มุมมอง ดร.นิเวศน์ ต่อนักลงทุนหุ้นเวียดนาม อเมริกา จีน
- VVI GROUP
- Thai VI Partner
- โพสต์: 2
- ผู้ติดตาม: 0
มุมมอง ดร.นิเวศน์ ต่อนักลงทุนหุ้นเวียดนาม อเมริกา จีน
โพสต์ที่ 1
หลังจากการจัดงานอาจารย์ได้ให้มุมมองต่อนักลงทุนหุ้นต่างประเทศในรายการรู้ใช้เข้าใจเงิน 96.5 fm (30 พ.ย.63) จึงขอสรุปมุมมอง อาจารย์นิเวศน์ต่อการลงทุนหุ้นต่างประเทศ ดังนี้ค่ะ
ดร.นิเวศน์: ผมว่าเป็นปรากฏการณ์ใหม่ ไม่เคยเจอ แล้วก็ผมว่าเรื่องการลงทุนต่างประเทศนี่เริ่มจะมาเป็นเรื่องเป็นราว ก่อนหน้านั้นเราไปเวียดนามจนกระทั้งตั้งเป็นชมรม Vietnam Value Investor ตอนนั้นก็เน้นที่เวียดนาม
ต่อมาก็ขยายวงไปอะไรไป เพราะว่าเวียดนามก็ไม่ได้ Perform ดีเท่าไหร่ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
กลายเป็นหุ้นอเมริกา จีนที่ดี คนรุ่นใหม่ที่คุ้นเคยอเมริกามากกว่า
คนไปอเมริกาก็เป็นนักลงทุนวีไอที่ฐานะดี อายุไม่เยอะ ที่บ้านก็มีความมั่งคั่งพอสมควร ก็เลยไปอเมริกา พวกนี้ก็คงไม่อยากไปเวียดนาม เพราะเป็นประเทศที่ตามหลังไทยอยู่พอสมควร
ต่อมาจีนก็เริ่มขึ้นมา
ตอนนี้กลายเป็นพวกที่ไปต่างประเทศชัดๆ ก็ 3 ประเทศนี่หล่ะ
คนที่ไปอเมริกาส่วนใหญ่น่าจะไปแนว Passive มากกว่า ซื้อหุ้นสุดยอด Super Stock - Digital หรือไม่ก็ไปเชิง Passive fund แต่ไปเอาหุ้นเทคโนโลยี หรือ ETFs
ส่วนพวกที่ไปเวียดนามตั้งแต่แรกก็เป็นหุ้นแนววีไอ เลือกหุ้นรายตัว มีการ Company visit ทำแบบเดียวกับตอนที่อยู่เมืองไทยเลย
หุ้นที่ซื้อก็เป็นแบบเดียวกับหุ้นที่ซื้อเมืองไทยมาก่อน มีหุ้นโดดเด่นที่เราเคยเห็นมา ค้าปลีก สนามบิน แบงค์
ก่อนหน้านี้ก็ไม่ค่อยมีใครจัดหรอก ประเภท 3 แห่ง ส่วนใหญ่ก็จัดเป็นแห่งๆ ไป เวียดนามก็เวียดนาม จีนก็จีน อเมริกาก็อเมริกา บางทีก็ตั้งกองทุนมาแล้วก็อาจจะมีสัมมนานิดหน่อยเพื่อให้ความรู้
แต่เมื่อวานนี้ก็เป็นปรากฏการณ์ใหม่เลย คือ เป็นคนกลางที่จัด แล้วก็ให้คนกลางมาพูด เพราะว่าเดิมทีมักจะเป็นบริษัทหลักทรัพย์จัดแล้วก็หาคนของเค้ามาพูด แต่เมื่อวานเหมือนกับว่าเป็นคนกลางเลยนะ ไม่ได้มาตั้งใจอะไร คือมาให้ความรู้จริงๆ ก็จะมีบ้างเป็นสปอนเซอร์ แต่ไม่ใช้ลักษณะบริษัทหลักทรัพย์จัดเอง
ก็เห็นว่าอาจจะเป็นแนวโน้มใหม่ของนักลงทุนไทย
เมื่อวานนี้นอกจาก concept ของงานแล้ว คนที่ไปฟัง นักลงทุนก็เป็นแนวโน้มใหม่ 70-80% เป็นคนอายุประมาณ 20 ปลายๆ-30 อัพ ไม่ค่อยเกิน 40 เท่าไหร่ แล้วทุกคนก็ตั้งหน้าตั้งใจฟัง เห็นเลยว่ามีความกระตือรือร้นมาก
