ตลาดหุ้นไม่มีอยู่จริง !
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4641
- ผู้ติดตาม: 0
ตลาดหุ้นไม่มีอยู่จริง !
โพสต์ที่ 1
เมื่อเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมาหยิบหนังสือ Passport to Profit ของ ดร.โมเบียสมานั่งอ่านแล้วดูโน๊ตที่ผมเองได้จดไว้พบว่า อ่านหนังสือเล่มนี้มาน่าจะได้ 3 ปีแล้วนะยังไม่จบเลย เหลืออีก ร้อยกว่าหน้า อ่านหนังสือ ดร.โมเบียส แล้วก็พาลคิดไปถึงท่าน เซอร์จอห์น เทมพลีตัน
และก็คิดถึงวาจาอมตะของท่านว่า
"เวลาที่ดีที่สุดของการซื้อหุ้นคือเวลาที่เลือดนองพื้น" แต่ท่านเซอร์ท่านลงรายละเอียดมากขึ้นว่า
"แม้ว่าเลือดนั้นเป็นเลือดของตัวเราเอง"
อืมม์ หลายครั้งหลายหน สิ่งที่ผมจะพยายามทำอย่างมากคือหนีจากหมี แล้วหลายหนก็โอเคหนีได้
แต่ครั้งนี้กะว่าไม่เอาละ คิดหลายอย่างไม่ใช่ไม่พยายาม ก็สังหรณ์ใจ แต่ไม่เอาละ ไม่หนีละ ดูมัน คือดูใจเราด้วยหล่ะ
ผลลัพธ์ จนถึงวันนี้ "เละ" 555 สมใจอยากมั๊ยล่ะ
น้องหลายคนนี่หัวเราะใส่เลย ผมบอกแล้วพี่ไปไม่รอดหรอกน่า ฮ่าฮ่าฮ่า ก็เล่นหุ้นในก๊วนเดียวกันน่ะแหละ
เป็นวีไอสมใจอยากมั๊ยหล่ะ
หมดเบนซ์ไปกี่คันล่ะพี่ ฮ่าฮ่าฮ่า
เจ็บ พวกเอ็งน๊า พี่ไม่อาฆาต แต่จำนาน
ไม่มีอะไร แค่รู้สึกดีสำหรับวันนี้สำหรับตัวเอง เพราะคิดว่าแม้สักครั้งในชีวิตถ้าไม่ลงมือทำหรือไม่ลองทำดู การถือหุ้น 100% ผ่านวิกฤต
ซึ่งจะผ่านมั๊ย ไม่รู้ ก็คงเป็นเรื่องที่ฟังแล้ว ทฤษฎีอย่างมาก ที่สำคัญ ถ้าเราขายหุ้นออกไปก่อนแล้วหุ้นลง แน่นอน ร้อยละร้อยเราคงรู้สึกดี แต่
แต่ผมมีเหตุผลบางประการที่ผมจะไม่ทำแบบนั้น ดังนี้
1. ตลาดทำถูกต้องจริงหรือไม่? ในทางสถิติแล้วเราเดาทางตลาดไม่ได้การคาดการณ์ตลาดเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ ไม่มีสูตรวิเศษ เพราะถ้ามีจะมีคนรู้ยิ่งในยุคดิจิตอลแบบนี้
ถ้ามีใครทำได้ จะทำได้กันหมด และตลาดหุ้นจะไม่มีอีกต่อไป
2. หุ้นของเราได้รับผลกระทบจริงหรือไม่? พิจารณาให้ครบถ้วนแล้ววิเคราะห์จริง ๆ ว่า ธุรกิจของเรานั้นได้รับผลกระทบจากหุ้นตกจริง ๆ หรือไม่
ถ้าเรารู้จักธุรกิจเราดี เราน่าจะวิเคราะห์มุมนี้ออก นั่นหมายถึง เราน่าจะ "ถูก" มากกว่า "ผิด"
3. เราจนลงจริงหรือไม่? อยากวิเคราะห์ให้ดี ๆ ยกตัวอย่าง ปัจจุบันคุณมีที่อยู่ 10 ไร่ มีอยู่ราคาที่สูงขึ้นจาก 1 ล้านบาท เป็น 2 ล้านบาท วันดีคืนดี คนข้าง ๆ ขายที่ไปในราคา 1.5 ล้านบาท เค้าได้เงินไป เราต้องเศร้าใจหรือไม่? ลองคิดดี ๆ
ถ้าวิเคราะห์ 3 มุมด้านบนเสร็จแล้ว ผมอยากให้อีกมุมนึง เป็นมุมที่ 4
