เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
- boypeter
- Verified User
- โพสต์: 299
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 721
ขออนุโมทนากับทุกท่านที่ปฏิบัติธรรมกันอย่างจริงจัง
ถึงพริกถึงขิงกันเลย เดินทางสายนี้ไม่ง่ายนัก
ต้องประกอบด้วยหลายปัจจัยมาก บุญเก่า ความเพียร สิตปัญญา ครูบาอาจารย์เเละอื่นๆ
แต่อย่างน้อยก็ทำให้ได้รู้ว่า ไม่ได้เดินทางสายนี้โดยลำพัง
ถึงพริกถึงขิงกันเลย เดินทางสายนี้ไม่ง่ายนัก
ต้องประกอบด้วยหลายปัจจัยมาก บุญเก่า ความเพียร สิตปัญญา ครูบาอาจารย์เเละอื่นๆ
แต่อย่างน้อยก็ทำให้ได้รู้ว่า ไม่ได้เดินทางสายนี้โดยลำพัง
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1123
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 722
เห็นห้องนี้เงียบๆไปนาน วันนี้อยู่ๆก็อยากจะมาอัพเดตเส้นทางธรรมของตัวเองครับ
ก่อนหน้านี้ ผมเคยคิดออกบวชตลอดชีวิต เพื่อให้ไปถึงจุดหมายสูงสุด คือ หมดกิเลสอย่างสิ้นเชิง และวันนี้ก็ยังคงคิดเช่นนั้นอยู่
ตอนนั้น ผมเที่ยวป่าวประกาศบอกใครไปทั่ว ทั้งบอกลาเพื่อนฝูงหลายๆคน
แต่ปรากฏว่า ก่อนบวช วันที่ตัดสินใจจะไปจริงๆ ไม่รู้ทำไม จิตใจเศร้า ทุกข์ทรมาณอย่างมาก
ผงเคร่งมากช่วงนั้น กินมื้อเดียวเป็นเดือน และก่อนจะบวชก็ไปเป็นผ้าขาวที่วัดอยู่หลายวัน
พยายามตัดใจไปให้ได้อยู่หลายวัน จนวันท้ายๆที่ข่มใจจะไปจริงๆ ผมร้องไห้ออกมาอย่างมาก จิตทุกข์มากเศร้ามาก
มีอะไรติดค้าง ผมติดอะไรอยู่? ตอนนั้นผมเหมือนจะรู้ แต่ก็ยังไม่มั่นใจเท่าไร
สุดท้ายก็ยังไปไม่ได้ เลยออกมาปฏิบัติในเพศฆราวาส ลองดูไปเรื่อยๆ
หลังจากปฏิบัติธรรมมาได้ระยะหนึ่ง ในที่สุดก็แน่ใจว่า ทำไมตอนนั้นถึงยังบวชไม่ได้
จะเรียกว่า เป็นหนี้กรรม หรือเป็นหน้าที่ที่ต้องทำ ก่อนจะไป และคงเป็นแรงตั้งมั่นแห่งจิตหรือแรงอธิษฐานแต่อดีตชาติด้วย
ผมนึกถึงคำพูดของในหลวงที่ได้ตรัสแก่ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ในวันที่ต้องเกษียณว่า
"สุเมธ...งานยังไม่เสร็จ"
จนกระทั่งถึงวันนี้ ที่ท่านได้สละร่างไปแล้ว งานของท่าน ก็ยังไม่เสร็จ...
แต่จะเสร็จอย่างแน่นอนสักวันหนึ่งในอนาคต
งานของผมก็เช่นกัน
จะว่าไปแล้ว การที่เรามุ่งมั่นทำตามแรงอธิษฐาน ก็เป็นการสะสมสัจจะบารมี อธิษฐานบารมี ขันติ วิริยะบารมี ไปด้วยเช่นกัน
และมันจะเป็นพลังที่ทำให้เราหลุดพ้นไปได้ในที่สุด
ผมมั่นใจว่า งานของผม ไม่ยากขนาดนั้น ถ้าโชคดี งานสุดท้ายนี้คงเสร็จ โดยไม่จำเป็นต้องถอนคำอธิษฐานแต่อย่างใด
และท้ายที่สุดของชีวิต จะได้สานต่องานหลัก ให้เสร็จสิ้นซะในชาตินี้เสียที
เป็นกำลังใจให้กับนักรบธรรมทุกท่าน ในงานข้ามภพข้ามชาตินี้
ขอให้เจริญก้าวหน้าในธรรมยิ่งๆขึ้นไป ขอให้บรรลุความปรารถนา ขอให้ประสบความสำเร็จกับสิ่งที่หวังไว้ด้วยกันทุกๆท่านนะครับ
อนุโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยครับ
ก่อนหน้านี้ ผมเคยคิดออกบวชตลอดชีวิต เพื่อให้ไปถึงจุดหมายสูงสุด คือ หมดกิเลสอย่างสิ้นเชิง และวันนี้ก็ยังคงคิดเช่นนั้นอยู่
ตอนนั้น ผมเที่ยวป่าวประกาศบอกใครไปทั่ว ทั้งบอกลาเพื่อนฝูงหลายๆคน
แต่ปรากฏว่า ก่อนบวช วันที่ตัดสินใจจะไปจริงๆ ไม่รู้ทำไม จิตใจเศร้า ทุกข์ทรมาณอย่างมาก
ผงเคร่งมากช่วงนั้น กินมื้อเดียวเป็นเดือน และก่อนจะบวชก็ไปเป็นผ้าขาวที่วัดอยู่หลายวัน
พยายามตัดใจไปให้ได้อยู่หลายวัน จนวันท้ายๆที่ข่มใจจะไปจริงๆ ผมร้องไห้ออกมาอย่างมาก จิตทุกข์มากเศร้ามาก
มีอะไรติดค้าง ผมติดอะไรอยู่? ตอนนั้นผมเหมือนจะรู้ แต่ก็ยังไม่มั่นใจเท่าไร
สุดท้ายก็ยังไปไม่ได้ เลยออกมาปฏิบัติในเพศฆราวาส ลองดูไปเรื่อยๆ
หลังจากปฏิบัติธรรมมาได้ระยะหนึ่ง ในที่สุดก็แน่ใจว่า ทำไมตอนนั้นถึงยังบวชไม่ได้
จะเรียกว่า เป็นหนี้กรรม หรือเป็นหน้าที่ที่ต้องทำ ก่อนจะไป และคงเป็นแรงตั้งมั่นแห่งจิตหรือแรงอธิษฐานแต่อดีตชาติด้วย
ผมนึกถึงคำพูดของในหลวงที่ได้ตรัสแก่ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ในวันที่ต้องเกษียณว่า
"สุเมธ...งานยังไม่เสร็จ"
จนกระทั่งถึงวันนี้ ที่ท่านได้สละร่างไปแล้ว งานของท่าน ก็ยังไม่เสร็จ...
แต่จะเสร็จอย่างแน่นอนสักวันหนึ่งในอนาคต
งานของผมก็เช่นกัน
จะว่าไปแล้ว การที่เรามุ่งมั่นทำตามแรงอธิษฐาน ก็เป็นการสะสมสัจจะบารมี อธิษฐานบารมี ขันติ วิริยะบารมี ไปด้วยเช่นกัน
และมันจะเป็นพลังที่ทำให้เราหลุดพ้นไปได้ในที่สุด
ผมมั่นใจว่า งานของผม ไม่ยากขนาดนั้น ถ้าโชคดี งานสุดท้ายนี้คงเสร็จ โดยไม่จำเป็นต้องถอนคำอธิษฐานแต่อย่างใด
และท้ายที่สุดของชีวิต จะได้สานต่องานหลัก ให้เสร็จสิ้นซะในชาตินี้เสียที
เป็นกำลังใจให้กับนักรบธรรมทุกท่าน ในงานข้ามภพข้ามชาตินี้
ขอให้เจริญก้าวหน้าในธรรมยิ่งๆขึ้นไป ขอให้บรรลุความปรารถนา ขอให้ประสบความสำเร็จกับสิ่งที่หวังไว้ด้วยกันทุกๆท่านนะครับ
อนุโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยครับ
ความยากจนในจิตใจ คือความยากจนที่แท้จริง
- picatos
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3352
- ผู้ติดตาม: 1
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 723
ผมก็ไปตั้งจิต ผูกใจเอาไว้เหมือนกัน ชาตินี้โอกาสได้บวชคงจะน้อยมาก ถ้าได้บวชก็คงจะเป็นช่วงท้ายๆ ของชีวิต เพราะ ได้ทำเสร็จกิจแล้ว
และตั้งใจเอาไว้ว่าก่อนตาย จะไม่ผูกจิตอะไรเอาไว้อีกแล้ว ขอเป็นอิสระทั้งที
แต่เอาจริงๆ ผมว่าเป็นฆราวาสเราก็ยังมีเส้นทางในการพัฒนาจิตได้มากระดับหนึ่ง เราก็มาพยายามด้วยกันครับ อย่างไปถึงสุดทางของฆราวาสที่เป็นอนาคามีแล้ว ในอนาคามีด้วยกันเอง ก็ยังแบ่งระดับแยกย่อยเป็นอีกหลายชั้น หลายลักษณะ ซึ่งก็ต้องพัฒนากันต่อไปอีก กว่าจะสิ้นกิเลสจริงๆ
และตั้งใจเอาไว้ว่าก่อนตาย จะไม่ผูกจิตอะไรเอาไว้อีกแล้ว ขอเป็นอิสระทั้งที
แต่เอาจริงๆ ผมว่าเป็นฆราวาสเราก็ยังมีเส้นทางในการพัฒนาจิตได้มากระดับหนึ่ง เราก็มาพยายามด้วยกันครับ อย่างไปถึงสุดทางของฆราวาสที่เป็นอนาคามีแล้ว ในอนาคามีด้วยกันเอง ก็ยังแบ่งระดับแยกย่อยเป็นอีกหลายชั้น หลายลักษณะ ซึ่งก็ต้องพัฒนากันต่อไปอีก กว่าจะสิ้นกิเลสจริงๆ
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1123
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 724
ครับผม มาพยายามด้วยกันนะครับ ไม่มีงานใดยากยิ่งไปกว่าการพยายามให้ได้ซึ่ง อิสรภาพทางใจ อย่างที่พี่เคยพูดถึง ^^ อุปสรรคมากมายที่ผ่านมาแล้ว อุปสรรคอีกมากมายที่รอเราอยู่ และเจออยู่ทุกวันๆ แต่มันจะผ่านไปได้แน่ๆ ผมเชื่อเช่นนั้น ทั้งผม ทั้งพี่ และทุกๆคนในห้องนี้ เป็นกำลังใจให้ทุกๆคนครับpicatos เขียน:ผมก็ไปตั้งจิต ผูกใจเอาไว้เหมือนกัน ชาตินี้โอกาสได้บวชคงจะน้อยมาก ถ้าได้บวชก็คงจะเป็นช่วงท้ายๆ ของชีวิต เพราะ ได้ทำเสร็จกิจแล้ว
และตั้งใจเอาไว้ว่าก่อนตาย จะไม่ผูกจิตอะไรเอาไว้อีกแล้ว ขอเป็นอิสระทั้งที
แต่เอาจริงๆ ผมว่าเป็นฆราวาสเราก็ยังมีเส้นทางในการพัฒนาจิตได้มากระดับหนึ่ง เราก็มาพยายามด้วยกันครับ อย่างไปถึงสุดทางของฆราวาสที่เป็นอนาคามีแล้ว ในอนาคามีด้วยกันเอง ก็ยังแบ่งระดับแยกย่อยเป็นอีกหลายชั้น หลายลักษณะ ซึ่งก็ต้องพัฒนากันต่อไปอีก กว่าจะสิ้นกิเลสจริงๆ
ความยากจนในจิตใจ คือความยากจนที่แท้จริง
- tum_H
- Verified User
- โพสต์: 1857
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 725
วันนี้ผมครบ 1 เดือนที่ลาออกจากงานมาพอดีเลยครับ
ผมคิดว่าทุกคนจะเจออาการอย่างที่คุณ sakkaphan เจอครับ ใครที่ได้มาลงมือปฏิบัติจริงๆจะรู้ว่าไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางไม่สำเร็จ โดยส่วนตัวแล้วผมมีความคิดคล้ายๆพี่ picatos คงเป็นเพราะบุญวาสนาที่ทำมา เลยทำให้อยากปฏิบัติภาวนาในเพศของฆราวาสมากกว่า แต่อย่างที่เราทราบกัน อริยมรรคอริยผล ไม่มีข้อจำกัดว่าจะต้องบวชหรือไม่บวชถึงจะสำเร็จได้ แต่อยู่ที่ความแน่วแน่ของจิตและความเพียรของแต่ละบุคคล
บางครั้งเสียงอึกทึกครึกโครม นั่งเล่นนั่งฟังอยู่จิตก็นิ่ง เบาสบาย แต่บางครั้งนั่งสมาธิ ฟังธรรม ตั้งใจให้จิตเบา ก็กลายเป็นจิตฟุ้งซะงั้น เมื่อก่อนอาการปรามาสของผมหนักมาก แต่พอว่างงาน จะเดิน ยืน นั่ง นอน ช่วงที่สามารถระลึกรู้อยู่ จะภาวนา พุทโธ ให้ตลอด ปรากฏว่า จิตสงบดีขึ้นกว่าเดิม เหตุคือพอว่างจากภาระ อารมณ์เลยเบา บางทีก็เกิดคิดในจิตว่า สุขหนอ สุขหนอ สุขหนอ เพราะเมื่อภาระทางโลกเบาลง มันเลยเกิด สุขหนอ สุขหนอ จริงๆครับ
กิเลสแต่ล่ะตัวเมื่อเกิดขึ้น จะมีเครื่องแก้ตามมา ขึ้นอยู่กับนิสัยวาสนาของแต่ล่ะคน ว่าจะได้เครื่องแก้รูปแบบไหน อย่างของผมหนักทางราคะจริต ตอนนี้ได้เครื่องแก้ก็คลายลง หลังจากนั้นโมหะจริตก็ตามมา พอเกิดเครื่องแก้ก็ตามมา ก็เบาลง พอผ่าน 2 ตัวนี้ กลับย้อนมาเกิด สักกายะทิฐิ เกิดขึ้นซะงั้น แต่เครื่องแก้คือปัญญา ก็จะเกิดความรู้ตามมา ให้พิจารณาถึงวิธีการและแนวทางในการแก้ไข
ครูอาจารย์ส่วนใหญ่เมื่อตอนแรกๆก็จะเป็นเหมือนๆกับเราครับ บางท่านใช้เวลาหลายปีมาก สำคัญสุดคือไม่ท้อ ต้องค่อยๆทำความเพียรไป รู้จักหลบ รู้จักผ่อนหนักผ่อนเบาไป ผมเชื่อว่าทุกคนจะเกิดอาการท้อ แต่เมื่อท้อแล้ว สิ่งที่สะสมมา คือ ผู้ที่ได้เคยเห็นทุกอริยสัจ ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ จะเกิดมานะ แล้วกลับมาเร่งความเพียรใหม่ ปัญญาความรู้จะเกิดขึ้นตามมา แม้จะยังวนซ้ำไปมา แต่ในที่สุดจะหลุดพ้นไปได้ครับ
ผมคิดว่าทุกคนจะเจออาการอย่างที่คุณ sakkaphan เจอครับ ใครที่ได้มาลงมือปฏิบัติจริงๆจะรู้ว่าไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางไม่สำเร็จ โดยส่วนตัวแล้วผมมีความคิดคล้ายๆพี่ picatos คงเป็นเพราะบุญวาสนาที่ทำมา เลยทำให้อยากปฏิบัติภาวนาในเพศของฆราวาสมากกว่า แต่อย่างที่เราทราบกัน อริยมรรคอริยผล ไม่มีข้อจำกัดว่าจะต้องบวชหรือไม่บวชถึงจะสำเร็จได้ แต่อยู่ที่ความแน่วแน่ของจิตและความเพียรของแต่ละบุคคล
บางครั้งเสียงอึกทึกครึกโครม นั่งเล่นนั่งฟังอยู่จิตก็นิ่ง เบาสบาย แต่บางครั้งนั่งสมาธิ ฟังธรรม ตั้งใจให้จิตเบา ก็กลายเป็นจิตฟุ้งซะงั้น เมื่อก่อนอาการปรามาสของผมหนักมาก แต่พอว่างงาน จะเดิน ยืน นั่ง นอน ช่วงที่สามารถระลึกรู้อยู่ จะภาวนา พุทโธ ให้ตลอด ปรากฏว่า จิตสงบดีขึ้นกว่าเดิม เหตุคือพอว่างจากภาระ อารมณ์เลยเบา บางทีก็เกิดคิดในจิตว่า สุขหนอ สุขหนอ สุขหนอ เพราะเมื่อภาระทางโลกเบาลง มันเลยเกิด สุขหนอ สุขหนอ จริงๆครับ
กิเลสแต่ล่ะตัวเมื่อเกิดขึ้น จะมีเครื่องแก้ตามมา ขึ้นอยู่กับนิสัยวาสนาของแต่ล่ะคน ว่าจะได้เครื่องแก้รูปแบบไหน อย่างของผมหนักทางราคะจริต ตอนนี้ได้เครื่องแก้ก็คลายลง หลังจากนั้นโมหะจริตก็ตามมา พอเกิดเครื่องแก้ก็ตามมา ก็เบาลง พอผ่าน 2 ตัวนี้ กลับย้อนมาเกิด สักกายะทิฐิ เกิดขึ้นซะงั้น แต่เครื่องแก้คือปัญญา ก็จะเกิดความรู้ตามมา ให้พิจารณาถึงวิธีการและแนวทางในการแก้ไข
ครูอาจารย์ส่วนใหญ่เมื่อตอนแรกๆก็จะเป็นเหมือนๆกับเราครับ บางท่านใช้เวลาหลายปีมาก สำคัญสุดคือไม่ท้อ ต้องค่อยๆทำความเพียรไป รู้จักหลบ รู้จักผ่อนหนักผ่อนเบาไป ผมเชื่อว่าทุกคนจะเกิดอาการท้อ แต่เมื่อท้อแล้ว สิ่งที่สะสมมา คือ ผู้ที่ได้เคยเห็นทุกอริยสัจ ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ จะเกิดมานะ แล้วกลับมาเร่งความเพียรใหม่ ปัญญาความรู้จะเกิดขึ้นตามมา แม้จะยังวนซ้ำไปมา แต่ในที่สุดจะหลุดพ้นไปได้ครับ
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1123
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 726
ขอบคุณมากครับ ผมก็ท้ออยู่เรื่อยๆเหมือนกันครับ ทั้งท้อบ้าง ฮึดบ้าง เรื่อยๆบ้าง วนเป็นลูปยาววๆๆๆๆๆๆไปเลยครับ ฮ่าๆๆๆ เหนื่อยเอาการเหมือนกัน รู้แต่ว่าต้องสู้ต่อไปครับtum_H เขียน:วันนี้ผมครบ 1 เดือนที่ลาออกจากงานมาพอดีเลยครับ
ผมคิดว่าทุกคนจะเจออาการอย่างที่คุณ sakkaphan เจอครับ ใครที่ได้มาลงมือปฏิบัติจริงๆจะรู้ว่าไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางไม่สำเร็จ โดยส่วนตัวแล้วผมมีความคิดคล้ายๆพี่ picatos คงเป็นเพราะบุญวาสนาที่ทำมา เลยทำให้อยากปฏิบัติภาวนาในเพศของฆราวาสมากกว่า แต่อย่างที่เราทราบกัน อริยมรรคอริยผล ไม่มีข้อจำกัดว่าจะต้องบวชหรือไม่บวชถึงจะสำเร็จได้ แต่อยู่ที่ความแน่วแน่ของจิตและความเพียรของแต่ละบุคคล
