak
Verified User
โพสต์: 691
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI ควรจะขายเมื่อไหร่ครับ ถ้า...

โพสต์ที่ 21

โพสต์

ง่ายจริงๆออกไปเดินดูธุรกิจที่เราถืออยู่. ถ้ามันยังเซ็งลี้ฮ้อแล้วผู้บริหารยังตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากินก็ถือต่อ

ถ้าคันมืออยากซื้อตัวอื่นนะก็ง่ายจริงๆเอาปันผลตัวแรกมาซื้อไม่ก็ตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากินเองให้มีตังมาซื้อ

ไอ้ที่ขายหมูๆกันนี่ก็เพราะถือเกิดอาคารคันมือนี่แหละครับ
โอ้ละหนอดวงเดือนเอย พี่มาเว้ารักเจ้าสาวคำดวง
โอ้ดึกแล้วหนอพี่ขอลาล่วง อกพี่เป็นหวงรักเจ้าดวงเดือนเอย
yoko
Verified User
โพสต์: 4395
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI ควรจะขายเมื่อไหร่ครับ ถ้า...

โพสต์ที่ 22

โพสต์

ผมจะรู้สืกอัดอั้นตันใจในการที่เขาไม่ยอมไปไหน ในที่สุดเมื่อผมทนไม่ไหว
ขายเขาไปเช่นขายilink,tnh
โอ้โฮ! เขาวิ่งอ้าวไปเลย555
โพสต์โพสต์