ถ้าขายหุ้นไปแล้วคุณจะกลับมาซื้อมันอีกทีหรือไม่? คนส่วนใหญ่บอกใช่ครับผมจะกลับมาซื้อมัน คำถามต่อมา คุณจะซื้อมันราคาไหน
1. ราคาที่ถูกกว่าที่คุณขายไป - ไม่มีทางเพราะมันจะลงต่ำกว่านั้นคุณจะกลัว และหากซวยซ้ำซ้อน มันลงอีก คุณต้องขายมันอีกครั้ง
2. ราคาที่คุณขายไป - เดี๋ยวมันเด้งลงอีกหน คุณจะตามไปขายมันอีก พร้อมกับสบถ มารดามันเอ๊ย ไม่น่าซื้อคืนกลับมาเลย
3. ราคาที่สูงกว่าที่คุณขายไป - ชิหายละ มันขึ้นสวน เอาไงดี ขาดทุนส่วนต่าง จำนวนหุ้นหายไป เอาไงดี
4. เปลี่ยนไปซื้อตัวอื่น - นี่ยิ่งหายนะ
5. ไปซื้อตัวที่ลงมากกว่า - นรก มีจริงแน่นอน
เพื่อนเอ๋ย บทสรุปแห่งการลงทุนของผมนะวันนี้ มีแน่นอน มันสรุปเป็นคำพูดสั้น ๆ แค่ประโยคเดียว สำหรับนักลงทุนอย่างผม
ประโยคเดียวของการลงทุนคือ
"ตลาดหุ้นไม่มีอยู่จริง"
และก็คิดถึงวาจาอมตะของท่านว่า
"เวลาที่ดีที่สุดของการซื้อหุ้นคือเวลาที่เลือดนองพื้น" แต่ท่านเซอร์ท่านลงรายละเอียดมากขึ้นว่า
"แม้ว่าเลือดนั้นเป็นเลือดของตัวเราเอง"
อืมม์ หลายครั้งหลายหน สิ่งที่ผมจะพยายามทำอย่างมากคือหนีจากหมี แล้วหลายหนก็โอเคหนีได้
แต่ครั้งนี้กะว่าไม่เอาละ คิดหลายอย่างไม่ใช่ไม่พยายาม ก็สังหรณ์ใจ แต่ไม่เอาละ ไม่หนีละ ดูมัน คือดูใจเราด้วยหล่ะ
ผลลัพธ์ จนถึงวันนี้ "เละ" 555 สมใจอยากมั๊ยล่ะ
น้องหลายคนนี่หัวเราะใส่เลย ผมบอกแล้วพี่ไปไม่รอดหรอกน่า ฮ่าฮ่าฮ่า ก็เล่นหุ้นในก๊วนเดียวกันน่ะแหละ
เป็นวีไอสมใจอยากมั๊ยหล่ะ
หมดเบนซ์ไปกี่คันล่ะพี่ ฮ่าฮ่าฮ่า
เจ็บ พวกเอ็งน๊า พี่ไม่อาฆาต แต่จำนาน
ไม่มีอะไร แค่รู้สึกดีสำหรับวันนี้สำหรับตัวเอง เพราะคิดว่าแม้สักครั้งในชีวิตถ้าไม่ลงมือทำหรือไม่ลองทำดู การถือหุ้น 100% ผ่านวิกฤต
ซึ่งจะผ่านมั๊ย ไม่รู้ ก็คงเป็นเรื่องที่ฟังแล้ว ทฤษฎีอย่างมาก ที่สำคัญ ถ้าเราขายหุ้นออกไปก่อนแล้วหุ้นลง แน่นอน ร้อยละร้อยเราคงรู้สึกดี แต่
แต่ผมมีเหตุผลบางประการที่ผมจะไม่ทำแบบนั้น ดังนี้
1. ตลาดทำถูกต้องจริงหรือไม่? ในทางสถิติแล้วเราเดาทางตลาดไม่ได้การคาดการณ์ตลาดเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ ไม่มีสูตรวิเศษ เพราะถ้ามีจะมีคนรู้ยิ่งในยุคดิจิตอลแบบนี้
ถ้ามีใครทำได้ จะทำได้กันหมด และตลาดหุ้นจะไม่มีอีกต่อไป
2. หุ้นของเราได้รับผลกระทบจริงหรือไม่? พิจารณาให้ครบถ้วนแล้ววิเคราะห์จริง ๆ ว่า ธุรกิจของเรานั้นได้รับผลกระทบจากหุ้นตกจริง ๆ หรือไม่
ถ้าเรารู้จักธุรกิจเราดี เราน่าจะวิเคราะห์มุมนี้ออก นั่นหมายถึง เราน่าจะ "ถูก" มากกว่า "ผิด"
