มีพี่ๆ คนไหนจำความรู้สึกตอนที่เข้ามาตลาดหุ้นครั้งแรก
-
- Verified User
- โพสต์: 12
- ผู้ติดตาม: 0
มีพี่ๆ คนไหนจำความรู้สึกตอนที่เข้ามาตลาดหุ้นครั้งแรก
โพสต์ที่ 1
อยากรู้ความรู้สึกพี่ๆว่า ตอนที่เข้ามาตลาดหุ้น อยากลงทุนหุ้นซักตัว แต่ไม่รู้จะเลือกตัวไหน งงไปหมด อยากทราบว่าพี่ๆ เข้าไปเริ่มหุ้นตัวไหน ทำไมถึงเข้าไปลงทุนกับหุ้นตัวนั้น อะไรที่เป็นแรงบันดาลใจให้เข้าไปลงทุน รบกวนพี่ๆช่วย เป็นแรงบันดาลใจให้ผมทีครับ ผมเพิ่งเริ่มได้ 3 เดือนครับ ช่วยเล่าประสบการณ์ให้ฟังหน่อยครับ ขอบคุณครับ
พอดีผมทำงานด้วย เรียนด้วย อายุก็เริ่มเยอะ เงินลงทุนค่อนข้างน้อย อยากให้พี่ๆใน THAIVI ช่วยชี้แนะครับ
ถ้าเป็นคำถามที่ไม่เกิดประโยชน์ ขอโทษด้วยครับ
พอดีผมทำงานด้วย เรียนด้วย อายุก็เริ่มเยอะ เงินลงทุนค่อนข้างน้อย อยากให้พี่ๆใน THAIVI ช่วยชี้แนะครับ
ถ้าเป็นคำถามที่ไม่เกิดประโยชน์ ขอโทษด้วยครับ
- picatos
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3352
- ผู้ติดตาม: 1
Re: มีพี่ๆ คนไหนจำความรู้สึกตอนที่เข้ามาตลาดหุ้นครั้งแรก
โพสต์ที่ 2
ผมเริ่มต้นจากลงทุนผ่านกองทุนรวมก่อนครับ
ใช้เวลาศึกษาหุ้นอยู่ครึ่งปี กว่าจะเริ่มแบ่งเงินจากกองทุนมาลงหุ้นตัวแรกในสัดส่วน 10%
กว่าจะเรียนรู้และมั่นใจว่าลงทุนเป็น ลงทุนได้ จนไม่มีเงินเหลืออยู่ในกองทุนใช้เวลา 4 ปี
ใช้เวลาศึกษาหุ้นอยู่ครึ่งปี กว่าจะเริ่มแบ่งเงินจากกองทุนมาลงหุ้นตัวแรกในสัดส่วน 10%
กว่าจะเรียนรู้และมั่นใจว่าลงทุนเป็น ลงทุนได้ จนไม่มีเงินเหลืออยู่ในกองทุนใช้เวลา 4 ปี
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11444
- ผู้ติดตาม: 1
Re: มีพี่ๆ คนไหนจำความรู้สึกตอนที่เข้ามาตลาดหุ้นครั้งแรก
โพสต์ที่ 3
ผมเริ่มลงทุนซื้อหุ้นครั้งแรกปี 2533
ซื้อหุ้นที่ทำธุรกิจผลิตปลาทูน่าส่งออกรายใหญ่ในขณะนั้น คือ บริษัทยูนิคอร์ด UCT
สาเหตุที่สนใจลงทุน เนื่องจาก ตอนเรียนปริญญาตรีได้มีโอกาสเข้าชมโรงงาน รู้สึกประทับใจ โรงงานใหญ่โตมาก มีพนักงานมาก และได้อ่านข่าวการที่บริษัทซื้อกิจการจำหน่ายปลาทูน่าอันดับต้นๆของสหรัฐ คือ บัมเบิ้ลบี (TUF เพิ่งซื้อตอนปีก่อน) เพื่อขยายตลาดสหรัฐ หลบกำแพงภาษี และซื้อตราสินค้า ผมอ่านแล้วรู้สึกชอบแนวคิดของเจ้าของ
แต่ซื้อโดยไม่ได้ตรวจสอบงบการเงิน ไม่ได้ประเมินมูลค่ากิจการ
สรุปผล ซื้อหุ้นละ 119 บาท ขายแถวๆ 20 บาท
ซื้อหุ้นที่ทำธุรกิจผลิตปลาทูน่าส่งออกรายใหญ่ในขณะนั้น คือ บริษัทยูนิคอร์ด UCT
สาเหตุที่สนใจลงทุน เนื่องจาก ตอนเรียนปริญญาตรีได้มีโอกาสเข้าชมโรงงาน รู้สึกประทับใจ โรงงานใหญ่โตมาก มีพนักงานมาก และได้อ่านข่าวการที่บริษัทซื้อกิจการจำหน่ายปลาทูน่าอันดับต้นๆของสหรัฐ คือ บัมเบิ้ลบี (TUF เพิ่งซื้อตอนปีก่อน) เพื่อขยายตลาดสหรัฐ หลบกำแพงภาษี และซื้อตราสินค้า ผมอ่านแล้วรู้สึกชอบแนวคิดของเจ้าของ
แต่ซื้อโดยไม่ได้ตรวจสอบงบการเงิน ไม่ได้ประเมินมูลค่ากิจการ
สรุปผล ซื้อหุ้นละ 119 บาท ขายแถวๆ 20 บาท
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
-
- Verified User
- โพสต์: 1024
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มีพี่ๆ คนไหนจำความรู้สึกตอนที่เข้ามาตลาดหุ้นครั้งแรก
โพสต์ที่ 4
เข้ามาใหม่ๆผมก็ซื้อหุ้น มั่วๆเลยครับ กำไรบ้าง ขาดทุนบ้าง มั่วไปหมด กิจการอะไรก็ไม่เข้าใจ
เน้นอ่านครับ อ่านเยอะๆ มันต้องใช้เวลาพอสมควรแล้วประสบการณ์ ความเข้าใจมันจะสะสม มากขึ้นเรื่อยๆ มากขึ้นทุกวันครับ
ตัวผมเองก็รู้สึกว่าความคิดเพิ่งเริ่มเข้าที่เข้าทาง เมื่อไม่นานนี้เองครับ
เน้นอ่านครับ อ่านเยอะๆ มันต้องใช้เวลาพอสมควรแล้วประสบการณ์ ความเข้าใจมันจะสะสม มากขึ้นเรื่อยๆ มากขึ้นทุกวันครับ
ตัวผมเองก็รู้สึกว่าความคิดเพิ่งเริ่มเข้าที่เข้าทาง เมื่อไม่นานนี้เองครับ
"เพราะเรียบง่าย จึงชนะ"
- vim
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2770
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มีพี่ๆ คนไหนจำความรู้สึกตอนที่เข้ามาตลาดหุ้นครั้งแรก
โพสต์ที่ 5
ตอนแรกผมมีเงินเก็บอยู่ก้อนหนึ่ง ฝากทิ้งไว้ในธนาคาร ฝากประจำบ้าง ซื้อบัตรบ้าง ทุกๆครั้งที่เปิดบัญชีก็รู้สึกว่าเสียดายที่ไม่ได้เอาเงินไปทำให้งอกเงยกว่านี้
ผมเข้าตลาดมา เพราะต้องการหุ้นที่ให้ปันผลสูงกว่าซื้อพันธบัตร เลยศึกษาเรื่องอัตราส่วนทางการเงินคร่าวๆ หาบริษัทที่สามารถจ่ายปันผลได้ต่อเนื่องและปันผลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผมซื้อหุ้น 4-8 บริษัทเพื่อกระจายความเสี่ยง จนมาเรียนรู้เกี่ยวกับการลงทุนเน้นคุณค่า แล้วก็พัฒนาแนวคิดไปเรื่อยๆจากจุดนั้นครับ
ผมเข้าตลาดมา เพราะต้องการหุ้นที่ให้ปันผลสูงกว่าซื้อพันธบัตร เลยศึกษาเรื่องอัตราส่วนทางการเงินคร่าวๆ หาบริษัทที่สามารถจ่ายปันผลได้ต่อเนื่องและปันผลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผมซื้อหุ้น 4-8 บริษัทเพื่อกระจายความเสี่ยง จนมาเรียนรู้เกี่ยวกับการลงทุนเน้นคุณค่า แล้วก็พัฒนาแนวคิดไปเรื่อยๆจากจุดนั้นครับ
Vi IMrovised
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 103
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มีพี่ๆ คนไหนจำความรู้สึกตอนที่เข้ามาตลาดหุ้นครั้งแรก
โพสต์ที่ 6
เริ่มเมื่อ 10 ปีที่แล้ว(พ.ศ. 2548)
แรงบันดาลใจคือเบื่อและเครียดจากงานประจำ ต้องการรายได้เลี้ยงชีพจากแหล่งที่ไม่ก่อให้เกิดความเครียด ศึกษาหุ้นอยู่ 5-6 เดือน จากโทรทัศน์+หนังสือ+เวปไซด์ต่างๆ
แหล่งที่ก่อประโยชน์ต่อการสร้างความมุ่งมั่นและการสั่งสมความรู้เพื่อการลงทุนหุ้นมากที่สุดคือหนังสือดร.นิเวศน์+บัปเฟตต์+ปีเตอร์ ลินซ์ และเวปไทยวีไอ+เวปกระทิงเขียว
แรงบันดาลใจคือเบื่อและเครียดจากงานประจำ ต้องการรายได้เลี้ยงชีพจากแหล่งที่ไม่ก่อให้เกิดความเครียด ศึกษาหุ้นอยู่ 5-6 เดือน จากโทรทัศน์+หนังสือ+เวปไซด์ต่างๆ
แหล่งที่ก่อประโยชน์ต่อการสร้างความมุ่งมั่นและการสั่งสมความรู้เพื่อการลงทุนหุ้นมากที่สุดคือหนังสือดร.นิเวศน์+บัปเฟตต์+ปีเตอร์ ลินซ์ และเวปไทยวีไอ+เวปกระทิงเขียว
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 103
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มีพี่ๆ คนไหนจำความรู้สึกตอนที่เข้ามาตลาดหุ้นครั้งแรก
โพสต์ที่ 7
ลืมตอบเรื่องตัวหุ้น
ตัวแรกที่ซื้อคือ CM เหตุผลที่ซื้อคือบริษัทมีกำไรและจ่ายปันผลสม่ำเสมอ หนี้สินน้อย อัตราปันผลสูง(คำนวณจากราคาที่ซื้อ) และราคาหุ้นถูกเมื่อเทียบกับอดีต
ตัวอื่นๆที่ซื้อก็ด้วยเหตุผลคล้ายๆกัน
ช่วงแรกๆของปีที่ 1 แหว่งแหไปร่วม 30-40 ตัวเพราะกล้าๆกลัวๆจึงต้องซื้อตัวละเล็กละน้อย สักพักก็ต้องทยอยขายออกไปเรื่อยๆเมื่อเริ่มมีกำไร นั่นแหละผมถึงเพิ่งเข้าใจคำว่าเบี้ยหัวแตกก็ตอนเริ่มเล่นหุ้น คือมาเข้าใจคำนี้ก็เมื่ออายุเกือบครึ่งศตวรรษ
ตัวแรกที่ซื้อคือ CM เหตุผลที่ซื้อคือบริษัทมีกำไรและจ่ายปันผลสม่ำเสมอ หนี้สินน้อย อัตราปันผลสูง(คำนวณจากราคาที่ซื้อ) และราคาหุ้นถูกเมื่อเทียบกับอดีต
ตัวอื่นๆที่ซื้อก็ด้วยเหตุผลคล้ายๆกัน
ช่วงแรกๆของปีที่ 1 แหว่งแหไปร่วม 30-40 ตัวเพราะกล้าๆกลัวๆจึงต้องซื้อตัวละเล็กละน้อย สักพักก็ต้องทยอยขายออกไปเรื่อยๆเมื่อเริ่มมีกำไร นั่นแหละผมถึงเพิ่งเข้าใจคำว่าเบี้ยหัวแตกก็ตอนเริ่มเล่นหุ้น คือมาเข้าใจคำนี้ก็เมื่ออายุเกือบครึ่งศตวรรษ
-
- Verified User
- โพสต์: 12
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มีพี่ๆ คนไหนจำความรู้สึกตอนที่เข้ามาตลาดหุ้นครั้งแรก
โพสต์ที่ 8
ตัวผมเองศึกษามาประมาณเกือบปลายปีที่แล้วครับ ซักเดือนต้นตุลา อ่านในเว็บซะส่วนใหญ่ จนมาเปิดพอร์ตประมาณต้นเดือนธันวาครับ เริ่มซื้อหุ้นก็วันที่หุ้นตกไป 138 จุด น่าจะเป็นวันที่ 15 ธ.ค. ครับ BlackMonday ก็เริ่มซื้อดูงบพอรู้เพราะที่ทำงาน ทำงานเกี่ยวกับบัญชี เล่นพอรู้เรื่องแค่นิดหน่อย แค่กำไร กับขาดทุน แต่ช่วงแรกๆเน้นไปทางดูกราฟซะมากกว่าจนมาฟัง ดร.นิเวศน์ เลยคิดว่าน่าจะเป็นแนวทางที่ชอบมากกว่าครับ เพราะไม่ต้องมาคอยนั่งเฝ้าหน้าจอทั้งวัน เพราะตัวผมต้องมีงานประจำทำ ก็เลยชอบแนวทาง VI แต่ก็ยังมองธุรกิจไม่ออกเลยครับ
อยากทราบว่าพี่ๆก่อนเข้าหุ้นแต่ละตัว ไปทำความรู้จักยังไงกับหุ้นครับ เช่นไปอ่านงบ 56-1 หรือว่าติดตามข่าวสารจากไหนกันครับ
ปล. ขอบคุณพี่ๆทุกท่านที่มาชี้แนะนะครับ
อยากทราบว่าพี่ๆก่อนเข้าหุ้นแต่ละตัว ไปทำความรู้จักยังไงกับหุ้นครับ เช่นไปอ่านงบ 56-1 หรือว่าติดตามข่าวสารจากไหนกันครับ
ปล. ขอบคุณพี่ๆทุกท่านที่มาชี้แนะนะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 18364
- ผู้ติดตาม: 1
Re: มีพี่ๆ คนไหนจำความรู้สึกตอนที่เข้ามาตลาดหุ้นครั้งแรก
โพสต์ที่ 9
ย้อนกลับไปเมื่อ 12-13 ปีที่แล้วเลยทีเดียว
พอดีเพื่อนสนิทพาไปเดินงาน Money Expo เพื่อซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวม
ตอนนั้นไม่รู้เรื่องอะไรเลยจริงๆ พับผ่า
แต่ก็ได้ซื้อพวกกองทุนตราสารหนี้และตราสารทุน โดยช่วงนั้น ประเทศไทยได้เผชิญปัญหาภาคใต้ โหมกระหน่ำมากๆ
ใช้วิธีการสลับกองทุนรวม คือ กองทุนตราสารหนี้กับกองทุนหุ้น เวลา
เวลาที่ SET index ตกต่ำก็หลบภัยไปที่ กองทุนตราสารหนี้ แล้วก็โยนย้ายไปกองทุนตราสารทุนเมื่อได้จังหวะ
ช่วงเวลานั้นให้ บริษัทจัดการกองทุนรวมบริหาร แต่มิใช่เงินส่วนใหญ่ที่เก็บออม