คุยนอกรอบบ้างก็รู้สึกเลยว่าใจเต็มร้อย แล้วก็ไปแน่นอน คิดว่าตลาดหุ้นต่างประเทศตอนนี้ก็โดดเด่น วิทยากรที่ขึ้นไปพูดก็เต็มที่เลย รู้สึกว่าเชี่ยวชาญจริงๆ
พูดตามตรงว่าทุกคน Update มีความคิด มีความรู้สึกที่ดี รู้สึกว่าเป็นตลาดหุ้นที่น่าลงทุน อนาคตสดใส เป็นอะไรที่เห็นชัดเลย ว่าต่อจากนี้หุ้นพวกนี้จะมีบทบาทมากขึ้น
ไม่ใช่แค่หุ้นต่างประเทศ หุ้นไทยเองก็คึกคักมหาศาล เมื่อวานไม่ได้พูดถึง นักลงทุนรุ่นใหม่ก็เยอะ เปิดบัญชีมหาศาล
แต่ผมฟังจากโบรกเกอร์บางแห่งที่เค้าเปิดไปตลาดต่างประเทศ เดือน 2 เดือนที่ผ่านมา มีนักลงทุนที่เปิดพอร์ตเพื่อซื้อขายหุ้นต่างประเทศ คนแห่กันมา แสดงให้เห็นว่าโดยรวมทั้งหมดก็คึกคักมาก แต่ตลาดที่คึกคักยิ่งกว่าคือ ตลาดต่างประเทศถ้าคิดตามสัดส่วน (ไม่ใช่ตามจำนวน เพราะไทยเยอะอยู่แล้ว)
ไม่ใช่เฉพาะในไทย ที่อเมริกาก็เป็นประวัติการณ์ที่นักลงทุนส่วนบุคคลแห่กันมาเล่น ซึ่งไม่เคยเจอ มีเม็ดเงินเยอะ แล้วก็เห็นว่าคุณจะลงทุนกองทุนรวมทำไมเมื่อซื้อหุ้นรายตัวกำไรเป็นเท่าตัว ก็ยอมเสียภาษีไปเหอะกำไรมาเยอะ เมื่อวานเราก็เห็นสถานการณ์ตรงนี้
จริงๆ ผมเป็นวิทยากรที่พูดคนหนึ่ง มาหลายปีหล่ะ เราเข้าไปเวียดนามตอนดัชนี 500 จุด มันขึ้นไปพันกว่า แล้วก็เหงาๆ ..เรื่องโควิดเวียดนามก็ไม่ค่อยมีประเด็น ตอนนี้เห็นชัดว่าเค้าไปต่อแน่ แต่เมืองไทยหุ้นไม่ค่อยมีหุ้นโตแล้ว เราไม่มีของใหม่ด้วย เป็นธุรกิจรุ่นเก่า คนก็ไม่บริโภคเพิ่ม คนไปบริโภคของใหม่ ดิจิตอล ซึ่งเป็นหุ้นของต่างชาติ
เวียดนามมีหลายอย่างที่เป็นของใหม่ ไม่ไฮเทคมาก แต่ให้บริการทั่วโลกได้
หรือธุรกิจแบบเก่าก็ยังเติบโตไม่เต็มที่ แบงค์ที่ไทยอิ่มตัวแต่เวียดนามยังเติบโต 2 ดิจิต
ดังนั้นไม่ว่าอะไรในเวียดนามโตหมดแหละ แม้กระทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้า บ้านเราทุกคนในประเทศไทยมีกันเกือบหมดแล้ว
แต่เวียดนามคนส่วนน้อยที่ซักผ้าด้วยเครื่อง หรือ ร้านซุปเปอร์มาร์เก็ตก็เพิ่งจะเริ่ม
พวก Premium คุณ Petri ซึ่งผมก็คุ้นเคยกันมากกว่า 10 ปี เค้าก็บอกว่าเค้าถือหุ้นแบบนี้ไว้เยอะก็เลยขาย วันหนึ่งก็จะมี NVDR แก้ปัญหา
แต่เรายังไม่มีเราก็ไปซื้อ ผมก็เคยรอมา เมื่อไหร่พรีเมี่ยมจะหายก็ไม่หาย จนตอนหลังไม่รอ ราคาหุ้นในตลาด 100 เราซื้อ 150 เพราะตัวนี้ super stock ทุกคนมองเหมือนกันหมด เมื่อวาน VI ไทยที่นั่งบนเวทีก็มีกันหมด
หุ้น Modern Trade เมืองไทยเห็นมาแล้วว่าเคยเป็น Super stock หมด
---------
คุณบิว: ทำไมอาจารย์ถึงไปเวียดนาม ไม่แบ่งพอร์ตไปอเมริกากับจีนเลยคะ?