3. เราจนลงจริงหรือไม่? อยากวิเคราะห์ให้ดี ๆ ยกตัวอย่าง ปัจจุบันคุณมีที่อยู่ 10 ไร่ มีอยู่ราคาที่สูงขึ้นจาก 1 ล้านบาท เป็น 2 ล้านบาท วันดีคืนดี คนข้าง ๆ ขายที่ไปในราคา 1.5 ล้านบาท เค้าได้เงินไป เราต้องเศร้าใจหรือไม่? ลองคิดดี ๆ
ถ้าวิเคราะห์ 3 มุมด้านบนเสร็จแล้ว ผมอยากให้อีกมุมนึง เป็นมุมที่ 4
ถ้าขายหุ้นไปแล้วคุณจะกลับมาซื้อมันอีกทีหรือไม่? คนส่วนใหญ่บอกใช่ครับผมจะกลับมาซื้อมัน คำถามต่อมา คุณจะซื้อมันราคาไหน
1. ราคาที่ถูกกว่าที่คุณขายไป - ไม่มีทางเพราะมันจะลงต่ำกว่านั้นคุณจะกลัว และหากซวยซ้ำซ้อน มันลงอีก คุณต้องขายมันอีกครั้ง
2. ราคาที่คุณขายไป - เดี๋ยวมันเด้งลงอีกหน คุณจะตามไปขายมันอีก พร้อมกับสบถ มารดามันเอ๊ย ไม่น่าซื้อคืนกลับมาเลย
3. ราคาที่สูงกว่าที่คุณขายไป - ชิหายละ มันขึ้นสวน เอาไงดี ขาดทุนส่วนต่าง จำนวนหุ้นหายไป เอาไงดี
4. เปลี่ยนไปซื้อตัวอื่น - นี่ยิ่งหายนะ
5. ไปซื้อตัวที่ลงมากกว่า - นรก มีจริงแน่นอน
เพื่อนเอ๋ย บทสรุปแห่งการลงทุนของผมนะวันนี้ มีแน่นอน มันสรุปเป็นคำพูดสั้น ๆ แค่ประโยคเดียว สำหรับนักลงทุนอย่างผม
ประโยคเดียวของการลงทุนคือ
"ตลาดหุ้นไม่มีอยู่จริง"
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4366
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ตลาดหุ้นไม่มีอยู่จริง !
โพสต์ที่ 4
การทดสอบจิตใจโดยการถือหุ้นผ่านการปรับฐานใหญ่ (ระดับ 20% +/-) โดยที่เราพิจารณารอบคอบแล้วว่าพื้นฐานไม่เปลี่ยน เป็นประสบการณ์ที่ถ้าไม่เจอด้วยตนเองจะไม่มีวันเข้าใจได้ครับ
แต่ผมเชื่อว่าจะได้ประโยชน์มากเลย ในช่วงเวลานั้น ส่วนใหญ่เป็นการสู้กับจิตใจของตัวเอง
ป.ล. ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ อย่าไปทดลองกับตลาดขาลงที่เป็นระดับวิกฤตหลังฟองสบู่นะครับ อันนั้นถ้าโชคไม่ดีด้วย อาจไม่ได้กลับมาคุยกันอีก
แต่ผมเชื่อว่าจะได้ประโยชน์มากเลย ในช่วงเวลานั้น ส่วนใหญ่เป็นการสู้กับจิตใจของตัวเอง
ป.ล. ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ อย่าไปทดลองกับตลาดขาลงที่เป็นระดับวิกฤตหลังฟองสบู่นะครับ อันนั้นถ้าโชคไม่ดีด้วย อาจไม่ได้กลับมาคุยกันอีก
-
- Verified User
- โพสต์: 16
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ตลาดหุ้นไม่มีอยู่จริง !
โพสต์ที่ 5
ขอบคุณพี่NB มากครับ
จงเตือนตนไม่ให้หลงไปกับตลาดกระทิง และ มีสติกับตลาดหมี
- picatos
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3352
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ตลาดหุ้นไม่มีอยู่จริง !
