เป็นโพสแรกที่ตั้งเลยนะครับ 555
โดยส่วนตัวผมไม่เคยประสบกับภาวะวิกฤติตลาดหุ้นด้วยตัวเองนะครับ
วิกฤติปี 40 ผมยังเด็กอยู่มาก
วิกฤติ subprime ยังเรียนอยู่
เท่าที่ทราบมาคือ 2 วิกฤตินี้มีต้นตอมาจาก "ความโลภ" เป็นตัวขับเคลื่อนหลัก
ณ ตอนนี้ ตลาดหุ้นไทยเข้าขั้นวิกฤติแล้ว เพราะลงมากว่า 30%
มีความคิดเห็นอย่างไรกันบ้างครับเกี่ยวกับ "ความโลภ" ในวิกฤติครั้งนี้ครับ
หรือถ้าเราจะ"จำแนก"ชนิดของวิกฤติตาม "ความแตกต่างของต้นเหตุ" จะจำแนกได้กี่รูปแบบ?
และในแต่ละรูปแบบจะสร้างผลกระทบที่แตกต่างกันอย่างไรครับ
ขอบคุณครับ
อยากทราบว่ามีวิกฤติตลาดหุ้นครั้งไหนที่ไม่ได้เกิดจาก "ความโลภ" บ้างครับ?
-
- Verified User
- โพสต์: 7
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อยากทราบว่ามีวิกฤติตลาดหุ้นครั้งไหนที่ไม่ได้เกิดจาก "ความโลภ" บ้างครับ?
โพสต์ที่ 2
ผมคิดว่าวิกฤติคราวนี้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับความโลภเท่าไหร่( ถ้าไม่นับหน้ากากอนามัย+ทิชชู่นะครับ ) ในทางเศรษฐศาสตร์อ้างอิงจากคลิป "How economic machines works ของคุณ Ray Dalio" นั้นสรุปได้ว่า เศรษฐกิจแบ่งเป็น ภาค Credit + Productivity(ซึ่งขอเรียกสั้นๆว่า Demand) ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าวิกฤติครั้งก่อนหลายๆครั้งเกิดจากภาค Credit ล่ม เพราะโลภนำมาก่อน เก็งกำไรกันแบบไม่กลัวเจ๊ง พอทุกอย่างพังครืนก็ไปกระทบภาค Demand อยู่บ้าง ตกงานบ้าง แต่ก็จำกัดอยู่กับกลุ่มคนบางกลุ่ม กลุ่มธุรกิจบางกลุ่มเท่านั้น ไม่ได้กระทบเป็นวงกว้างทั้งโลก ยังมี transection เกิดขึ้นได้อยู่เนืองๆ
แต่กับวิกฤติ Covid-19 นี้ มันเริ่มจากภาค demand ที่ถ้าสังเกตุดูมันแผ่วมากๆก่อนที่จะมีไวรัสระบาดด้วยซ้ำ โดยหลังจากที่มีโรคระบาด demand ก็ถอยลงไปจนร้านรวงเล็กๆต้องปิดตัว เมื่อโลกกระทบพร้อมๆกันทั้งหมดมันจะเริ่มลามมาสู่ภาค Credit ดูจากเรื่องของลูกหนี้สถาบันการเงิน / หุ้นกู้ภาคเอกชน ซึ่งในตอนนี้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเหือดแห้งไปอย่างมาก ภาคผลิตก็หยุด ภาคบริการก็หยุด ไปต่อกันไม่ได้ ในความเห็นผม รอบนี้มันยืดเยื้อมากถึงแม้ไวรัสจะหายไปได้ แต่ภาค demand ที่ยังไม่แน่นอนว่าจะกลับมามากน้อยแค่ไหน เพิ่มด้วยระดับเงินในระบบที่ธนาคารกลางของโลกร่วมใจกันพิมพ์เข้ามา อันนี้จะต่อเนื่องเป็นลูกโซ่กันไป
สรุปคือ ในความเห็นผมแล้ว ตอนนี้วิกฤติเกิดจาก "ความกลัว" มากกว่าจะเป็น "ความโลภ" ครับ
แต่กับวิกฤติ Covid-19 นี้ มันเริ่มจากภาค demand ที่ถ้าสังเกตุดูมันแผ่วมากๆก่อนที่จะมีไวรัสระบาดด้วยซ้ำ โดยหลังจากที่มีโรคระบาด demand ก็ถอยลงไปจนร้านรวงเล็กๆต้องปิดตัว เมื่อโลกกระทบพร้อมๆกันทั้งหมดมันจะเริ่มลามมาสู่ภาค Credit ดูจากเรื่องของลูกหนี้สถาบันการเงิน / หุ้นกู้ภาคเอกชน ซึ่งในตอนนี้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเหือดแห้งไปอย่างมาก ภาคผลิตก็หยุด ภาคบริการก็หยุด ไปต่อกันไม่ได้ ในความเห็นผม รอบนี้มันยืดเยื้อมากถึงแม้ไวรัสจะหายไปได้ แต่ภาค demand ที่ยังไม่แน่นอนว่าจะกลับมามากน้อยแค่ไหน เพิ่มด้วยระดับเงินในระบบที่ธนาคารกลางของโลกร่วมใจกันพิมพ์เข้ามา อันนี้จะต่อเนื่องเป็นลูกโซ่กันไป
สรุปคือ ในความเห็นผมแล้ว ตอนนี้วิกฤติเกิดจาก "ความกลัว" มากกว่าจะเป็น "ความโลภ" ครับ
เมื่อคนมีเงินและคนที่มีประสบการณ์มาพบกัน คนที่มีเงินจะได้ประสบการณ์ ส่วนคนที่มีประสบการณ์จะได้เงิน