บางครั้งเสียงอึกทึกครึกโครม นั่งเล่นนั่งฟังอยู่จิตก็นิ่ง เบาสบาย แต่บางครั้งนั่งสมาธิ ฟังธรรม ตั้งใจให้จิตเบา ก็กลายเป็นจิตฟุ้งซะงั้น เมื่อก่อนอาการปรามาสของผมหนักมาก แต่พอว่างงาน จะเดิน ยืน นั่ง นอน ช่วงที่สามารถระลึกรู้อยู่ จะภาวนา พุทโธ ให้ตลอด ปรากฏว่า จิตสงบดีขึ้นกว่าเดิม เหตุคือพอว่างจากภาระ อารมณ์เลยเบา บางทีก็เกิดคิดในจิตว่า สุขหนอ สุขหนอ สุขหนอ เพราะเมื่อภาระทางโลกเบาลง มันเลยเกิด สุขหนอ สุขหนอ จริงๆครับ
กิเลสแต่ล่ะตัวเมื่อเกิดขึ้น จะมีเครื่องแก้ตามมา ขึ้นอยู่กับนิสัยวาสนาของแต่ล่ะคน ว่าจะได้เครื่องแก้รูปแบบไหน อย่างของผมหนักทางราคะจริต ตอนนี้ได้เครื่องแก้ก็คลายลง หลังจากนั้นโมหะจริตก็ตามมา พอเกิดเครื่องแก้ก็ตามมา ก็เบาลง พอผ่าน 2 ตัวนี้ กลับย้อนมาเกิด สักกายะทิฐิ เกิดขึ้นซะงั้น แต่เครื่องแก้คือปัญญา ก็จะเกิดความรู้ตามมา ให้พิจารณาถึงวิธีการและแนวทางในการแก้ไข
ครูอาจารย์ส่วนใหญ่เมื่อตอนแรกๆก็จะเป็นเหมือนๆกับเราครับ บางท่านใช้เวลาหลายปีมาก สำคัญสุดคือไม่ท้อ ต้องค่อยๆทำความเพียรไป รู้จักหลบ รู้จักผ่อนหนักผ่อนเบาไป ผมเชื่อว่าทุกคนจะเกิดอาการท้อ แต่เมื่อท้อแล้ว สิ่งที่สะสมมา คือ ผู้ที่ได้เคยเห็นทุกอริยสัจ ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ จะเกิดมานะ แล้วกลับมาเร่งความเพียรใหม่ ปัญญาความรู้จะเกิดขึ้นตามมา แม้จะยังวนซ้ำไปมา แต่ในที่สุดจะหลุดพ้นไปได้ครับ
ส่วนเรื่องการปฏิบัติเพื่อลดละกิเลสในแต่ละวัน ผมก็ไม่ละทิ้งครับ ยังคงปฏิบัติควบคู่กันไปโดยใช้การเจริญสติ ดูกาย ดูจิต เป็นหลัก แล้วก็นั่งสมาธิทำอานาปานสติอยู่บ้างครับ ถึงจะมีย่อหย่อนไปบ้าง แต่ก็พยายามดึงกลับมาเรื่อยๆ ส่วนใหญ่ผมจะหนักไปทางหย่อนมากกว่าตึงนะ555 แต่ก็พยายามใช้คติที่พระพุทธเจ้ากล่าวถึงทางสายกลางคือ ไม่พักอยู่และไม่เพียรอยู่ ครับ
ส่วนอาการปรามาสผมก็ลดลงไปเยอะจากเมื่อก่อนครับ จะว่าไปผมก็ราคะเยอะอยู่เหมือนกัน แต่ความจริงก็รู้สึกจะเยอะไม่แพ้กันทุกตัวนะ ทั้งราคาโทสะโมหะ 555 ก็ทำไปเรื่อยๆครับ
อนุโมทนาบุญกับพี่ tum_H ด้วยครับ
ความยากจนในจิตใจ คือความยากจนที่แท้จริง
- wpong
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1356
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 727
ผมขอนำ แนวทางการปฎิบัติธรรม ที่หลวงพ่อชา ตอบคำถาม แก่พระลูกศิษย์ บางข้อ มา post นะครับ เผื่อจะเป็นประโยชน์แก่พวกเรา
คำถาม: ผมได้พากเพียรอย่างหนักในการปฏิบัติกรรมฐาน แต่ยังไม่มีที่ท่าว่าจะได้ผลคืบหน้าเลย
คำตอบโดยหลวงพ่อชา : เรื่องนี้สำคัญมาก อย่าพยายามที่จะเอาอะไรๆ ในการปฏิบัติความอย่างแรงกล้าที่จะหลุดพ้นหรือรู้แจ้งนั้นจะเป็นความอยากที่ขวางกั้นท่านก็ได้ จะเร่งความเพียรทั่งกลางคืนกลางวันก็ได้ แต่ถ้าการฝึกปฏิบัตินั้นยังประกอบด้วยความที่อยากจะบรรลุเห็นแจ้งแล้ว ท่านจะพบความสงบไม่ได้เลย แรงอยากจะเป็นเหตุให้เกิดความสงสัยและความกระวนกระวายใจ ไม่ว่าท่านจะฝึกปฏิบัตินานเท่าใดหรือนานสักเพียงใด ปัญญา (ที่แท้) จะไม่เกิดขึ้นจากความอยากนั้น ดังนั้นจงเพียงแต่ละความอยากเสีย จงเฝ้าดูจิตและกายอย่างมีสติแต่อย่ามุ่งหวังที่จะบรรลุถึงอะไร อย่ายึดมั่นถือมั่นแม้ในเรื่องการฝึกปฏิบัติหรือในการรู้แจ้ง
คำถาม: ผมควรจะทำอย่างไรครับเมื่อผมสงสัย บางวันผมวุ่นวายใจด้วยความสงสัยในเรื่องปฏิบัต หรือในความคืบหน้าของผม หรือในอาจารย์
คำตอบโดยหลวงพ่อชา : ความสงสัยนั้นเป็นเรื่องปกติธรรมดา ทุกๆ คนเริ่มต้นด้วยความสงสัย ท่านอาจได้เรียนรู้อย่างมากจากความสงสัยนั้น ถ้าท่านยังถือเอาความสงสัยนั้นเป็นตัวเป็นตน นั่นคืออย่าตกเป็นเหยื่อของความสงสัย ซึ่งจะทำให้จิตใจของท่านหมุนวนเป็นวัฏฏะ อันไม่มีที่สิ้นสุด แทนที่จะเป็นเช่นนั้น จงเฝ้าดูกระบวนการเกิดดับของความสงสัย ของความฉงนสนเท่ห์ ดูว่าใครคือผู้ที่สงสัย ดูว่าความสงสัยนั้นเกิดขึ้นและ ดับไปอย่างไร และท่านจะไม่ตกเป็นเหยื่อของความสงสัยอีกต่อไป ท่านจะหลุดพ้นออกจากความสงสัยและจิตของท่านก็จะสงบ ท่านจะเห็นว่า สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นและดับไปอย่างไร จงปล่อยวางสิ่งต่างๆ ที่ท่านยังยึดมั่นอยู่ ปล่อยวางความสงสัยของท่านและเพียงแต่เฝ้าดู นี่คือสิ่งที่สิ้นสุดของควาสงสัย
ถ้าสนใจเพิ่มเติมดูได้จาก http://www.dharma-gateway.com/monk/prea ... cha_04.htm
คำถาม: ผมได้พากเพียรอย่างหนักในการปฏิบัติกรรมฐาน แต่ยังไม่มีที่ท่าว่าจะได้ผลคืบหน้าเลย
คำตอบโดยหลวงพ่อชา : เรื่องนี้สำคัญมาก อย่าพยายามที่จะเอาอะไรๆ ในการปฏิบัติความอย่างแรงกล้าที่จะหลุดพ้นหรือรู้แจ้งนั้นจะเป็นความอยากที่ขวางกั้นท่านก็ได้ จะเร่งความเพียรทั่งกลางคืนกลางวันก็ได้ แต่ถ้าการฝึกปฏิบัตินั้นยังประกอบด้วยความที่อยากจะบรรลุเห็นแจ้งแล้ว ท่านจะพบความสงบไม่ได้เลย แรงอยากจะเป็นเหตุให้เกิดความสงสัยและความกระวนกระวายใจ ไม่ว่าท่านจะฝึกปฏิบัตินานเท่าใดหรือนานสักเพียงใด ปัญญา (ที่แท้) จะไม่เกิดขึ้นจากความอยากนั้น ดังนั้นจงเพียงแต่ละความอยากเสีย จงเฝ้าดูจิตและกายอย่างมีสติแต่อย่ามุ่งหวังที่จะบรรลุถึงอะไร อย่ายึดมั่นถือมั่นแม้ในเรื่องการฝึกปฏิบัติหรือในการรู้แจ้ง
คำถาม: ผมควรจะทำอย่างไรครับเมื่อผมสงสัย บางวันผมวุ่นวายใจด้วยความสงสัยในเรื่องปฏิบัต หรือในความคืบหน้าของผม หรือในอาจารย์
คำตอบโดยหลวงพ่อชา : ความสงสัยนั้นเป็นเรื่องปกติธรรมดา ทุกๆ คนเริ่มต้นด้วยความสงสัย ท่านอาจได้เรียนรู้อย่างมากจากความสงสัยนั้น ถ้าท่านยังถือเอาความสงสัยนั้นเป็นตัวเป็นตน นั่นคืออย่าตกเป็นเหยื่อของความสงสัย ซึ่งจะทำให้จิตใจของท่านหมุนวนเป็นวัฏฏะ อันไม่มีที่สิ้นสุด แทนที่จะเป็นเช่นนั้น จงเฝ้าดูกระบวนการเกิดดับของความสงสัย ของความฉงนสนเท่ห์ ดูว่าใครคือผู้ที่สงสัย ดูว่าความสงสัยนั้นเกิดขึ้นและ ดับไปอย่างไร และท่านจะไม่ตกเป็นเหยื่อของความสงสัยอีกต่อไป ท่านจะหลุดพ้นออกจากความสงสัยและจิตของท่านก็จะสงบ ท่านจะเห็นว่า สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นและดับไปอย่างไร จงปล่อยวางสิ่งต่างๆ ที่ท่านยังยึดมั่นอยู่ ปล่อยวางความสงสัยของท่านและเพียงแต่เฝ้าดู นี่คือสิ่งที่สิ้นสุดของควาสงสัย
ถ้าสนใจเพิ่มเติมดูได้จาก http://www.dharma-gateway.com/monk/prea ... cha_04.htm
-
- Verified User
- โพสต์: 53
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 729
หลวงพ่อปราโมทย์ ก็ได้แนะนำเช่นเดียวกันว่า ควรทำเหตุให้มาก โดยไม่หวังผล
ถ้ามีความอยาก ซึ่งเป็นกิเลส ก็เท่ากับทำผิดตั้งแต่ต้นทางแล้ว
แนะนำให้ปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ ให้คิดว่าปฏิบัติเพื่อบูชาพระพุทธเจ้า
เมื่อทำเหตุ หรือ ปฏิบัติมากพอแล้ว จึงจะเกิดผลขึ้นเองในภายหลัง ซึ่งไม่รู้ว่าเมื่อไหร่
ไม่ต้องท้อใจว่าทำไมบางคนปฏิบัติไม่นาน ก็ได้ผลอย่างรวดเร็ว ก็เพราะเขาเหล่านั้นก็ลำบากมาก่อนเหมือนกัน
ดังนั้น ถ้าเราลำบากตอนนี้ ภายหน้าก็จะง่ายขึ้น
ส่วนเรื่องความสงสัย นั้น ท่านก็แนะนำว่าให้มีสติรู้ทันว่า มีความสงสัย
ถ้ามีความอยาก ซึ่งเป็นกิเลส ก็เท่ากับทำผิดตั้งแต่ต้นทางแล้ว
แนะนำให้ปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ ให้คิดว่าปฏิบัติเพื่อบูชาพระพุทธเจ้า
เมื่อทำเหตุ หรือ ปฏิบัติมากพอแล้ว จึงจะเกิดผลขึ้นเองในภายหลัง ซึ่งไม่รู้ว่าเมื่อไหร่
ไม่ต้องท้อใจว่าทำไมบางคนปฏิบัติไม่นาน ก็ได้ผลอย่างรวดเร็ว ก็เพราะเขาเหล่านั้นก็ลำบากมาก่อนเหมือนกัน
ดังนั้น ถ้าเราลำบากตอนนี้ ภายหน้าก็จะง่ายขึ้น
ส่วนเรื่องความสงสัย นั้น ท่านก็แนะนำว่าให้มีสติรู้ทันว่า มีความสงสัย
- wpong
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1356
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 730
....... กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เป็นคฤหัสถ์
ยังบริโภคกาม อยู่ครองเรือน นอนเบียดบุตร ใช้จันทน์ในแคว้นกาสี ยังทรงดอก-
*ไม้ของหอมและเครื่องลูบไล้ ยังยินดีเงินและทองอยู่ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ขอพระผู้มีพระภาคโปรดแสดงธรรมที่เหมาะแก่ข้าพระองค์ อันจะพึงเป็นไปเพื่อ
ประโยชน์ เพื่อความสุขในปัจจุบัน เพื่อประโยชน์เพื่อความสุขในภายหน้าเถิด ฯ
รายละเอียดตาม link นี้ครับ
http://www.84000.org/tipitaka/read/v.ph ... 934&Z=6025
ถ้าเราวางแผนไว้ว่าจะมีความสุข ในระยะยาวแล้ว ผมคิดว่าศีลเป็นสิ่งจำเป็นครับ ปัญหาอยู่ที่ว่า เราจะอดทนต่อกิเลสของเราได้แค่ใหน
ยังบริโภคกาม อยู่ครองเรือน นอนเบียดบุตร ใช้จันทน์ในแคว้นกาสี ยังทรงดอก-
*ไม้ของหอมและเครื่องลูบไล้ ยังยินดีเงินและทองอยู่ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ขอพระผู้มีพระภาคโปรดแสดงธรรมที่เหมาะแก่ข้าพระองค์ อันจะพึงเป็นไปเพื่อ
ประโยชน์ เพื่อความสุขในปัจจุบัน เพื่อประโยชน์เพื่อความสุขในภายหน้าเถิด ฯ
รายละเอียดตาม link นี้ครับ
http://www.84000.org/tipitaka/read/v.ph ... 934&Z=6025
ถ้าเราวางแผนไว้ว่าจะมีความสุข ในระยะยาวแล้ว ผมคิดว่าศีลเป็นสิ่งจำเป็นครับ ปัญหาอยู่ที่ว่า เราจะอดทนต่อกิเลสของเราได้แค่ใหน
- oatty
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2444
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 731
ได้ปัญญาจากอาจารย์ท่านหนึ่ง สิ่งบ่งบอกว่าเรา“ตื่นรู้” มากแค่ไหน (Key Behavior Indicator)
1. สดใสขึ้น ใจว่าง ๆ โล่ง ๆ (ใจดี หรือ ดีใจ ไม่เหมือน ใจโล่งๆ นะ) ไม่อมทุกข์ ไม่หน้าบึ้ง
2. ยิ้มง่ายขึ้น ยิ้มให้คนอื่นก่อน ไม่ต้องรอให้คนอื่นยิ้มให้ก่อน
3. ไหว้คนอื่นได้ก่อน ไม่มีข้อแม้ว่า ใครต้องไหว้ใครก่อน
4. ถ่อมตน ไม่เจ้ายศ ไม่เจ้าอย่าง ง่าย ๆ ติดดิน
5. รับผิดชอบงานมากขึ้น ไม่อ้าง ไม่หนี อดทน ยอม
6. มีเมตตามากขึ้น ใช้เมตตาธรรมนำหน้าเหตุผล
7. ดู สังเกต มากกว่าที่จะ ด่วนวิจารณ์ ด่วนออกอาการ ด่วนออกอารมณ์ แม้นจะโดนด่า โดนเข้าใจผิด ก็ยัง อดทน ควบคุมตนเองได้ง่าย ๆปล่อย ๆ ไม่เอาเรื่อง ไม่เอาก็ได้
8. เปิดโอกาสผู้อื่นพูดมากขึ้น ฟังมากขึ้น ไม่ด่วน “สวนกลับ” ไม่ด่วน “หักคอ” ไม่ด่วนสรุป ไม่ด่วนฟันธง ไม่แทรก แซงขณะคนอื่นกำลังพูด อัตราการเต้นของหัวใจปกติ ไม่ตูมตาม เมื่อโดนคนอื่นด่า
9. ยอมรับ เปิดใจ ยอมรับ ความคิดเห็นที่แตกต่างได้ รับฟังอีกมุมมองได้
10. ขยัน ๆ และ ”กล้า” ลงมือทำ ในเรื่องที่ดี เป็นกุศล ต่าง ๆ ทันที โดยไม่มีข้อแม้ ไม่เอาเรื่องในอดีตมาทำให้สะดุดในการที่จะทำ ไม่เอาเรื่องในอนาคตมาหยุดตนเอง ทำตามเป้าหมายได้ ไม่วอกแวก รู้จัก focus
11. กตัญญู พ่อแม่ ไปหา ไปดูแล ไปคุย กับผู้มีพระคุณมากขึ้น ครูเก่า เจ้านายที่เคยช่วยสอน ผู้มีอุปการะคุณ ฯลฯ
12. สัตว์เลี้ยงต่าง ๆ จะเดินเข้ามาหา เพราะคนที่ใจสงบ ตื่นรู้ บรรดาสัตว์ในธรรมชาติ เขาจะ รับรู้
13. ไม่เมาบุญ ทำได้ก็ทำ ทำไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร
14. "ให้" บริจาค จิตอาสา ทำเพื่อส่วนรวม มากขึ้น
15. รู้สึกว่าตนเอง เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ รู้สึกว่า ผู้คนกับตัวเอง เป็นเนื้อเดียว กัน ไม่รู้จะทำลายกันไปทำไม
16. คบ บัณฑิต หลวงปู่ หลวงพ่อ ที่ดี ๆ มากขึ้น ไปหา ไปฟังธรรมจากท่าน ตามโอกาส
17. ห่างไกลคนพาล อบายมุข
18. รักษาศีล ๕ มาก ๆ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ขโมย ไม่ผิดกาม ไม่โกหกหลอกลวง ไม่ทานของมึนเมา
19. ชื่นชม (Appreciation) ผู้คน ยินดีที่คนอื่นได้ดี หรือ มี มุทิตา นั่นเอง
20. ไม่นินทาใคร ไม่ทำให้ใครแตกแยก ชวนให้คนสามัคคีกัน
21. ไม่กังวล หลับสบาย หลับง่าย
22. ไม่ค่อยฝันร้าย เช่น ในฝันไม่รู้สึกวิ่งยากลำบาก ก้าวขาไม่ออกอีกต่อไป ไม่ฟันว่าฟันหัก ไม่ฝันว่า กลับไปเป็นเด็กแล้วเครียดก่อนสอบ อีก
23. ฝันดีบ่อย เช่น เจอพระ เจอคนดี ๆ ตื่นขึ้นมาแล้วสดชื่น มีความสุข
24. นึกอะไร อยากได้อะไรที่ดีๆ เป็นกุศล ไม่นานก็จะได้ หรือ มีคนเอามาให้
25. ยอมคน เช่น ยอมให้แซงคิว ยอมให้เอาเปรียบยอมให้ต่อว่าฯลฯ แต่คิดเตือนอย่างนุ่มนวล
26. ไม่ด่วน ”ประเมิน” ตัดสิน ตัดเกรด แบ่งแยก พิพากษา (judgement) ผู้คน ห้อยแขวน (suspend) เอาไว้ก่อน ดูมากขึ้น เผื่อคาดไม่ถึงบ้าง
27. รักผู้คนแบบไม่มีเงื่อน ไข (Unconditional love) ไม่หวังผล ให้ก็คือให้ ไม่มีข้อแม้ ไม่อิจฉา ไม่ริษยา
28. รู้จักสติที่ฐานกาย ใช้ “กายรู้กาย” ได้มากขึ้น นานขึ้น ต่อเนื่องมากขึ้น รู้ ๆ ทุกก้าว ทุกอิริยาบท