โพสต์ที่ 7
ผมว่ากลยุทธ์ลงทุน 100% ผ่านวิกฤตนี่มีหลายกลยุทธ์มากเลยนะ ผมก็เป็นคนนึงที่ลงทุนในระดับ 100% มาตลอด
อย่างช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ผมรู้สึกว่า Valuation หุ้นรวมๆ แพงมาก ก็ลองไปดูต่างประเทศ ก็เป็นโอกาสในการ Switch ไปลงทุนต่างประเทศ
แต่ก็อย่างว่าจะไปต่างประเทศหมดเลย เดี๋ยวไม่มีสภาพคล่องเป็นเงินบาทใช้ เลยจำเป็นต้องลงทุนในประเทศบ้าง หุ้นในประเทศที่เรารู้สึกว่ามันแพง เราก็จะเลือกกลยุทธ์การลงทุน โดยเน้นเงินปันผล เหตุการณ์พิเศษ M&A และอาจจะมีการเก็งกำไรเล่นๆ สนุกๆ เล็กๆ น้อยๆ เพราะ ตลาดช่วงที่ผ่านมาเป็นตลาดเก็งกำไร
เวลาถึงวิกฤตหุ้นตกหนักๆ มูลค่าเชิงเปรียบเทียบของหุ้นแต่ละตัวจะเปลี่ยนแปลงไป Risk/Reward Profile ของทั้งพอร์ตเราก็จะเปลี่ยนไป โอกาสในการ Switch ไปหุ้นที่ Valuation ที่ถูกกว่าก็มีมาก
จริงๆ ถ้าเรา Focus ไปที่ Action ไปที่การศึกษา ราคาหุ้นมันเป็นแค่ตัวเลขที่สะท้อนความเสี่ยงกับผลตอบแทนเองนะ เวลาหุ้นขึ้น หุ้นลง ถ้าเราถอยออกมามองอีกมุม ไม่ใช่ว่าเราขาดทุน เรากำไรหายไปเท่าไหร่ แต่หันมามองว่า สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ Risk/Reward เราเปลี่ยนไปอย่างไร มันจะมีงานอีกเยอะมากที่เราสามารถเอาเวลาไปใช้กับมัน เพื่อปรับพอร์ตของเราให้มีคุณภาพที่ดีขึ้น
แต่โดยส่วนตัว ผมรู้สึกว่าหุ้นไทยตอนนี้ลงมาจนอยู่ในระดับที่เริ่มน่าสนใจที่จะ Switch เงินบางส่วนกลับมา แต่ก็ยังไม่มีแรงขับมากพอ เพราะ Growth Driver ในไทย ที่สู้กับต่างประเทศไม่ได้เลย คงต้องรอดูต่อไปว่าจะมีโอกาสดีๆ เกิดขึ้นมากกว่านี้ไหมในอนาคต
อย่างช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ผมรู้สึกว่า Valuation หุ้นรวมๆ แพงมาก ก็ลองไปดูต่างประเทศ ก็เป็นโอกาสในการ Switch ไปลงทุนต่างประเทศ
แต่ก็อย่างว่าจะไปต่างประเทศหมดเลย เดี๋ยวไม่มีสภาพคล่องเป็นเงินบาทใช้ เลยจำเป็นต้องลงทุนในประเทศบ้าง หุ้นในประเทศที่เรารู้สึกว่ามันแพง เราก็จะเลือกกลยุทธ์การลงทุน โดยเน้นเงินปันผล เหตุการณ์พิเศษ M&A และอาจจะมีการเก็งกำไรเล่นๆ สนุกๆ เล็กๆ น้อยๆ เพราะ ตลาดช่วงที่ผ่านมาเป็นตลาดเก็งกำไร
เวลาถึงวิกฤตหุ้นตกหนักๆ มูลค่าเชิงเปรียบเทียบของหุ้นแต่ละตัวจะเปลี่ยนแปลงไป Risk/Reward Profile ของทั้งพอร์ตเราก็จะเปลี่ยนไป โอกาสในการ Switch ไปหุ้นที่ Valuation ที่ถูกกว่าก็มีมาก
จริงๆ ถ้าเรา Focus ไปที่ Action ไปที่การศึกษา ราคาหุ้นมันเป็นแค่ตัวเลขที่สะท้อนความเสี่ยงกับผลตอบแทนเองนะ เวลาหุ้นขึ้น หุ้นลง ถ้าเราถอยออกมามองอีกมุม ไม่ใช่ว่าเราขาดทุน เรากำไรหายไปเท่าไหร่ แต่หันมามองว่า สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ Risk/Reward เราเปลี่ยนไปอย่างไร มันจะมีงานอีกเยอะมากที่เราสามารถเอาเวลาไปใช้กับมัน เพื่อปรับพอร์ตของเราให้มีคุณภาพที่ดีขึ้น
แต่โดยส่วนตัว ผมรู้สึกว่าหุ้นไทยตอนนี้ลงมาจนอยู่ในระดับที่เริ่มน่าสนใจที่จะ Switch เงินบางส่วนกลับมา แต่ก็ยังไม่มีแรงขับมากพอ เพราะ Growth Driver ในไทย ที่สู้กับต่างประเทศไม่ได้เลย คงต้องรอดูต่อไปว่าจะมีโอกาสดีๆ เกิดขึ้นมากกว่านี้ไหมในอนาคต
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
- picatos
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3352
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ตลาดหุ้นไม่มีอยู่จริง !