หลังจากเริ่มต้นก็จ่ายภาษี โดยให้บริษัทจ่ายให้ ตอนนั้นรายได้ไม่ต้องเสียภาษี แล้วก็รู้ว่า สามารถยื่นขอคืนได้
เพราะกองทุนรวมปันผลออกมา หัก ณ ที่จ่าย 10% ก็ได้คืนมา หลักร้อยกว่าบาทเท่านั้น
ช่วงนี้ได้มีโอกาสทำงานทางบ้าน นอนดึกทุกวันเสาร์ เรียกได้ว่าไม่ได้นอน แต่ทว่า ได้มีหนังสือการลงทุนดีๆๆ ให้อ่านเรื่อยๆ ตอนนั้นจำได้ว่า ตลาด(ห)ลัก ทรัพย์แห่งประเทศไทยออก หนังสือ มาเป็นชุดเลย ประมาณ 15-20 หัวเลย
ไล่อ่านทุกอย่าง ตั้งแต่ตราสารหนี้ ตราสารทุน หุ้นกู้ หลักการลงทุน การหาหุ้นแบบห่านทองคำ ตอนนั้นเริ่มรู้ว่า ภาษีที่จริงแล้ว เมื่อเราลงทุนในตราสารทุน(หุ้น) นั้นขอคืนภาษีได้มากกว่า กองทุนรวม
จังหวะพอดีเลย มีงาน ปลายปีนั้น ก็ไปเปิด Port การลงทุนกับบริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งไม่มีขั้นต่ำในการซื้อขาย
ตอนเปิด port จำได้แม่นมาก ว่าใครมาเปิด Port ได้หุ้นจองของบริษัทแห่งหนึ่ง ผลิตภัณฑ์เป็นจำพวกแร่โลหะ เราเองไม่มีความรู้หุ้น IPO ในเวลานั้นก็ไม่เอาซิ (มีการโทรมาที่บ้านให้จองอีกต่างหากในเวลาต่อมา แต่เราไม่เอาเพราะไม่รู้นั้นเอง เลยรอดตัวไป)
จากนั้นเจอะเจอเพื่อนสนิทอีกท่านหนีึ่ง ก็แนะนำ หุ้นที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันพืช (จุดนี้ผมเคยเล่าใ้ห้ฟังไปแล้วบ้าง)
หุ้นตัวนี้เป็นหุ้นที่ดีตัวหนึ่งในเวลานั้นเลยทีเดียว
ถึงจุดนี้ก็ได้เคยเขียนใน webboard แห่งนี้ อ่านกันแล้ว
พอดีเพื่อนสนิทพาไปเดินงาน Money Expo เพื่อซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวม
ตอนนั้นไม่รู้เรื่องอะไรเลยจริงๆ พับผ่า
แต่ก็ได้ซื้อพวกกองทุนตราสารหนี้และตราสารทุน โดยช่วงนั้น ประเทศไทยได้เผชิญปัญหาภาคใต้ โหมกระหน่ำมากๆ
ใช้วิธีการสลับกองทุนรวม คือ กองทุนตราสารหนี้กับกองทุนหุ้น เวลา
เวลาที่ SET index ตกต่ำก็หลบภัยไปที่ กองทุนตราสารหนี้ แล้วก็โยนย้ายไปกองทุนตราสารทุนเมื่อได้จังหวะ
ช่วงเวลานั้นให้ บริษัทจัดการกองทุนรวมบริหาร แต่มิใช่เงินส่วนใหญ่ที่เก็บออม
หลังจากเริ่มต้นก็จ่ายภาษี โดยให้บริษัทจ่ายให้ ตอนนั้นรายได้ไม่ต้องเสียภาษี แล้วก็รู้ว่า สามารถยื่นขอคืนได้
เพราะกองทุนรวมปันผลออกมา หัก ณ ที่จ่าย 10% ก็ได้คืนมา หลักร้อยกว่าบาทเท่านั้น
ช่วงนี้ได้มีโอกาสทำงานทางบ้าน นอนดึกทุกวันเสาร์ เรียกได้ว่าไม่ได้นอน แต่ทว่า ได้มีหนังสือการลงทุนดีๆๆ ให้อ่านเรื่อยๆ ตอนนั้นจำได้ว่า ตลาด(ห)ลัก ทรัพย์แห่งประเทศไทยออก หนังสือ มาเป็นชุดเลย ประมาณ 15-20 หัวเลย
ไล่อ่านทุกอย่าง ตั้งแต่ตราสารหนี้ ตราสารทุน หุ้นกู้ หลักการลงทุน การหาหุ้นแบบห่านทองคำ ตอนนั้นเริ่มรู้ว่า ภาษีที่จริงแล้ว เมื่อเราลงทุนในตราสารทุน(หุ้น) นั้นขอคืนภาษีได้มากกว่า กองทุนรวม
จังหวะพอดีเลย มีงาน ปลายปีนั้น ก็ไปเปิด Port การลงทุนกับบริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งไม่มีขั้นต่ำในการซื้อขาย
ตอนเปิด port จำได้แม่นมาก ว่าใครมาเปิด Port ได้หุ้นจองของบริษัทแห่งหนึ่ง ผลิตภัณฑ์เป็นจำพวกแร่โลหะ เราเองไม่มีความรู้หุ้น IPO ในเวลานั้นก็ไม่เอาซิ (มีการโทรมาที่บ้านให้จองอีกต่างหากในเวลาต่อมา แต่เราไม่เอาเพราะไม่รู้นั้นเอง เลยรอดตัวไป)
จากนั้นเจอะเจอเพื่อนสนิทอีกท่านหนีึ่ง ก็แนะนำ หุ้นที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันพืช (จุดนี้ผมเคยเล่าใ้ห้ฟังไปแล้วบ้าง)
หุ้นตัวนี้เป็นหุ้นที่ดีตัวหนึ่งในเวลานั้นเลยทีเดียว
ถึงจุดนี้ก็ได้เคยเขียนใน webboard แห่งนี้ อ่านกันแล้ว
- Tibular
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 531
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มีพี่ๆ คนไหนจำความรู้สึกตอนที่เข้ามาตลาดหุ้นครั้งแรก
โพสต์ที่ 10
สนใจการลงทุนเมื่อสมัยเรียน ป.ตรี ช่วงหลังปี 40 ตลาดหุ้นล่มสลาย
มีหนังสือหุ้นอยู่ไม่กี่เล่ม คนเขียนก็เป็นนักเก็งกำไรเสียส่วนใหญ่ ไปยืนอ่านตามร้านหนังสือแถวอนุสาวรีย์ชัยฯ
แล้วก็ลืมไปนานจนเรียนจบ ตะเกียกตะกายหางานทำ เปลี่ยนงาน เปลี่ยนอาชีพ จนมีเงินเก็บพอสมควร
ก็เลยอยากทำให้เงินมันงอกเงยบ้าง เป็นรายได้อีกทางหนึ่ง พอดีเจอหนังสือเกี่ยวกับหุ้นด้วย
อ่านหนังสือที่เค้าเขียนก็จินตนาการไปว่าเราน่าจะทำได้ จิ้นกันไป จนบางทีลืมว่าเรา
มีความสามารถและมีความเข้าใจในการลงทุนแค่ไหน เห็นคนเล่นหุ้นเขียนหนังสือว่าเค้ารวยงั้นรวยงี้ (ได้ยินแต่เล่นหุ้นแล้วเจ๊ง)
แต่เพราะหุ้นดูเป็นเรื่องที่ท้าทายน่าสนใจ ซึ่งจริงๆมันไม่ง่ายเลย แถมมีความเสี่ยงมากด้วย (แต่พวกคนทำงานในวงการนี้
ชอบเป่าหูเราตลอดเวลา ถ้าคุณทำผลตอบแทนได้เท่านั้นเท่านี้ ไม่กี่ปีก็เป็นเศรษฐีเงินล้าน มันบ้าป่าว มีอะไรมารับรอง
ที่จะทำผลตอบแทนได้ดีๆได้ต่อเนื่อง ไม่ใช่ง่ายๆนะเว้ย)
ก็เริ่มใส่เงินในพวกกองทุนตราสารหนี้ก่อน แต่เอ๊ะมันไม่ทันใจ เลยใส่กองทุนดัชนีซะเลย ฝันหวานว่าดัชนีมันน่าจะขึ้นไปเรื่อยๆ
(โชคดีหม่อมอุ๋ยทุบตลาดหุ้นให้ด้วยมาตรการกันสำรองฯ) ดัชนีหุ้นมันก็ขึ้นจริงๆ ขายกองทุนเรื่อยๆทุกเดือน ได้เงินง่ายดีฟ่ะ
มาลุยซื้อหุ้นเองดีกว่าไหม ง่ายซะขนาดนี้ (มารู้ความจริงทีหลังว่าหุ้นมันตกเยอะเลยเด้งมาได้เยอะ ประกอบกับผลประกอบการ
บริษัทจดทะเบียนใหญ่ๆมันดีด้วย) ไปเปิดพอร์ตเลย มือไม้สั่น ใจหวิวๆ กดจิ้มหุ้นไปห้าตัว คิดว่าศึกษามาดี คิดว่าอ่านเยอะ คิดว่ามีความรู้
หุ้นลงซื้อ หุ้นขึ้นขาย หุ้นลงซื้อ หุ้นขึ้นขาย ได้กำไรส่วนต่าง ทำเหมือนกับให้เค้าเช่าหุ้น แต่ทำไมหุ้นบางตัวมันขึ้นไปเลย ไม่ลงมาให้ซื้ออีก
ทำไมหุ้นบางตัวมันลงอย่างเดียวเลย มันยังไงกัน??? ไปเจอหนังสืออืกเขียนเรื่อง การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ??? อะไรหว่า ??? แต่อ่านแล้วปิ๊งเลย
สรุปเป็นช่วงๆได้ว่า
2 ปี ช่วงฝึกงาน อ่านๆๆๆ เก็บเกี่ยวความรู้ให้มากที่สุด ทดลองซื้อขายด้วยเงินจำนวนไม่มากก่อนเป็นประสบการณ์
5 ปี ช่วงทดลองงาน ซื้อ-ขายหุ้นตามความรู้ที่มี และประสบการณ์ที่เพิ่มขึ้นด้วยเงินจำนวนที่มีนัยสำคัญ
(โชคดีที่สามารถผ่านช่วงเหตุการณ์ร้ายๆและฟื้นตัวกลับมาได้ เช่น ซับไพร์ม ช่วงนั้นเสียหายมากเลย คิดว่ามันจะกินเวลานาน
ทำใจไว้แล้ว แต่มันกินเวลาไม่นานอ่ะ จนหลายๆคนลืมไปแล้วว่ามันน่ากลัวแค่ไหน หลังจากนั้นก็มีเซียนหุ้นเกิดขึ้นมากมาย
เค้าว่าเค้าทำวิกฤติให้เป็นโอกาสได้ พอร์ตโตเพราะกล้าเสี่ยงบ้าง หรือซื้อหุ้นมันเข้าไปเลยตามเซียนคนนั้นคนนี้บอก ซึ่งก็ได้ผลนะเนี๊ย
ได้กันไม่รู้กี่เด้งต่อกี่เด้ง ถือเป็นโชคดีของท่าน เกิดยุคทองของวีไอ 555 แต่ถ้าซับไพร์มมันยื้อยาวนานกว่านั้นเซียนอาจซี้ไปแล้ว)
ช่วงหลังจาก 7 ปีผ่านมา ก็พอเอาตัวรอดในตลาดหุ้นได้ตามเหตุและปัจจัยที่เคยพยายามมา เหะๆ แต่ยุคทองดันมาจบซะแล้ว ง่ะ T T
มีหนังสือหุ้นอยู่ไม่กี่เล่ม คนเขียนก็เป็นนักเก็งกำไรเสียส่วนใหญ่ ไปยืนอ่านตามร้านหนังสือแถวอนุสาวรีย์ชัยฯ
แล้วก็ลืมไปนานจนเรียนจบ ตะเกียกตะกายหางานทำ เปลี่ยนงาน เปลี่ยนอาชีพ จนมีเงินเก็บพอสมควร
ก็เลยอยากทำให้เงินมันงอกเงยบ้าง เป็นรายได้อีกทางหนึ่ง พอดีเจอหนังสือเกี่ยวกับหุ้นด้วย
อ่านหนังสือที่เค้าเขียนก็จินตนาการไปว่าเราน่าจะทำได้ จิ้นกันไป จนบางทีลืมว่าเรา
มีความสามารถและมีความเข้าใจในการลงทุนแค่ไหน เห็นคนเล่นหุ้นเขียนหนังสือว่าเค้ารวยงั้นรวยงี้ (ได้ยินแต่เล่นหุ้นแล้วเจ๊ง)
แต่เพราะหุ้นดูเป็นเรื่องที่ท้าทายน่าสนใจ ซึ่งจริงๆมันไม่ง่ายเลย แถมมีความเสี่ยงมากด้วย (แต่พวกคนทำงานในวงการนี้
ชอบเป่าหูเราตลอดเวลา ถ้าคุณทำผลตอบแทนได้เท่านั้นเท่านี้ ไม่กี่ปีก็เป็นเศรษฐีเงินล้าน มันบ้าป่าว มีอะไรมารับรอง
ที่จะทำผลตอบแทนได้ดีๆได้ต่อเนื่อง ไม่ใช่ง่ายๆนะเว้ย)
ก็เริ่มใส่เงินในพวกกองทุนตราสารหนี้ก่อน แต่เอ๊ะมันไม่ทันใจ เลยใส่กองทุนดัชนีซะเลย ฝันหวานว่าดัชนีมันน่าจะขึ้นไปเรื่อยๆ
(โชคดีหม่อมอุ๋ยทุบตลาดหุ้นให้ด้วยมาตรการกันสำรองฯ) ดัชนีหุ้นมันก็ขึ้นจริงๆ ขายกองทุนเรื่อยๆทุกเดือน ได้เงินง่ายดีฟ่ะ
มาลุยซื้อหุ้นเองดีกว่าไหม ง่ายซะขนาดนี้ (มารู้ความจริงทีหลังว่าหุ้นมันตกเยอะเลยเด้งมาได้เยอะ ประกอบกับผลประกอบการ
บริษัทจดทะเบียนใหญ่ๆมันดีด้วย) ไปเปิดพอร์ตเลย มือไม้สั่น ใจหวิวๆ กดจิ้มหุ้นไปห้าตัว คิดว่าศึกษามาดี คิดว่าอ่านเยอะ คิดว่ามีความรู้
หุ้นลงซื้อ หุ้นขึ้นขาย หุ้นลงซื้อ หุ้นขึ้นขาย ได้กำไรส่วนต่าง ทำเหมือนกับให้เค้าเช่าหุ้น แต่ทำไมหุ้นบางตัวมันขึ้นไปเลย ไม่ลงมาให้ซื้ออีก
ทำไมหุ้นบางตัวมันลงอย่างเดียวเลย มันยังไงกัน??? ไปเจอหนังสืออืกเขียนเรื่อง การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ??? อะไรหว่า ??? แต่อ่านแล้วปิ๊งเลย
สรุปเป็นช่วงๆได้ว่า
2 ปี ช่วงฝึกงาน อ่านๆๆๆ เก็บเกี่ยวความรู้ให้มากที่สุด ทดลองซื้อขายด้วยเงินจำนวนไม่มากก่อนเป็นประสบการณ์
5 ปี ช่วงทดลองงาน ซื้อ-ขายหุ้นตามความรู้ที่มี และประสบการณ์ที่เพิ่มขึ้นด้วยเงินจำนวนที่มีนัยสำคัญ
(โชคดีที่สามารถผ่านช่วงเหตุการณ์ร้ายๆและฟื้นตัวกลับมาได้ เช่น ซับไพร์ม ช่วงนั้นเสียหายมากเลย คิดว่ามันจะกินเวลานาน
ทำใจไว้แล้ว แต่มันกินเวลาไม่นานอ่ะ จนหลายๆคนลืมไปแล้วว่ามันน่ากลัวแค่ไหน หลังจากนั้นก็มีเซียนหุ้นเกิดขึ้นมากมาย
เค้าว่าเค้าทำวิกฤติให้เป็นโอกาสได้ พอร์ตโตเพราะกล้าเสี่ยงบ้าง หรือซื้อหุ้นมันเข้าไปเลยตามเซียนคนนั้นคนนี้บอก ซึ่งก็ได้ผลนะเนี๊ย
ได้กันไม่รู้กี่เด้งต่อกี่เด้ง ถือเป็นโชคดีของท่าน เกิดยุคทองของวีไอ 555 แต่ถ้าซับไพร์มมันยื้อยาวนานกว่านั้นเซียนอาจซี้ไปแล้ว)