29. ”จับ” ความรู้สึก ที่ “ใจ” ของตนเองได้ รู้ว่าใจกุศล อกุศล
30. “แยกแยะ” จิต กับ ความคิด ได้ รู้จักความคิดจร ( ความคิดนอกแผน ความคิดที่ไม่ได้ตั้งใจคิด ความคิดที่ชวนไปเละเทะ ฟุ้งซ่าน ออกนอกทางฯ) เป็น นีโอ ที่ สามารถจับกระสุนความคิด ที่ กิเลสยิงใส่มาได้
31. กลับไปอ่าน หนังสือธรรมะ แล้ว เข้าที่ “ใจ”มากขึ้น ร้อง “อ๋อ” มากขึ้น
32. ไม่กลัวตาย สิ้นข้อสงสัย และ ไม่งมงายในศีลภายนอก
ขอให้ กัลยาณมิตรทุกท่านมีความสุขประสบผลสำเร็จสมดังหมายด้วยเทอญ
Cr. อาจารย์ทองมั่น แสงสินไชย
1. สดใสขึ้น ใจว่าง ๆ โล่ง ๆ (ใจดี หรือ ดีใจ ไม่เหมือน ใจโล่งๆ นะ) ไม่อมทุกข์ ไม่หน้าบึ้ง
2. ยิ้มง่ายขึ้น ยิ้มให้คนอื่นก่อน ไม่ต้องรอให้คนอื่นยิ้มให้ก่อน
3. ไหว้คนอื่นได้ก่อน ไม่มีข้อแม้ว่า ใครต้องไหว้ใครก่อน
4. ถ่อมตน ไม่เจ้ายศ ไม่เจ้าอย่าง ง่าย ๆ ติดดิน
5. รับผิดชอบงานมากขึ้น ไม่อ้าง ไม่หนี อดทน ยอม
6. มีเมตตามากขึ้น ใช้เมตตาธรรมนำหน้าเหตุผล
7. ดู สังเกต มากกว่าที่จะ ด่วนวิจารณ์ ด่วนออกอาการ ด่วนออกอารมณ์ แม้นจะโดนด่า โดนเข้าใจผิด ก็ยัง อดทน ควบคุมตนเองได้ง่าย ๆปล่อย ๆ ไม่เอาเรื่อง ไม่เอาก็ได้
8. เปิดโอกาสผู้อื่นพูดมากขึ้น ฟังมากขึ้น ไม่ด่วน “สวนกลับ” ไม่ด่วน “หักคอ” ไม่ด่วนสรุป ไม่ด่วนฟันธง ไม่แทรก แซงขณะคนอื่นกำลังพูด อัตราการเต้นของหัวใจปกติ ไม่ตูมตาม เมื่อโดนคนอื่นด่า
9. ยอมรับ เปิดใจ ยอมรับ ความคิดเห็นที่แตกต่างได้ รับฟังอีกมุมมองได้
10. ขยัน ๆ และ ”กล้า” ลงมือทำ ในเรื่องที่ดี เป็นกุศล ต่าง ๆ ทันที โดยไม่มีข้อแม้ ไม่เอาเรื่องในอดีตมาทำให้สะดุดในการที่จะทำ ไม่เอาเรื่องในอนาคตมาหยุดตนเอง ทำตามเป้าหมายได้ ไม่วอกแวก รู้จัก focus
11. กตัญญู พ่อแม่ ไปหา ไปดูแล ไปคุย กับผู้มีพระคุณมากขึ้น ครูเก่า เจ้านายที่เคยช่วยสอน ผู้มีอุปการะคุณ ฯลฯ
12. สัตว์เลี้ยงต่าง ๆ จะเดินเข้ามาหา เพราะคนที่ใจสงบ ตื่นรู้ บรรดาสัตว์ในธรรมชาติ เขาจะ รับรู้
13. ไม่เมาบุญ ทำได้ก็ทำ ทำไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร
14. "ให้" บริจาค จิตอาสา ทำเพื่อส่วนรวม มากขึ้น
15. รู้สึกว่าตนเอง เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ รู้สึกว่า ผู้คนกับตัวเอง เป็นเนื้อเดียว กัน ไม่รู้จะทำลายกันไปทำไม
16. คบ บัณฑิต หลวงปู่ หลวงพ่อ ที่ดี ๆ มากขึ้น ไปหา ไปฟังธรรมจากท่าน ตามโอกาส
17. ห่างไกลคนพาล อบายมุข
18. รักษาศีล ๕ มาก ๆ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ขโมย ไม่ผิดกาม ไม่โกหกหลอกลวง ไม่ทานของมึนเมา
19. ชื่นชม (Appreciation) ผู้คน ยินดีที่คนอื่นได้ดี หรือ มี มุทิตา นั่นเอง
20. ไม่นินทาใคร ไม่ทำให้ใครแตกแยก ชวนให้คนสามัคคีกัน
21. ไม่กังวล หลับสบาย หลับง่าย
22. ไม่ค่อยฝันร้าย เช่น ในฝันไม่รู้สึกวิ่งยากลำบาก ก้าวขาไม่ออกอีกต่อไป ไม่ฟันว่าฟันหัก ไม่ฝันว่า กลับไปเป็นเด็กแล้วเครียดก่อนสอบ อีก
23. ฝันดีบ่อย เช่น เจอพระ เจอคนดี ๆ ตื่นขึ้นมาแล้วสดชื่น มีความสุข
24. นึกอะไร อยากได้อะไรที่ดีๆ เป็นกุศล ไม่นานก็จะได้ หรือ มีคนเอามาให้
25. ยอมคน เช่น ยอมให้แซงคิว ยอมให้เอาเปรียบยอมให้ต่อว่าฯลฯ แต่คิดเตือนอย่างนุ่มนวล
26. ไม่ด่วน ”ประเมิน” ตัดสิน ตัดเกรด แบ่งแยก พิพากษา (judgement) ผู้คน ห้อยแขวน (suspend) เอาไว้ก่อน ดูมากขึ้น เผื่อคาดไม่ถึงบ้าง
27. รักผู้คนแบบไม่มีเงื่อน ไข (Unconditional love) ไม่หวังผล ให้ก็คือให้ ไม่มีข้อแม้ ไม่อิจฉา ไม่ริษยา
28. รู้จักสติที่ฐานกาย ใช้ “กายรู้กาย” ได้มากขึ้น นานขึ้น ต่อเนื่องมากขึ้น รู้ ๆ ทุกก้าว ทุกอิริยาบท
29. ”จับ” ความรู้สึก ที่ “ใจ” ของตนเองได้ รู้ว่าใจกุศล อกุศล
30. “แยกแยะ” จิต กับ ความคิด ได้ รู้จักความคิดจร ( ความคิดนอกแผน ความคิดที่ไม่ได้ตั้งใจคิด ความคิดที่ชวนไปเละเทะ ฟุ้งซ่าน ออกนอกทางฯ) เป็น นีโอ ที่ สามารถจับกระสุนความคิด ที่ กิเลสยิงใส่มาได้
31. กลับไปอ่าน หนังสือธรรมะ แล้ว เข้าที่ “ใจ”มากขึ้น ร้อง “อ๋อ” มากขึ้น
32. ไม่กลัวตาย สิ้นข้อสงสัย และ ไม่งมงายในศีลภายนอก
ขอให้ กัลยาณมิตรทุกท่านมีความสุขประสบผลสำเร็จสมดังหมายด้วยเทอญ
Cr. อาจารย์ทองมั่น แสงสินไชย
"ผู้ทรงธรรมนั่นแหละคือผู้ทรงเกียรติ ผู้มีความดีนั่นแหละคือผู้มีทรัพย์ ผู้รู้จักพอนั่นแหละคือมหาเศรษฐี" ว.วชิรเมธี
-
- Verified User
- โพสต์: 189
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 733
ผมเองได้ลาออกจากงานมาเกือบสามปีแล้วครับtum_H เขียน:วันนี้ผมครบ 1 เดือนที่ลาออกจากงานมาพอดีเลยครับ
ผมคิดว่าทุกคนจะเจออาการอย่างที่คุณ sakkaphan เจอครับ ใครที่ได้มาลงมือปฏิบัติจริงๆจะรู้ว่าไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางไม่สำเร็จ โดยส่วนตัวแล้วผมมีความคิดคล้ายๆพี่ picatos คงเป็นเพราะบุญวาสนาที่ทำมา เลยทำให้อยากปฏิบัติภาวนาในเพศของฆราวาสมากกว่า แต่อย่างที่เราทราบกัน อริยมรรคอริยผล ไม่มีข้อจำกัดว่าจะต้องบวชหรือไม่บวชถึงจะสำเร็จได้ แต่อยู่ที่ความแน่วแน่ของจิตและความเพียรของแต่ละบุคคล
บางครั้งเสียงอึกทึกครึกโครม นั่งเล่นนั่งฟังอยู่จิตก็นิ่ง เบาสบาย แต่บางครั้งนั่งสมาธิ ฟังธรรม ตั้งใจให้จิตเบา ก็กลายเป็นจิตฟุ้งซะงั้น เมื่อก่อนอาการปรามาสของผมหนักมาก แต่พอว่างงาน จะเดิน ยืน นั่ง นอน ช่วงที่สามารถระลึกรู้อยู่ จะภาวนา พุทโธ ให้ตลอด ปรากฏว่า จิตสงบดีขึ้นกว่าเดิม เหตุคือพอว่างจากภาระ อารมณ์เลยเบา บางทีก็เกิดคิดในจิตว่า สุขหนอ สุขหนอ สุขหนอ เพราะเมื่อภาระทางโลกเบาลง มันเลยเกิด สุขหนอ สุขหนอ จริงๆครับ
กิเลสแต่ล่ะตัวเมื่อเกิดขึ้น จะมีเครื่องแก้ตามมา ขึ้นอยู่กับนิสัยวาสนาของแต่ล่ะคน ว่าจะได้เครื่องแก้รูปแบบไหน อย่างของผมหนักทางราคะจริต ตอนนี้ได้เครื่องแก้ก็คลายลง หลังจากนั้นโมหะจริตก็ตามมา พอเกิดเครื่องแก้ก็ตามมา ก็เบาลง พอผ่าน 2 ตัวนี้ กลับย้อนมาเกิด สักกายะทิฐิ เกิดขึ้นซะงั้น แต่เครื่องแก้คือปัญญา ก็จะเกิดความรู้ตามมา ให้พิจารณาถึงวิธีการและแนวทางในการแก้ไข
ครูอาจารย์ส่วนใหญ่เมื่อตอนแรกๆก็จะเป็นเหมือนๆกับเราครับ บางท่านใช้เวลาหลายปีมาก สำคัญสุดคือไม่ท้อ ต้องค่อยๆทำความเพียรไป รู้จักหลบ รู้จักผ่อนหนักผ่อนเบาไป ผมเชื่อว่าทุกคนจะเกิดอาการท้อ แต่เมื่อท้อแล้ว สิ่งที่สะสมมา คือ ผู้ที่ได้เคยเห็นทุกอริยสัจ ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ จะเกิดมานะ แล้วกลับมาเร่งความเพียรใหม่ ปัญญาความรู้จะเกิดขึ้นตามมา แม้จะยังวนซ้ำไปมา แต่ในที่สุดจะหลุดพ้นไปได้ครับ
เหตุผลคือหลังจากประสบอุบัติเหตุ ขับรถลงตกถนน เลยมองเห็นว่า คนเราตายเมื่อไหร่ก็ได้ และเราเองยังไม่มีอริยทรัพย์เลย
เมื่อเริ่มตามหาแก่นธรรม ก็หาตามพระอาจารย์สายปฏิบัติ และวันหนึ่งมีเหตุปัจจัยได้หนังสือเดรัชฉานวิชาและคู่มือโสดาบัน ของวัดนาป่าพง http://watnapp.com/ ได้ติดตามฟังธรรมจาก พจอ คึกฤทธิ์ สิ่งที่เห็นด้วยอย่างยิ่งคือ เราต้องเสพคบคำสอนของพระศาสดา อรหันตสัมมาสัมพุทธะ การที่เราจะพ้นนรกนั้นต้องสร้างเหตุ และทำได้เมื่อเราเป็นมนุษย์ และเราพร้อมมากเพราะเราเกิดในที่ที่ดีที่สุด มีความพร้อมที่สุด จึงได้เลิกฟังเพลงและฟังพระสูตรคำสอนของตถาคตอรหันตสัมพุทธะ และได้ศึกษาและอ่านหนังสือชุดห้าเล่มพระโอษฐ์ของพุทธทาสภิกขุ ฟังเสียงอ้่าน https://www.youtube.com/watch?v=BJ4shf8vH_4
ส่วนตัวจึงมองเห็นว่า พวกพิธีกรรม เชื่องมงคลไม่เชื่อกรรม ไหว้ผี ไหว้เทพ หรือแม้แต่การร้องขอต่างๆ ไม่ใช่คำสอนของพระศาสดา การได้ละเลิกพิธีกรรม เก็บเครื่องรางของขลัง ทำให้ชีวิตง่ายขึ้นเยอะ จึงได้ตั้งใจเจริญภาวนา อานาปานสติและสะสมสุตะคำสอนของพระศาสดา อันเป็นธรรมที่งดงามในเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด ทุกๆวันผมจะนั่งสมาธิและเดินจงกม และเปิดเสียงอ่านพระสูตรไว้ทั้งวัน เ และต่อมาก็เข้าปฏิบัติธรรมที่วัดป่าดอนหายโสก หนองหาน อุดรธานี กับพจอ ไพบูลย์ https://wpdhs.org/course/ เป็นการหลีกเร้น ซึ่งมีทุกเดือน และวันที่11-19เดือนนี้ผมจะเข้าปฏิบัติสมถะวิปัสสนาเป็นครั้งที่แปดครับ แน่นอน การบูชาตถาคตสูงสุด คือ การประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติชอบยิ่ง ปฏิบัติตามธรรมอยู่ ซึ่งก็คือ ปฏิบัติแล้ว เบื่อหน่าย(นิพพิทา) คลายกำหนัด(วิราคะ) ดับไม่เหลือ(นิโรธ) สลัดคืน(โวสสัคคะ) เพื่อนิพพาน
ปัญหาสำคัญที่สุดของเราคือเราไม่รู้ว่าปัญหาคืออะไร คำสอนของพระศาสดา พระองค์มาอุบัติในโลกธาตุนี้เพื่อแก้ปัญหา เกิด แก่ ตาย คือ ละิ้งอวิชชา ปล่อยวางอุปาทานขันธ์ห้า ออกจากกรเวียนว่ายเกิด แก่ ตาย ในสังสารวัฏที่หาเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ และคำสอนของพ่อแม่ครูอาจารย์ มักไม่ถึงการแก้ปัญหานี้ เพียงให้เราทำสมาธิให้มีสุขในปัจจุบัน และให้ทำบุญมากๆจะได้ไปเกิดเป็นเทวดาอยู่บนสวรรค์ ทั้งที่เทวดาก็ต้องตายและต้องกลับไปเกิดในทุคติ ไม่รู้จบ คงเป็นเรื่องน่าเสียดายอย่างที่สุด เพราะกว่าเราจะได้เกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง มีความน่าจะเป็นเท่ากับโอกาสที่น้ำท่วมโลกแล้วเต่าตายบอด ร้อยปีโผล่มาครั้งเดียวแล้วเจอรูเดียวของแอกไม้ไผ่ และยังไม่แน่ว่าจะได้พบคำสอนของตถาคต พบอริยสัจสี่หรือเปล่า
วันนี้ผมเห็นเป้าหมายของชีวิต เป้าหมายที่จะต้องสร้างเหตุให้ได้เป็นอริยสาวกผู้ได้สดับ และจะได้บรรลุธรรม ปรินิพพานในการเกิดชาติต่อๆไป ไม่ควรเกินอีกแปดชาติครับ ใครสนใจธรรมวินัยจากพุทธโอษฐ์ เฟสบุ้คผม https://www.facebook.com/surasit.manadee
ต.เต่าตังค์ตุง
- oatty
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2444
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 735
มาแก้ไขเพิ่มเติมครับ อาจารย์ทองมั่น ท่านระบุแล้วว่า คำพูดด้านบนเป็นของคุณ พศิน อินทวงศ์oatty เขียน:ได้ปัญญาจากอาจารย์ท่านหนึ่ง สิ่งบ่งบอกว่าเรา“ตื่นรู้” มากแค่ไหน (Key Behavior Indicator)
1. สดใสขึ้น ใจว่าง ๆ โล่ง ๆ (ใจดี หรือ ดีใจ ไม่เหมือน ใจโล่งๆ นะ) ไม่อมทุกข์ ไม่หน้าบึ้ง
2. ยิ้มง่ายขึ้น ยิ้มให้คนอื่นก่อน ไม่ต้องรอให้คนอื่นยิ้มให้ก่อน
3. ไหว้คนอื่นได้ก่อน ไม่มีข้อแม้ว่า ใครต้องไหว้ใครก่อน
4. ถ่อมตน ไม่เจ้ายศ ไม่เจ้าอย่าง ง่าย ๆ ติดดิน
5. รับผิดชอบงานมากขึ้น ไม่อ้าง ไม่หนี อดทน ยอม
6. มีเมตตามากขึ้น ใช้เมตตาธรรมนำหน้าเหตุผล
7. ดู สังเกต มากกว่าที่จะ ด่วนวิจารณ์ ด่วนออกอาการ ด่วนออกอารมณ์ แม้นจะโดนด่า โดนเข้าใจผิด ก็ยัง อดทน ควบคุมตนเองได้ง่าย ๆปล่อย ๆ ไม่เอาเรื่อง ไม่เอาก็ได้
8. เปิดโอกาสผู้อื่นพูดมากขึ้น ฟังมากขึ้น ไม่ด่วน “สวนกลับ” ไม่ด่วน “หักคอ” ไม่ด่วนสรุป ไม่ด่วนฟันธง ไม่แทรก แซงขณะคนอื่นกำลังพูด อัตราการเต้นของหัวใจปกติ ไม่ตูมตาม เมื่อโดนคนอื่นด่า
9. ยอมรับ เปิดใจ ยอมรับ ความคิดเห็นที่แตกต่างได้ รับฟังอีกมุมมองได้
10. ขยัน ๆ และ ”กล้า” ลงมือทำ ในเรื่องที่ดี เป็นกุศล ต่าง ๆ ทันที โดยไม่มีข้อแม้ ไม่เอาเรื่องในอดีตมาทำให้สะดุดในการที่จะทำ ไม่เอาเรื่องในอนาคตมาหยุดตนเอง ทำตามเป้าหมายได้ ไม่วอกแวก รู้จัก focus
11. กตัญญู พ่อแม่ ไปหา ไปดูแล ไปคุย กับผู้มีพระคุณมากขึ้น ครูเก่า เจ้านายที่เคยช่วยสอน ผู้มีอุปการะคุณ ฯลฯ
12. สัตว์เลี้ยงต่าง ๆ จะเดินเข้ามาหา เพราะคนที่ใจสงบ ตื่นรู้ บรรดาสัตว์ในธรรมชาติ เขาจะ รับรู้
13. ไม่เมาบุญ ทำได้ก็ทำ ทำไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร
14. "ให้" บริจาค จิตอาสา ทำเพื่อส่วนรวม มากขึ้น
15. รู้สึกว่าตนเอง เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ รู้สึกว่า ผู้คนกับตัวเอง เป็นเนื้อเดียว กัน ไม่รู้จะทำลายกันไปทำไม
16. คบ บัณฑิต หลวงปู่ หลวงพ่อ ที่ดี ๆ มากขึ้น ไปหา ไปฟังธรรมจากท่าน ตามโอกาส
17. ห่างไกลคนพาล อบายมุข
18. รักษาศีล ๕ มาก ๆ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ขโมย ไม่ผิดกาม ไม่โกหกหลอกลวง ไม่ทานของมึนเมา
19. ชื่นชม (Appreciation) ผู้คน ยินดีที่คนอื่นได้ดี หรือ มี มุทิตา นั่นเอง
20. ไม่นินทาใคร ไม่ทำให้ใครแตกแยก ชวนให้คนสามัคคีกัน
21. ไม่กังวล หลับสบาย หลับง่าย
22. ไม่ค่อยฝันร้าย เช่น ในฝันไม่รู้สึกวิ่งยากลำบาก ก้าวขาไม่ออกอีกต่อไป ไม่ฟันว่าฟันหัก ไม่ฝันว่า กลับไปเป็นเด็กแล้วเครียดก่อนสอบ อีก