โพสต์ที่ 8
แต่ที่เปิดเข้ามาตอบกระทู้นี้ เพราะ เห็นด้วยครับว่า ตลาดหุ้นไม่มีอยู่จริง เป็นปัจจัยปรุงแต่ง ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป บังคับบัญชาไม่ได้
คนที่ไม่ได้เล่นหุ้น ชนเผ่าที่ห่างไกลตัวเมือง ชาวเขา ชาวดอย สำหรับเขาแล้ว ตลาดหุ้นจะไม่มีอยู่จริงเลยในโลกของเขา
โลกเป็นเพียงแค่การรับรู้ของเราที่มีต่อสิ่งๆ หนึ่ง
แต่เราเห็นว่ามันมีอยู่ เพราะ รับรู้มันเข้ามาในโลกของเรา และเรารู้สึกว่ามันจริงมาก เพราะ เราไปยึดมั่น อยากจะให้มันเป็นอย่างที่เราคาดหวัง ที่ๆ ทั้งความเป็นจริงแล้ว เราคาดหวัง บังคับบัญชาอะไรมันไม่ได้
แค่เราเปลี่ยนการรับรู้ที่มีต่อตลาดหุ้น หันไป Focus สิ่งอื่นมากๆ ความมีอยู่ของตลาดหุ้นก็หายไปแล้ว
ดังนั้น กำไร/ขาดทุน ก็ไม่มีอยู่จริง อย่างไปซีเรียส จริงจังอะไรกับมันมากนักเลย พยายามหมั่นรักษาใจของเราให้มีความสุข ให้ปราศจากทุกข์ที่เกิดจากตลาดเลย
เมื่อไหร่ที่ทุกข์ เพราะ โลกเสมือนอันนี้ ก็คิดว่ามันเป็นแค่เกมส์ๆ หนึ่ง ที่เล่นจบแล้วก็จบไป อยากจะพักหยุดเล่นก็พักหยุดเล่น ความเป็นจริงอื่นๆ คนที่เรารัก งานที่เราทำ ชีวิตในส่วนอื่นของเรายังมีให้เราสนใจ และมีความสุขได้อีกมาก
เพราะ มันไม่มีอยู่จริง เราจึงไม่ควรที่จะยึดมั่นถือมั่นในความมีอยู่ของมัน
เพราะ มันไม่มีอยู่จริง เราจึงไม่ควรที่จะปล่อยให้มันเป็นเหตุแห่งทุกข์ของเรา
คนที่ไม่ได้เล่นหุ้น ชนเผ่าที่ห่างไกลตัวเมือง ชาวเขา ชาวดอย สำหรับเขาแล้ว ตลาดหุ้นจะไม่มีอยู่จริงเลยในโลกของเขา
โลกเป็นเพียงแค่การรับรู้ของเราที่มีต่อสิ่งๆ หนึ่ง
แต่เราเห็นว่ามันมีอยู่ เพราะ รับรู้มันเข้ามาในโลกของเรา และเรารู้สึกว่ามันจริงมาก เพราะ เราไปยึดมั่น อยากจะให้มันเป็นอย่างที่เราคาดหวัง ที่ๆ ทั้งความเป็นจริงแล้ว เราคาดหวัง บังคับบัญชาอะไรมันไม่ได้
แค่เราเปลี่ยนการรับรู้ที่มีต่อตลาดหุ้น หันไป Focus สิ่งอื่นมากๆ ความมีอยู่ของตลาดหุ้นก็หายไปแล้ว
ดังนั้น กำไร/ขาดทุน ก็ไม่มีอยู่จริง อย่างไปซีเรียส จริงจังอะไรกับมันมากนักเลย พยายามหมั่นรักษาใจของเราให้มีความสุข ให้ปราศจากทุกข์ที่เกิดจากตลาดเลย
เมื่อไหร่ที่ทุกข์ เพราะ โลกเสมือนอันนี้ ก็คิดว่ามันเป็นแค่เกมส์ๆ หนึ่ง ที่เล่นจบแล้วก็จบไป อยากจะพักหยุดเล่นก็พักหยุดเล่น ความเป็นจริงอื่นๆ คนที่เรารัก งานที่เราทำ ชีวิตในส่วนอื่นของเรายังมีให้เราสนใจ และมีความสุขได้อีกมาก
เพราะ มันไม่มีอยู่จริง เราจึงไม่ควรที่จะยึดมั่นถือมั่นในความมีอยู่ของมัน
เพราะ มันไม่มีอยู่จริง เราจึงไม่ควรที่จะปล่อยให้มันเป็นเหตุแห่งทุกข์ของเรา
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
- kongkiti
- Verified User
- โพสต์: 5830
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ตลาดหุ้นไม่มีอยู่จริง !
โพสต์ที่ 9
ชาบู พี่ NB
หนังสือ passport ผมก็ยังอ่านไม่จบเหมือนกันเลยครับ
น่าจะค้างแถวๆ ประเทศอาร์เจนติน่า
หนังสือ passport ผมก็ยังอ่านไม่จบเหมือนกันเลยครับ
น่าจะค้างแถวๆ ประเทศอาร์เจนติน่า
“Its like a finger pointing away to the moon. Don't concentrate on the finger
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee
FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee
FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1123
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ตลาดหุ้นไม่มีอยู่จริง !