ช่วงหลังจาก 7 ปีผ่านมา ก็พอเอาตัวรอดในตลาดหุ้นได้ตามเหตุและปัจจัยที่เคยพยายามมา เหะๆ แต่ยุคทองดันมาจบซะแล้ว ง่ะ T T
-
- Verified User
- โพสต์: 12
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มีพี่ๆ คนไหนจำความรู้สึกตอนที่เข้ามาตลาดหุ้นครั้งแรก
โพสต์ที่ 11
ขอขอบคุณพี่ๆ ทุกท่านนะครับ เวลาผมอ่านอะไรที่เกี่ยวกับประสบการณ์ของคนหลายๆคน ทั้งเจ๊ง ทั้งรวย ผมรู้สึกมีความสุขที่ได้อ่านครับ ขอบคุณพี่ๆทุกท่านครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1980
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มีพี่ๆ คนไหนจำความรู้สึกตอนที่เข้ามาตลาดหุ้นครั้งแรก
โพสต์ที่ 12
เมื่อหกปีก่อน ผมได้มีโอกาสค้นพบเว็บ www.thaivi.com เป็นครั้งแรก
หลังจากที่ดิ้นรนหาความรู้มั่วๆ ซื้อหนังสือมาอ่านมั่วๆอยู่เป็นเวลานาน
ก็ได้มารู้จักกับสมาคมเล็กๆแห่งนี้(ตอนนั้นเล็กจริงๆ เปิดจองงานมีตติ้งสามสัปดาห์ยังไม่เต็มเลย)
ผมเข้าร่วมงานมีตติ้งครั้งแรกที่ร้าน ครัวจันทร์เพ็ญ (ที่เดียวกับรอบที่กำลังจะเกิดเนี่ยล่ะ) พี่ป้อม พอใจ ก็ได้กรุณาจัดให้ผมนั่งข้างๆ ดร.นิเวศน์ ซะงั้น
นั่งฟังคนเข้ามาคุยกับ ดร. ทีละคนสองคน ทั้งพี่หมอพงษ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี ทั้งพี่หมอประมุข วงศ์ธนะเกียรติ พี่หมอแพะ บำรุง ศรีงาน และอีกหลายคน
จำคำพูดของ ดร.นิเวศน์ได้คำหนึ่งว่า
"AOT ตอนนี้มาร์เกตแคปไม่เท่าไร ผมเป็นผถห.ใหญ่ยังได้เลย คิดดู เวลาเราไปสุวรรณภูมิแล้วบอกว่า รันเวย์นี้เป็นของผม มันเท่ห์น่าดู"
ผมนี่บรรลุธรรมเลยครับ ธรรมะข้อนี้คือ "มองว่าตัวเองเป็นเจ้าของธุรกิจ" นั่นเอง
หลังจากนั้นก็เกรียนในบอร์ดนี้มาเรื่อยๆ ถามมั่ง อ่านมั่ง หาคำตอบให้คนอื่นมั่ง เก็บประสบการณ์ไปทีละนิดๆ
จนกระทั่ง......งาน Set in the City ปีเดียวกันนั้น ผมก็ได้เปิดพอร์ตและถ่ายเทเงินจากกองทุนรวมที่ถืออยู่ทั้งปีมาสู่พอร์ตหุ้น จำนวน 50 หน่วยK
หุ้นที่ผมหามาได้จากการกรองตอนนั้นครับ
SPALI
PM
TNDT
GFPT
EGCO
ใครอยากลอกก็เชิญตามสบายฮะ แต่ผมซื้อเมื่อหกปีก่อนนะ 555 ตอนนี้ไม่มีแล้วสักตัว
ตอนนั้นซื้อหุ้นแล้วก็กระวนกระวายใจน่าดู กลัวผิด กลัวเจ๊ง บลาๆๆ นั่งตามหุ้นทุกวัน
ตอนนี้น่ะรึ มีอะไรอยู่ในพอร์ตบ้างยังไม่รู้เลย
หลังจากที่ดิ้นรนหาความรู้มั่วๆ ซื้อหนังสือมาอ่านมั่วๆอยู่เป็นเวลานาน
ก็ได้มารู้จักกับสมาคมเล็กๆแห่งนี้(ตอนนั้นเล็กจริงๆ เปิดจองงานมีตติ้งสามสัปดาห์ยังไม่เต็มเลย)
ผมเข้าร่วมงานมีตติ้งครั้งแรกที่ร้าน ครัวจันทร์เพ็ญ (ที่เดียวกับรอบที่กำลังจะเกิดเนี่ยล่ะ) พี่ป้อม พอใจ ก็ได้กรุณาจัดให้ผมนั่งข้างๆ ดร.นิเวศน์ ซะงั้น
นั่งฟังคนเข้ามาคุยกับ ดร. ทีละคนสองคน ทั้งพี่หมอพงษ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี ทั้งพี่หมอประมุข วงศ์ธนะเกียรติ พี่หมอแพะ บำรุง ศรีงาน และอีกหลายคน
จำคำพูดของ ดร.นิเวศน์ได้คำหนึ่งว่า
"AOT ตอนนี้มาร์เกตแคปไม่เท่าไร ผมเป็นผถห.ใหญ่ยังได้เลย คิดดู เวลาเราไปสุวรรณภูมิแล้วบอกว่า รันเวย์นี้เป็นของผม มันเท่ห์น่าดู"
ผมนี่บรรลุธรรมเลยครับ ธรรมะข้อนี้คือ "มองว่าตัวเองเป็นเจ้าของธุรกิจ" นั่นเอง
หลังจากนั้นก็เกรียนในบอร์ดนี้มาเรื่อยๆ ถามมั่ง อ่านมั่ง หาคำตอบให้คนอื่นมั่ง เก็บประสบการณ์ไปทีละนิดๆ
จนกระทั่ง......งาน Set in the City ปีเดียวกันนั้น ผมก็ได้เปิดพอร์ตและถ่ายเทเงินจากกองทุนรวมที่ถืออยู่ทั้งปีมาสู่พอร์ตหุ้น จำนวน 50 หน่วยK
หุ้นที่ผมหามาได้จากการกรองตอนนั้นครับ
SPALI
PM
TNDT
GFPT
EGCO
ใครอยากลอกก็เชิญตามสบายฮะ แต่ผมซื้อเมื่อหกปีก่อนนะ 555 ตอนนี้ไม่มีแล้วสักตัว
ตอนนั้นซื้อหุ้นแล้วก็กระวนกระวายใจน่าดู กลัวผิด กลัวเจ๊ง บลาๆๆ นั่งตามหุ้นทุกวัน
ตอนนี้น่ะรึ มีอะไรอยู่ในพอร์ตบ้างยังไม่รู้เลย
The mother of all evils is speculation, leverage debt. Bottom line, is borrowing to the hilt. And I hate to tell you this, but it's a bankrupt business model. It won't work. It's systemic, malignant, and it's global, like cancer.
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 274
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มีพี่ๆ คนไหนจำความรู้สึกตอนที่เข้ามาตลาดหุ้นครั้งแรก
โพสต์ที่ 13
ผมศึกษาอยู่สักปีกว่า หลังจากนั้นก็ตัดสินใจเปิด port จำได้เลยว่าหุ้นตัวแรกคือ S&P กำเงินสดในมือไปเลย 20000 บาท เดินทางไปที่สำนักงานเลย กะว่าจะไปซื้อให้ได้ ไปถึงหลังจาก จนท. ดูเอกสารแล้วบอกว่า port ผม วงเงิน 1 ล้านบาท ตอนนั้นความที่ไม่รู้เรื่อง ผมหน้าถอดสีเลยคิดในใจว่าเงินเก็บทั้งหมดยังมีแค่แสนกว่าๆ เขาให้ซื้อทีละเป็นล้านสงสัยคนซื้อหุ้นนี้ต้องรวยจริง นึกแล้วยังขำตัวเองไม่หาย แต่สุดท้ายก็ถาม จนท. จนเข้าใจ แต่ก็ยังพยายามจะซื้อหุ้นวันนั้นเลยให้ได้ บอกว่าเตรียมเงินมาแล้ว ก็ปรากฎว่าซื้อไม่ได้อีก เขาบอกให้รอมาร์ติดต่อโทรไปอีกที กลับมาบ้านวันนั้น นอกจากไม่ได้ซื้อหุ้นที่ตั้งใจแล้ว ยังงงไปหมด
Kritsada
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14784
- ผู้ติดตาม: 1
Re: มีพี่ๆ คนไหนจำความรู้สึกตอนที่เข้ามาตลาดหุ้นครั้งแรก
โพสต์ที่ 14
ปี 2531 เริ่มเล่นหุ้นครั้งแรก ตามมาร์เก็ตติ้ง ติดเพจเจอร์ รายงานราคาหุ้น จ่ายเดือนละ 6000 บาท เข้าใจว่าเป็น phone link
ไม่เคยรู้ว่า ว่าดูงบการเงินได้ และตอนนั้น ไม่น่าจะมี internet
เล่นไปเล่นมา ซื้อๆขายๆ ตามมาร์ ได้ ipo egcomp สมัยนี้เรียก egco ใช่ปะ
สุดท้ายได้กำไร ไปหลายเหมือนกัน
แต่ก็ไม่รู้ว่าได้มาได้อย่างไร ตัดสินใจเลิกเล่น แล้วโทรบอกมาร์ ชื่อหมวย ให้ล้างพอร์ท
ตอนนั้นเทรดกับ jf ธนาคม พี่เปี๊ยะ มนตรี ศรไพศาล
ประทับใจคือเสียงคุณหมวย สงสัยอย่างมากว่าทำไมเลิกเล่น
ก็เลยอธิบายไปว่า ผมไม่รู้ว่าผมได้กำไรมาได้อย่างไร
และในอนาคต ผมก็คงต้องเสียเงินไป ด้วยความไม่รู้ เอาเป็นว่า
ล้างพอร์ทเลิกเล่นละกัน ขายทุกราคา
ไม่เคยรู้ว่า ว่าดูงบการเงินได้ และตอนนั้น ไม่น่าจะมี internet
เล่นไปเล่นมา ซื้อๆขายๆ ตามมาร์ ได้ ipo egcomp สมัยนี้เรียก egco ใช่ปะ
สุดท้ายได้กำไร ไปหลายเหมือนกัน
แต่ก็ไม่รู้ว่าได้มาได้อย่างไร ตัดสินใจเลิกเล่น แล้วโทรบอกมาร์ ชื่อหมวย ให้ล้างพอร์ท
ตอนนั้นเทรดกับ jf ธนาคม พี่เปี๊ยะ มนตรี ศรไพศาล
ประทับใจคือเสียงคุณหมวย สงสัยอย่างมากว่าทำไมเลิกเล่น
ก็เลยอธิบายไปว่า ผมไม่รู้ว่าผมได้กำไรมาได้อย่างไร
และในอนาคต ผมก็คงต้องเสียเงินไป ด้วยความไม่รู้ เอาเป็นว่า
ล้างพอร์ทเลิกเล่นละกัน ขายทุกราคา
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 957
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มีพี่ๆ คนไหนจำความรู้สึกตอนที่เข้ามาตลาดหุ้นครั้งแรก
โพสต์ที่ 15
ขอบคุณมาก ครับ พี่JengJeng เขียน:ปี 2531 เริ่มเล่นหุ้นครั้งแรก ตามมาร์เก็ตติ้ง ติดเพจเจอร์ รายงานราคาหุ้น จ่ายเดือนละ 6000 บาท เข้าใจว่าเป็น phone link
ไม่เคยรู้ว่า ว่าดูงบการเงินได้ และตอนนั้น ไม่น่าจะมี internet
เล่นไปเล่นมา ซื้อๆขายๆ ตามมาร์ ได้ ipo egcomp สมัยนี้เรียก egco ใช่ปะ
สุดท้ายได้กำไร ไปหลายเหมือนกัน
แต่ก็ไม่รู้ว่าได้มาได้อย่างไร ตัดสินใจเลิกเล่น แล้วโทรบอกมาร์ ชื่อหมวย ให้ล้างพอร์ท
ตอนนั้นเทรดกับ jf ธนาคม พี่เปี๊ยะ มนตรี ศรไพศาล
ประทับใจคือเสียงคุณหมวย สงสัยอย่างมากว่าทำไมเลิกเล่น
ก็เลยอธิบายไปว่า ผมไม่รู้ว่าผมได้กำไรมาได้อย่างไร
และในอนาคต ผมก็คงต้องเสียเงินไป ด้วยความไม่รู้ เอาเป็นว่า
ล้างพอร์ทเลิกเล่นละกัน ขายทุกราคา
อยากกด +1,000 เลย.
สุดยอดเหตุผล ที่ผมอ่านแล้ว ทึ่งจริงๆ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 957
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มีพี่ๆ คนไหนจำความรู้สึกตอนที่เข้ามาตลาดหุ้นครั้งแรก
โพสต์ที่ 16
ผมได้สัมผัสตลาดหุ้นครั้งแรกช่วงสั้นมากๆเพียงไม่กี่เดือน
น่าจะประมาณปี 37-38 จำได้ไม่แม่นแล้ว นะ แต่ก่อนฟองจะแตก ปี 40
ตลาดมันกำลังบ้าคลั่ง มีแต่ คนรวยหุ้น คนรวยจากการซื้อ-ขายที่ดิน
พากันเชื่อว่า ซื้อที่ ซื้อบ้าน ไว้ไม่มีทางขาดทุน มีแต่กำไร ที่ทางมีแต่หมดไปไม่มีเพิ่ม
ผมเข้ามาเปิด บ/ช พร้อมเพื่อนสนิทอีกสองคน เพราะอยากรวยกับเขาบ้าง
ย้อนนึกกลับไป ช่วงสั้นๆนั้น ซื้อ-ขาย เหมือนซื้อหวยไม่มีผิด ฟังข่าว เขาว่า ก็ซื้อตาม
มันช่างง่ายจริงๆ และมีกำไรดีด้วย แต่ผมอยู่ช่วงเพิ่งจะออกจากพนักงานบริษัท มาเริ่มค้าขายเอง ซื้อหุ้นทิ้งไว้ในพอร์ต หวังหารายได้เสริมจากการที่วิ่งค้าขายอยู่
ต่อมา มันมีเหตุ ปั่นป่วนรุนแรง หุ้นลงแรงมาก จนกำไรที่สะสมไว้ใกล้หมด
ผมใช้มือถือโทร.สั่งขายล้างพอร์ตจากพัทยามาที่โบรกที่ฉะเชิงเทราหลายๆครั้ง แต่ขายไม่ได้สักที
ผมเลยตัดสินใจ ขับรถจากพัทยามาฉะเชิงเทรา เพื่อขายล้างพอร์ต ด้วยตัวเอง จึงสำเร็จ
หลังขายเสร็จ สำรวจ บ/ช ตกลง กำไรที่ได้มาช่วงสั้นๆไม่กี่เดือนนั้นถูกมันกินคืนหมดเกลี้ยง แต่ได้ทุนคืนกลับมา เพราะช่วงนั้น เริ่มต้นค้าขายเองยังต้องใชเงินสดลงเพิ่ม เลยตัดสินใจล้างพอร์ตหุ้นในขณะนั้น
และหลังจากนั้น ก็ไม่เคยได้เฉียดมาเข้าตลาดหุ้นเลย จนกระทั่ง หลังกลางปี 2008
แต่การได้กลับเข้ามาตลาดหุ้นครั้งใหม่นี้ เข้ามา งง เป็นไก่ตาแตกเลย มีระบบซื้อ-ขายผ่านเน็ตและอื่นๆอีกมากมาย รู้หลังจากกรอกเปิด บ/ช ใหม่แล้ว.