23. ฝันดีบ่อย เช่น เจอพระ เจอคนดี ๆ ตื่นขึ้นมาแล้วสดชื่น มีความสุข
24. นึกอะไร อยากได้อะไรที่ดีๆ เป็นกุศล ไม่นานก็จะได้ หรือ มีคนเอามาให้
25. ยอมคน เช่น ยอมให้แซงคิว ยอมให้เอาเปรียบยอมให้ต่อว่าฯลฯ แต่คิดเตือนอย่างนุ่มนวล
26. ไม่ด่วน ”ประเมิน” ตัดสิน ตัดเกรด แบ่งแยก พิพากษา (judgement) ผู้คน ห้อยแขวน (suspend) เอาไว้ก่อน ดูมากขึ้น เผื่อคาดไม่ถึงบ้าง
27. รักผู้คนแบบไม่มีเงื่อน ไข (Unconditional love) ไม่หวังผล ให้ก็คือให้ ไม่มีข้อแม้ ไม่อิจฉา ไม่ริษยา
28. รู้จักสติที่ฐานกาย ใช้ “กายรู้กาย” ได้มากขึ้น นานขึ้น ต่อเนื่องมากขึ้น รู้ ๆ ทุกก้าว ทุกอิริยาบท
29. ”จับ” ความรู้สึก ที่ “ใจ” ของตนเองได้ รู้ว่าใจกุศล อกุศล
30. “แยกแยะ” จิต กับ ความคิด ได้ รู้จักความคิดจร ( ความคิดนอกแผน ความคิดที่ไม่ได้ตั้งใจคิด ความคิดที่ชวนไปเละเทะ ฟุ้งซ่าน ออกนอกทางฯ) เป็น นีโอ ที่ สามารถจับกระสุนความคิด ที่ กิเลสยิงใส่มาได้
31. กลับไปอ่าน หนังสือธรรมะ แล้ว เข้าที่ “ใจ”มากขึ้น ร้อง “อ๋อ” มากขึ้น
32. ไม่กลัวตาย สิ้นข้อสงสัย และ ไม่งมงายในศีลภายนอก
ขอให้ กัลยาณมิตรทุกท่านมีความสุขประสบผลสำเร็จสมดังหมายด้วยเทอญ
Cr. อาจารย์ทองมั่น แสงสินไชย
"ผู้ทรงธรรมนั่นแหละคือผู้ทรงเกียรติ ผู้มีความดีนั่นแหละคือผู้มีทรัพย์ ผู้รู้จักพอนั่นแหละคือมหาเศรษฐี" ว.วชิรเมธี
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 358
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 736
tum_H เขียน:วันนี้ผมครบ 1 เดือนที่ลาออกจากงานมาพอดีเลยครับ
ผมคิดว่าทุกคนจะเจออาการอย่างที่คุณ sakkaphan เจอครับ ใครที่ได้มาลงมือปฏิบัติจริงๆจะรู้ว่าไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางไม่สำเร็จ โดยส่วนตัวแล้วผมมีความคิดคล้ายๆพี่ picatos คงเป็นเพราะบุญวาสนาที่ทำมา เลยทำให้อยากปฏิบัติภาวนาในเพศของฆราวาสมากกว่า แต่อย่างที่เราทราบกัน อริยมรรคอริยผล ไม่มีข้อจำกัดว่าจะต้องบวชหรือไม่บวชถึงจะสำเร็จได้ แต่อยู่ที่ความแน่วแน่ของจิตและความเพียรของแต่ละบุคคล
บางครั้งเสียงอึกทึกครึกโครม นั่งเล่นนั่งฟังอยู่จิตก็นิ่ง เบาสบาย แต่บางครั้งนั่งสมาธิ ฟังธรรม ตั้งใจให้จิตเบา ก็กลายเป็นจิตฟุ้งซะงั้น เมื่อก่อนอาการปรามาสของผมหนักมาก แต่พอว่างงาน จะเดิน ยืน นั่ง นอน ช่วงที่สามารถระลึกรู้อยู่ จะภาวนา พุทโธ ให้ตลอด ปรากฏว่า จิตสงบดีขึ้นกว่าเดิม เหตุคือพอว่างจากภาระ อารมณ์เลยเบา บางทีก็เกิดคิดในจิตว่า สุขหนอ สุขหนอ สุขหนอ เพราะเมื่อภาระทางโลกเบาลง มันเลยเกิด สุขหนอ สุขหนอ จริงๆครับ
กิเลสแต่ล่ะตัวเมื่อเกิดขึ้น จะมีเครื่องแก้ตามมา ขึ้นอยู่กับนิสัยวาสนาของแต่ล่ะคน ว่าจะได้เครื่องแก้รูปแบบไหน อย่างของผมหนักทางราคะจริต ตอนนี้ได้เครื่องแก้ก็คลายลง หลังจากนั้นโมหะจริตก็ตามมา พอเกิดเครื่องแก้ก็ตามมา ก็เบาลง พอผ่าน 2 ตัวนี้ กลับย้อนมาเกิด สักกายะทิฐิ เกิดขึ้นซะงั้น แต่เครื่องแก้คือปัญญา ก็จะเกิดความรู้ตามมา ให้พิจารณาถึงวิธีการและแนวทางในการแก้ไข
ครูอาจารย์ส่วนใหญ่เมื่อตอนแรกๆก็จะเป็นเหมือนๆกับเราครับ บางท่านใช้เวลาหลายปีมาก สำคัญสุดคือไม่ท้อ ต้องค่อยๆทำความเพียรไป รู้จักหลบ รู้จักผ่อนหนักผ่อนเบาไป ผมเชื่อว่าทุกคนจะเกิดอาการท้อ แต่เมื่อท้อแล้ว สิ่งที่สะสมมา คือ ผู้ที่ได้เคยเห็นทุกอริยสัจ ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ จะเกิดมานะ แล้วกลับมาเร่งความเพียรใหม่ ปัญญาความรู้จะเกิดขึ้นตามมา แม้จะยังวนซ้ำไปมา แต่ในที่สุดจะหลุดพ้นไปได้ครับ
หลังจากลาออกจากงานตอนนี้ปฏิบัติธรรมที่บ้านหรือที่วัดครับ เป็นอย่างไรบ้าง นานๆก็เข้ามาเล่าให้เพื่อนๆในห้องนี้ฟังบ้างสิครับ (ไม่ต้องเล่าบ่อยก็ได้ ^_^)
ผมเคยทำงานบริษัทอยู่แค่3ปี ตอนนั้นยังภาวนาไม่เป็นเท่าไร ทำแต่สมาธิอย่างเดียว พอมาทำงานก็เครียดไม่ค่อยได้ปฏิบัติในชีวิตประจำวันเท่าไร พอว่างถึงจะได้ไปอยู่วัดไปอยู่วัดแล้วก็ยังภาวนา(เจริญปัญญา)ไม่เป็น
แต่พอเราภาวนาไปเรื่อยๆพอเข้าใจแล้วทีนี้ง่ายครับ จะอยู่ที่ไหนไม่สำคัญๆที่เราจะเข้มงวดต่อตัวเองหรือป่าวเท่านั้น อยู่วัดกับครูบาอาจารย์ก็ดีตรงที่ไม่กล้าขี้เกียจ พอกลับมาบ้านก็ขี้เกียจเหมือนเดิม ฮา ปีที่เเล้วตั้งใจจะไปอยู่วัดให้ได้10เดือน เวลาทำจริงได้แค่4เดือน ปีนี้เลยไม่กล้าตั้งเป้า (แต่ว่าตั้งแต่ต้นปีปีนี้ไปอยู่วัดมาแล้ว1เดือน น่าจะได้เยอะกว่าปีที่แล้ว)
มรณฺง เม ภวิสฺสติ ความตายจักมีแก่เรา
- tum_H
- Verified User
- โพสต์: 1857
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 737
cobain_vi เขียน:หลังจากลาออกจากงานตอนนี้ปฏิบัติธรรมที่บ้านหรือที่วัดครับ เป็นอย่างไรบ้าง นานๆก็เข้ามาเล่าให้เพื่อนๆในห้องนี้ฟังบ้างสิครับ (ไม่ต้องเล่าบ่อยก็ได้ ^_^)
ผมเคยทำงานบริษัทอยู่แค่3ปี ตอนนั้นยังภาวนาไม่เป็นเท่าไร ทำแต่สมาธิอย่างเดียว พอมาทำงานก็เครียดไม่ค่อยได้ปฏิบัติในชีวิตประจำวันเท่าไร พอว่างถึงจะได้ไปอยู่วัดไปอยู่วัดแล้วก็ยังภาวนา(เจริญปัญญา)ไม่เป็น
แต่พอเราภาวนาไปเรื่อยๆพอเข้าใจแล้วทีนี้ง่ายครับ จะอยู่ที่ไหนไม่สำคัญๆที่เราจะเข้มงวดต่อตัวเองหรือป่าวเท่านั้น อยู่วัดกับครูบาอาจารย์ก็ดีตรงที่ไม่กล้าขี้เกียจ พอกลับมาบ้านก็ขี้เกียจเหมือนเดิม ฮา ปีที่เเล้วตั้งใจจะไปอยู่วัดให้ได้10เดือน เวลาทำจริงได้แค่4เดือน ปีนี้เลยไม่กล้าตั้งเป้า (แต่ว่าตั้งแต่ต้นปีปีนี้ไปอยู่วัดมาแล้ว1เดือน น่าจะได้เยอะกว่าปีที่แล้ว)
สวัสดีครับ พี่ cobain_vi ผมว่าคนที่หายไปนานน่าจะเป็นพี่มากกว่านะครับ 555
ตลอดระยะเวลา 13 ปีของการทำงาน ผ่านเรื่องราวและผู้คนมามากมาย ทำให้เราเห็นโลกได้กว้างขึ้น มากๆครับ จนสุดท้ายก็ถึงวันที่เรารู้สึกว่าพอ และอยากทำในสิ่งที่ประเสริฐที่สุดแทนครับ
หลังจากที่ลาออกมาแล้ว ก็เลยถือโอกาสเอาเวลามาพิจารณาตนเอง ว่าแท้ที่จริงแล้ว เราเป็นคนประเภทไหนกันแน่ การมุ่งไปมรรคผลนิพพาน เส้นทางที่เราเดินไปติดขัดและมีอุปสรรคตรงไหนบ้าง เมื่อก่อนจะติดเรื่องของเขาและเรื่องของเรา แต่ตอนนี้เหลือเรื่องที่ยากสุดคือ การชนะใจตนเอง
หลังจากออกมาแล้ว เลยสมาทานศีล 5 และตั้งใจรักษาให้เป็นปรกติอยู่เสมอ แต่ก็จะพ่วงการทดลองศีล 8 บางข้อไปในตัว คือ ทานข้าวก่อนเที่ยง(มื้อเดียว) แค่นั้น ถึงตอนนี้ก็ยังคงรักษาวัตรปฏิบัตินี้ได้ และรู้สึกว่าจิตใจเบาขึ้นเยอะเลยครับ เพราะไม่มีภาระทางการงานที่หนักอึ้งเหมือนเมื่อก่อน เลยทำได้ง่ายขึ้นมากครับ ในไม่ช้าคงได้ไปฝึกปฏิบัติที่วัดเหมือนพี่ cobain_vi ล่ะครับ เพราะตอนนี้ถือว่าการเตรียมตัวค่อนข้างพร้อม
จริงๆแล้วหลังออกจากงานทำให้เรารู้เลยว่า เราควรเป็น พระป่า หรือ พระบ้าน เพราะคนที่ฝึกได้ที่บ้านจริงๆต้องเป็นคนที่มีความเพียรอย่างมาก ต้องมากจริงๆครับ เพราะต้องข่มสิ่งที่กระทบรอบข้างให้ได้ สิ่งเร้าต่างๆเหล่านี้ถือเป็นขวากหนามที่สำคัญมากสำหรับผม ความสบายจนเกินไป ก็ทำให้เกิดความหย่อนในการปฏิบัติได้เช่นกันครับ
ตอนนี้ผมได้มีโอกาสเน้น ทาน และ ศีล ควบคู่ไปกับการปฏิบัติ โดยเฉพาะเรื่องของทาน ได้มีโอกาสไปทำบุญ กับพ่อแม่ครูอาจารย์หลายๆที่ ได้ถวายทั้งเงินและทองคำ ร่วมสร้างศาลาบ้าง วิหารบ้าง เจดีย์บ้าง พระพุทธรูปทองคำบ้าง ตามกำลังของตนและไม่อยู่ในภาวะที่ทำให้ตนลำบาก พอให้ทานเป็นปรกติ การรักษาศีลก็ยิ่งง่าย เพราะเราตัดความยึดมั่นถือมั่น ในของรักของเราไปได้ พรหมวิหาร ก็เกิด โทสะผ่อนคลาย ศีลก็เป็นปรกติ เวลาภาวนานิวรณ์เครื่องเศร้าหมองก็เบาบาง เพราะมีศีลรักษา มีทานเป็นตัวระงับ
เมื่อทำแบบนี้ ทำให้สิ่งที่เราต้องการทำลายคือ ทิฐิมานะ ความยึดมั่นถือมั่น คลายลงไปด้วยพรหมวิหาร พอมาถาวนาก็เริ่มรู้สึกเบา แต่ยังคงต้องค่อยๆดำเนินไปตามลำดับ ไม่ตึงไม่หย่อนจนเกินไป เอาที่เป็นกลาง ใจสบายและกายเบาครับ
พอได้ไปทำทาน อานิสงค์อย่างหนึ่งที่ได้รับทันทีคือ การได้พบพ่อแม่ครูอาจารย์ในหลายๆภูมิ ทั้งภูมิต้นคือ พระโสดา สกิทา และภูมิสูงคือ อนาคา อรหันต์ หากถามว่ารู้ได้อย่างไร คงตอบยาก เพราะเราก็ได้ฟังจากคนที่ใกล้ชิดท่านเล่ามาอีกทางหนึ่ง แต่สิ่งหนึ่งที่เราทำได้คือ การเทียบเคียงจากพระบาลี เวลาสนทนาธรรม ตอนท่านเทศน์ และจากกิริยาอาการครับ แต่ข้อนี้ผมเป็นคนที่ชอบเรื่องแนวพิศดานเป็นการส่วนตัวมากๆ เลยอยากให้ทุกคนทำใจเป็นกลาง และข้ามเรื่องนี้ไปครับ
อย่างที่ว่า มีโอกาสได้สนทนากับภูมิต้นๆค่อนข้างมาก เพราะท่านจะอยู่ในช่วงของความอัศจรรย์ใจ อยากพูดคุย ผมยังจำได้เหมือนเมื่อตอนผมได้ญาฌครั้งแรก เป็นความอัศจรรย์ที่สุดในชีวิต อาการอยากเล่าเลยตามมาเยอะเลยครับ เล่าให้อาจารย์ฟังท่านว่า เรื่องแค่นี้มันจิ๊บๆ เหมือนเนื้อติดฟัน ถัดจากขั้นนี้ยิ่งมหัศจรรย์พันลึกมาก พูดไปก็อาย เหมือนแสงหิ่งห้อย ไปเทียบแสงจันทร์ มีหรือจะสู้ได้ ผมพบว่าแต่ล่ะองค์ท่านต้องใช้มานะแตกต่างกันมาก บางองค์ก็เสียจริตก่อนกลับมาแก้ไขตนจนเวทนาดับ บางองค์ก็ได้ดวงตาเห็นธรรมตั้งแต่เป็นฆราวาส และบางองค์ไม่ได้ฝึกปฏิบัติอะไรเลย เพียงแค่รักษาศีลให้เป็นปรกติ ผ่านไปเป็นสิบปี ได้ฟังธรรมครั้งเดียว ก็ได้ดวงตาเห็นธรรมก็มี พอได้ฟังครูอาจารย์เล่าแล้วมันเกิดความหึกเหิม แล้วเป็นรุ่นที่อายุห่างจากเราไม่มาก เลยทำให้ซักถามได้ระเอียดมากขึ้นครับ
หลายๆอย่างเช่น อุปจาระ กับ อัปปนาสมาธิ บางทีในตำราที่เขียนไว้ กับเวลาเจอของจริง เราจะพบเองเลยว่า จริงๆแล้วสมาธิมีทั้งความมืดและสว่าง ความสงบในความมืดและความสงบในความสว่าง เมื่อได้มีโอกาสถามผู้ที่เคยผ่านมาก่อน จะทำให้ข้อสงสัยต่างๆที่เรามี ถูกแก้ไขได้ง่ายยิ่งขึ้นครับ วิธีการวัดระดับสมาธิของตนเองที่ง่ายสุดคือ เวลาสวดมนต์ครับ สวดแล้วจิตไม่วอกแวก เวลาภาวนาก็จะเหมือนกัน แต่ถ้าตรงกันข้าม เวลาภาวนาก็ออกข้างเหมือนกันครับ
ตอนทำบุญกับท่านพระอาจารย์จันทร์เรียน วัดถ้ำสหาย ได้ฟังเทศน์จากท่าน ท่านว่า คนมันไม่เอาจริง มันมาบวช มันก็เอาของจากบ้านทุกอย่างติดตัวมาด้วย มันไม่ยอมทิ้งทุกอย่างก่อนบวช ภาวนามันก็ไม่ไปไหน เพราะมันไม่ยอมทิ้ง มันไม่เอาจริง พอได้ฟังก็สะอึกเลยครับ โดนตัวเองตรงๆ เพราะขาดความเอาจริงและความเพียรพยายาม ความก้าวหน้าเลยมีน้อยครับ ท่านว่า ต้องทำบ่อยๆ เหมือนเดินผ่านดงหญ้า เดินผ่านบ่อยๆ หญ้าที่รก ก็ราบเรียบได้เช่นกันครับ
ตามที่พระพุทธเจ้าสอนในพระธัมมจักร ว่า ความทะยานอยากนี้ใดทำความเกิดอีก เมื่อเราได้มาลองปฏิบัติจริงๆ เราจะพบเห็นเองเลยว่า เจ้าตัวนี้เองที่สร้างภพชาติให้เรา ยิ่งปฏิบัติมากเท่าไหร่ เราจะยิ่งเห็นความละเอียดของกิเลศมากยิ่งขึ้น กิเลศเขาจะพลิกแพลงทุกกลยุทธ์เพื่อให้เราอยู่กับเขา จนสุดท้ายเราจะพบว่า ไม้ตายสุดท้ายของกิเลศที่จะใช้เล่นงานเราก็คือ ขันธ์ 5 นั่นเองครับ
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 358
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 738
ผมนึกว่าคุณ tumH ไปอยู่วัดเสียอีก
การปฏิบัติถ้าทำถูกไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ปฏิบัติได้ แต่อยู่ที่วัดข้อดีคือไม่ค่อยมีคนรบกวน จะทำให้ภาวนาง่ายโดยเฉพาะการละกิเลสอย่างหยาบขึ้นไปจนถึงกิเลสอย่างละเอียด
เดี๋ยวนี้ผมเห็นคนเข้าใจผิดกันมากเรื่องทำทาน คือแทนที่จะถือศีล ทำสมาธิ แล้วเจริญปัญญาก่อน กลับทำทานก่อน เปรียบเหมือนแทนที่จะกินอาหารหลักก่อนดันไปกินอาหารเสริม บางคนก็ตั้งหน้าตั้งตาทำแต่ทาน ศีล5กลับละเลยไม่ใส่ใจ
การปฏิบัติภาวนาที่แท้จริงนั้นต้องเริ่มจากศีล5เป็นพื้นแล้วค่อยฝึกสมาธิเจริญปัญญา ส่วนทานถ้ามีโอกาสเมื่อไรค่อยทำ มันไม่จำเป็นที่จะต้องรีบทำ (หมายถึงทานที่ต้องควักกระเป๋าจ่ายเงิน) มันกลับหัวกลับหางไปหมด ถ้าเราพิจารณาให้ดีจะพบว่าศีล5คือการละเว้นทำความเบียดเบียนผู้อื่นทางกาย วาจา ส่วนการงดเบียดเบียนตัวเองต้องรักษาศีล8 ส่วนการเบียดเบียนทางใจซึ่งเกิดขึ้นตลอดเวลาต้องฝึกทำสมาธิ(เคยเห็นไหมครับ เดี๋ยวก็หลง เดี๋ยวก็รู้ เดี๋ยวก็ปรุง เกี๋ยวก็ไปสร้างภพ) ถ้าอยากหลุดพ้นก็ต้องเจริญปัญญา การตั้งใจรักษาศีล5ท่านว่าจะทำให้เรากลับมาเป็นมนุษย์ข้อนี้มันก็จริงแต่ไม่ถูกเสียทั้งหมดถ้าเรารักษาศีล5มาตั้งแต่เกิดจนตายแบบนี้ได้แน่ แต่ความเป็นจริงเราไม่เคยรักษากันเลยพอใกล้ตายเพิ่งจะมาสนใจ ทำชั่วมาเป็นสิบๆปีมารักษาศีลกันปีสองปี แล้วบอกว่าเรารักษาศีล5คงไม่ตกนรกแล้วมั้ง จริงๆมันก็ดีแต่มันช้าไปหรือป่าว?