โพสต์ที่ 10
ขอแสดงความเห็นนะครับ
ถ้าตลาดหุ้นไม่มีอยู่จริง แสดงว่าผลตอบแทนของนักลงทุน คือ เงินปันผล+มูลค่าสุดท้ายตอนขายกิจการต่อให้คนอื่น
ในแง่เงินปันผลตอนนี้ set dividend อยู่ที่ 3 เปอร์เซนต์ และเท่าที่ผมดูๆยังหาบริษัทที่ปันผลเกินแถวๆ 5 เปอร์เซนต์ไม่เจอ
แสดงว่าผลตอบแทนระยะยาวจริงๆของนักลงทุน หากหวังให้เยอะๆเกินสัก 15 เปอร์เซนต์ต่อปี ด้วยเงินปันผลระดับนี้ ต้องหวังให้ราคาสุดท้ายตอนขายกิจการทิ้งต้องมีราคาสูงกว่าราคาที่ซื้อมากพอดู
ถ้าดูแค่ปันผล พันธบัตรรัฐบาลก็ให้ปันผลอยู่ที่ 3 เปอร์เซนต์ แต่ความเสี่ยงต่ำกว่าเยอะ
ถ้าตลาดหุ้นไม่มีอยู่จริง แสดงว่าผลตอบแทนของนักลงทุน คือ เงินปันผล+มูลค่าสุดท้ายตอนขายกิจการต่อให้คนอื่น
ในแง่เงินปันผลตอนนี้ set dividend อยู่ที่ 3 เปอร์เซนต์ และเท่าที่ผมดูๆยังหาบริษัทที่ปันผลเกินแถวๆ 5 เปอร์เซนต์ไม่เจอ
แสดงว่าผลตอบแทนระยะยาวจริงๆของนักลงทุน หากหวังให้เยอะๆเกินสัก 15 เปอร์เซนต์ต่อปี ด้วยเงินปันผลระดับนี้ ต้องหวังให้ราคาสุดท้ายตอนขายกิจการทิ้งต้องมีราคาสูงกว่าราคาที่ซื้อมากพอดู
ถ้าดูแค่ปันผล พันธบัตรรัฐบาลก็ให้ปันผลอยู่ที่ 3 เปอร์เซนต์ แต่ความเสี่ยงต่ำกว่าเยอะ
ความยากจนในจิตใจ คือความยากจนที่แท้จริง
-
- Verified User
- โพสต์: 334
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ตลาดหุ้นไม่มีอยู่จริง !
โพสต์ที่ 11
ผมว่ามองที่ dividend อย่างเดียวว่าอยู่ที่ 3% หรือ 5% คงไม่ถูกต้องซะที่เดียวนะครับ เพราะจะมีกำไร
ทั้งหมดของบริษัท บางส่วนที่เก็บไว้ reinvestment อีก อันนี้คงสะท้อนมาที่ p/e ของบริษัท รวมทั้ง
Growth ของบริษัทด้วยที่เราควรจะพิจารณา. จึงควรจะพิจารณาเป็นรายบริษัทไปครับ
ตอนนี้ตลาดก็เหมือนหญิงสาวที่อารมณ์แปรปรวน. มันก็เหวี่ยงไปมา พอสงบหรือตั้งสติได้. ราคาก็จะอยู่
ตามสิ่งที่มันควรจะเป็นเอง
ทั้งหมดของบริษัท บางส่วนที่เก็บไว้ reinvestment อีก อันนี้คงสะท้อนมาที่ p/e ของบริษัท รวมทั้ง
Growth ของบริษัทด้วยที่เราควรจะพิจารณา. จึงควรจะพิจารณาเป็นรายบริษัทไปครับ
ตอนนี้ตลาดก็เหมือนหญิงสาวที่อารมณ์แปรปรวน. มันก็เหวี่ยงไปมา พอสงบหรือตั้งสติได้. ราคาก็จะอยู่
ตามสิ่งที่มันควรจะเป็นเอง
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 411
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ตลาดหุ้นไม่มีอยู่จริง !
โพสต์ที่ 12
โง่ๆแบบผมอ่านแล้วไม่เข้าใจ "ตลาดหุ้นไม่มีอยู่จริง !"