และหลังทบทวนเหตุการณ์ย้อนหลังที่ผ่านมา ทุกๆครั้ง
ผมก็ยังรู้สึกว่า ช่วงชีวิตที่น่าจะมีค่า สอนตัวเองมากที่สุด
ก็อยู่ในช่วง ระหว่าง เปิด บ/ช ครั้งแรก กับ ครั้งที่สอง นี่แหละ ครับ
น่าจะประมาณปี 37-38 จำได้ไม่แม่นแล้ว นะ แต่ก่อนฟองจะแตก ปี 40
ตลาดมันกำลังบ้าคลั่ง มีแต่ คนรวยหุ้น คนรวยจากการซื้อ-ขายที่ดิน
พากันเชื่อว่า ซื้อที่ ซื้อบ้าน ไว้ไม่มีทางขาดทุน มีแต่กำไร ที่ทางมีแต่หมดไปไม่มีเพิ่ม
ผมเข้ามาเปิด บ/ช พร้อมเพื่อนสนิทอีกสองคน เพราะอยากรวยกับเขาบ้าง
ย้อนนึกกลับไป ช่วงสั้นๆนั้น ซื้อ-ขาย เหมือนซื้อหวยไม่มีผิด ฟังข่าว เขาว่า ก็ซื้อตาม
มันช่างง่ายจริงๆ และมีกำไรดีด้วย แต่ผมอยู่ช่วงเพิ่งจะออกจากพนักงานบริษัท มาเริ่มค้าขายเอง ซื้อหุ้นทิ้งไว้ในพอร์ต หวังหารายได้เสริมจากการที่วิ่งค้าขายอยู่
ต่อมา มันมีเหตุ ปั่นป่วนรุนแรง หุ้นลงแรงมาก จนกำไรที่สะสมไว้ใกล้หมด
ผมใช้มือถือโทร.สั่งขายล้างพอร์ตจากพัทยามาที่โบรกที่ฉะเชิงเทราหลายๆครั้ง แต่ขายไม่ได้สักที
ผมเลยตัดสินใจ ขับรถจากพัทยามาฉะเชิงเทรา เพื่อขายล้างพอร์ต ด้วยตัวเอง จึงสำเร็จ
หลังขายเสร็จ สำรวจ บ/ช ตกลง กำไรที่ได้มาช่วงสั้นๆไม่กี่เดือนนั้นถูกมันกินคืนหมดเกลี้ยง แต่ได้ทุนคืนกลับมา เพราะช่วงนั้น เริ่มต้นค้าขายเองยังต้องใชเงินสดลงเพิ่ม เลยตัดสินใจล้างพอร์ตหุ้นในขณะนั้น
และหลังจากนั้น ก็ไม่เคยได้เฉียดมาเข้าตลาดหุ้นเลย จนกระทั่ง หลังกลางปี 2008
แต่การได้กลับเข้ามาตลาดหุ้นครั้งใหม่นี้ เข้ามา งง เป็นไก่ตาแตกเลย มีระบบซื้อ-ขายผ่านเน็ตและอื่นๆอีกมากมาย รู้หลังจากกรอกเปิด บ/ช ใหม่แล้ว.
และหลังทบทวนเหตุการณ์ย้อนหลังที่ผ่านมา ทุกๆครั้ง
ผมก็ยังรู้สึกว่า ช่วงชีวิตที่น่าจะมีค่า สอนตัวเองมากที่สุด
ก็อยู่ในช่วง ระหว่าง เปิด บ/ช ครั้งแรก กับ ครั้งที่สอง นี่แหละ ครับ
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4366
- ผู้ติดตาม: 1
Re: มีพี่ๆ คนไหนจำความรู้สึกตอนที่เข้ามาตลาดหุ้นครั้งแรก
โพสต์ที่ 17
ตอนนั้นมันมีปัญหาอะไรเหรอครับ แล้วที่ตอนนี้ TUF ทำสำเร็จ มันมีอะไรต่างกันบ้างครับพี่chatchai เขียน:ผมเริ่มลงทุนซื้อหุ้นครั้งแรกปี 2533
ซื้อหุ้นที่ทำธุรกิจผลิตปลาทูน่าส่งออกรายใหญ่ในขณะนั้น คือ บริษัทยูนิคอร์ด UCT
สาเหตุที่สนใจลงทุน เนื่องจาก ตอนเรียนปริญญาตรีได้มีโอกาสเข้าชมโรงงาน รู้สึกประทับใจ โรงงานใหญ่โตมาก มีพนักงานมาก และได้อ่านข่าวการที่บริษัทซื้อกิจการจำหน่ายปลาทูน่าอันดับต้นๆของสหรัฐ คือ บัมเบิ้ลบี (TUF เพิ่งซื้อตอนปีก่อน) เพื่อขยายตลาดสหรัฐ หลบกำแพงภาษี และซื้อตราสินค้า ผมอ่านแล้วรู้สึกชอบแนวคิดของเจ้าของ
แต่ซื้อโดยไม่ได้ตรวจสอบงบการเงิน ไม่ได้ประเมินมูลค่ากิจการ
สรุปผล ซื้อหุ้นละ 119 บาท ขายแถวๆ 20 บาท
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14784
- ผู้ติดตาม: 1
Re: มีพี่ๆ คนไหนจำความรู้สึกตอนที่เข้ามาตลาดหุ้นครั้งแรก
โพสต์ที่ 18
ความประทับใจอีกครั้ง ก่อนจะเข้ามาเริ่มลงทุนอย่างจริงจัง คือในปี 2535 ตอนเกิดพฤษภาทมิฬ
คือผมไม่ได้เล่นหุ้นเลย กำลังทำกิจการส่วนตัว
แล้วจู่ๆก็มีข่าว ... ยิง.... ผมก็เลยไปที่ตลาดหุ้น ก็ที่ jf ธนาคมนี่แหละ
บรรยากาศ ก็แดงทั้งกระดาน floor เกือบทุกตัว สมัยนั้น floor 10 %
ผมตัดสินใจ ซื้อ bbl ที่ floor
ที่น่าขำคือ ผมบอกว่า ซื้อ bbl ที่ floor
น้องคนรับ order ถามว่า จะขายเท่าไร ผมก็เลยต้องบอกว่า น้องมองหน้าพี่
แล้วก็พูดว่า ซื้อ ที่ floor 4 แสนบาท
ได้ที่ราคา 60 บาท
ณ เวลานั้นผมคิดว่า ถ้าถือเงินไว้ 1 ล้าน ประเทศล่มขึ้นมา เงินก็เหลือ 0 บาท
ถ้าถือหุ้นไว้ 1 ล้าน ประเทศล่ม ก็เหลือหุ้น 0 บาท
ถ้าประเทศไม่ล่มหละ
เงิน 1 ล้าน ต้องเป็น 1 ล้าน แน่ๆเลย
แต่ถ้าประเทศไม่ล่ม หุ้นที่ floor 1 ล้าน ต้องมีมูลค่าเพิ่มขึ้นแน่ๆ
เหตุผลที่ซื้อ bbl เพราะ เป็น แบงค์อันดับหนึ่งสมัยนั้น
หลังจากซื้อผมไม่เคยดูราคา และได้ขายไปที่ 100 บาท หลังจากนั้นประมาณ 7 เดือน
ก็เป็นความประทับใจ
และทำให้เวลาหุ้นตก 9 % หรือ 10 % ผมไม่ค่อยกลัวอะไร
คือแทนที่จะกลัว กลับเป็นโอกาสในการเลือก shopping หุ้นมากกว่า
นี่คือความประทับใจ ก่อนจะมาศึกษาแนวทาง ในการลงทุนแนว vi
ซึ่งผมได้รับคำแนะนำจากพี่ชาย ทพ.สานัส เจตสินไพศาล
ที่มอบหนังสือ the new buffetology ทำให้ผมตาสว่าง เกี่ยวกับการลงทุน
ยังไม่เก่งนะครับ ก็ลงทุนไปเรื่อยๆ เคยขาดทุนแค่ปีเดียวคือปี 2556
ที่เหลือ ก็กำไรมากบ้าง น้อยบ้าง แต่ปี 2556 เจอหุ้นเทรดระดับ แสนล้าน เผลอไปเหมือนกัน 555+
คือผมไม่ได้เล่นหุ้นเลย กำลังทำกิจการส่วนตัว
แล้วจู่ๆก็มีข่าว ... ยิง.... ผมก็เลยไปที่ตลาดหุ้น ก็ที่ jf ธนาคมนี่แหละ
บรรยากาศ ก็แดงทั้งกระดาน floor เกือบทุกตัว สมัยนั้น floor 10 %
ผมตัดสินใจ ซื้อ bbl ที่ floor
ที่น่าขำคือ ผมบอกว่า ซื้อ bbl ที่ floor
น้องคนรับ order ถามว่า จะขายเท่าไร ผมก็เลยต้องบอกว่า น้องมองหน้าพี่
แล้วก็พูดว่า ซื้อ ที่ floor 4 แสนบาท
ได้ที่ราคา 60 บาท
ณ เวลานั้นผมคิดว่า ถ้าถือเงินไว้ 1 ล้าน ประเทศล่มขึ้นมา เงินก็เหลือ 0 บาท
ถ้าถือหุ้นไว้ 1 ล้าน ประเทศล่ม ก็เหลือหุ้น 0 บาท
ถ้าประเทศไม่ล่มหละ
เงิน 1 ล้าน ต้องเป็น 1 ล้าน แน่ๆเลย
แต่ถ้าประเทศไม่ล่ม หุ้นที่ floor 1 ล้าน ต้องมีมูลค่าเพิ่มขึ้นแน่ๆ
เหตุผลที่ซื้อ bbl เพราะ เป็น แบงค์อันดับหนึ่งสมัยนั้น
หลังจากซื้อผมไม่เคยดูราคา และได้ขายไปที่ 100 บาท หลังจากนั้นประมาณ 7 เดือน
ก็เป็นความประทับใจ
และทำให้เวลาหุ้นตก 9 % หรือ 10 % ผมไม่ค่อยกลัวอะไร
คือแทนที่จะกลัว กลับเป็นโอกาสในการเลือก shopping หุ้นมากกว่า
นี่คือความประทับใจ ก่อนจะมาศึกษาแนวทาง ในการลงทุนแนว vi
ซึ่งผมได้รับคำแนะนำจากพี่ชาย ทพ.สานัส เจตสินไพศาล
ที่มอบหนังสือ the new buffetology ทำให้ผมตาสว่าง เกี่ยวกับการลงทุน
ยังไม่เก่งนะครับ ก็ลงทุนไปเรื่อยๆ เคยขาดทุนแค่ปีเดียวคือปี 2556
ที่เหลือ ก็กำไรมากบ้าง น้อยบ้าง แต่ปี 2556 เจอหุ้นเทรดระดับ แสนล้าน เผลอไปเหมือนกัน 555+
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 957
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มีพี่ๆ คนไหนจำความรู้สึกตอนที่เข้ามาตลาดหุ้นครั้งแรก
โพสต์ที่ 19
กลับมาเข้าตลาดหุ้น ครั้งที่สอง หลังกลางปี 2008
ครั้งนี้ คิดเอาจริง แต่หัวสมองเกี่ยวกับตัวหุ้น ตลาด ว่างเปล่า
เดินเข้าไปขอเปิด บ/ช ไม่ได้ปรึกษาใครที่มีความรู้เกี่ยวกับหุ้นก่อน และไม่ได้เตรียมตัวความรู้เกี่ยวกับ การซื้อขาย ข้อกำหนดตลาดหุ้น หรือความรู้ตัวหุ้น ในช่วงนั้นเลย
รู้เพียงว่า
- ตลาดหุ้นมันลงมากน่าดู โดยดูจากข่าวจากหน้าจอทีวี และน่าจะคือโอกาส ที่จะได้แก้มือ จากครั้งที่แล้ว
- เตรียมเงินไว้ก้อนหนึ่ง เพื่อการนี้ ถ้าแพ้ โดนกินหมด ก็ถือว่าแพ้ ก็จะเลิก ถ้าถูกกินไม่หมด ก็จะอยู่ต่อไปเรื่อยๆ เพื่อเรียนรู้ และปรับตัว ให้เวลาตัวเอง 4 ปี เหมือนการเรียนมหาวิทยาลัย
เปิด บ/ช ครั้งแรก เสร็จ
- งง มากๆ มันไม่ใช่ รูปแบบ การซื้อ-ขาย แบบที่เราเคยเห็น
- ความรู้ ตัวหุ้น การใช้งาน com. ก็แทบไม่มี ใช้เวลาปรับตัวเรียนรู้เองอีก จากหน้าเว็บตลาด และจากgoogle มัวๆไป อีก 2-3 เดือนกว่าเริ่มคุ้นเคยการใช้งานcomเพื่อดูหุ้น
- ไม่ได้ไป นั่งดูหุ้น ที่โบรก หรือ ปรึกษาตัวหุ้นกับมาร์ หรือปรึกษาใคร อยู่เองโดดๆ
เริ่มการซื้อ-ขาย
- ตัวแรก จำไม่ได้แล้ว แต่ลองเคาะ ซื้อผ่านinternet เพื่อลองดู วิธีการสั่งซื้อ-ขายด้วยตัวเอง ไม่ผ่านมาร์ และเพื่อลองดูระบบการหัก บ/ช ต่างๆ
- ตัวที่จดจำได้ถึงวันนี้ คือ KTB เหตุผล ธนาคารของรัฐ ไม่น่าจะล้มแน่นอน ราคา 6 บาทกว่า ซื้อเก็บ หวังกลับไปราคาใกล้เดิมก็กำไรเป็นเท่าตัว ฮา ฮา พอได้มาจริงๆ ถือมา เดือนก็แล้ว สองเดือนก็แล้ว ข่าวร้ายหน้าจอทีวีก็ยังออกมาต่อเนื่องว่ากันว่า น่ากลัว และน่าจะยาวนาน ราคาKTBก็ลงมาเรื่อยๆ เลยตัดสินใจขายทิ้ง เพื่อคิดจะเริ่มต้นใหม่ สรุป ได้ขายที่ฟลอร์เลย ขาดทุนไปประมาณ 50% ได้ และหลังจากขายเสร็จ มันก็กลับขึ้นมาตลอด และมีปันผลดีด้วย ฮา ฮา เจ๋งจริงๆขายฟลอร์เลยเรา ฮา ฮา.
ผลงาน.