เวลาตายบางทีเวทนาทางกายเกิดขึ้นมาแรงๆมันเอาไม่อยู่นะครับ ต้องฝึกสมาธิ ถ้าเจริญปัญญาด้วย อาจจะทำให้พ้นอบายได้ ต้องไปวัดกันเวลาใกล้ตายนั้นแหละ
เคยสังเกตุเห็นหมาแมวจิ้งจกตุ้กแกหรือสัตว์อื่นๆไหมครับมันหลงสุดขีด หลงจนไม่รู้ว่ามันเป็นตัวอะไร
เรื่องการคุยกันเป็นเรื่องที่เดี๋ยวนี้ผมพยายามหลีกเลี่ยง ไม่ค่อยอยากเล่าอะไรมาก เล่าไปมีแต่เสีย คนไม่รู้มาฟังมันก็ไม่รู้อยู่ดี บางทีก็เหมือนอวด ผมเคยโดนหลวงปู่ดุ (ไม่รู้ท่านรู้ได้อย่างไร หลวงปู่นี่สุดยอดจริงๆ ไว้หลวงปู่ไม่อยู่ผมจะมาเล่าให้ฟัง )เลยไม่ค่อยอยากเล่าเท่าไร ยิ่งเล่าในโซเชียลคนหมู่มากยิ่งอันตราย ถ้าอยากเล่าไว้ไปเล่าให้ครูบาอาจารย์ฟังดีกว่า ผมเคยเล่าเรื่องภาวนาให้หลวงปู่ฟังยังโดนท่านดุเอาเลยท่านว่าตัวเราเองภาวนาเป็นอย่างไรไม่รู้เหรอ จะต้องไปเล่าให้คนโน้นคนนี้ฟัง หลวงปู่ท่านดุจริงๆ เคยมีพระถามว่าระหว่างหลวงปู่JRกับหลวงปู่Bใครดุกว่ากัน ผมเคยไปอยู่มาทั้ง2ท่าน ตอนแบบไม่ลังเลเลยว่าหลวงปู่B(ที่อยู่สกลฯ)ดุกว่าเยอะ ขนาดลากลับบ้านยังโดนดุ ท่านว่ามาไม่ทันไรจะกลับอีกแล้ว(ผมอยู่ทีนึงเป็นเดือนยังโดนเลย) เวลาจะลาท่านกลับต้องรอให้คนเยอะๆเเล้วรีบเข้าไปลาท่าน ถ้าคนน้อยๆท่านจะซัก กลับไปทำอะไร ยังไง กลับไปสามวันก็พอแล้วฯลฯ
คนที่เก่งจริงๆมักไม่ค่อยอวดครับคนที่ภาวนากระยองกะเเยง(อย่างผม)เนี่ยชอบอวดชอบคุย
ตอนนี้ผมบอกแม่แล้วว่าจะบวชแม่ก็เห็นดีด้วยแกว่าจะไปบวชอยู่กับผมด้วย ผมเลยบอกให้แม่ขายบ้าน ขายที่ดินให้หมด แต่ตอนนี้ยังขายไม่ได้ไม่รู้เมื่อไรแล้วแต่เวรแต่กรรมแหละครับ ถ้าขายได้ก็จะไปทำบุญสร้างรพ.40% อีก60%ให้แม่เก็บไว้ทำบุญสร้างวัดสร้างกุฎิ เพราะอีกหน่อยจะมีพระมาอยู่กับผมเยอะ ตัวผมไม่ต้องการอะไร เพราะเคยบวชมาแล้ว อยู่ได้สบาย
อาการปวดหลังก็ดีขึ้นมากๆ เป็นมาสิบปีแล้วปกติปวดตลอด24ชม.ยกเว้นตอนหลับ ตอนเป็นแรกๆบางทีก็เดินไม่ได้ ตั้งแต่อธิษฐานขอบวช อาการก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ค่อยมีความหวังขึ้นมาว่าจะต้องได้บวชแน่ๆ ถ้ายังปวดอยู่แล้วไปบวชผมกลัวจะเป็นภาระให้พระท่านอื่น ผมทำตามนี้ครับ
https://youtu.be/aUnLDZwidME
ทำครั้งแรกก็ดีขึ้นเลย เมื่อก่อนเที่ยวไปรักษาทั่ว ไม่หายหมดเงินหมดทองกันไม่รู้เท่าไร พอเจอคลิปนี้ดีขึ้นมากๆเลย แล้วก็ไปปล่อยปลาปล่อยสัตว์ที่เค้าจะโดนฆ่าตามตลาด ปีนี้แค่สองเดือนผมช่วยสัตว์ไปหมื่นกว่าชีวิตแล้วครับ หลวงปู่ท่านทำบ่อยผมเลยทำตามท่าน ใครที่ปวดหลังหรือเป็นโรคอื่นลองทำตามผมดูนะครับ ทำให้อาการป่วยดีขึ้นจริงๆ
อาการปวดหายไปเยอะเเล้ว เหลือเรื่องขายที่ขายบ้านนี่แหละ ถ้าหมดภาระเมื่อไรก็จะบวชเลย
ใจผมมันไม่เอาเรื่องทางโลกแล้วครับ อยู่ๆไปอย่างนั้นไม่เห็นมีอะไร เมื่อก่อนลำบากมากเดี๋ยวนี้ผมสบายสุดแสนสบาย เงินทองมีเยอะขึ้นเรื่อยๆ อยากไปไหนก็ได้ไปอยากกินอะไรก็ได้กินแรกๆก็เหมือนจะสุข เพราะไม่เคยมีแบบเค้า เดี๋ยวนี้เฉยๆไม่เห็นจะสุขตรงไหนเลย ใจมันนึกถึงแต่ตอนที่ลำบากเข็ดขยาดกับชีวิตที่ผ่านมา ไม่เอาอีกเเล้วครับลำบากเหลือเกิน ทำงานตั้งแต่เด็กๆ โดนเค้าใช้เพราะเป็นหลานผู้ชายคนโต ใครๆก็ใช้ ใช้กันทั้งบ้านลุงป้าน้าอาปู่ย่าตายายแม้แต่คนข้างบ้านก็ยังใช้ยังวานให้ทำโน่นทำนี่ จำได้ดีไม่เคยลืมเลย ตั้งแต่ประถม พออยู่ม1 เวลาจะกลับบ้านหลังเลิกเรียนก็ต้องปั่นจักรยานไปเอาอาหารกุ้ง(เมื่อก่อนที่บ้านเลี้ยงกุ้งก้ามกราม)ใส่ท้ายจักรยานไปด้วยหนัก50กก เราตัวจิ้ดเดียวปั่นกลับบ่อกุ้ง6กม ทางเมื่อก่อนก็ไม่ดีเป็นทางลูกรัง บางทีก็กระเด้งอาหารกุ้งหล่น เราก็ต้องยกขึ้นท้ายจักรยาน ยกเเทบไม่ไหว บางทีก็ล้มทุเรศทุรัง กว่าจะถึงบ่อ ถึงแล้วก็ต้องแบกใส่บ่ายกไปที่กระท่อมแล้วก็ช่วยแม่หว่านอาหารกุ้ง ทำแบบนี้ทุกวันสามปี พออยู่ม.ปลายย้ายไปอยู่ระยอง แม่ไปทำไร่มัน ไร่สับปะรด เมื่อก่อนไม่มีรถยนต์เป็นของตัวเองก็ต้องจ้างเค้า บางทีเค้าก็ต้องทำของเค้าก่อน คนงานที่หาไว้เค้ารอไม่ไหวก็ไปทำที่ไร่คนอื่น พอรถยนต์ว่างคนงานก็ไม่อยู่แล้วก็ต้องทำกันสองคนแม่ลูก ตัดเองถอนเอง แบกเอง ทำสามสิบไร่แบกกันหลังแทบหัก บางทีทำไม่ทันสับปะรดก็เน่า เสียหายขาดทุนอีก จบม.ปลายเอ็นทรานส์ติดเเต่ไม่ได้เรียนก็ต้องทำงาน ทำทุกอย่างสารพัด ไปซื้อรถมือสองผ่อนเดือนละ6000กว่าบาท วิ่งกันล้อแทบหลุด เดี๋ยวเดือนๆ หาเงินผ่อนรถต่อ ไปหาเม็ดมะม่วงหิมพานต์ออกจากระยองตีห้า วิ่งไปชุมพร แล้วตีรถไปกาญจนบุรีกว่าจะถึงบ้านสี่ห้าทุ่ม แทบทุกวันชีวิตอยู่แต่บนถนน พอเอนทรานส์ใหม่คราวนี้ได้เรียนเลยไปหาที่ขายของลองขายไปเรื่อยๆ เอาขนุนสัประรดไปขาย ตลาดสี่มุมเมือง ตลาดรถไฟศิริราชก็เคยขายขายตรงท่ารถไฟตรงข้ามสถานีตำรวจ(เดี๋ยวนี้รื้อไปแล้ว) ยุงก็กัด นอนหน้ารถไม่ได้อาบน้ำทีนึงหลายวัน สุดท้ายไปได้ที่ขายของตรงตลาดบางชันมีนบุรี เช่าห้องพักแถวนั้นแหละเป็นตึกแถว ห้องแบบเล็กๆประมาณ3x4เมตรได้ นอนสองคนกับแม่ เเทบกระดิกขยับไปไหนไม่ได้เลยห้องมันเล็กมากๆ ห้องน้ำรวม (เค้าเอาไม้อัดมาซอยเป็นหลายๆห้องเช่าเดือนนึง400บาท) ขายจนเรียนจบ ก็ไม่ได้สบายกับเค้าเสาร์อาทิตย์ไม่มีเรียนก็ต้องขับรถไปหาซื้อขนุนตามไร่มาให้แม่แกะขาย ตัดเองปีนเองแบกเอง บางทีปีนขึ้นไปเจอมดแดงกัด ก็ต้องกระโดดลงมาดีที่ขาไม่หัก(ฮา บ่อยเลยครับมดแดงกัดเนี่ย) กว่าจะเรียนจบได้ จบแล้วระหว่ารองานก็ไปขายของตามตลาดนัดกับแม่ นัดเช้านัดบ่ายยกของขึ้นลง ลำบากจริงๆ กระดูกสันหลังเลยคด หมอนรองกระดูกไม่เหลือเเล้วครับ
ชีวิตผมนี่มันทุกข์ทรหดจริงๆ ผ่านอะไรมาเยอะ เดี๋ยวนี้สบายก็จริงแต่มันไม่เคยลืมถึงความลำบากที่ผ่านมาเลย
เล่าชีวิตมาซะยาว มาได้ไงก็ไม่รู้ คุยเรื่องธรรมะอยู่ดีๆ ฮา
ผมนี่เวลาไปอยู่วัดแล้วไม่อยากกลับบ้าน แต่ยังมีภาระต้องมาดูสวนยาง แม่ก็เริ่มอายุมากเข้ารพกันแทบทุกเดือน
เรื่องการภาวนาเนี่ยเวลาเจอสภาวะอะไรอย่าไปเชื่อมันนะครับ บางทีเป็นกิเลส เป็นอาการของสมาธิก็มี ต้องอาศัยครูบาอาจารย์คอยชี้เเนะ ถ้าห่างท่านก็ต้องคอยสังเกตุแยบคาย บางทีอะไรขึ้มาแว้บๆก็คิดว่าได้โสดาแล้วมั้ง บางทีอยู่วัดนานๆพิจารณาอสุภะกามหายไปเลยแล้วก็คิดว่าได้อนาคาก็มี ครูบาอาจารย์จะเป็นที่พึ่งให้เรา แต่ถ้าไม่แน่ใจในครูบาอาจารย์ก็ไปถามหลายๆที่ครับ ผมเห็นเยอะเลยพอสนใจเข้าวัดก็ไปมันวัดเดียวไม่เคยเปรียบเทียบ เค้ายัดเค้าสอนอะไรมาก็เชื่อหมด บางทีก็โดนหลอกให้ทำบุญควักกระเป๋าหมดเงินหมดทอง บุญจากทานก็ไม่ได้จริงเพราะไปทำกับพวกอลัชชี โดนหลอกให้ภาวนาผิดๆอีก ซวยจริงๆ น่าสงสารมาก จะเข้าวัดทั้งทีครูบาอาจารย์ดีๆเยอะแยะไม่ไป ดันไปหาพวกอลัชชี ปีที่แล้วเจอมากับตัว ไปอยู่กับหลวงพ่อท่านนึงกันดารมากไฟฟ้า สัญญาณโทรศัพท์ก็ไม่มี พักภาวนาอยู่หลายวัน วันนึงมีพวกปั่นจักรยานขับรถขึ้นมามาใส่บาตร พอได้เวลากินข้าวเราก็ชวนเค้าตามมารยาท ผมก็กินไปคนเดียวเงียบๆแกคงฟุ้งมากมาเทศน์ให้ผมฟังทั้งๆที่ผมกำลังกินข้าวพูดมันอยู่นั่นแหละไม่มีใครถามก็พูดคนเดียว เราก็ไม่กล้าขัดเค้าปล่อยให้แกเล่าไปฟังดูก็รู้ว่าเรียนมาจากไหน เพ่งอย่างเดียวอยากไปสวรรค์ก็เพ่ง อยากไปนิพพานก็เพ่งเอา แกบอกถ้าไปสวรรค์ก็ต้องทำทานเยอะๆเดี๋ยวหมดบุญมาจะได้เสวยบุญต่อ เป็นเศรษฐีเลย ผมฟังไปสงสารไป จะบอกจะสอนเค้าก็ไม่ใช่เรื่อง ก็ปล่อยไป ดูอาชีพการงานก็ดี มีจักรยานแพงๆขี่แต่ซวยสุดขีดไปเรียนกับพวกอลัชชีเข้า เวรจริงๆ
มีหลายอย่างครับกิเลสมีหยาบมีละเอียด ไม่ติดตรงนี้ก็ไปติดตรงโน้น บางคนยังไม่ได้โสดาเลย อยากจะละกาม ละเท่าไรก็ไม่ได้ เพราะมันคนละชั้นกัน
...
มาคิดดูก็แปลก
พระโสดาบันเห็นร่างกายไม่ใช่เรา จิตและเจตสิกก็ไม่ใช่เรา เห็นแค่นี้
กิเลสประเภทกามก็เห็นแล้วว่ามันมาแล้วก็ไปแต่ทำไมทำลายมันไม่ได้ทั้งๆที่ก็เห็นแล้วว่ามันเกิดขึ้นมาแล้วก็ดับไปไม่ใช่ตัวตน เป็นสิ่งไร้สาระ ลอยๆมาแล้วก็หายไป ทำไมเวลากามเกิดแล้วกลับต้องอยู่ในอำนาจมัน
เวลากามเกิดนี่มันเป็นเรื่องของนามธรรมทั้งนั้นไม่ได้เกี่ยวกับกายตรงไหน ไม่ใช่ว่าต้องเห็นผู้หญิงสวยๆแล้วกามราคะถึงจะเกิด ไม่ต้องเห็นไม่ต้องได้ยิน อยู่คนเดียวแท้ๆเลยกามยังเกิดขึ้นได้(สังเกตุกันไหมครับ จิตมันถูกห่อหุ้มด้วยกาม มันมีกามผสมอยู่ตลอดเวลาเพียงแต่เราไม่รู้ เวลามีอะไรมากระตุ้นอายตนะทั้ง6 มันก็ปรุงกามทันทีเพราะมันเป็นของเก่า ทางเก่าๆที่เราคุ้นเคย)แถมก็เห็นแล้วว่าเดี๋ยวมันก็ดับไป แค่เห็นแค่นี้ก็น่าจะพอเข้าใจได้แล้วนี่ แต่ทำไมต้องกระวนกระวายหงุดหงิดเมื่อไม่ได้เสพย์ ไม่ได้สนองมัน
ดูสาวๆสวยๆเผินๆแหมสวยจริง พอดูให้ละเอียดโอ้โห สกปรกจะตาย มองทะลุหนังลงไปเห็นแต่เนื้อ เลือดไหลเวียนอยู่ข้างใน ตับไตใส้พุง ลำไส้เป็นขดๆ มีขี้เต็มเลย ลึกลงไปก็เห็นแต่กระดูก ไม่เห็นสวยตรงไหน เป็นโครงกระดูกกันทั้งนั้น เอาโครงกระดูกมาเรียงกันไม่เห็นมีใครสวยเลยเสมอกันหมดไม่เห็นให้ค่าความสวยเลย ปากก็เหม็น เนื้อตัวลองไม่ได้อาบน้ำสัก10ชม.แค่นี้แหละไม่ต้องหลายวันหรอก เหม็นจะตาย ตดมาทีนึงก็เหม็น ลองเข้าไปดูในส้วมสิ ขี้ก็เหม็น ร่างกายเก็บของเน่าเหม็นไว้เต็มเลย ภายใต้หนังบางๆนี่มีแต่ของเน่าเหม็น กินอะไรเข้าปากมองเผินๆก็ว่าหอมว่าอร่อย มันเปลี่ยนสภาพปกปิดสภาวะที่แท้จริง อาหารอะไรที่ว่าอร่อยลองเคี้ยวสักทีนึงแล้วคายให้เมียรักเรากินต่อซิ เค้าว่าอร่อยไหม หรือทิ้งไว้สัก10ชม เราไปกินสิกินลงไหม แป้บเดียวก็บูดเน่าแล้ว แล้วเรากลืนลงไปอยู่ในท้องหลายวันมันจะไม่เน่าเหม็นหรือ อวัยะเพศหญิงชาย แหมเวลาเราเห็นนี่กามทำงานเด้งดึ๋งทันทีทั้งๆที่มีแต่ของสกปรกไหลออกมาทั้งนั้น ของเน่าออกมาขนาดนั้นทำไมเรายังเห็นว่าสวย ก่อนเสพย์กามกระวนกระวายจะเป็นจะตายเหม็นแค่ไหนก็หอมก็ดม พอเสร็จกามกิจแล้ว สบ๊ายสบาย เดี๋ยวก็ต้องเสพย์อีก เสพมาเป็นสิบๆปีแล้วไม่เห็นมันได้อะไรเลย ได้อะไรขึ้นมา เสพย์กันมานับภพชาติไม่ถ้วน เวียนตายเวียนเกิดก็เพราะมัน กามนี่เป็นของลึกลับมาก(ผมจำคำพูดของหลวงตามหาบัวมานะครับ)
เค้าบอกว่าพระอนาคามีวางกายได้ กายนี่มันหยาบกว่าจิตนี่ วางกับเห็นนี่มันคนละเรื่องเลย เค้าใช้คำถูกแล้วครับ มันเป็นกิเลสคนละชั้นกัน
ทำไมเราต้องพิจารณา กรรมฐาน5 อาการ32 ฯลฯ ทำไมเราไม่พิจารณากามลงไปเลย ไปอ้อมทำไม พิจารณาตรงๆไปมันทำได้แต่ยากครับ เค้าเลยต้องทำอ้อมๆ ไล่ตีวงเข้ามาๆ ตล่อมเข้ามาจนวางกายได้ เมื่อวางกายได้กามซึ่งเป็นผลจากกายมันก็ขาดไปเอง
....