ผมเห็นมันก็ยังอยู่ที่อาคารสินธร ไม่ไปไหน
ถ้าเราคาดเดาอนาคตระยะสั้นดัชนีได้จริงด้วยวิธีใดก็ตาม
แล้วซื้อขายตามจังหวะ จะทํากําไรได้มากกว่าถือหุ้นระยะยาวไม่ซื้อขายมากมาย
ผมเคยพยายามกระโดดเข้าออกตามดัชนีหลายครั้ง
ปรากฏว่าผิดเกือบทุกครั้งและผลตอบแทนก็หายนะมาก
จนได้บทเรียนสําคัญในชีวิตคือ"มีแต่คนโง่เท่านั้นที่เชื่อว่าตัวเองคาดเดาดัชนีตลาดได้ถูกต้องแม่นยํา"
และผมเลิกคาดเดาตลาดมาหลายปีแล้ว
คนที่รู้ว่าผมเล่นหุ้นก็ชอบมาถามตลอดว่า หุ้นตกเยอะซื้อได้ยัง
พอบอกว่าไม่รู้ ถ้ารู้ไปเล่นหวยหรือเป็นหมอดูแล้วไม่มาเล่นหุ้น
บางคนยังทําหน้าไม่พอใจว่าเรื่องแค่นี้รู้แล้วก็ไม่บอก ไม่ช่วยเพื่อนบ้างเลย ไร้นํ้าใจ
ส่วนเรื่องถือหุ้น100%หรือถือเงินสดบ้าง
ผมว่าเป็นเรื่องที่เถียงกันได้อีกเยอะ
ถ้าภาวะตลาดกระทิงถือเงินสดจะเสียโอกาสทั้งปันผลและกําไรส่วนต่างราคา
ตลาดsidewayถือหุ้นก็ยังได้ปันผล ถ้าตลาดหมีเงินสดอาจให้ผลตอบแทนดีกว่า
แต่ถ้ามีเงินสด เจอจังหวะหุ้นตีแตกก็อาจได้กําไรมากมายชดเชย
ผมเคยแปลกใจที่Buffettบอกว่าถือเงินสดอย่างน้อย2หมื่นล้านเหรียญตลอดเวลา
เก็บเอาไว้หาจังหวะยิงช้าง
ระยะหลังผมเริ่มเห็นด้วยว่าถือเงินสดไว้สัก5-10%น่าจะเป็นกลยุทธที่ดี
ว่าแต่หุ้นตกรอบนี้รถe-classหายไป3คัน ยังดีหน่อยสองวันนี้หุ้นขึ้นเลยกลายเป็นc-class
คนที่เป็นวีไอมานานผมว่าทุกคนเจอแบบนี้มาคนละหลายรอบ
แต่ถ้าแนวคิดวิธีการเราถูกต้อง ในที่สุดพอร์ทจะกลับมาใหญ่กว่าเดิมทุกครั้ง
วีไอพันธ์แท้ไม่กลัวหุ้นตกเห็นเป็นเพื่อนเป็นโอกาสด้วยซํ้า
กลัวอย่างเดียวคือถูกเมียด่าที่เงินหายไปหลายล้าน
ผมเห็นมันก็ยังอยู่ที่อาคารสินธร ไม่ไปไหน
ถ้าเราคาดเดาอนาคตระยะสั้นดัชนีได้จริงด้วยวิธีใดก็ตาม
แล้วซื้อขายตามจังหวะ จะทํากําไรได้มากกว่าถือหุ้นระยะยาวไม่ซื้อขายมากมาย
ผมเคยพยายามกระโดดเข้าออกตามดัชนีหลายครั้ง
ปรากฏว่าผิดเกือบทุกครั้งและผลตอบแทนก็หายนะมาก
จนได้บทเรียนสําคัญในชีวิตคือ"มีแต่คนโง่เท่านั้นที่เชื่อว่าตัวเองคาดเดาดัชนีตลาดได้ถูกต้องแม่นยํา"
และผมเลิกคาดเดาตลาดมาหลายปีแล้ว
คนที่รู้ว่าผมเล่นหุ้นก็ชอบมาถามตลอดว่า หุ้นตกเยอะซื้อได้ยัง
พอบอกว่าไม่รู้ ถ้ารู้ไปเล่นหวยหรือเป็นหมอดูแล้วไม่มาเล่นหุ้น
บางคนยังทําหน้าไม่พอใจว่าเรื่องแค่นี้รู้แล้วก็ไม่บอก ไม่ช่วยเพื่อนบ้างเลย ไร้นํ้าใจ
ส่วนเรื่องถือหุ้น100%หรือถือเงินสดบ้าง
ผมว่าเป็นเรื่องที่เถียงกันได้อีกเยอะ
ถ้าภาวะตลาดกระทิงถือเงินสดจะเสียโอกาสทั้งปันผลและกําไรส่วนต่างราคา
ตลาดsidewayถือหุ้นก็ยังได้ปันผล ถ้าตลาดหมีเงินสดอาจให้ผลตอบแทนดีกว่า
แต่ถ้ามีเงินสด เจอจังหวะหุ้นตีแตกก็อาจได้กําไรมากมายชดเชย
ผมเคยแปลกใจที่Buffettบอกว่าถือเงินสดอย่างน้อย2หมื่นล้านเหรียญตลอดเวลา
เก็บเอาไว้หาจังหวะยิงช้าง
ระยะหลังผมเริ่มเห็นด้วยว่าถือเงินสดไว้สัก5-10%น่าจะเป็นกลยุทธที่ดี
ว่าแต่หุ้นตกรอบนี้รถe-classหายไป3คัน ยังดีหน่อยสองวันนี้หุ้นขึ้นเลยกลายเป็นc-class
คนที่เป็นวีไอมานานผมว่าทุกคนเจอแบบนี้มาคนละหลายรอบ
แต่ถ้าแนวคิดวิธีการเราถูกต้อง ในที่สุดพอร์ทจะกลับมาใหญ่กว่าเดิมทุกครั้ง
วีไอพันธ์แท้ไม่กลัวหุ้นตกเห็นเป็นเพื่อนเป็นโอกาสด้วยซํ้า
กลัวอย่างเดียวคือถูกเมียด่าที่เงินหายไปหลายล้าน
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 279
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ตลาดหุ้นไม่มีอยู่จริง !