- ปีแรก จ่ายค่าครู ไปเรียบร้อย (ค่าชี้จุดโง่ จุดบอด จุดบกพร่อง มากมาย)
- ปีที่สอง พยายามเองต่อไป อ่านสารพัดเว็บเกี่ยวกับหุ้น ยกเว้นหนังสือและตำรา แล้วหนึ่งในนั้น ก็เว็บ thaivi นี้แหละ อ่านนิดอ่านหน่อยอ่านไปเรื่อยๆ จนปลายปี ก็เริ่มยอมรับตัวเองว่า วิธีการที่ทำมานั้นไม่รอดแน่ๆในระยะยาว เพราะวนไปเวียนมา-ได้มาเสียไป-ไม่ก้าวหน้าหรือดีขึ้น เลยตัดสินใจใหม่ ต้องเปลี่ยนๆ เดินเข้า SE-ED ค่อยๆเริ่มหาหนังสือเกี่ยวกับหุ้นมาอ่าน หนึ่งในนั้นก็ ตีแตก ด้วยแน่นอน จบปีนี้ไม่ขาดทุน ตลาดยังใจดี ยังพาคนไร้ฝีมือ-ไร้ความรู้-รอดมาด้วย ให้อยู่ในตลาดเที่ยวต่อไปอีก ฮา ฮา
- ปีที่สาม เริ่มออกจาก กะลา เริ่มสมัครเข้ามาฟังมาดูรายการสดที่ท่านอาจารย์ ไพบูลย์ จัดที่ตลาดหลัทรัพย์ เข้าสัมมนาบ้าง เริ่มเห็น ผู้คน วัย อายุ การพูดคุย แนวคิด และรู้สึกตัวเองทันที เราเอาเวลาไปทำอะไรอยู่ ทำไมกลับเข้ามาตลาดหุ้นเริ่มเรียนรู้ก็แก่มากแล้ว แถมเริ่มแบบผิดทิศผิดทางอีกต่างหาก เทียบกับที่เห็นวัยรุ่นมากมาย และแทบทั้งหมดฟังดูมีการเตรียมตัวมาอย่างดี มีความรู้ มีความุ่งมั่น อย่างชัดเจน ฮา ฮา อ้ายภูธร บ้านนอก โลกนี้ช่างกว้างใหญ่ มึงนี่ไม่รู้อะไรเสียเลยเมื่อฟังเขาคุยกัน มึงมันไม่น่ารอดมาได้ แต่ปีนี้มึงยังรอดมาได้ ก็เพราะตลาดมันเอ็นดูพามาเที่ยวหลอก ฮา ฮา และในปลายนี้ ก็ได้สมัครเข้าเป็น สมาชิกของเว็บนี้ และสิงอยู่จนปัจจุบันนี้ ครับ
ครั้งนี้ คิดเอาจริง แต่หัวสมองเกี่ยวกับตัวหุ้น ตลาด ว่างเปล่า
เดินเข้าไปขอเปิด บ/ช ไม่ได้ปรึกษาใครที่มีความรู้เกี่ยวกับหุ้นก่อน และไม่ได้เตรียมตัวความรู้เกี่ยวกับ การซื้อขาย ข้อกำหนดตลาดหุ้น หรือความรู้ตัวหุ้น ในช่วงนั้นเลย
รู้เพียงว่า
- ตลาดหุ้นมันลงมากน่าดู โดยดูจากข่าวจากหน้าจอทีวี และน่าจะคือโอกาส ที่จะได้แก้มือ จากครั้งที่แล้ว
- เตรียมเงินไว้ก้อนหนึ่ง เพื่อการนี้ ถ้าแพ้ โดนกินหมด ก็ถือว่าแพ้ ก็จะเลิก ถ้าถูกกินไม่หมด ก็จะอยู่ต่อไปเรื่อยๆ เพื่อเรียนรู้ และปรับตัว ให้เวลาตัวเอง 4 ปี เหมือนการเรียนมหาวิทยาลัย
เปิด บ/ช ครั้งแรก เสร็จ
- งง มากๆ มันไม่ใช่ รูปแบบ การซื้อ-ขาย แบบที่เราเคยเห็น
- ความรู้ ตัวหุ้น การใช้งาน com. ก็แทบไม่มี ใช้เวลาปรับตัวเรียนรู้เองอีก จากหน้าเว็บตลาด และจากgoogle มัวๆไป อีก 2-3 เดือนกว่าเริ่มคุ้นเคยการใช้งานcomเพื่อดูหุ้น
- ไม่ได้ไป นั่งดูหุ้น ที่โบรก หรือ ปรึกษาตัวหุ้นกับมาร์ หรือปรึกษาใคร อยู่เองโดดๆ
เริ่มการซื้อ-ขาย
- ตัวแรก จำไม่ได้แล้ว แต่ลองเคาะ ซื้อผ่านinternet เพื่อลองดู วิธีการสั่งซื้อ-ขายด้วยตัวเอง ไม่ผ่านมาร์ และเพื่อลองดูระบบการหัก บ/ช ต่างๆ
- ตัวที่จดจำได้ถึงวันนี้ คือ KTB เหตุผล ธนาคารของรัฐ ไม่น่าจะล้มแน่นอน ราคา 6 บาทกว่า ซื้อเก็บ หวังกลับไปราคาใกล้เดิมก็กำไรเป็นเท่าตัว ฮา ฮา พอได้มาจริงๆ ถือมา เดือนก็แล้ว สองเดือนก็แล้ว ข่าวร้ายหน้าจอทีวีก็ยังออกมาต่อเนื่องว่ากันว่า น่ากลัว และน่าจะยาวนาน ราคาKTBก็ลงมาเรื่อยๆ เลยตัดสินใจขายทิ้ง เพื่อคิดจะเริ่มต้นใหม่ สรุป ได้ขายที่ฟลอร์เลย ขาดทุนไปประมาณ 50% ได้ และหลังจากขายเสร็จ มันก็กลับขึ้นมาตลอด และมีปันผลดีด้วย ฮา ฮา เจ๋งจริงๆขายฟลอร์เลยเรา ฮา ฮา.
ผลงาน.
- ปีแรก จ่ายค่าครู ไปเรียบร้อย (ค่าชี้จุดโง่ จุดบอด จุดบกพร่อง มากมาย)
- ปีที่สอง พยายามเองต่อไป อ่านสารพัดเว็บเกี่ยวกับหุ้น ยกเว้นหนังสือและตำรา แล้วหนึ่งในนั้น ก็เว็บ thaivi นี้แหละ อ่านนิดอ่านหน่อยอ่านไปเรื่อยๆ จนปลายปี ก็เริ่มยอมรับตัวเองว่า วิธีการที่ทำมานั้นไม่รอดแน่ๆในระยะยาว เพราะวนไปเวียนมา-ได้มาเสียไป-ไม่ก้าวหน้าหรือดีขึ้น เลยตัดสินใจใหม่ ต้องเปลี่ยนๆ เดินเข้า SE-ED ค่อยๆเริ่มหาหนังสือเกี่ยวกับหุ้นมาอ่าน หนึ่งในนั้นก็ ตีแตก ด้วยแน่นอน จบปีนี้ไม่ขาดทุน ตลาดยังใจดี ยังพาคนไร้ฝีมือ-ไร้ความรู้-รอดมาด้วย ให้อยู่ในตลาดเที่ยวต่อไปอีก ฮา ฮา
- ปีที่สาม เริ่มออกจาก กะลา เริ่มสมัครเข้ามาฟังมาดูรายการสดที่ท่านอาจารย์ ไพบูลย์ จัดที่ตลาดหลัทรัพย์ เข้าสัมมนาบ้าง เริ่มเห็น ผู้คน วัย อายุ การพูดคุย แนวคิด และรู้สึกตัวเองทันที เราเอาเวลาไปทำอะไรอยู่ ทำไมกลับเข้ามาตลาดหุ้นเริ่มเรียนรู้ก็แก่มากแล้ว แถมเริ่มแบบผิดทิศผิดทางอีกต่างหาก เทียบกับที่เห็นวัยรุ่นมากมาย และแทบทั้งหมดฟังดูมีการเตรียมตัวมาอย่างดี มีความรู้ มีความุ่งมั่น อย่างชัดเจน ฮา ฮา อ้ายภูธร บ้านนอก โลกนี้ช่างกว้างใหญ่ มึงนี่ไม่รู้อะไรเสียเลยเมื่อฟังเขาคุยกัน มึงมันไม่น่ารอดมาได้ แต่ปีนี้มึงยังรอดมาได้ ก็เพราะตลาดมันเอ็นดูพามาเที่ยวหลอก ฮา ฮา และในปลายนี้ ก็ได้สมัครเข้าเป็น สมาชิกของเว็บนี้ และสิงอยู่จนปัจจุบันนี้ ครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 409
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มีพี่ๆ คนไหนจำความรู้สึกตอนที่เข้ามาตลาดหุ้นครั้งแรก
โพสต์ที่ 20
ผมเริ่มการลงทุนเมื่อ6ปีที่แล้ว ต้นเหตุมาจากซื้อ LTF และเห็นว่ากองทุนพวกนี้เอาเงินเราไปซื้อหุ้น จึงมีคำถามว่าทำไมเราไม่ลงทุนเอง พอเปิดพอร์ตก็ได้แต่ งงงง และ งงงง ว่าจะซื้ออะไรดีเต็มไปหมด คนรอบข้างที่รู้จักไม่มีใครลงทุนในหุ้นเลย
และหุ้นตัวแรกในชีวิต คือหุ้นเบียร์ SINGHA ราคาตอนนั้นแสนถูก 30-50 สต. ก่อนซื้อในใจคิดว่า โหทำไมมันถูกอย่างนี้ว่ะ คนกินเยอะแยะเลยเราก็เป็นลูกค้ารายใหญ่สะด้วย พอซื้อราคาก็สวิงไปสวิงมาเข้าออกสองสามรอบ จนสุดท้ายมาติดดอย และขายขาดทุนออก
บทเรียนเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าควรลงทุนกับความรู้ก่อนที่จะมาลงทุนในหุ้น เพราะตลาดจะเกิดความผิดพลาดให้เราเข้าไปลงทุนได้เสมอ แต่ถ้าเราขาดความรู้ไม่นานเงินที่เราลงทุนก็จะไม่เหลือเลย
และหุ้นตัวแรกในชีวิต คือหุ้นเบียร์ SINGHA ราคาตอนนั้นแสนถูก 30-50 สต. ก่อนซื้อในใจคิดว่า โหทำไมมันถูกอย่างนี้ว่ะ คนกินเยอะแยะเลยเราก็เป็นลูกค้ารายใหญ่สะด้วย พอซื้อราคาก็สวิงไปสวิงมาเข้าออกสองสามรอบ จนสุดท้ายมาติดดอย และขายขาดทุนออก
บทเรียนเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าควรลงทุนกับความรู้ก่อนที่จะมาลงทุนในหุ้น เพราะตลาดจะเกิดความผิดพลาดให้เราเข้าไปลงทุนได้เสมอ แต่ถ้าเราขาดความรู้ไม่นานเงินที่เราลงทุนก็จะไม่เหลือเลย
หลักการของการลงทุนแบบ VI คือการซื้อหุ้นที่มูลค่าต่ำกว่าที่ควรจะเป็น ดังนั้นไม่ว่าหุ้นนั้นจะเป็นหุ้นประเภทใดก็ตามควรจะได้รับการพิจารณาเหมือนๆกันในแง่ความคุ้มค่าเมื่อเปรียบเทียบกับราคาที่นักลงทุนจะจ่าย ...เครดิต อ.โจ ลูกอีสาน
- romee
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 1
Re: มีพี่ๆ คนไหนจำความรู้สึกตอนที่เข้ามาตลาดหุ้นครั้งแรก
โพสต์ที่ 21
รุ่นพี่แนะนำให้อ่านหนังสือของดร.นิเวศน์ ไอ้เราก็ใช้สูตร PE, DE, ROEเพื่อหาหุ้น แล้วก็มาเจอ กับหุ้นตัวแรกก็ SE-ED พอได้กำไร10%ไม่ถึงเดือน ก็เหลิงเลย คิดว่ากรูเจ๋งแล้ว เราจะรวย
แต่เริ่มซวยคือลอกหุ้นคนอื่น โดยไม่ได้มาวิเคราะห์ไรเอง ช่วงแรกๆก็พอได้บ้าง
แต่มาโดนไปสองตัวครับ TR, DRACO แล้วก็เข้าช่วงซัพไพร์ม พอร์ตหายไปครึ่งนึง
ถ้าเวลามีคนมาบอก หรือจะลอกหุ้นอีก ผมก็จะกลับมาคิดเองด้วยว่าควรซื้อ หรือไม่ซื้อ
พอหลังจากซัพไพร์ม พอร์ตก็ค่อยๆกระเตื้องขึ้นมาได้
เป็นกำลังใจให้ จขกท. ครับ
ถ้าตอนนี้ขาดทุนอยู่ ก็ต้องคิดว่าขาดทุนเพราะอะไร ศึกษาหาความรู้ให้ดี
ถ้าได้กำไร ก็ต้องดูให้ดีครับ ว่าได้กำไรเพราะเราวิเคราะห์ถูก หรือเพราะตลาดมันพาไป
เอาตัวรอดให้ได้ครับ ตลาดขาลงจริงๆแบบช่วงซัพไพร์ม มันโหดร้าย
ไอ้ช่วงนี้ จาก1600-1500, หรือ1600-1200 เมื่อ2ปีก่อน ผมว่าจิ๊บๆครับ
แต่เริ่มซวยคือลอกหุ้นคนอื่น โดยไม่ได้มาวิเคราะห์ไรเอง ช่วงแรกๆก็พอได้บ้าง
แต่มาโดนไปสองตัวครับ TR, DRACO แล้วก็เข้าช่วงซัพไพร์ม พอร์ตหายไปครึ่งนึง
ถ้าเวลามีคนมาบอก หรือจะลอกหุ้นอีก ผมก็จะกลับมาคิดเองด้วยว่าควรซื้อ หรือไม่ซื้อ
พอหลังจากซัพไพร์ม พอร์ตก็ค่อยๆกระเตื้องขึ้นมาได้
เป็นกำลังใจให้ จขกท. ครับ
ถ้าตอนนี้ขาดทุนอยู่ ก็ต้องคิดว่าขาดทุนเพราะอะไร ศึกษาหาความรู้ให้ดี
ถ้าได้กำไร ก็ต้องดูให้ดีครับ ว่าได้กำไรเพราะเราวิเคราะห์ถูก หรือเพราะตลาดมันพาไป
เอาตัวรอดให้ได้ครับ ตลาดขาลงจริงๆแบบช่วงซัพไพร์ม มันโหดร้าย
ไอ้ช่วงนี้ จาก1600-1500, หรือ1600-1200 เมื่อ2ปีก่อน ผมว่าจิ๊บๆครับ
การลงทุนแนวvi ไม่ได้แปลว่า นักลงทุนคนนั้นดีกว่า หรือมีวรรณะสูงกว่าคนที่ลงทุนแนวอื่นๆหรอก
-
- Verified User
- โพสต์: 241
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มีพี่ๆ คนไหนจำความรู้สึกตอนที่เข้ามาตลาดหุ้นครั้งแรก
โพสต์ที่ 22
263113 เป็นตัวเลขขาดทุนในปีแรกของการลงทุนครับ
ตอนนี้ผ่านไปได้แล้ว เพราะได้รับความรู้ที่ถูกต้องจาก อ หลายๆท่าน ทั่งท่านที่ยังอยู่และที่จากไปแล้ว .....
ตอนนี้ผ่านไปได้แล้ว เพราะได้รับความรู้ที่ถูกต้องจาก อ หลายๆท่าน ทั่งท่านที่ยังอยู่และที่จากไปแล้ว .....
ความจนนั้นเกิดได้จากสองสาเหตุ คือ จนเพราะไม่มี กับ จนเพราะไม่พอ
ความรวยก็ประกอบด้วยองค์สอง คือ รวยเพราะมีมาก และ รวยเพราะพอเพียง
ความรวยก็ประกอบด้วยองค์สอง คือ รวยเพราะมีมาก และ รวยเพราะพอเพียง
-
- Verified User
- โพสต์: 874
- ผู้ติดตาม: 1
Re: มีพี่ๆ คนไหนจำความรู้สึกตอนที่เข้ามาตลาดหุ้นครั้งแรก
โพสต์ที่ 23
อ.โรเบิร์ตท่านเปรียบเทียบไว้งี้ฮะ
หุ้น เหมือนคบเป็นแฟน วันไนท์สแตนด์อะไรเทือกนั้น
อสังหา เหมือนแต่งงาน แต่ไม่มีลูก
กิจการ ธุรกิจ เหมือนแต่งงานและมีลูก
ผมซื้อหุ้นครั้งแรก ก็เหมือนเสียตัวครั้งแรก ซื้อหนังสือโป๊เล่มแรก
กลัวๆกล้าๆ แต่อยาก ฮ่า..
พอโดนเข้าไปแล้ว ก็เริ่มชิน สำส่อน เอ๊ย ลองหลายๆแบบมากขึ้น
ส่วนใหญ่ผลไม่แน่นอน ไม่เวิร์ค
จนสุดท้ายมาเป็นวีไอ
วีไอ คือการมองหุ้นเป็นกิจการฮะ เหมือนแต่งงาน มีลูก
(ฟังดูเหนื่อย ไม่มันส์แบบล่าสวาทอะไรทำนองนั้น)
ท่านmafiapotae เหมือนกับผมเลยฮะ
เริ่มตอนแก่ เงินน้อย ยังเป็นลูกจ้าง หัดเป็นนักเรียน(ร.ร.วีไอ)
งั้นเรามาเริ่มปรับทัศนะคติ กะศึกษาวีไอเพื่อแผนเกษียณในวันหน้ากันนะครับ
วีไอวัยรุ่นแรกแย้ม(ฝาโล..เอ๊ยผลิบาน)ขอต้อนรับเข้าสู่วงการฮะ
หุ้น เหมือนคบเป็นแฟน วันไนท์สแตนด์อะไรเทือกนั้น
อสังหา เหมือนแต่งงาน แต่ไม่มีลูก
กิจการ ธุรกิจ เหมือนแต่งงานและมีลูก
ผมซื้อหุ้นครั้งแรก ก็เหมือนเสียตัวครั้งแรก ซื้อหนังสือโป๊เล่มแรก
กลัวๆกล้าๆ แต่อยาก ฮ่า..