เรื่องสมาธิกับฌาณนี่ก็อีกเรื่องครับ สงสัยกันจังบางคนก็ท่องนะฌาณ1เป็นอย่างนี้ ฌาณ2 3 4 เป็นอย่างนี้ เวลาทำได้จะรู้เลยว่าแต่ละขั้นๆ 1 ไป2 2ไป3 4 เเต่ละขั้นมันไวมาก บางทีได้3แล้วลงมา1ใหม่ แล้วไล่ไป4 อย่างรวดเร็ว มันไวมากๆครับ ถอยเข้าถอยออก
...
ความสบายเป็นข้าศึกต่อการปฏิบัติภาวนานะครับ ตอนนี้หลายๆคนมีเงินเยอะ ชีวิตสะดวกสบาย แต่สังเกตุไหมว่าการภาวนาของเราทำไมมันไม่ก้าวหน้า บางทีก็ถอยหลัง บางคนถอยหลังสุดๆจนต้องตกนรกแน่ๆ เรื่องจนรวยไม่ได้สำคัญ ต่อการปฏิบัติภาวนาเลย ความรวยมองเผินๆนึกว่าดีถ้าเราทำตัวเหลวไหลยิ่งภาวนาถอยหลังนะครับ ความจนถ้าจนมากๆก็ไม่ดีภาวนาไม่ได้อีกมัวเเต่เครียดเรื่องปากท้อง
นานๆมาทียาวหน่อยนะครับ ^_^ ขาดตกบกพร่องอะไรก็ต้องขอโทษด้วยนะครับ
การปฏิบัติถ้าทำถูกไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ปฏิบัติได้ แต่อยู่ที่วัดข้อดีคือไม่ค่อยมีคนรบกวน จะทำให้ภาวนาง่ายโดยเฉพาะการละกิเลสอย่างหยาบขึ้นไปจนถึงกิเลสอย่างละเอียด
เดี๋ยวนี้ผมเห็นคนเข้าใจผิดกันมากเรื่องทำทาน คือแทนที่จะถือศีล ทำสมาธิ แล้วเจริญปัญญาก่อน กลับทำทานก่อน เปรียบเหมือนแทนที่จะกินอาหารหลักก่อนดันไปกินอาหารเสริม บางคนก็ตั้งหน้าตั้งตาทำแต่ทาน ศีล5กลับละเลยไม่ใส่ใจ
การปฏิบัติภาวนาที่แท้จริงนั้นต้องเริ่มจากศีล5เป็นพื้นแล้วค่อยฝึกสมาธิเจริญปัญญา ส่วนทานถ้ามีโอกาสเมื่อไรค่อยทำ มันไม่จำเป็นที่จะต้องรีบทำ (หมายถึงทานที่ต้องควักกระเป๋าจ่ายเงิน) มันกลับหัวกลับหางไปหมด ถ้าเราพิจารณาให้ดีจะพบว่าศีล5คือการละเว้นทำความเบียดเบียนผู้อื่นทางกาย วาจา ส่วนการงดเบียดเบียนตัวเองต้องรักษาศีล8 ส่วนการเบียดเบียนทางใจซึ่งเกิดขึ้นตลอดเวลาต้องฝึกทำสมาธิ(เคยเห็นไหมครับ เดี๋ยวก็หลง เดี๋ยวก็รู้ เดี๋ยวก็ปรุง เกี๋ยวก็ไปสร้างภพ) ถ้าอยากหลุดพ้นก็ต้องเจริญปัญญา การตั้งใจรักษาศีล5ท่านว่าจะทำให้เรากลับมาเป็นมนุษย์ข้อนี้มันก็จริงแต่ไม่ถูกเสียทั้งหมดถ้าเรารักษาศีล5มาตั้งแต่เกิดจนตายแบบนี้ได้แน่ แต่ความเป็นจริงเราไม่เคยรักษากันเลยพอใกล้ตายเพิ่งจะมาสนใจ ทำชั่วมาเป็นสิบๆปีมารักษาศีลกันปีสองปี แล้วบอกว่าเรารักษาศีล5คงไม่ตกนรกแล้วมั้ง จริงๆมันก็ดีแต่มันช้าไปหรือป่าว?
เวลาตายบางทีเวทนาทางกายเกิดขึ้นมาแรงๆมันเอาไม่อยู่นะครับ ต้องฝึกสมาธิ ถ้าเจริญปัญญาด้วย อาจจะทำให้พ้นอบายได้ ต้องไปวัดกันเวลาใกล้ตายนั้นแหละ
เคยสังเกตุเห็นหมาแมวจิ้งจกตุ้กแกหรือสัตว์อื่นๆไหมครับมันหลงสุดขีด หลงจนไม่รู้ว่ามันเป็นตัวอะไร
เรื่องการคุยกันเป็นเรื่องที่เดี๋ยวนี้ผมพยายามหลีกเลี่ยง ไม่ค่อยอยากเล่าอะไรมาก เล่าไปมีแต่เสีย คนไม่รู้มาฟังมันก็ไม่รู้อยู่ดี บางทีก็เหมือนอวด ผมเคยโดนหลวงปู่ดุ (ไม่รู้ท่านรู้ได้อย่างไร หลวงปู่นี่สุดยอดจริงๆ ไว้หลวงปู่ไม่อยู่ผมจะมาเล่าให้ฟัง )เลยไม่ค่อยอยากเล่าเท่าไร ยิ่งเล่าในโซเชียลคนหมู่มากยิ่งอันตราย ถ้าอยากเล่าไว้ไปเล่าให้ครูบาอาจารย์ฟังดีกว่า ผมเคยเล่าเรื่องภาวนาให้หลวงปู่ฟังยังโดนท่านดุเอาเลยท่านว่าตัวเราเองภาวนาเป็นอย่างไรไม่รู้เหรอ จะต้องไปเล่าให้คนโน้นคนนี้ฟัง หลวงปู่ท่านดุจริงๆ เคยมีพระถามว่าระหว่างหลวงปู่JRกับหลวงปู่Bใครดุกว่ากัน ผมเคยไปอยู่มาทั้ง2ท่าน ตอนแบบไม่ลังเลเลยว่าหลวงปู่B(ที่อยู่สกลฯ)ดุกว่าเยอะ ขนาดลากลับบ้านยังโดนดุ ท่านว่ามาไม่ทันไรจะกลับอีกแล้ว(ผมอยู่ทีนึงเป็นเดือนยังโดนเลย) เวลาจะลาท่านกลับต้องรอให้คนเยอะๆเเล้วรีบเข้าไปลาท่าน ถ้าคนน้อยๆท่านจะซัก กลับไปทำอะไร ยังไง กลับไปสามวันก็พอแล้วฯลฯ
คนที่เก่งจริงๆมักไม่ค่อยอวดครับคนที่ภาวนากระยองกะเเยง(อย่างผม)เนี่ยชอบอวดชอบคุย
ตอนนี้ผมบอกแม่แล้วว่าจะบวชแม่ก็เห็นดีด้วยแกว่าจะไปบวชอยู่กับผมด้วย ผมเลยบอกให้แม่ขายบ้าน ขายที่ดินให้หมด แต่ตอนนี้ยังขายไม่ได้ไม่รู้เมื่อไรแล้วแต่เวรแต่กรรมแหละครับ ถ้าขายได้ก็จะไปทำบุญสร้างรพ.40% อีก60%ให้แม่เก็บไว้ทำบุญสร้างวัดสร้างกุฎิ เพราะอีกหน่อยจะมีพระมาอยู่กับผมเยอะ ตัวผมไม่ต้องการอะไร เพราะเคยบวชมาแล้ว อยู่ได้สบาย
อาการปวดหลังก็ดีขึ้นมากๆ เป็นมาสิบปีแล้วปกติปวดตลอด24ชม.ยกเว้นตอนหลับ ตอนเป็นแรกๆบางทีก็เดินไม่ได้ ตั้งแต่อธิษฐานขอบวช อาการก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ค่อยมีความหวังขึ้นมาว่าจะต้องได้บวชแน่ๆ ถ้ายังปวดอยู่แล้วไปบวชผมกลัวจะเป็นภาระให้พระท่านอื่น ผมทำตามนี้ครับ
https://youtu.be/aUnLDZwidME
ทำครั้งแรกก็ดีขึ้นเลย เมื่อก่อนเที่ยวไปรักษาทั่ว ไม่หายหมดเงินหมดทองกันไม่รู้เท่าไร พอเจอคลิปนี้ดีขึ้นมากๆเลย แล้วก็ไปปล่อยปลาปล่อยสัตว์ที่เค้าจะโดนฆ่าตามตลาด ปีนี้แค่สองเดือนผมช่วยสัตว์ไปหมื่นกว่าชีวิตแล้วครับ หลวงปู่ท่านทำบ่อยผมเลยทำตามท่าน ใครที่ปวดหลังหรือเป็นโรคอื่นลองทำตามผมดูนะครับ ทำให้อาการป่วยดีขึ้นจริงๆ
อาการปวดหายไปเยอะเเล้ว เหลือเรื่องขายที่ขายบ้านนี่แหละ ถ้าหมดภาระเมื่อไรก็จะบวชเลย
ใจผมมันไม่เอาเรื่องทางโลกแล้วครับ อยู่ๆไปอย่างนั้นไม่เห็นมีอะไร เมื่อก่อนลำบากมากเดี๋ยวนี้ผมสบายสุดแสนสบาย เงินทองมีเยอะขึ้นเรื่อยๆ อยากไปไหนก็ได้ไปอยากกินอะไรก็ได้กินแรกๆก็เหมือนจะสุข เพราะไม่เคยมีแบบเค้า เดี๋ยวนี้เฉยๆไม่เห็นจะสุขตรงไหนเลย ใจมันนึกถึงแต่ตอนที่ลำบากเข็ดขยาดกับชีวิตที่ผ่านมา ไม่เอาอีกเเล้วครับลำบากเหลือเกิน ทำงานตั้งแต่เด็กๆ โดนเค้าใช้เพราะเป็นหลานผู้ชายคนโต ใครๆก็ใช้ ใช้กันทั้งบ้านลุงป้าน้าอาปู่ย่าตายายแม้แต่คนข้างบ้านก็ยังใช้ยังวานให้ทำโน่นทำนี่ จำได้ดีไม่เคยลืมเลย ตั้งแต่ประถม พออยู่ม1 เวลาจะกลับบ้านหลังเลิกเรียนก็ต้องปั่นจักรยานไปเอาอาหารกุ้ง(เมื่อก่อนที่บ้านเลี้ยงกุ้งก้ามกราม)ใส่ท้ายจักรยานไปด้วยหนัก50กก เราตัวจิ้ดเดียวปั่นกลับบ่อกุ้ง6กม ทางเมื่อก่อนก็ไม่ดีเป็นทางลูกรัง บางทีก็กระเด้งอาหารกุ้งหล่น เราก็ต้องยกขึ้นท้ายจักรยาน ยกเเทบไม่ไหว บางทีก็ล้มทุเรศทุรัง กว่าจะถึงบ่อ ถึงแล้วก็ต้องแบกใส่บ่ายกไปที่กระท่อมแล้วก็ช่วยแม่หว่านอาหารกุ้ง ทำแบบนี้ทุกวันสามปี พออยู่ม.ปลายย้ายไปอยู่ระยอง แม่ไปทำไร่มัน ไร่สับปะรด เมื่อก่อนไม่มีรถยนต์เป็นของตัวเองก็ต้องจ้างเค้า บางทีเค้าก็ต้องทำของเค้าก่อน คนงานที่หาไว้เค้ารอไม่ไหวก็ไปทำที่ไร่คนอื่น พอรถยนต์ว่างคนงานก็ไม่อยู่แล้วก็ต้องทำกันสองคนแม่ลูก ตัดเองถอนเอง แบกเอง ทำสามสิบไร่แบกกันหลังแทบหัก บางทีทำไม่ทันสับปะรดก็เน่า เสียหายขาดทุนอีก จบม.ปลายเอ็นทรานส์ติดเเต่ไม่ได้เรียนก็ต้องทำงาน ทำทุกอย่างสารพัด ไปซื้อรถมือสองผ่อนเดือนละ6000กว่าบาท วิ่งกันล้อแทบหลุด เดี๋ยวเดือนๆ หาเงินผ่อนรถต่อ ไปหาเม็ดมะม่วงหิมพานต์ออกจากระยองตีห้า วิ่งไปชุมพร แล้วตีรถไปกาญจนบุรีกว่าจะถึงบ้านสี่ห้าทุ่ม แทบทุกวันชีวิตอยู่แต่บนถนน พอเอนทรานส์ใหม่คราวนี้ได้เรียนเลยไปหาที่ขายของลองขายไปเรื่อยๆ เอาขนุนสัประรดไปขาย ตลาดสี่มุมเมือง ตลาดรถไฟศิริราชก็เคยขายขายตรงท่ารถไฟตรงข้ามสถานีตำรวจ(เดี๋ยวนี้รื้อไปแล้ว) ยุงก็กัด นอนหน้ารถไม่ได้อาบน้ำทีนึงหลายวัน สุดท้ายไปได้ที่ขายของตรงตลาดบางชันมีนบุรี เช่าห้องพักแถวนั้นแหละเป็นตึกแถว ห้องแบบเล็กๆประมาณ3x4เมตรได้ นอนสองคนกับแม่ เเทบกระดิกขยับไปไหนไม่ได้เลยห้องมันเล็กมากๆ ห้องน้ำรวม (เค้าเอาไม้อัดมาซอยเป็นหลายๆห้องเช่าเดือนนึง400บาท) ขายจนเรียนจบ ก็ไม่ได้สบายกับเค้าเสาร์อาทิตย์ไม่มีเรียนก็ต้องขับรถไปหาซื้อขนุนตามไร่มาให้แม่แกะขาย ตัดเองปีนเองแบกเอง บางทีปีนขึ้นไปเจอมดแดงกัด ก็ต้องกระโดดลงมาดีที่ขาไม่หัก(ฮา บ่อยเลยครับมดแดงกัดเนี่ย) กว่าจะเรียนจบได้ จบแล้วระหว่ารองานก็ไปขายของตามตลาดนัดกับแม่ นัดเช้านัดบ่ายยกของขึ้นลง ลำบากจริงๆ กระดูกสันหลังเลยคด หมอนรองกระดูกไม่เหลือเเล้วครับ
ชีวิตผมนี่มันทุกข์ทรหดจริงๆ ผ่านอะไรมาเยอะ เดี๋ยวนี้สบายก็จริงแต่มันไม่เคยลืมถึงความลำบากที่ผ่านมาเลย
เล่าชีวิตมาซะยาว มาได้ไงก็ไม่รู้ คุยเรื่องธรรมะอยู่ดีๆ ฮา
ผมนี่เวลาไปอยู่วัดแล้วไม่อยากกลับบ้าน แต่ยังมีภาระต้องมาดูสวนยาง แม่ก็เริ่มอายุมากเข้ารพกันแทบทุกเดือน
เรื่องการภาวนาเนี่ยเวลาเจอสภาวะอะไรอย่าไปเชื่อมันนะครับ บางทีเป็นกิเลส เป็นอาการของสมาธิก็มี ต้องอาศัยครูบาอาจารย์คอยชี้เเนะ ถ้าห่างท่านก็ต้องคอยสังเกตุแยบคาย บางทีอะไรขึ้มาแว้บๆก็คิดว่าได้โสดาแล้วมั้ง บางทีอยู่วัดนานๆพิจารณาอสุภะกามหายไปเลยแล้วก็คิดว่าได้อนาคาก็มี ครูบาอาจารย์จะเป็นที่พึ่งให้เรา แต่ถ้าไม่แน่ใจในครูบาอาจารย์ก็ไปถามหลายๆที่ครับ ผมเห็นเยอะเลยพอสนใจเข้าวัดก็ไปมันวัดเดียวไม่เคยเปรียบเทียบ เค้ายัดเค้าสอนอะไรมาก็เชื่อหมด บางทีก็โดนหลอกให้ทำบุญควักกระเป๋าหมดเงินหมดทอง บุญจากทานก็ไม่ได้จริงเพราะไปทำกับพวกอลัชชี โดนหลอกให้ภาวนาผิดๆอีก ซวยจริงๆ น่าสงสารมาก จะเข้าวัดทั้งทีครูบาอาจารย์ดีๆเยอะแยะไม่ไป ดันไปหาพวกอลัชชี ปีที่แล้วเจอมากับตัว ไปอยู่กับหลวงพ่อท่านนึงกันดารมากไฟฟ้า สัญญาณโทรศัพท์ก็ไม่มี พักภาวนาอยู่หลายวัน วันนึงมีพวกปั่นจักรยานขับรถขึ้นมามาใส่บาตร พอได้เวลากินข้าวเราก็ชวนเค้าตามมารยาท ผมก็กินไปคนเดียวเงียบๆแกคงฟุ้งมากมาเทศน์ให้ผมฟังทั้งๆที่ผมกำลังกินข้าวพูดมันอยู่นั่นแหละไม่มีใครถามก็พูดคนเดียว เราก็ไม่กล้าขัดเค้าปล่อยให้แกเล่าไปฟังดูก็รู้ว่าเรียนมาจากไหน เพ่งอย่างเดียวอยากไปสวรรค์ก็เพ่ง อยากไปนิพพานก็เพ่งเอา แกบอกถ้าไปสวรรค์ก็ต้องทำทานเยอะๆเดี๋ยวหมดบุญมาจะได้เสวยบุญต่อ เป็นเศรษฐีเลย ผมฟังไปสงสารไป จะบอกจะสอนเค้าก็ไม่ใช่เรื่อง ก็ปล่อยไป ดูอาชีพการงานก็ดี มีจักรยานแพงๆขี่แต่ซวยสุดขีดไปเรียนกับพวกอลัชชีเข้า เวรจริงๆ
มีหลายอย่างครับกิเลสมีหยาบมีละเอียด ไม่ติดตรงนี้ก็ไปติดตรงโน้น บางคนยังไม่ได้โสดาเลย อยากจะละกาม ละเท่าไรก็ไม่ได้ เพราะมันคนละชั้นกัน
...