โพสต์ที่ 13
"ตลาดหุ้นไม่มีอยู่จริง" มันเป็นประโยคปฏิเสธ ในการคาดเดาเฉยๆมากกว่า ในความเป็น
เห็นผม ตลาดหุ้นมีอยู่จริง ด้วยเหตุแห่งปัจจัยนั้นมีอยู่ ไม่ว่าจะ คนที่มีความรู้ต่อข้อมูลต่างๆ
มีอยู่ เกิดภาวะต่อข้อสรุปในข้อมูลนั้นต่างๆกันไปจริง เกิดการกระทำที่ต่างกัน(ซื้อหรือขาย)
จริง แล้วเหตุใด ตลาดหุ้นจึงไม่มีจริง แม้แต่ vi จะปฏิเสธต่อการคาดเดาตลาด แต่ก็ไม่อาจ
พูดได้ว่า การไปมุ่งเน้นคลาดเดาธุรกิจ นั้นไม่เชื่อมโยงกับราคาในตลาดหุ้นและนำไปสู่การ
ซื้อขายจริงเช่นกัน สิ่งที่แฝงในการเคลื่อนใหวของตลาดหรืออาจเป็นปัจจัยๆหนึ่งด้วย ที่อาจ
จะเป็นมูลเหตุให้เกิด over react ก็คงหนีไม่พ้นความโลภกับความกลัว ของคนซึ่งเป็น
สัญชาติญาณทำให้ราคาหุ้นเบี่ยงเบนมากไปกว่า ทฏษฏีที่เน้นว่าว่าการเคลื่อนใหวจะเป็น
ไปตาม FCF ของตัวธุรกิจเอง vi ก็คือ กลุ่มคนที่มุ่งแสวงหาผลประโยชน์จากความโลภกับ
ความกลัวของคนไม่ใช่หรือ? โดยผ่านกระบวนการคลาดเดา(พูดดีๆก็วิเคาระห์)FCF ของตัว
ธุรกิจและในกระบวนการก็มีสัญชาติญาณของคนติดเป็นของแถม ในการสรุปผลต่อการ
คลาดเดานั้นๆ เช่น เดียวกับคนอื่นๆนั้นหละ สรุป ถนัดใคร ถนัดมัน มากกว่า
เห็นผม ตลาดหุ้นมีอยู่จริง ด้วยเหตุแห่งปัจจัยนั้นมีอยู่ ไม่ว่าจะ คนที่มีความรู้ต่อข้อมูลต่างๆ
มีอยู่ เกิดภาวะต่อข้อสรุปในข้อมูลนั้นต่างๆกันไปจริง เกิดการกระทำที่ต่างกัน(ซื้อหรือขาย)
จริง แล้วเหตุใด ตลาดหุ้นจึงไม่มีจริง แม้แต่ vi จะปฏิเสธต่อการคาดเดาตลาด แต่ก็ไม่อาจ
พูดได้ว่า การไปมุ่งเน้นคลาดเดาธุรกิจ นั้นไม่เชื่อมโยงกับราคาในตลาดหุ้นและนำไปสู่การ
ซื้อขายจริงเช่นกัน สิ่งที่แฝงในการเคลื่อนใหวของตลาดหรืออาจเป็นปัจจัยๆหนึ่งด้วย ที่อาจ
จะเป็นมูลเหตุให้เกิด over react ก็คงหนีไม่พ้นความโลภกับความกลัว ของคนซึ่งเป็น
สัญชาติญาณทำให้ราคาหุ้นเบี่ยงเบนมากไปกว่า ทฏษฏีที่เน้นว่าว่าการเคลื่อนใหวจะเป็น
ไปตาม FCF ของตัวธุรกิจเอง vi ก็คือ กลุ่มคนที่มุ่งแสวงหาผลประโยชน์จากความโลภกับ
ความกลัวของคนไม่ใช่หรือ? โดยผ่านกระบวนการคลาดเดา(พูดดีๆก็วิเคาระห์)FCF ของตัว
ธุรกิจและในกระบวนการก็มีสัญชาติญาณของคนติดเป็นของแถม ในการสรุปผลต่อการ
คลาดเดานั้นๆ เช่น เดียวกับคนอื่นๆนั้นหละ สรุป ถนัดใคร ถนัดมัน มากกว่า
Way of life is way of brain