พอโดนเข้าไปแล้ว ก็เริ่มชิน สำส่อน เอ๊ย ลองหลายๆแบบมากขึ้น
ส่วนใหญ่ผลไม่แน่นอน ไม่เวิร์ค
จนสุดท้ายมาเป็นวีไอ
วีไอ คือการมองหุ้นเป็นกิจการฮะ เหมือนแต่งงาน มีลูก
(ฟังดูเหนื่อย ไม่มันส์แบบล่าสวาทอะไรทำนองนั้น)
ท่านmafiapotae เหมือนกับผมเลยฮะ
เริ่มตอนแก่ เงินน้อย ยังเป็นลูกจ้าง หัดเป็นนักเรียน(ร.ร.วีไอ)
งั้นเรามาเริ่มปรับทัศนะคติ กะศึกษาวีไอเพื่อแผนเกษียณในวันหน้ากันนะครับ
วีไอวัยรุ่นแรกแย้ม(ฝาโล..เอ๊ยผลิบาน)ขอต้อนรับเข้าสู่วงการฮะ
samatah
-
- Verified User
- โพสต์: 137
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มีพี่ๆ คนไหนจำความรู้สึกตอนที่เข้ามาตลาดหุ้นครั้งแรก
โพสต์ที่ 24
Share ประสบการณ์ของผมครับ หวังว่าจะมีประโยชน์นะครับ ^^
ผมเริ่มลงทุนปี 2552 ครับ เริ่มหลังจากที่อ่านหนังสือกลยุทธหุ้นห่านทองคำเลย การเลือกหุ้นช่วงแรกเลยจะเน้นหนักไปทางหุ้นที่ปันผลเยอะ P/E P/BV ต่ำๆ ROE สูงๆเป็นหลัก โดยที่การพิจารณาเรื่อง Growth อุตสาหกรรม และ Business Model ผมแทบจะไม่ได้ให้ความสำคัญเลย หุ้น set แรกที่ลงทุนเลยออกมาหน้าตาแบบนี้
EGCO EPCO MODERN MCS ปันผลเกือบๆ 10% ทั้งนั้น ณ ขณะนั้น ผลก็คือบางตัวก็ให้ผลตอบแทนที่ดี แต่บางตัวก็ราคาไม่ไปไหนหรือลงนิดๆด้วยเพราะกิจการไม่โตหรือกำไรลดลง
ต่อมาได้อ่านหนังสือมากขึ้น ของ อ. นิเวศน์ , Peter Lynch , Warren Buffett เลยเริ่มให้น้ำหนักกับ Growth , Business Model มากขึ้น โดยที่ปันผลกลายเป็นปัจจัยรองๆลงมาในการวิเคราะห์ ช่วงนั้นจำได้ว่าดูกลุ่มค้าปลีกแล้วชอบเพราะกระแสเงินสดดี แต่หุ้นค้าปลีกตัวหลักๆแพงหมดแล้วเลยไปซื้อหุ้นค้าปลีกขนาดเล็กแทน นอกจากนี้ยังชอบแนวคิดการลงทุนในหุ้นมีแบรนด์ที่เราพบได้ในชีวิตประจำวันด้วย Port ในขณะนั้นเลยวิวัฒนาการมาเป็นประมาณ
JUBILE OFM BGT(ตัวนี้ขาดทุน 5555) MINT MOONG OISHI
ปัจจุบันรู้สึกว่าหุ้น superstock ราคาค่อนข้างแพง เลยแบ่งพอร์ทมาซื้อหุ้นแนว John Neff ด้วย (นิยามที่ผมเข้าใจคือหุ้น P/E ต่ำ ที่ผ่านการวิเคราะห์เราแล้วคิดว่ามีศักยภาพเกินการ P/E ที่ตลาดให้)
ผมเริ่มลงทุนปี 2552 ครับ เริ่มหลังจากที่อ่านหนังสือกลยุทธหุ้นห่านทองคำเลย การเลือกหุ้นช่วงแรกเลยจะเน้นหนักไปทางหุ้นที่ปันผลเยอะ P/E P/BV ต่ำๆ ROE สูงๆเป็นหลัก โดยที่การพิจารณาเรื่อง Growth อุตสาหกรรม และ Business Model ผมแทบจะไม่ได้ให้ความสำคัญเลย หุ้น set แรกที่ลงทุนเลยออกมาหน้าตาแบบนี้
EGCO EPCO MODERN MCS ปันผลเกือบๆ 10% ทั้งนั้น ณ ขณะนั้น ผลก็คือบางตัวก็ให้ผลตอบแทนที่ดี แต่บางตัวก็ราคาไม่ไปไหนหรือลงนิดๆด้วยเพราะกิจการไม่โตหรือกำไรลดลง
ต่อมาได้อ่านหนังสือมากขึ้น ของ อ. นิเวศน์ , Peter Lynch , Warren Buffett เลยเริ่มให้น้ำหนักกับ Growth , Business Model มากขึ้น โดยที่ปันผลกลายเป็นปัจจัยรองๆลงมาในการวิเคราะห์ ช่วงนั้นจำได้ว่าดูกลุ่มค้าปลีกแล้วชอบเพราะกระแสเงินสดดี แต่หุ้นค้าปลีกตัวหลักๆแพงหมดแล้วเลยไปซื้อหุ้นค้าปลีกขนาดเล็กแทน นอกจากนี้ยังชอบแนวคิดการลงทุนในหุ้นมีแบรนด์ที่เราพบได้ในชีวิตประจำวันด้วย Port ในขณะนั้นเลยวิวัฒนาการมาเป็นประมาณ
JUBILE OFM BGT(ตัวนี้ขาดทุน 5555) MINT MOONG OISHI
ปัจจุบันรู้สึกว่าหุ้น superstock ราคาค่อนข้างแพง เลยแบ่งพอร์ทมาซื้อหุ้นแนว John Neff ด้วย (นิยามที่ผมเข้าใจคือหุ้น P/E ต่ำ ที่ผ่านการวิเคราะห์เราแล้วคิดว่ามีศักยภาพเกินการ P/E ที่ตลาดให้)
-
- Verified User
- โพสต์: 12
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มีพี่ๆ คนไหนจำความรู้สึกตอนที่เข้ามาตลาดหุ้นครั้งแรก
โพสต์ที่ 25
ขอบคุณพี่ๆทุกคนนะครับ ตอนนี้อ่านหนังสือทุกวันครับ พยายามจะไม่เข้าไปดูพวกแนวเทคนิคครับ เพราะเข้าไปอ่านทีไรทำใจจิตใจไขว้เขวอยู่ตลอดครับ ตอนนี้ก็ศึกษาเรื่อยๆครับ ขอขอบคุณพี่ๆทุกท่านอีกครั้งครับ
- kyoza
- Verified User
- โพสต์: 224
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มีพี่ๆ คนไหนจำความรู้สึกตอนที่เข้ามาตลาดหุ้นครั้งแรก
โพสต์ที่ 26
ตอนแรกน่าจะปี2003. เห็นรุ่นพี่ที่คณะคุยกันเรื่องหุ้น เราก็สนใจเลยไปซื้อหนังสือ เริ่มต้นลงทุนในหุ้น ของตลาดหลักทรัพย์. อ่านจบปุ๊บไปเปิด. บช เลย ปรากฎว่าไปถึงเปิดพอร์ตไม่ได้. เพราะอายุยังไม่ถึง
พอปี2004 เปิดพอร์ตได้ ด้วยเงินเริ่มต้น 50,000 บาท (ยืมแม่มาด้วย) ตอนนั้นก้ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรก็เล่นตามข่าวที่ โบรกเกอร์ส่งให้ทางอีเมล์ เล่นไปเล่นมา สะเปะสะปะ จนเรียนจบ พอร์ตน่าจะเหลือราวๆ 30,000 บาท
หลังจากนั้นก็ได้ไปอบรมโครงการ nip ทำให้ได้มารู้จักเว็บThaivi ในปี2006 ก็เลยทำให้การลงทุนมีแนวทางมากขึ้น ได้อ่านข้อมูลดีๆ ความรู้ต่างๆจากพี่ๆเพื่อนๆ ในเว็บนี้มาตลอด พอร์ตก็โตได้กำไรมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเจอ sub prime ปี 2008 กำไรที่ได้ๆมาก็คืนเค้าไปหมด แต่ก็ยังไม่เจ็บตัวมาก พอร์ตน่าจะขาดทุนนิดหน่อย
ปี2009ไปต่างประเทศ 1 ปี ด้วยเวลาที่ไม่ตรงกัน ทำให้ไม่ได้ดูหุ้นเลย
กลับมาไทยปี2010 ก้เริ่มใหม่ ศึกษาจริงจังขึ้น จนมาถึงทุกวันนี้ ตั้งเป้าผลตอบแทนแค่ชนะตลาด ก็พอใจแล้วครับ
พอปี2004 เปิดพอร์ตได้ ด้วยเงินเริ่มต้น 50,000 บาท (ยืมแม่มาด้วย) ตอนนั้นก้ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรก็เล่นตามข่าวที่ โบรกเกอร์ส่งให้ทางอีเมล์ เล่นไปเล่นมา สะเปะสะปะ จนเรียนจบ พอร์ตน่าจะเหลือราวๆ 30,000 บาท
หลังจากนั้นก็ได้ไปอบรมโครงการ nip ทำให้ได้มารู้จักเว็บThaivi ในปี2006 ก็เลยทำให้การลงทุนมีแนวทางมากขึ้น ได้อ่านข้อมูลดีๆ ความรู้ต่างๆจากพี่ๆเพื่อนๆ ในเว็บนี้มาตลอด พอร์ตก็โตได้กำไรมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเจอ sub prime ปี 2008 กำไรที่ได้ๆมาก็คืนเค้าไปหมด แต่ก็ยังไม่เจ็บตัวมาก พอร์ตน่าจะขาดทุนนิดหน่อย
ปี2009ไปต่างประเทศ 1 ปี ด้วยเวลาที่ไม่ตรงกัน ทำให้ไม่ได้ดูหุ้นเลย
กลับมาไทยปี2010 ก้เริ่มใหม่ ศึกษาจริงจังขึ้น จนมาถึงทุกวันนี้ ตั้งเป้าผลตอบแทนแค่ชนะตลาด ก็พอใจแล้วครับ
-สิ่งที่สอนในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยไม่ใช่การศึกษา แต่เป็นวิธีการศึกษา
-เมื่อคุณก้าวผิดพลาด คุณอาจตั้งตัวใหม่ได้ในไม่ช้า แต่ถ้าคุณกล่าววาจาผิดพลาด คุณอาจต้องเสียใจไปตลอดชั่วชีวิต
-เมื่อคุณก้าวผิดพลาด คุณอาจตั้งตัวใหม่ได้ในไม่ช้า แต่ถ้าคุณกล่าววาจาผิดพลาด คุณอาจต้องเสียใจไปตลอดชั่วชีวิต
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11444
- ผู้ติดตาม: 1
Re: มีพี่ๆ คนไหนจำความรู้สึกตอนที่เข้ามาตลาดหุ้นครั้งแรก
โพสต์ที่ 27
UCT กู้เงินระยะสั้น ดอกเบี้ยแพงมาซื้อครับ และเป็นการซื้อกิจการที่ใหญ่เกินฐานะตัวเอง ทำให้มีภาระหนี้สินและดอกเบี้ยสูงเกินกำลังดำ เขียน:ตอนนั้นมันมีปัญหาอะไรเหรอครับ แล้วที่ตอนนี้ TUF ทำสำเร็จ มันมีอะไรต่างกันบ้างครับพี่chatchai เขียน:ผมเริ่มลงทุนซื้อหุ้นครั้งแรกปี 2533
ซื้อหุ้นที่ทำธุรกิจผลิตปลาทูน่าส่งออกรายใหญ่ในขณะนั้น คือ บริษัทยูนิคอร์ด UCT
สาเหตุที่สนใจลงทุน เนื่องจาก ตอนเรียนปริญญาตรีได้มีโอกาสเข้าชมโรงงาน รู้สึกประทับใจ โรงงานใหญ่โตมาก มีพนักงานมาก และได้อ่านข่าวการที่บริษัทซื้อกิจการจำหน่ายปลาทูน่าอันดับต้นๆของสหรัฐ คือ บัมเบิ้ลบี (TUF เพิ่งซื้อตอนปีก่อน) เพื่อขยายตลาดสหรัฐ หลบกำแพงภาษี และซื้อตราสินค้า ผมอ่านแล้วรู้สึกชอบแนวคิดของเจ้าของ
แต่ซื้อโดยไม่ได้ตรวจสอบงบการเงิน ไม่ได้ประเมินมูลค่ากิจการ
สรุปผล ซื้อหุ้นละ 119 บาท ขายแถวๆ 20 บาท
รวมทั้งราคาที่ผมซื้อคงเป็นราคาที่สูงเกินพื้นฐาน อีกทั้งพอซื้อได้ไม่นานก็เกิดเหตุการณ์อิรักบุกยึดคูเวต ตลาดหุ้นตกหนักและเร็วมาก
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4366
- ผู้ติดตาม: 1
Re: มีพี่ๆ คนไหนจำความรู้สึกตอนที่เข้ามาตลาดหุ้นครั้งแรก
โพสต์ที่ 28
ขอบคุณครับพี่chatchai เขียน:UCT กู้เงินระยะสั้น ดอกเบี้ยแพงมาซื้อครับ และเป็นการซื้อกิจการที่ใหญ่เกินฐานะตัวเอง ทำให้มีภาระหนี้สินและดอกเบี้ยสูงเกินกำลังดำ เขียน:ตอนนั้นมันมีปัญหาอะไรเหรอครับ แล้วที่ตอนนี้ TUF ทำสำเร็จ มันมีอะไรต่างกันบ้างครับพี่chatchai เขียน:ผมเริ่มลงทุนซื้อหุ้นครั้งแรกปี 2533
ซื้อหุ้นที่ทำธุรกิจผลิตปลาทูน่าส่งออกรายใหญ่ในขณะนั้น คือ บริษัทยูนิคอร์ด UCT
สาเหตุที่สนใจลงทุน เนื่องจาก ตอนเรียนปริญญาตรีได้มีโอกาสเข้าชมโรงงาน รู้สึกประทับใจ โรงงานใหญ่โตมาก มีพนักงานมาก และได้อ่านข่าวการที่บริษัทซื้อกิจการจำหน่ายปลาทูน่าอันดับต้นๆของสหรัฐ คือ บัมเบิ้ลบี (TUF เพิ่งซื้อตอนปีก่อน) เพื่อขยายตลาดสหรัฐ หลบกำแพงภาษี และซื้อตราสินค้า ผมอ่านแล้วรู้สึกชอบแนวคิดของเจ้าของ
แต่ซื้อโดยไม่ได้ตรวจสอบงบการเงิน ไม่ได้ประเมินมูลค่ากิจการ
สรุปผล ซื้อหุ้นละ 119 บาท ขายแถวๆ 20 บาท
รวมทั้งราคาที่ผมซื้อคงเป็นราคาที่สูงเกินพื้นฐาน อีกทั้งพอซื้อได้ไม่นานก็เกิดเหตุการณ์อิรักบุกยึดคูเวต ตลาดหุ้นตกหนักและเร็วมาก
- Tanukicho
- Verified User
- โพสต์: 215
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มีพี่ๆ คนไหนจำความรู้สึกตอนที่เข้ามาตลาดหุ้นครั้งแรก
โพสต์ที่ 29
เปิดบัญชีตอน 2012 อายุครบพอดี แต่เริ่มซื้อขายจริงๆ ตอน2013 ช่วงที่หุ้นลง
ก่อนลงทุนก็เตรียมตัวมาดี เป็น VI ตั้งแต่แรก แต่เป็นมือใหม่ อ่าน 56-1 อ่านงบการเงิน ทุกอย่างตามหลักการ PE ต่ำ ROE สูง ROA สูง