มาคิดดูก็แปลก
พระโสดาบันเห็นร่างกายไม่ใช่เรา จิตและเจตสิกก็ไม่ใช่เรา เห็นแค่นี้
กิเลสประเภทกามก็เห็นแล้วว่ามันมาแล้วก็ไปแต่ทำไมทำลายมันไม่ได้ทั้งๆที่ก็เห็นแล้วว่ามันเกิดขึ้นมาแล้วก็ดับไปไม่ใช่ตัวตน เป็นสิ่งไร้สาระ ลอยๆมาแล้วก็หายไป ทำไมเวลากามเกิดแล้วกลับต้องอยู่ในอำนาจมัน
เวลากามเกิดนี่มันเป็นเรื่องของนามธรรมทั้งนั้นไม่ได้เกี่ยวกับกายตรงไหน ไม่ใช่ว่าต้องเห็นผู้หญิงสวยๆแล้วกามราคะถึงจะเกิด ไม่ต้องเห็นไม่ต้องได้ยิน อยู่คนเดียวแท้ๆเลยกามยังเกิดขึ้นได้(สังเกตุกันไหมครับ จิตมันถูกห่อหุ้มด้วยกาม มันมีกามผสมอยู่ตลอดเวลาเพียงแต่เราไม่รู้ เวลามีอะไรมากระตุ้นอายตนะทั้ง6 มันก็ปรุงกามทันทีเพราะมันเป็นของเก่า ทางเก่าๆที่เราคุ้นเคย)แถมก็เห็นแล้วว่าเดี๋ยวมันก็ดับไป แค่เห็นแค่นี้ก็น่าจะพอเข้าใจได้แล้วนี่ แต่ทำไมต้องกระวนกระวายหงุดหงิดเมื่อไม่ได้เสพย์ ไม่ได้สนองมัน
ดูสาวๆสวยๆเผินๆแหมสวยจริง พอดูให้ละเอียดโอ้โห สกปรกจะตาย มองทะลุหนังลงไปเห็นแต่เนื้อ เลือดไหลเวียนอยู่ข้างใน ตับไตใส้พุง ลำไส้เป็นขดๆ มีขี้เต็มเลย ลึกลงไปก็เห็นแต่กระดูก ไม่เห็นสวยตรงไหน เป็นโครงกระดูกกันทั้งนั้น เอาโครงกระดูกมาเรียงกันไม่เห็นมีใครสวยเลยเสมอกันหมดไม่เห็นให้ค่าความสวยเลย ปากก็เหม็น เนื้อตัวลองไม่ได้อาบน้ำสัก10ชม.แค่นี้แหละไม่ต้องหลายวันหรอก เหม็นจะตาย ตดมาทีนึงก็เหม็น ลองเข้าไปดูในส้วมสิ ขี้ก็เหม็น ร่างกายเก็บของเน่าเหม็นไว้เต็มเลย ภายใต้หนังบางๆนี่มีแต่ของเน่าเหม็น กินอะไรเข้าปากมองเผินๆก็ว่าหอมว่าอร่อย มันเปลี่ยนสภาพปกปิดสภาวะที่แท้จริง อาหารอะไรที่ว่าอร่อยลองเคี้ยวสักทีนึงแล้วคายให้เมียรักเรากินต่อซิ เค้าว่าอร่อยไหม หรือทิ้งไว้สัก10ชม เราไปกินสิกินลงไหม แป้บเดียวก็บูดเน่าแล้ว แล้วเรากลืนลงไปอยู่ในท้องหลายวันมันจะไม่เน่าเหม็นหรือ อวัยะเพศหญิงชาย แหมเวลาเราเห็นนี่กามทำงานเด้งดึ๋งทันทีทั้งๆที่มีแต่ของสกปรกไหลออกมาทั้งนั้น ของเน่าออกมาขนาดนั้นทำไมเรายังเห็นว่าสวย ก่อนเสพย์กามกระวนกระวายจะเป็นจะตายเหม็นแค่ไหนก็หอมก็ดม พอเสร็จกามกิจแล้ว สบ๊ายสบาย เดี๋ยวก็ต้องเสพย์อีก เสพมาเป็นสิบๆปีแล้วไม่เห็นมันได้อะไรเลย ได้อะไรขึ้นมา เสพย์กันมานับภพชาติไม่ถ้วน เวียนตายเวียนเกิดก็เพราะมัน กามนี่เป็นของลึกลับมาก(ผมจำคำพูดของหลวงตามหาบัวมานะครับ)
เค้าบอกว่าพระอนาคามีวางกายได้ กายนี่มันหยาบกว่าจิตนี่ วางกับเห็นนี่มันคนละเรื่องเลย เค้าใช้คำถูกแล้วครับ มันเป็นกิเลสคนละชั้นกัน
ทำไมเราต้องพิจารณา กรรมฐาน5 อาการ32 ฯลฯ ทำไมเราไม่พิจารณากามลงไปเลย ไปอ้อมทำไม พิจารณาตรงๆไปมันทำได้แต่ยากครับ เค้าเลยต้องทำอ้อมๆ ไล่ตีวงเข้ามาๆ ตล่อมเข้ามาจนวางกายได้ เมื่อวางกายได้กามซึ่งเป็นผลจากกายมันก็ขาดไปเอง
....
เรื่องสมาธิกับฌาณนี่ก็อีกเรื่องครับ สงสัยกันจังบางคนก็ท่องนะฌาณ1เป็นอย่างนี้ ฌาณ2 3 4 เป็นอย่างนี้ เวลาทำได้จะรู้เลยว่าแต่ละขั้นๆ 1 ไป2 2ไป3 4 เเต่ละขั้นมันไวมาก บางทีได้3แล้วลงมา1ใหม่ แล้วไล่ไป4 อย่างรวดเร็ว มันไวมากๆครับ ถอยเข้าถอยออก
...
ความสบายเป็นข้าศึกต่อการปฏิบัติภาวนานะครับ ตอนนี้หลายๆคนมีเงินเยอะ ชีวิตสะดวกสบาย แต่สังเกตุไหมว่าการภาวนาของเราทำไมมันไม่ก้าวหน้า บางทีก็ถอยหลัง บางคนถอยหลังสุดๆจนต้องตกนรกแน่ๆ เรื่องจนรวยไม่ได้สำคัญ ต่อการปฏิบัติภาวนาเลย ความรวยมองเผินๆนึกว่าดีถ้าเราทำตัวเหลวไหลยิ่งภาวนาถอยหลังนะครับ ความจนถ้าจนมากๆก็ไม่ดีภาวนาไม่ได้อีกมัวเเต่เครียดเรื่องปากท้อง
นานๆมาทียาวหน่อยนะครับ ^_^ ขาดตกบกพร่องอะไรก็ต้องขอโทษด้วยนะครับ
มรณฺง เม ภวิสฺสติ ความตายจักมีแก่เรา
- picatos
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3352
- ผู้ติดตาม: 1
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 740
อนุโมทนากับพี่ๆ เพื่อนๆ ด้วยนะครับ
ขอถือวิสาสะตอบพี่ดำนะครับ ผมคิดว่าโดยทั่วไปการสั่งสมกุศลก็น่าจะเริ่มจาก ทาน ศีล และ ภาวนา อันนี้ก็ถูกแล้วครับ แต่การสั่งสม ทาน ไปจนถึงขั้นขึ้นศีล และภาวนา ปกติต้องสั่งสมกันหลายชาติครับ คนที่ท้องยังไม่อิ่มจริงๆ ก็ยังไม่มีแรงทุ่มเททำอะไรอย่างอื่นสักเท่าไร ฉันใดก็ฉันนั้น
แต่ทีนี้คนบางคนสั่งสมทานมามากระดับหนึ่งแล้วในชาติก่อนๆ พอเกิดมาชาตินี้ ชีวิตก็อาจจะไม่ได้ขัดสนอะไรมากมาย หรือไม่ก็มีองค์ความรู้ที่สั่งสมมาจากชาติก่อนๆ จนรู้สึกเบื่อหน่ายในโลกระดับหนึ่งแล้ว ชาตินี้ก็เลยมาขึ้น ศีล กับ ภาวนา อย่างเดียวเลยครับ
ธรรมชาติของจิตที่เป็นทานที่สั่งสมมาเต็มเปี่ยม อาจจะไม่ได้สะท้อนออกมาจากการมีเงินมากในชาตินี้นะครับ แต่เป็นน้ำจิตน้ำใจที่จะเต็มใจในการช่วยเหลือเพื่อนร่วมทุกข์ตามกำลัง ตามความเหมาะสม
แต่ถ้าตัวเราเองยังรู้สึกว่าปรารถนาที่จะสั่งสมในการทำทาน ยังไม่เห็นประโยชน์ในการทุ่มเทไปที่ศีล หรือ ภาวนา มันก็ยังสะท้อนถึงระดับของปัญญาของเราในระดับหนึ่ง บางทีเราต้องตายอีกหลายๆ รอบจนรู้สึกเสียดายเวลาที่เราเอาไปใช้กับการทำทาน การเอาเวลาไปช่วยคนอื่น จนไม่ได้ทำประโยชน์ให้กับตัวเองอย่างแท้จริงหลายๆ รอบก่อน จิตถึงจะจำได้ จนอธิษฐานจิตขึ้นมาเองว่า จะไม่เอาแล้ว จะไม่ยอมปล่อยให้เสียเวลาเปล่าแบบนี้ไปอีกแล้ว ชาติต่อๆ มาจึงจะเข้าทางได้เร็วยิ่งขึ้นๆ
เราก็เลยเห็นคนบางคน เกิดมาชาตินี้ พอชีวิตถูกบีบด้วยสภาวะทุกข์อะไรบางอย่างปั๊บ ก็เข้าทางธรรม บวชตลอดชีวิตเลย ประมาณนั้น
ขอถือวิสาสะตอบพี่ดำนะครับ ผมคิดว่าโดยทั่วไปการสั่งสมกุศลก็น่าจะเริ่มจาก ทาน ศีล และ ภาวนา อันนี้ก็ถูกแล้วครับ แต่การสั่งสม ทาน ไปจนถึงขั้นขึ้นศีล และภาวนา ปกติต้องสั่งสมกันหลายชาติครับ คนที่ท้องยังไม่อิ่มจริงๆ ก็ยังไม่มีแรงทุ่มเททำอะไรอย่างอื่นสักเท่าไร ฉันใดก็ฉันนั้น
แต่ทีนี้คนบางคนสั่งสมทานมามากระดับหนึ่งแล้วในชาติก่อนๆ พอเกิดมาชาตินี้ ชีวิตก็อาจจะไม่ได้ขัดสนอะไรมากมาย หรือไม่ก็มีองค์ความรู้ที่สั่งสมมาจากชาติก่อนๆ จนรู้สึกเบื่อหน่ายในโลกระดับหนึ่งแล้ว ชาตินี้ก็เลยมาขึ้น ศีล กับ ภาวนา อย่างเดียวเลยครับ
ธรรมชาติของจิตที่เป็นทานที่สั่งสมมาเต็มเปี่ยม อาจจะไม่ได้สะท้อนออกมาจากการมีเงินมากในชาตินี้นะครับ แต่เป็นน้ำจิตน้ำใจที่จะเต็มใจในการช่วยเหลือเพื่อนร่วมทุกข์ตามกำลัง ตามความเหมาะสม
แต่ถ้าตัวเราเองยังรู้สึกว่าปรารถนาที่จะสั่งสมในการทำทาน ยังไม่เห็นประโยชน์ในการทุ่มเทไปที่ศีล หรือ ภาวนา มันก็ยังสะท้อนถึงระดับของปัญญาของเราในระดับหนึ่ง บางทีเราต้องตายอีกหลายๆ รอบจนรู้สึกเสียดายเวลาที่เราเอาไปใช้กับการทำทาน การเอาเวลาไปช่วยคนอื่น จนไม่ได้ทำประโยชน์ให้กับตัวเองอย่างแท้จริงหลายๆ รอบก่อน จิตถึงจะจำได้ จนอธิษฐานจิตขึ้นมาเองว่า จะไม่เอาแล้ว จะไม่ยอมปล่อยให้เสียเวลาเปล่าแบบนี้ไปอีกแล้ว ชาติต่อๆ มาจึงจะเข้าทางได้เร็วยิ่งขึ้นๆ
เราก็เลยเห็นคนบางคน เกิดมาชาตินี้ พอชีวิตถูกบีบด้วยสภาวะทุกข์อะไรบางอย่างปั๊บ ก็เข้าทางธรรม บวชตลอดชีวิตเลย ประมาณนั้น
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 358
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 742
จริงๆแล้วการเริ่มปฏิบัติธรรมแต่ละคนควรจะเริ่มจากอะไรก่อนผมก็ไม่รู้ครับ เพราะคนแต่ละคนหวังไม่เหมือนกัน บางคนก็หวังสวรรค์ก็ไปทำทานรักษาศีลทำสมาธิบ้าง ส่วนคนที่เห็นทุกข์เห็นภัยในสังสารวัฏร แบบนี้เป็นคนมีปัญญามาก เป็นปัญญาที่เห็นทุกข์ในวัฏฏะเหมือนพระพุทธเจ้าที่อยากออกบวชเพื่อความหลุดพ้น พออยากพ้นทุกข์ก็หาทางพ้นทุกข์ด้วยการตามรอยพระพุทธเจ้า คือมารักษาศีล ฝึกสมาธิ เจริญปัญญา พอมีปัญญาแก่กล้ามากขึ้นก็ละกิเลสได้เป็นลำดับๆ ไปส่วนทานถ้ามีโอกาสก็ทำ เมื่อมีปัญญาฉลาดแล้วก็รู้ว่าเมื่อไรจะให้ก็ให้ ควรให้แก่ผู้ใด ฯลฯ จะไม่หลงงมงายในทานที่หว่านลงไปอย่างขาดสติหน้ามืด ถ้ามีโอกาสแล้วไม่ทำเลยก็เสียโอกาสแต่ทำไปแล้วไม่ได้หวังสวรรค์หวังรวยในชาติหน้า แต่เป็นปัจจัยเกื้อหนุนให้ถึงพระนิพพานดำ เขียน:ผมสงสัยแค่อย่างเดียว
การเริ่มสนใจธรรมะจากการทำทานมันไม่ถูกต้องเหรอครับ ผมเข้าใจมาตลอดว่ามันเป็นขั้นแรก เพราะเป็นการฝึกละทรัพย์ภายนอก
เวลาสอนฆราวาส ผมก็เข้าใจว่า ทาน ศีล ภาวนา เป็นไปตามขั้นตอนเช่นนี้
พระพุทธเจ้าสอนวิธีไป ไปสวรรค์ท่านก็สอน ไปนิพพานท่านก็สอน ไปนรกท่านก็สอน แล้วแต่คนแหละครับ ว่าอยากไปไหน
ตอบแบบนี้ไม่รู้ว่าตรงใจพี่ดำหรือป่าวนะครับ
มรณฺง เม ภวิสฺสติ ความตายจักมีแก่เรา
- tum_H
- Verified User
- โพสต์: 1857
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 743
cobain_vi เขียน:
ตอนนี้ผมบอกแม่แล้วว่าจะบวชแม่ก็เห็นดีด้วยแกว่าจะไปบวชอยู่กับผมด้วย ผมเลยบอกให้แม่ขายบ้าน ขายที่ดินให้หมด
ก่อนอื่นต้องขออนุโมทนากับพี่ cobain_vi ด้วยนะครับที่ในอนาคตอาจตัดสินใจบวช ผมเชื่อว่าหากบวชจริงผมคงได้มีโอกาสไปกราบแน่ๆครับ
ในกรณีของทานบารมี ผมมีความเห็นที่ไม่สอดคล้องกับพี่นิดหน่อยนะครับ เพราะทานบารมี เป็นหนึ่งในบารมี 10 ที่ทำให้ผู้ที่บำเพ็ญไปนิพพานได้เช่นกัน เพราะการที่ไม่ทำทานบารมี จะเป็นอุปสรรคในการบรรลุธรรมเช่นกัน กล่าวคือ เป็นอุปสรรคในการไปฟังธรรม เจริญธรรม และประพฤติพรหมจรรย์ อย่างเช่นการที่เราเกิดมาขัดสน ไปฟังธรรมก็ลำบาก ย่อมทำให้เกิดความเนิ่นช้าในการบรรลุธรรม เช่นเดียวกัน แม้บวชเรียนแล้ว การมีอาหารไม่พอฉัน ก็เป็นอุปสรรคเช่นกันครับ ผมคิดว่าความหมายของพี่น่าจะหมายถึงการทำทานพร่ำเพรื่อ และไม่ทำควบคู่ไปพร้อมกับการรักษาศีลและภาวนาครับ
ส่วนตัวผมหลังๆทำบ่อยเพราะเมื่อก่อนไม่ค่อยมีโอกาสได้สร้างกุศลมากสักเท่าไหร่ เมื่อเราไปวัด ได้ใช้เสนาสนะ สิ่งปลูกสร้างอื่นๆ ที่มีคนสร้างไว้ให้เราใช้แล้ว เราก็รู้สึกปลื้มใจ ที่มีผู้มีเมตตาจิต สร้างความสะดวกสบายให้กับเรา เราเลยอยากทำเพื่อตอบแทนด้วย อีกอย่างก็เป็นการสืบอายุพระศาสนา เพราะเราเกิดมาได้เจอพระศาสนา เราก็อยากให้คนอื่นๆได้สิ่งดีๆ แบบนี้เช่นกันครับ อย่างพี่ picatos ว่า บางคนทำทานบารมีในอดีตชาติมามาก ก็จะข้ามไปบารมีอื่นๆต่อไปครับ
ย้อนมาที่เรื่องกามราคะ มันเป็นแบบที่พี่ว่าจริงๆครับ แต่ผมเชื่อว่าตอนนี้เราๆท่านๆในที่นี้ ได้แค่ระงับและยับยั้ง ยังไม่สามารถหยุดกามราคะได้ แต่เราได้ปัญญาความรู้ที่แท้จริงแทนว่า กามราคะ จะต้องถูกจัดการอย่างไรในอนาคตแทน ปัญญาความรู้เห็นตรงนี้แหล่ะที่สำคัญมาก เพราะทำให้กิเลศตัวนี้หันมาใช้อุบายสุดท้ายในการเล่นงานเราแทน จากแบบหยาบๆ จะละเอียดมากยิ่งขึ้นเลยครับ เพราะของเดิมๆเราได้ผ่านมันมาแล้ว
ผมอยากให้คนที่กำลังฝึกดู clip นี้นะครับ ผมหวังว่าจะช่วยการฝึกของหลายๆคนได้ หากยังติดขัดเรื่องการภาวนาครับ
https://www.youtube.com/watch?v=iIU9AIKdEAo
ปล ดีใจที่ห้องนี้คึกคักอีกครั้ง เพราะบางทีผมก็ไม่กล้าถาม ชอบอ่านมากกว่าครับ
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
- picatos
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3352
- ผู้ติดตาม: 1
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 744
โดยส่วนตัวผมคิดว่า สาเหตุที่คนเราสนใจธรรมะ เพราะ บางครั้งเราก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมสุขทุกข์บางอย่างมันเกิดขึ้นกับเรา ทำไมสุขทุกข์บางอย่างถึงเกิดขึ้นกับคนอื่นไม่มาเกิดขึ้นกับเรา และที่บางจุดในชีวิต มันมีแรงบีบคั้นบางอย่างที่ทำให้เราอยากจะหาคำตอบ คำตอบที่ว่า อะไรคือทุกข์ อะไรคือเหตุของทุกข์ อะไรคือการดับไปของทุกข์ และอะไรคือเหตุแห่งการดับไปของทุกข์ครับ ซึ่งพระพุทธศาสนามีคำตอบต่อคำถามเหล่านี้ จึงเป็นเหตุให้เราเริ่มต้นที่จะศึกษาธรรมดำ เขียน:ขอบคุณสำหรับคำตอบครับ แล้วคุณ picatos คิดว่าอะไรเป็นเหตุให้คนเราหันมาสนใจธรรมะครับ ผมสังเกตว่ามันแทบจะเป็นเรื่องที่บังคับกันไม่ได้ เหมือนกับว่าต้องรอให้ถึงเวลาที่เหมาะสมของแต่ละคนเอง
บางคนอาจจะถูกแรงบีบจากความทุกข์ทำให้เข้าสู่ทางธรรม บางคนอาจจะแสวงหาความสุขอันปราณีตยิ่งๆ ขึ้น จึงเข้าทางธรรม บางคนอาจจะได้มีโอกาสได้พบกัลยาณมิตรที่ดี ที่ชักชวนให้เข้าสู่ทางธรรม โดยไม่ได้มีแรงขับอะไรมากมายก็เป็นได้
ส่วนการที่จะเข้าได้อย่างไร เข้าได้เมื่อไร เข้าในรูปแบบไหน เข้าเพราะใคร ได้ใครเป็นครูคนแรก อันนี้ก็คงจะแล้วแต่เหตุปัจจัยที่สั่งสมมา ว่ากันว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เป็นผลจากอดีตที่เราทำเอง เลือกกันเอาไว้เองทั้งสิ้น สิ่งที่เกิดขึ้นกับเราก็เป็นตัวเรานั่นแหละที่ทำเอาไว้เอง ดังนั้นมันจึงไม่อยู่ในวิสัยที่เราจะไปบังคับอะไรคนอื่นให้เป็นไปตามบังคับบัญชาของเราได้
และเมื่อเหตุปัจจัยมันสมบูรณ์พร้อม จังหวะเวลามันลงตัว เหตุเก่าก็จะทำให้เราได้เดินมาถึงจุดที่เราจะมาพบว่าเราได้เคยสั่งสมอะไรมา และได้มีโอกาสเลือกว่า เราจะทำอะไรต่อในชาตินี้ เราจะมุ่งหน้าเดินต่อไหม? หรือว่าเราจะเปลี่ยนไปเดินทางอื่นดี? เราจะใส่ความเพียรพยายามลงไปให้มากกว่าเดิมไหม?
และถ้าหากเราเลือกที่จะทำต่อ จนกระทั่งทางของเราในชาตินี้ได้ตั้งขึ้นอย่างสมบูรณ์ เราก็จะเลือกว่า เราจะทำอะไรอย่างไรดีในชาตินี้ เพื่อที่ว่าหากเรายังมีเหตุต้องเกิดอีก เราจะได้ไปเกิดในสถานที่ที่เหมาะสม เวลาที่เหมาะสม เพื่อที่จะได้สั่งสม และทำต่อในชาติหน้า ไปจนกว่าจะสิ้นภพ สิ้นชาติในอนาคตชาติใดชาติหนึ่ง
แต่ถ้าหากทางเรายังตั้งได้ไม่สมบูรณ์ ก็เป็นเรื่องที่เราก็ต้องสั่งสมกันไปเรื่อยๆ ทานบ้าง ศีลบ้าง ภาวนาบ้าง ชาตินี้ทำได้ดีบ้าง พลาดบ้าง ศึกษา เก็บสั่งสมหน่วยกิจไปเรื่อยๆ จนกระทั่งวันใดวันหนึ่ง ชาติใดชาติหนึ่ง ทางของเราได้ตั้งมั่นขึ้นอย่างสมบูรณ์ และไม่เดินหลงทางผิดพลาดไปอีกอย่างในอดีตที่เคยเป็นมา
ขออนุโมทนากับพี่ดำสำหรับคำถามนะครับ ขอให้คำตอบของผมเป็นประโยชน์ต่อตัวพี่ดำนะครับ และขออภัยในความผิดพลาดต่างๆ จากความรู้น้อยแต่ริอาจตอบคำถามที่ยากเกินตัวด้วยนะครับ
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 358
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 745
ขอตอบคุณ tumH นะครับ
เรื่องทานจริงๆมันสำคัญนะครับ แต่ว่าทานบารมีนี่ทำไปเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น ลดความเห็นแก่ตัว เพื่อสละออก ไม่ได้หวังอะไรเข้าตัว ที่สอนกันเดี๋ยวนี้มันสอนกันให้ทำเยอะๆจะได้สวรรค์ชั้นนั่นชั้นนี้ มันคนละอย่างคนละโยชน์กันเลย พอได้ยินอะไรมาแว่วๆก็ตื่นเต้นเตรียมควักตังค์กันอย่างเดียว ไม่พินิจพิจารณากันให้ดีเสียก่อน บางทีมันเกินความจำเป็น
ลองไปดูบางวัดนะ กุฏินี่เพียบเลย เเต่ไม่มีพระอยู่ เอาไปสร้างรพ.ดีกว่าไหม แบบนี้เรียกว่าเมาบุญหรือป่าว? ลองพิจารณาดูนะครับ ยิ่งกับพระเนี่ยผมเห็นโยมประเคนกันเต็มที่เลย พอมีลาภสักการะมากพระก็เสีย เสียเพราะความบ้าบุญของโยมนี่แหละ พระนี่ก็แทนจะห้ามปรามกลับยิ่งชอบ เบียดเบียนโยมกันเพลิน บอกโยมก็ได้นะว่าเราไม่ต้องการ อย่าเอาอะไรมา มันเกินความจำเป็นนะ ไปช่วยที่เค้าขาดแคลนดีกว่า อะไรแบบนี้
ทำบุญทำทานกับใครมันก็ดีทั้งนั้นอย่าว่าแต่ทำกับคนเลย ทำกับหมูกับหมามันได้บุญหมดแหละครับ แต่ต้องพิจารณาให้ดี
เรื่องทานจริงๆมันสำคัญนะครับ แต่ว่าทานบารมีนี่ทำไปเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น ลดความเห็นแก่ตัว เพื่อสละออก ไม่ได้หวังอะไรเข้าตัว ที่สอนกันเดี๋ยวนี้มันสอนกันให้ทำเยอะๆจะได้สวรรค์ชั้นนั่นชั้นนี้ มันคนละอย่างคนละโยชน์กันเลย พอได้ยินอะไรมาแว่วๆก็ตื่นเต้นเตรียมควักตังค์กันอย่างเดียว ไม่พินิจพิจารณากันให้ดีเสียก่อน บางทีมันเกินความจำเป็น
ลองไปดูบางวัดนะ กุฏินี่เพียบเลย เเต่ไม่มีพระอยู่ เอาไปสร้างรพ.ดีกว่าไหม แบบนี้เรียกว่าเมาบุญหรือป่าว? ลองพิจารณาดูนะครับ ยิ่งกับพระเนี่ยผมเห็นโยมประเคนกันเต็มที่เลย พอมีลาภสักการะมากพระก็เสีย เสียเพราะความบ้าบุญของโยมนี่แหละ พระนี่ก็แทนจะห้ามปรามกลับยิ่งชอบ เบียดเบียนโยมกันเพลิน บอกโยมก็ได้นะว่าเราไม่ต้องการ อย่าเอาอะไรมา มันเกินความจำเป็นนะ ไปช่วยที่เค้าขาดแคลนดีกว่า อะไรแบบนี้
ทำบุญทำทานกับใครมันก็ดีทั้งนั้นอย่าว่าแต่ทำกับคนเลย ทำกับหมูกับหมามันได้บุญหมดแหละครับ แต่ต้องพิจารณาให้ดี
มรณฺง เม ภวิสฺสติ ความตายจักมีแก่เรา
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4366
- ผู้ติดตาม: 1
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 746
จะมาตอบตรงใจผมทำไมล่ะคร้าบ เอาที่ตรงความเป็นจริงครับcobain_vi เขียน:พระพุทธเจ้าสอนวิธีไป ไปสวรรค์ท่านก็สอน ไปนิพพานท่านก็สอน ไปนรกท่านก็สอน แล้วแต่คนแหละครับ ว่าอยากไปไหน
ตอบแบบนี้ไม่รู้ว่าตรงใจพี่ดำหรือป่าวนะครับ
- tum_H
- Verified User
- โพสต์: 1857
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 747
cobain_vi เขียน:ขอตอบคุณ tumH นะครับ
เรื่องทานจริงๆมันสำคัญนะครับ แต่ว่าทานบารมีนี่ทำไปเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น ลดความเห็นแก่ตัว เพื่อสละออก ไม่ได้หวังอะไรเข้าตัว ที่สอนกันเดี๋ยวนี้มันสอนกันให้ทำเยอะๆจะได้สวรรค์ชั้นนั่นชั้นนี้ มันคนละอย่างคนละโยชน์กันเลย พอได้ยินอะไรมาแว่วๆก็ตื่นเต้นเตรียมควักตังค์กันอย่างเดียว ไม่พินิจพิจารณากันให้ดีเสียก่อน บางทีมันเกินความจำเป็น
ลองไปดูบางวัดนะ กุฏินี่เพียบเลย เเต่ไม่มีพระอยู่ เอาไปสร้างรพ.ดีกว่าไหม แบบนี้เรียกว่าเมาบุญหรือป่าว? ลองพิจารณาดูนะครับ ยิ่งกับพระเนี่ยผมเห็นโยมประเคนกันเต็มที่เลย พอมีลาภสักการะมากพระก็เสีย เสียเพราะความบ้าบุญของโยมนี่แหละ พระนี่ก็แทนจะห้ามปรามกลับยิ่งชอบ เบียดเบียนโยมกันเพลิน บอกโยมก็ได้นะว่าเราไม่ต้องการ อย่าเอาอะไรมา มันเกินความจำเป็นนะ ไปช่วยที่เค้าขาดแคลนดีกว่า อะไรแบบนี้
ทำบุญทำทานกับใครมันก็ดีทั้งนั้นอย่าว่าแต่ทำกับคนเลย ทำกับหมูกับหมามันได้บุญหมดแหละครับ แต่ต้องพิจารณาให้ดี
555 ผมเข้าใจล่ะครับ
ก็อย่างที่ทราบกันนะครับ ผลของบุญนั้นอัศจรรย์มากๆ เปรียบเหมือนการปลูกต้นไม้ กว่าจะได้กินผลก็ต้องใช้เวลาเช่นกันครับ บางคนเพิ่งเริ่มปลูก แต่อีกคนผลไม้สุก เก็บกินได้แล้ว ฉันใดก็ฉันนั้น การทำบุญก็เหมือนกัน สำคัญที่ใจ คนไหนที่บารมีเต็ม ก็ทำบุญกับทุกสิ่งได้หมด เพราะจิตใจเปี่ยมสุข แต่กับคนที่บารมียังไม่เต็ม ก็ต้องเลือกทำนะครับ เพราะทำไปแล้วไม่สบายใจ ทำไปก็ได้บุญน้อย ต้องเลือกทำในสิ่งที่ทำแล้วเป็นสุขในระดับแรกก่อน
อีกทั้งนิสัยวาสนาของแต่ล่ะคนที่บำเพ็ญมาก็ต่างกัน บางวัดข้าวทิ้งเต็มลาน แต่บางวัดข้าวจะกินก็ไม่พอ เรื่องแบบนี้เป็นไปตามกฏแห่งกรรมนะครับ บางที่ยิ่งไม่น่าจะไปทำ แต่ก็ยังมีคนศรัทธาเยอะ เพราะผลของบุญเก่ายังคงให้ผลนั่นเองครับ ดังคำกล่าวว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ครับ
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
- wpong
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1356
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 748
พี่ดำครับดำ เขียน:ผมสงสัยแค่อย่างเดียว
การเริ่มสนใจธรรมะจากการทำทานมันไม่ถูกต้องเหรอครับ ผมเข้าใจมาตลอดว่ามันเป็นขั้นแรก เพราะเป็นการฝึกละทรัพย์ภายนอก
เวลาสอนฆราวาส ผมก็เข้าใจว่า ทาน ศีล ภาวนา เป็นไปตามขั้นตอนเช่นนี้
ในสมัยพุทธกาล ถ้ามีผู้ฟังธรรมเป็นฆราวาสร่วมอยู่ด้วย พระพุทธเจ้าจะเทศน์ ธรรมที่ใช้สำหรับฟอกจิตก่อน แล้วจึงกล่าวถึงอริยสัจ4
ธรรมทีฟอกจิต มีชื่อว่า อนุปุพพิกถา จะเริ่มต้นด้วย
ทาน และอานิสงส์ของทาน
ศีล และ อานิสสงส์ของศีล
สวรรค์ หรือ กามคุณทั้งหลาย อันเกิดจากทาน และศีล
โทษของกาม
อานิสสงส์แห่งการออกจากกาม
โดยรวมแล้วธรรมชุดนี้ ไม่ได้หยุดอยู่ตรงเรื่องทาน และอานิสงส์ของทาน แต่ มีจุดมุ่งหมาย เพื่อฟอกจิต และยกระดับผู้ฟังให้เหมาะที่จะรับฟังอริยสัจ
ถ้าจะทำทานเพื่อให้ได้กามคุณ ก็ขอให้ระลึกถึง โทษแห่งกาม และอานิสสงส์ แห่งการออกจากกาม จะครบถ้วนกว่าครับ
ถ้าผมมีความเข้าใจผิดเรื่องใด วานเพื่อนๆช่วยแนะนำด้วยครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 358
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 749
ผมจำไม่ได้ว่าอยู่ในพระสูตรไหนที่พระพุทธเจ้าสอนฆราวาสเรื่องกาม มีทั้งพระและโยมฟังพระพุทธเจ้าสอนเห็นโทษของกามเหมือนไฟ จะอยู่ในเตาหรือนอกเตามันก็เผาทั้งนั้น แต่มีฆราวาสฟังอยู่ด้วย ท่านจึงเห็นว่าถ้าสอนให้ฆราวาสเลิกบริโภคกามเค้าจะลำบากเพราะบางคนมีปัญญาไม่เท่ากัน ท่านจึงให้รักษาศีลห้า มีอะไรก็เฉพาะภรรยาตัวเอง อย่าไปเรี่ยราดข้างนอก เหมือนจุดไฟให้จุดไฟให้อยู่แต่ในเตาคือไหนๆต้องจุดเเล้วให้จุดเเต่ในเตา ยังพอควบคุมได้ ถ้าไปจุดข้างนอกเดี๋ยวจะเผาไปเรื่อยเกินควบคุม
อีกพระสูตรนึงท่านสอนพระ พระในสมัยนั้นมีสองประเภทคือมาบวชเพราะต้องการหลุดพ้นเห็นภัยในสังสารวัฏรจริงๆ
อีกพวกนึงต้องการลาภสักการะเพราะบวชเเล้วไม่ต้องทำงาน(เหมือนสมัยนี้เปี๊ยบเลย) ท่านก็สอนเรื่องศีล สมาธิปัญญา ส่วนฆราวาสยังต้องทำงานเลี้ยงชีพจะสอนให้ทำเหมือนพระก็จะยาก ท่านก็เลยสอนให้ทำทาน รักษาศีล แล้วก็ภาวนา(คือสมาธิ ปัญา)ข้อนี้รวมๆเผื่อไว้เพราะบางคนทำได้
ทานที่ท่านสอนไม่ได้เป็นเรื่องควักกระเป๋าตังค์อย่างเดียว เป็นเรื่องทานอื่นๆที่ไม่ใช้เงินด้วย อีกอย่างนึงท่านคงเห็นว่าการใช้ชีวิตฆราวาสมันต้องสะสมก็เลยให้สละออกบ้าง อย่าไปโลภเก็บไว้คนเดียว อย่าเห็นแก่ตัว เผื่อเเผ่ให้คนอื่นบ้างชีวิตก็จะมีความสุขทั้งผู้ให้และผู้รับประมาณนี้ครับ
.....
ครั้งนึงหลวงปู่ถามคนงานที่มาทำงานในวัดว่า พวกเจ้ารู้ไหม บุญที่เจ้าพูดถึง มันคืออะไร คนงานก็ตอบไม่ได้สักคน หลวงปู่จึงบอกว่าคำว่าบุญเนี่ยมันคือ "ปัญญา"
.....
ครั้งนึงมีโยมมากราบหลวงปู่แล้วเอาเงินมาถวาย หลวงปู่ถามว่าเอามาให้เราทำไม โยมก็บอกว่าอยากได้บุญ หลวงปุ่จึงบอกว่าอยากได้บุญเหรอ โน่น ไม้กวาด แล้วก็ชี้ไปที่ไม้กวาด(ให้โยมไปกวาดใบไม้ ก็ได้บุญเหมือนกัน)
....
ครั้งนึงมีคนเอาเงินมาถวายหลวงปู่ หลวงปู่ตวาด เอากลับไป เงินสกปรก! (ตอนหลังโยมคนนั้นมาสารภาพกับพระรูปอื่นว่า เงินที่เอาไปถวายหลวงปู่เป็นเงินที่ได้มาจากเล่นพนันบอล ไม่รู้ว่าหลวงปู่รู้ได้ยังไง)
....
มีโยมคนนึงเอาเงินมาถวายหลวงปู่ หลวงปู่บอกว่าเรายังไม่ได้ใช้ เอากลับไปก่อน จะใช้แล้วจะบอก ผมก็ไม่รู้ว่าหลวงปู่บอกโยมคนนั้นว่าจะใช้เมื่อไร
...
คนมีปัญญาก็ทำทาน
คนมีศรัทธาก็ทำทาน
คนโง่ก็ยังทำทาน
คนมีปัญญารักษาศีล
คนมีศรัทธารักษาศีล
คนโง่ไม่รักษาศีล
คนมีปัญญาฝึกสมาธิ
คนมีศรัทธาก็ฝึกสมาธิ
คนโง่ไม่ฝึกอะไร ปล่อยไปตามใจกิเลส
......
อีกพระสูตรนึงท่านสอนพระ พระในสมัยนั้นมีสองประเภทคือมาบวชเพราะต้องการหลุดพ้นเห็นภัยในสังสารวัฏรจริงๆ
อีกพวกนึงต้องการลาภสักการะเพราะบวชเเล้วไม่ต้องทำงาน(เหมือนสมัยนี้เปี๊ยบเลย) ท่านก็สอนเรื่องศีล สมาธิปัญญา ส่วนฆราวาสยังต้องทำงานเลี้ยงชีพจะสอนให้ทำเหมือนพระก็จะยาก ท่านก็เลยสอนให้ทำทาน รักษาศีล แล้วก็ภาวนา(คือสมาธิ ปัญา)ข้อนี้รวมๆเผื่อไว้เพราะบางคนทำได้
ทานที่ท่านสอนไม่ได้เป็นเรื่องควักกระเป๋าตังค์อย่างเดียว เป็นเรื่องทานอื่นๆที่ไม่ใช้เงินด้วย อีกอย่างนึงท่านคงเห็นว่าการใช้ชีวิตฆราวาสมันต้องสะสมก็เลยให้สละออกบ้าง อย่าไปโลภเก็บไว้คนเดียว อย่าเห็นแก่ตัว เผื่อเเผ่ให้คนอื่นบ้างชีวิตก็จะมีความสุขทั้งผู้ให้และผู้รับประมาณนี้ครับ
.....
ครั้งนึงหลวงปู่ถามคนงานที่มาทำงานในวัดว่า พวกเจ้ารู้ไหม บุญที่เจ้าพูดถึง มันคืออะไร คนงานก็ตอบไม่ได้สักคน หลวงปู่จึงบอกว่าคำว่าบุญเนี่ยมันคือ "ปัญญา"
.....
ครั้งนึงมีโยมมากราบหลวงปู่แล้วเอาเงินมาถวาย หลวงปู่ถามว่าเอามาให้เราทำไม โยมก็บอกว่าอยากได้บุญ หลวงปุ่จึงบอกว่าอยากได้บุญเหรอ โน่น ไม้กวาด แล้วก็ชี้ไปที่ไม้กวาด(ให้โยมไปกวาดใบไม้ ก็ได้บุญเหมือนกัน)
....
ครั้งนึงมีคนเอาเงินมาถวายหลวงปู่ หลวงปู่ตวาด เอากลับไป เงินสกปรก! (ตอนหลังโยมคนนั้นมาสารภาพกับพระรูปอื่นว่า เงินที่เอาไปถวายหลวงปู่เป็นเงินที่ได้มาจากเล่นพนันบอล ไม่รู้ว่าหลวงปู่รู้ได้ยังไง)
....
มีโยมคนนึงเอาเงินมาถวายหลวงปู่ หลวงปู่บอกว่าเรายังไม่ได้ใช้ เอากลับไปก่อน จะใช้แล้วจะบอก ผมก็ไม่รู้ว่าหลวงปู่บอกโยมคนนั้นว่าจะใช้เมื่อไร
...
คนมีปัญญาก็ทำทาน
คนมีศรัทธาก็ทำทาน
คนโง่ก็ยังทำทาน
คนมีปัญญารักษาศีล
คนมีศรัทธารักษาศีล
คนโง่ไม่รักษาศีล
คนมีปัญญาฝึกสมาธิ
คนมีศรัทธาก็ฝึกสมาธิ
คนโง่ไม่ฝึกอะไร ปล่อยไปตามใจกิเลส
......
มรณฺง เม ภวิสฺสติ ความตายจักมีแก่เรา
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 676
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 750
ทาน ศีล ภาวนา คือ หัวใจพระพุทธศาสนา โอวาทปาฏิโมกข์ครับ อย่างที่ทราบกันการสละมี 10 ประการ เป็นการกระทำที่ง่ายที่สุด ที่จะต่อยอดหรือสร้างจุดใส่ใจในการกระทำขั้นที่สูงขึ้น คือ ศีล(ข้อห้าม) และ ภาวนา(ฟอกใจ)ดำ เขียน:ผมสงสัยแค่อย่างเดียว
การเริ่มสนใจธรรมะจากการทำทานมันไม่ถูกต้องเหรอครับ ผมเข้าใจมาตลอดว่ามันเป็นขั้นแรก เพราะเป็นการฝึกละทรัพย์ภายนอก
เวลาสอนฆราวาส ผมก็เข้าใจว่า ทาน ศีล ภาวนา เป็นไปตามขั้นตอนเช่นนี้
ส่วนลำดับขั้น แล้วแต่วาสนา/กรรมของผู้ปฏิบัติที่สั่งสมมาเองครับ ว่าจุดเริ่มที่ชัดแจ้งของตนอยู่ที่ใด แต่เมื่อตัวหนึ่งตัวใดบริบูรณ์แล้ว อีก 2 อย่างที่เหลือนั้น เราจะปฏิบัติได้เองครับ ซึ่งถ้าบริบูรณ์ในทาน ในศีล ก็คือพระโสดาบัน หรือพระสกิทาคามี หากพัฒนาการภาวนามยปัญญาก็เข้าสู่พระอนาคามี และสุดท้ายเมื่อบริบูรณ์ครบ 3 ประการ คือ อรหันต์ ครับ
สติปัฎฐาน 4
กาย เวทนา จิต ธรรม
กาย เวทนา จิต ธรรม