ตอนแรกไม่กล้าซื้อ เพราะคิดว่า โอภาสในการซื้อหุ้นที่ดี คือ วิกฤต ผมพยายามจะคาดการณ์ และรอเฉพาะตอนนั้น
ซึ่งทำให้ผมพลาดอะไรดีๆไปหลายๆอย่าง มีหุ้นหลายๆตัวที่มองไว้ แต่ไม่อยากซื้อ อยากซื้อถูกกว่านี้ เป็นอารมณ์ที่โลภมากเสียจริง
ทำให้ผมไม่ได้ลองซื้อขายจริง ไม่ได้ลงมือทำจริง ช่วงนั้นยึดติดราคา ยิ่งถูกยิ่งปลอดภัย MOS สูง กะจะเก็บหุ้นวิกฤตเท่านั้น ถึงวันนี้ รอมาหลายปี ยังไม่เห็นปีไหนต่ำกว่า วันที่เข้าตอนแรกเลย
pm 3 RS 3 บาท Work 12 บาท Bafs 12 บาท AOT 90 มี banpu 700 ที่ต่ำลง ทั้งPEต่ำ ROAสูง ROEสูง แล้วก็ it as se-ed ที่เคยดูดี
เราไม่สามารถรู้ราคาที่แท้จริง ของหุ้นได้เลย มีแต่มูลค่า ที่เราสัมผัสได้ จากความเป็นเจ้าของ
มูลค่าที่ได้รับสำคัญกว่าราคาที่จ่ายจริงๆ
ก่อนลงทุนก็เตรียมตัวมาดี เป็น VI ตั้งแต่แรก แต่เป็นมือใหม่ อ่าน 56-1 อ่านงบการเงิน ทุกอย่างตามหลักการ PE ต่ำ ROE สูง ROA สูง
ตอนแรกไม่กล้าซื้อ เพราะคิดว่า โอภาสในการซื้อหุ้นที่ดี คือ วิกฤต ผมพยายามจะคาดการณ์ และรอเฉพาะตอนนั้น
ซึ่งทำให้ผมพลาดอะไรดีๆไปหลายๆอย่าง มีหุ้นหลายๆตัวที่มองไว้ แต่ไม่อยากซื้อ อยากซื้อถูกกว่านี้ เป็นอารมณ์ที่โลภมากเสียจริง
ทำให้ผมไม่ได้ลองซื้อขายจริง ไม่ได้ลงมือทำจริง ช่วงนั้นยึดติดราคา ยิ่งถูกยิ่งปลอดภัย MOS สูง กะจะเก็บหุ้นวิกฤตเท่านั้น ถึงวันนี้ รอมาหลายปี ยังไม่เห็นปีไหนต่ำกว่า วันที่เข้าตอนแรกเลย
pm 3 RS 3 บาท Work 12 บาท Bafs 12 บาท AOT 90 มี banpu 700 ที่ต่ำลง ทั้งPEต่ำ ROAสูง ROEสูง แล้วก็ it as se-ed ที่เคยดูดี
เราไม่สามารถรู้ราคาที่แท้จริง ของหุ้นได้เลย มีแต่มูลค่า ที่เราสัมผัสได้ จากความเป็นเจ้าของ
มูลค่าที่ได้รับสำคัญกว่าราคาที่จ่ายจริงๆ
“ กำไรเมื่อซื้อ ไม่ใช่เมื่อขาย ”
Cr.Richdad
Cr.Richdad
- SawScofield
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 238
- ผู้ติดตาม: 1
Re: มีพี่ๆ คนไหนจำความรู้สึกตอนที่เข้ามาตลาดหุ้นครั้งแรก
โพสต์ที่ 30
เข้าตลาดครั้งแรกกลางปี 2009 จากการเรียนต่อโท เศรษฐศาสตร์ ครับ
จุดเริ่มต้นคือวิชาหนึ่งในหลักสูตรที่ชื่อ cost and finance ทำให้ได้เริ่มรู้จักกับตลาดทุนแห่งนี้ครับ เนื่องจากต้องดึงข้อมูล 3-5 บริษัทมาทำ SWOT analysis เปรียบเทียบกัน แล้วส่งการบ้านด้วยการเลือกลงทุนใน 1 บริษัท ... มองย้อนกลับไป คือ เรียนเพื่อทำการบ้านส่ง สอบ และแทบไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับโลกการลงทุนจริง
จนมีพี่ในกลุ่มที่เรียนด้วยกันนี่แหละครับแกเคยทำงานอยู่ในวงการจึงเริ่มชักชวนไปเปิดพอร์ตตอนกลางปี 2009 นั้นเอง จำได้ว่าไปเซ็นเปิดพอร์ตกันถึง office ของโบรกเกอร์ชื่อดังกลางกรุงหลังเลิกเรียนวันแรกๆที่เริ่มเรียนวิชานี้เลยครับ
ผ่านไป 3 วันก็ได้พอร์ตมา วันเดียวก็ฝากเงินเข้าไปในพอร์ต ซัดหุ้น 3 ตัวแรกในชีวิตเลย ได้แก่ PTTEP DTAC และ QH ครับ ขนาดไม่รู้อะไรเลยยังซื้อตั้ง 3 ตัว ... ฮา โชคดีมากมายที่ไม่ได้เริ่มลงทุนในช่วงหุ้นซิ่งครองเมืองครับ T^T
ความรู้สึกตอนนั้นคือเอาบริษัทใหญ่ๆไว้ก่อน ชัวร์กว่า + แสกนหุ้นด้วย Financial ratio (P/E เอย P/BV เอย Div. yield เอย) ที่เพิ่งเรียนมาแบบงูๆปลาๆ เฝ้าจอ แล้วก็นั่งลุ้น
ซื้อแล้วหุ้นขึ้นดีใจเอาตังค์ไปใช้ ลำพองเล็กๆว่าเอาแล้วสินี่ขนาดยังไม่มีงานทำยังหาตังค์วันนึงเป็นพันๆได้ แม้ตอนที่ซื้อแล้วไม่ขึ้นหรือลงต่อแต่ถือว่าหุ้นดีบริษัทใหญ่โตมันต้องกลับมาสิ (คิดเองเออเองสุดๆครับ T^T) แล้วแป๊บๆมันก็กลับมาจริงๆ ก็มีตังค์ไปใช้อีก เลยเกิดวงจร
... ซื้อ ลุ้น ลำพอง ใช้ตังค์ ...
ไปเรื่อยๆแบบนั้นแหละครับ ฮ่าๆๆ คิดแล้วมันช่างเหมือนละครที่ตอนจบไม่น่าจะงามนัก T^T
แต่ที่น่ากลัวที่สุด คือ ผมเกิดมาในครอบครัวชนชั้นกลางต่างจังหวัดที่พ่อแม่ไม่ได้มีทรัพย์สมบัติมากมายมากองให้ มีแต่ความรักความอบอุ่นและความสบายตามสมควรครับ ^^ เพราะฉะนั้นผมจึงไม่มีเงินเก็บมากมายเหลือเฟือให้ได้ลงทุนตั้งแต่แรกครับ
เงินก้อนแรกที่นำมาเปิดพอร์ตซื้อหุ้นจึงเป็น "เงินค่าเทอม" ทีี่จ่ายให้ช้าที่สุดเพื่อจะเอามาหมุนซื้อหุ้น มันจึงเป็นเงินทุนหล่อเลี้ยงพอร์ตตั้งแต่ช่วงกลางปี 2009 - 2010 ครับ ... ใช้ชีวิตได้ประมาทดีมั้ยล่ะครับ T^T ถ้าผมเรียนต่อโทปี 2007 หรือ 2008 จะเกิดอะไรขึ้น หรือหลังจากนั้นอีก 3-4 ปีจะเกิดอะไรขึ้น ... ขนลุก
เดชะบุญที่เป็นหนอนหนังสือและขี้สงสัยพอสมควรครับ จึงเกิดคำถามและพัฒนาการ ดังนี้
1. ทำไมหุ้นมันถึงขึ้น ทำไมหุ้นมันถึงลงล่ะ ? -> ก็อ่านมันซะทุกอย่าง ข่าวเศรษฐกิจ ดูกราฟ บทวิเคราะห์ เข้า pantip ดูนุ่นนี่เกี่ยวกับหุ้นตลอดเวลา แต่ก็ยังไม่มีอะไรที่ใกล้เคียงกับการลงทุนแนวเน้นคุณค่า และแน่นอนว่าผมก็ยังไม่รู้ว่าทำไมหุ้นมันขึ้นทำไมหุ้นมันลง ฮ่าๆ
2. แล้วจะซื้อตัวไหนที่ราคาเท่าไหร่ล่ะ ? -> ผ่านมาครึ่งปีจนช่วงปลายปี 2009 จากบรรยากาศการลงทุนที่ไม่ได้ทำร้ายจิตใจกันมากก็ยังอยู่ในตลาดได้สบายครับ และเป็นครั้งแรกที่ผมได้รู้จักงาน SET in the city ครับ แน่นอน 4 วันนั้นผมสิงอยู่ในงานฟังสัมมนาแทบจะตลอดเวลา ฟังแทบจะทุก session ที่พอจะฟังรู้เรื่อง จนพบว่าการลงทุนที่ดูเป็นวิชาการหน่อยก็ต้อง technical หรือ fundamental นี่แหละ แต่ใจเริ่มจะเอนเอียงมาทาง fundamental มากกว่าเพราะตื่นเต้นกับการที่รู้ว่า อ๋อ ไอ่ร้านอาหารนี้หุ้นตัวนี้เป็นเจ้าของ อ๋อ หุ้นตัวนี้มันขายอันนี้บริการอันนี้นี่เอง ... ถ้าเราเป็นเจ้าของคงจะเท่ดี แต่ก็ยังดูกราฟนั่นตัดนี่ ซื้อนั่นขายนุ่นอยู่และยังรู้สึกว่า
"เลือกหุ้นด้วยพื้นฐาน หาจังหวะซื้อขายด้วยกราฟเทคนิค" ยังเป็นวิธีการเด็ดที่ต้องตรึงใจ
ในขณะเดียวกันในใจก็เหมือนจะมีอะไรบางอย่างบอกว่า แล้วเราต้องมาฟังหุ้นเด็ดอย่างนี้ตลอดหรอ ถ้าเค้าไม่บอกก็ต้องรอหรอ เราหาเองจะได้รึปล่าวนะ พี่ๆนักวิเคราะห์ดูเก่งจังอีกซักกี่ปีจะพรั่งพรูความรู้ได้แบบเขาบ้างนะ ต้องหาทางๆ ^^
3. ไอ่นี่ valuation แม่นมากนะออกมากี่บาทๆเลย !!! -> แน่นอนว่าพอเราเริ่มลงทุนก็จะมีกลุ่มเพื่อนๆลงทุนตามๆกันครับก็จะเริ่มรู้ว่าคนนู้นก็เล่นหุ้นคนนี้ก็มีหุ้น แชร์กันใครซื้ออะไรถืออะไรมีตัวไหน จนวันนึงเพื่อนในกลุ่มที่สนิทกันก็เล่าให้ฟังว่า รู้จักไอ่ K รึยังเพื่อนไอ่ B เค้าบอกว่าไอ่นี่ valuation แม่นมากๆนะออกมาเป็นเป้ากี่บาทๆเลย อู้หูววว แม่เจ้าเว้ย นี่ไงล่ะทางที่เราหา อะหรอๆ แล้วมันทำยังไงๆ ... มันอ่านมาจากหนังสือ 2 เล่มว่ะ "Security Analysis" ของเบนจามิน แกรแฮม กับ "One up on wall street" ของ ปีเตอร์ ลินช์ว่ะ
ด้วยความที่ "One up on wall street" เป็นเล่มที่มีแปลไทย (ภาษาอังกฤษตอนนั้นอ่อนแอกว่าตอนนี้มากครับ) เลยมีหนังสือการลงทุนเล่มแรกกับเค้าและฝากตัวเป็นศิษย์ลุงหัวขาวที่ชื่อ Peter Lynch ผ่านตัวหนังสือครับ และหลังจากนั้นก็เริ่มสะสมหนังสือการลงทุนทรงคุณค่าอีกหลายต่อหลายเล่มเช่นทุกท่าน และเริ่มรู้จัก ThaiVI ถัดจากนั้นไม่นานครับ จากนั้นจึงค่อยสั่งสมวิธีประเมินมูลค่ามาเรื่อยๆครับ ^^
4. กูอยากเป็นจ้าวว่ะ -> ขออภัยสำหรับเนื้อหาที่ล่อแหลมในส่วนนี้และโปรดใช้วิจารณญานในการรับฟังเนื่องจากเป็นความเห็นและประสบการณ์ ณ เวลานั้นครับ แต่อยากจะแบ่งปันเพราะเป็นจุดเปลี่ยนในการเลือกเส้นทางการลงทุนที่สำคัญจุดหนึ่งของผมครับ บ่ายวันนึงช่วงต้นปี 2010 ก็มีเพื่อนสนิทท่านนึงที่ลงทุนพร้อมๆกันถามเรื่องพอร์ตเรื่องหุ้นที่ถือปกติ จนมีคำถามนึงเพื่อนถามผมว่า "แล้วมึงเอาไงต่อ" ประมาณว่าจะทำงานอะไรยังไงครับเพราะเพิ่งเรียนจบกันบางส่วน ทำงานมาปีนึงบางส่วน อะไรก็ไม่ทราบทำให้ผมตอบแบบไม่ลังเลทั้งที่ก็รู้น้อยนักและยังไม่สามารถหารายได้เองครับ "กูอยากเดินเส้นทาง VI ว่ะ มึงล่ะ" ... "กูอยากเป็นจ้าวว่ะ" ... ตะลึงครับ แน่นอนว่าการเป็นอะไรตรงจุดนั้นมันค่อนข้างไกลตัวเด็กหนุ่มวัย 20 ต้นๆแต่เพื่อนซึ่งพบประสบการณ์ในอีกรูปแบบมาค่อนข้างชัดเจนในจุดยืน ไอ่เราก็พูดไม่ออกเลยบอกไปเพียงว่า "ทำบุญบ้างนะ" ^^'
ข้อคิดสำคัญในครั้งนั้นที่เพื่อนแนะ คือ ... ไม่ใช่แค่ทุกคนที่เห็นว่ากราฟราคาหรือ indicator แสดงอะไรออกมา แต่จ้าวยังเข้าใจและรู้ว่าคนหมู่มากอยากเห็นอะไร ว่ากันจริงๆแล้ว มันสร้างได้ O.o ...
นั่นเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ผมให้ความสำคัญกับกราฟเทคนิคน้อยลงจนแทบไม่ใส่ใจครับ ไม่สนใจ SET index ปิดเปิดเท่าไหร่ก็ไม่ค่อยทราบ ดู Volume บ้างแต่ก็ไม่ได้เป็นปัจจัยสำคัญในการซื้อขาย คงไว้แต่จิตวิทยาการลงทุนบางอย่างที่จำเป็นต่อการลงทุนระยะยาว แล้วเอาเข้าจริง "เลือกหุ้นด้วยพื้นฐาน หาจังหวะซื้อขายด้วยกราฟเทคนิค" พอรู้ตัวอีกที เหมือนจะไหลไปฝั่งเทคนิคซะส่วนใหญ่ แล้วรู้จักบริษัทแบบผิวเผินมาก และคิดว่ามันถึงเวลาต้องปฏิวัติ !!!
ก็จัดหนักเลยครับจากนั้น อยากรู้คุณภาพธุรกิจ ก็ศึกษาบริษัทให้เยอะๆอ่าน annual report ทั้งไทยทั้งนอก ฟังสัมมนา meeting คุยกับคนเก่งๆในมุมมองเชิงธุรกิจ กิจการ กิน ใช้ ชอบ สินค้าและบริการอะไรก็ search มันเดี๋ยวนั้นว่าของใคร บริษัทอะไรเป็นเจ้าของ อยากรู้ถึงเบื้องหลังเบื้องลึกของ financial ratio ที่ไม่ได้เป็นแค่อัตราส่วนทางการเงิน แต่สะท้อนความจริงและบ่งบอกถึงสิ่งที่กำลังจะเกิด ก็ลุยอ่านมันทุกอย่าง หาให้ได้ว่าราคาสมเหตุสมผลหรือไม่ รวมถึงลงคอร์สบัญชี ภาษาต่างดาวที่หนีมาตลอด เพราะรู้ว่างบการเงินเป็นสิ่งที่บอกสุขภาพทางการเงินของกิจการได้ สั่งสมความรู้ทบต้นและศรัทธาในดอกเบี้ยทบต้นว่ามันต้องตามมาสำแดงเดชเข้าสักวันหนึ่ง >< !!!
จะเห็นว่าคำถามและพัฒนาการต่างๆเกิดขึ้นในช่วงเวลาไม่นานนักครับ แต่โชคดีที่ตระหนักรู้เร็วว่าเรารู้น้อยนักครับในช่วงนั้น เส้นทาง VI แบบจริงจังจึงเริ่มต้นขึ้นในช่วงปลายปี 2010 หรือผ่านไปแค่ปีครึ่งประมาณนั้นครับและดำเนินต่อมาจนวันนี้ (และคงจะอยู่ตลอดไป ^^) วันนี้ก็ยังรู้น้อยครับ แค่รู้มากขึ้นกว่าเมื่อวานวันละเล็กวันละน้อย แต่คงจะไม่ยอมและต้องไม่ยอมหยุดนิ่งครับ
ชีวิตอีกด้านผมเป็นนักวิ่งมาราธอนครับ แม้จะเคยผ่านมาเพียงแค่ 2 Full marathon ด้วยระยะ 42.195 กิโลเมตร ทุกครั้งที่ออกจากจุดสตาร์ทไป ผมรู้สึกว่าเส้นชัยมันไกลมาก ไกลเกินเอื้อม ... แต่ผมไม่หยุดครับ ไปเรื่อยๆ แข่งกับตัวเอง คนที่วิ่งไปด้วยกันไม่ได้มาแข่งกัน แต่เป็นเพื่อนร่วมทางที่มีความฝันมีเป้าหมายร่วมกัน
... ขอเพียงหันหน้าให้ถูกทาง อดทน ไปต่อเรื่อยๆ แข่งกับตัวเอง ซักวันคงได้เห็นเส้นชัยแบบรุ่นพี่ที่ถึงเส้นชัยแล้ว พอเขียนแล้วมันพรั่งพรูครับ ฮ่าๆ ยาวนิดนึงนะครับ ขอบคุณครับ ...
จุดเริ่มต้นคือวิชาหนึ่งในหลักสูตรที่ชื่อ cost and finance ทำให้ได้เริ่มรู้จักกับตลาดทุนแห่งนี้ครับ เนื่องจากต้องดึงข้อมูล 3-5 บริษัทมาทำ SWOT analysis เปรียบเทียบกัน แล้วส่งการบ้านด้วยการเลือกลงทุนใน 1 บริษัท ... มองย้อนกลับไป คือ เรียนเพื่อทำการบ้านส่ง สอบ และแทบไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับโลกการลงทุนจริง
จนมีพี่ในกลุ่มที่เรียนด้วยกันนี่แหละครับแกเคยทำงานอยู่ในวงการจึงเริ่มชักชวนไปเปิดพอร์ตตอนกลางปี 2009 นั้นเอง จำได้ว่าไปเซ็นเปิดพอร์ตกันถึง office ของโบรกเกอร์ชื่อดังกลางกรุงหลังเลิกเรียนวันแรกๆที่เริ่มเรียนวิชานี้เลยครับ
ผ่านไป 3 วันก็ได้พอร์ตมา วันเดียวก็ฝากเงินเข้าไปในพอร์ต ซัดหุ้น 3 ตัวแรกในชีวิตเลย ได้แก่ PTTEP DTAC และ QH ครับ ขนาดไม่รู้อะไรเลยยังซื้อตั้ง 3 ตัว ... ฮา โชคดีมากมายที่ไม่ได้เริ่มลงทุนในช่วงหุ้นซิ่งครองเมืองครับ T^T
ความรู้สึกตอนนั้นคือเอาบริษัทใหญ่ๆไว้ก่อน ชัวร์กว่า + แสกนหุ้นด้วย Financial ratio (P/E เอย P/BV เอย Div. yield เอย) ที่เพิ่งเรียนมาแบบงูๆปลาๆ เฝ้าจอ แล้วก็นั่งลุ้น
ซื้อแล้วหุ้นขึ้นดีใจเอาตังค์ไปใช้ ลำพองเล็กๆว่าเอาแล้วสินี่ขนาดยังไม่มีงานทำยังหาตังค์วันนึงเป็นพันๆได้ แม้ตอนที่ซื้อแล้วไม่ขึ้นหรือลงต่อแต่ถือว่าหุ้นดีบริษัทใหญ่โตมันต้องกลับมาสิ (คิดเองเออเองสุดๆครับ T^T) แล้วแป๊บๆมันก็กลับมาจริงๆ ก็มีตังค์ไปใช้อีก เลยเกิดวงจร
... ซื้อ ลุ้น ลำพอง ใช้ตังค์ ...
ไปเรื่อยๆแบบนั้นแหละครับ ฮ่าๆๆ คิดแล้วมันช่างเหมือนละครที่ตอนจบไม่น่าจะงามนัก T^T
แต่ที่น่ากลัวที่สุด คือ ผมเกิดมาในครอบครัวชนชั้นกลางต่างจังหวัดที่พ่อแม่ไม่ได้มีทรัพย์สมบัติมากมายมากองให้ มีแต่ความรักความอบอุ่นและความสบายตามสมควรครับ ^^ เพราะฉะนั้นผมจึงไม่มีเงินเก็บมากมายเหลือเฟือให้ได้ลงทุนตั้งแต่แรกครับ
เงินก้อนแรกที่นำมาเปิดพอร์ตซื้อหุ้นจึงเป็น "เงินค่าเทอม" ทีี่จ่ายให้ช้าที่สุดเพื่อจะเอามาหมุนซื้อหุ้น มันจึงเป็นเงินทุนหล่อเลี้ยงพอร์ตตั้งแต่ช่วงกลางปี 2009 - 2010 ครับ ... ใช้ชีวิตได้ประมาทดีมั้ยล่ะครับ T^T ถ้าผมเรียนต่อโทปี 2007 หรือ 2008 จะเกิดอะไรขึ้น หรือหลังจากนั้นอีก 3-4 ปีจะเกิดอะไรขึ้น ... ขนลุก
เดชะบุญที่เป็นหนอนหนังสือและขี้สงสัยพอสมควรครับ จึงเกิดคำถามและพัฒนาการ ดังนี้
1. ทำไมหุ้นมันถึงขึ้น ทำไมหุ้นมันถึงลงล่ะ ? -> ก็อ่านมันซะทุกอย่าง ข่าวเศรษฐกิจ ดูกราฟ บทวิเคราะห์ เข้า pantip ดูนุ่นนี่เกี่ยวกับหุ้นตลอดเวลา แต่ก็ยังไม่มีอะไรที่ใกล้เคียงกับการลงทุนแนวเน้นคุณค่า และแน่นอนว่าผมก็ยังไม่รู้ว่าทำไมหุ้นมันขึ้นทำไมหุ้นมันลง ฮ่าๆ
2. แล้วจะซื้อตัวไหนที่ราคาเท่าไหร่ล่ะ ? -> ผ่านมาครึ่งปีจนช่วงปลายปี 2009 จากบรรยากาศการลงทุนที่ไม่ได้ทำร้ายจิตใจกันมากก็ยังอยู่ในตลาดได้สบายครับ และเป็นครั้งแรกที่ผมได้รู้จักงาน SET in the city ครับ แน่นอน 4 วันนั้นผมสิงอยู่ในงานฟังสัมมนาแทบจะตลอดเวลา ฟังแทบจะทุก session ที่พอจะฟังรู้เรื่อง จนพบว่าการลงทุนที่ดูเป็นวิชาการหน่อยก็ต้อง technical หรือ fundamental นี่แหละ แต่ใจเริ่มจะเอนเอียงมาทาง fundamental มากกว่าเพราะตื่นเต้นกับการที่รู้ว่า อ๋อ ไอ่ร้านอาหารนี้หุ้นตัวนี้เป็นเจ้าของ อ๋อ หุ้นตัวนี้มันขายอันนี้บริการอันนี้นี่เอง ... ถ้าเราเป็นเจ้าของคงจะเท่ดี แต่ก็ยังดูกราฟนั่นตัดนี่ ซื้อนั่นขายนุ่นอยู่และยังรู้สึกว่า
"เลือกหุ้นด้วยพื้นฐาน หาจังหวะซื้อขายด้วยกราฟเทคนิค" ยังเป็นวิธีการเด็ดที่ต้องตรึงใจ
ในขณะเดียวกันในใจก็เหมือนจะมีอะไรบางอย่างบอกว่า แล้วเราต้องมาฟังหุ้นเด็ดอย่างนี้ตลอดหรอ ถ้าเค้าไม่บอกก็ต้องรอหรอ เราหาเองจะได้รึปล่าวนะ พี่ๆนักวิเคราะห์ดูเก่งจังอีกซักกี่ปีจะพรั่งพรูความรู้ได้แบบเขาบ้างนะ ต้องหาทางๆ ^^
3. ไอ่นี่ valuation แม่นมากนะออกมากี่บาทๆเลย !!! -> แน่นอนว่าพอเราเริ่มลงทุนก็จะมีกลุ่มเพื่อนๆลงทุนตามๆกันครับก็จะเริ่มรู้ว่าคนนู้นก็เล่นหุ้นคนนี้ก็มีหุ้น แชร์กันใครซื้ออะไรถืออะไรมีตัวไหน จนวันนึงเพื่อนในกลุ่มที่สนิทกันก็เล่าให้ฟังว่า รู้จักไอ่ K รึยังเพื่อนไอ่ B เค้าบอกว่าไอ่นี่ valuation แม่นมากๆนะออกมาเป็นเป้ากี่บาทๆเลย อู้หูววว แม่เจ้าเว้ย นี่ไงล่ะทางที่เราหา อะหรอๆ แล้วมันทำยังไงๆ ... มันอ่านมาจากหนังสือ 2 เล่มว่ะ "Security Analysis" ของเบนจามิน แกรแฮม กับ "One up on wall street" ของ ปีเตอร์ ลินช์ว่ะ
ด้วยความที่ "One up on wall street" เป็นเล่มที่มีแปลไทย (ภาษาอังกฤษตอนนั้นอ่อนแอกว่าตอนนี้มากครับ) เลยมีหนังสือการลงทุนเล่มแรกกับเค้าและฝากตัวเป็นศิษย์ลุงหัวขาวที่ชื่อ Peter Lynch ผ่านตัวหนังสือครับ และหลังจากนั้นก็เริ่มสะสมหนังสือการลงทุนทรงคุณค่าอีกหลายต่อหลายเล่มเช่นทุกท่าน และเริ่มรู้จัก ThaiVI ถัดจากนั้นไม่นานครับ จากนั้นจึงค่อยสั่งสมวิธีประเมินมูลค่ามาเรื่อยๆครับ ^^
4. กูอยากเป็นจ้าวว่ะ -> ขออภัยสำหรับเนื้อหาที่ล่อแหลมในส่วนนี้และโปรดใช้วิจารณญานในการรับฟังเนื่องจากเป็นความเห็นและประสบการณ์ ณ เวลานั้นครับ แต่อยากจะแบ่งปันเพราะเป็นจุดเปลี่ยนในการเลือกเส้นทางการลงทุนที่สำคัญจุดหนึ่งของผมครับ บ่ายวันนึงช่วงต้นปี 2010 ก็มีเพื่อนสนิทท่านนึงที่ลงทุนพร้อมๆกันถามเรื่องพอร์ตเรื่องหุ้นที่ถือปกติ จนมีคำถามนึงเพื่อนถามผมว่า "แล้วมึงเอาไงต่อ" ประมาณว่าจะทำงานอะไรยังไงครับเพราะเพิ่งเรียนจบกันบางส่วน ทำงานมาปีนึงบางส่วน อะไรก็ไม่ทราบทำให้ผมตอบแบบไม่ลังเลทั้งที่ก็รู้น้อยนักและยังไม่สามารถหารายได้เองครับ "กูอยากเดินเส้นทาง VI ว่ะ มึงล่ะ" ... "กูอยากเป็นจ้าวว่ะ" ... ตะลึงครับ แน่นอนว่าการเป็นอะไรตรงจุดนั้นมันค่อนข้างไกลตัวเด็กหนุ่มวัย 20 ต้นๆแต่เพื่อนซึ่งพบประสบการณ์ในอีกรูปแบบมาค่อนข้างชัดเจนในจุดยืน ไอ่เราก็พูดไม่ออกเลยบอกไปเพียงว่า "ทำบุญบ้างนะ" ^^'
ข้อคิดสำคัญในครั้งนั้นที่เพื่อนแนะ คือ ... ไม่ใช่แค่ทุกคนที่เห็นว่ากราฟราคาหรือ indicator แสดงอะไรออกมา แต่จ้าวยังเข้าใจและรู้ว่าคนหมู่มากอยากเห็นอะไร ว่ากันจริงๆแล้ว มันสร้างได้ O.o ...
นั่นเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ผมให้ความสำคัญกับกราฟเทคนิคน้อยลงจนแทบไม่ใส่ใจครับ ไม่สนใจ SET index ปิดเปิดเท่าไหร่ก็ไม่ค่อยทราบ ดู Volume บ้างแต่ก็ไม่ได้เป็นปัจจัยสำคัญในการซื้อขาย คงไว้แต่จิตวิทยาการลงทุนบางอย่างที่จำเป็นต่อการลงทุนระยะยาว แล้วเอาเข้าจริง "เลือกหุ้นด้วยพื้นฐาน หาจังหวะซื้อขายด้วยกราฟเทคนิค" พอรู้ตัวอีกที เหมือนจะไหลไปฝั่งเทคนิคซะส่วนใหญ่ แล้วรู้จักบริษัทแบบผิวเผินมาก และคิดว่ามันถึงเวลาต้องปฏิวัติ !!!
ก็จัดหนักเลยครับจากนั้น อยากรู้คุณภาพธุรกิจ ก็ศึกษาบริษัทให้เยอะๆอ่าน annual report ทั้งไทยทั้งนอก ฟังสัมมนา meeting คุยกับคนเก่งๆในมุมมองเชิงธุรกิจ กิจการ กิน ใช้ ชอบ สินค้าและบริการอะไรก็ search มันเดี๋ยวนั้นว่าของใคร บริษัทอะไรเป็นเจ้าของ อยากรู้ถึงเบื้องหลังเบื้องลึกของ financial ratio ที่ไม่ได้เป็นแค่อัตราส่วนทางการเงิน แต่สะท้อนความจริงและบ่งบอกถึงสิ่งที่กำลังจะเกิด ก็ลุยอ่านมันทุกอย่าง หาให้ได้ว่าราคาสมเหตุสมผลหรือไม่ รวมถึงลงคอร์สบัญชี ภาษาต่างดาวที่หนีมาตลอด เพราะรู้ว่างบการเงินเป็นสิ่งที่บอกสุขภาพทางการเงินของกิจการได้ สั่งสมความรู้ทบต้นและศรัทธาในดอกเบี้ยทบต้นว่ามันต้องตามมาสำแดงเดชเข้าสักวันหนึ่ง >< !!!
จะเห็นว่าคำถามและพัฒนาการต่างๆเกิดขึ้นในช่วงเวลาไม่นานนักครับ แต่โชคดีที่ตระหนักรู้เร็วว่าเรารู้น้อยนักครับในช่วงนั้น เส้นทาง VI แบบจริงจังจึงเริ่มต้นขึ้นในช่วงปลายปี 2010 หรือผ่านไปแค่ปีครึ่งประมาณนั้นครับและดำเนินต่อมาจนวันนี้ (และคงจะอยู่ตลอดไป ^^) วันนี้ก็ยังรู้น้อยครับ แค่รู้มากขึ้นกว่าเมื่อวานวันละเล็กวันละน้อย แต่คงจะไม่ยอมและต้องไม่ยอมหยุดนิ่งครับ
ชีวิตอีกด้านผมเป็นนักวิ่งมาราธอนครับ แม้จะเคยผ่านมาเพียงแค่ 2 Full marathon ด้วยระยะ 42.195 กิโลเมตร ทุกครั้งที่ออกจากจุดสตาร์ทไป ผมรู้สึกว่าเส้นชัยมันไกลมาก ไกลเกินเอื้อม ... แต่ผมไม่หยุดครับ ไปเรื่อยๆ แข่งกับตัวเอง คนที่วิ่งไปด้วยกันไม่ได้มาแข่งกัน แต่เป็นเพื่อนร่วมทางที่มีความฝันมีเป้าหมายร่วมกัน
... ขอเพียงหันหน้าให้ถูกทาง อดทน ไปต่อเรื่อยๆ แข่งกับตัวเอง ซักวันคงได้เห็นเส้นชัยแบบรุ่นพี่ที่ถึงเส้นชัยแล้ว พอเขียนแล้วมันพรั่งพรูครับ ฮ่าๆ ยาวนิดนึงนะครับ ขอบคุณครับ ...
Respect, Persistence then Deserve