---------
จริงๆ อเมริกาหุ้นที่ขึ้นไปดีๆ อาจจะเป็นชั่วคราวได้ เพราะพวกไฮเทคมันเป็นของใหม่ของโลก มันขึ้นไปเยอะมากเลยนะ
ผมจำได้ว่าสมัยก่อนเราเคยบอกว่าหุ้นที่ใหญ่ที่สุดในโลกคือ Apple ใหญ่กว่าตลาดหุ้นไทยทั้งหมดอีกแต่ไม่เยอะ ตอนนี้เค้าใหญ่กว่า 3-4 เท่าแล้วมั้ง เราประเมินมูลค่าไม่ได้จริงๆ คำนวนยังไงคนใช้ Facebook เพิ่มขึ้น แต่การที่คุณเก็บเงินเค้าก็ไม่รู้ว่าเก็บยังไง เพราะใช้ฟรี คุณไปเก็บจากโฆษณาแต่ไม่รู้ว่าเก็บได้แค่ไหน
เพราะเช่นนั้นจริงๆ แล้ว ไฮเทคส่วนใหญ่ประเมินมูลค่าไม่ค่อยได้ ส่วนใหญ่ก็ตั้งเป็นสมมติฐาน ถ้าจะลงทุนแบบ VI นี่ยาก
ก็เป็นเหตุผลที่ Warren Buffet ไม่ซื้อหุ้นไฮเทค
แต่ Apple เป็นกรณีพิเศษ เพราะเป็นหุ้นไฮเทคที่ประเมินมูลค่าได้ ขายมือถือ บอกได้เลยว่าปีหน้าน่าจะเพิ่มกี่ % ต้นทุนเค้าก็พอรู้
แล้วจริงๆ ตอนที่ซื้อ Apple มันถูกมาก P/E 10 กว่าเท่าเอง แต่ถ้าคุณไปซื้อ Facebook Google พวกนี้ชักจะงงแล้วเพราะมันคำนวนยาก
“ เราเองเราก็เอาปลอดภัยไว้ก่อน เราไม่รู้หรอกว่ามันจะขึ้นขนาดนี้ ถ้าเรารู้เราก็ซื้อ แล้วมันขึ้นแบบนี้มันก็เหมือนเราตกรถไป “
แต่เราก็ต้องยอมรับเพราะเราเล่นแบบ Conservative แล้วเวียดนามมันชัดกว่าสำหรับเรา เพราะเวียดนามมีประวัติศาสตร์ พฤติกรรมมนุษย์ เหมือนกับไทยเมื่อ 10-20 ปีก่อน มันชัดเจนว่าคนมีเงินเค้าจะบริโภค
จีนนั้นเป็นประเด็นที่ซับซ้อนมากขึ้น เพราะจีนมีปัญหาเรื่อง governance แล้วก็ใหญ่เกินไป เราดูไม่ไหวหรอก
เวียดนามเป็นคอมมิวนิสต์ แต่เป็นธุรกิจ Old economy เราเห็นชัดว่ารัฐบาลก็ไม่ไปยุ่ง เราก็คิดว่าเราไม่มีปัญญา ไม่มีแรงพอ ก็เอาใกล้บ้าน ที่เราเข้าใจ
ที่สำคัญคือหุ้นมันถูกมาก จนกระทั่งไอ้นี่มัน Value เยอะมาก ถ้าเป็นแบบ Growth Momentum ต้องไปอเมริกา-จีน ผสมผสาน
คนที่ไปจีน ส่วนใหญ่ก็ไปแบบไฮเทค ไม่ได้ไปแบบหุ้นทั้งประเทศ เพราะถ้าไปทั้งประเทศจะไปเจอสถาบันการเงินเยอะก็อันตราย
เวียดนามถ้าไปทั้งประเทศก็เจอแบงค์เยอะมาก เวียดนามตอนหลังเค้าก็มี Diamond ETF
เอาหุ้นหลายตัวมารวมกัน แล้วก็ออกหุ้นอีกตัวหนึ่งคือ ETF ของหุ้นที่เค้าคัดว่าเป็น superstock มี MWG อะไร แต่ว่ากระจายหลายตัว แบงค์ก็ยังเยอะ แต่มีอย่างอื่นค่อนข้างเยอะ เราบอกโอ้โหดีมาก ซื้อเลย ซึ่งอันนี้เป็นตัวแทนให้เราไม่เหนื่อย ตอน 4-5 ปีที่เราเข้าไปเหนื่อยมาก ไม่มีกองทุนอะไร ต้องไปเลือกหุ้นเอง เราไม่รู้อะไรเลยซื้อเยอะๆ ไปเลย อาจจะทำไม่ถูกแต่เราอยากไปไง
ตอนหลังผมได้ปันผลเยอะมากก็เลยเอามาซื้อหุ้นกลางใหญ่ แล้วก็ ETF แต่ซื้อไม่เยอะ เพราะ ETF ตัวนี้เกิดมาไม่กี่เดือน ผลตอบแทนก็ใช้ได้เพราะตัวที่เป็น Super Stock สิบกว่าตัว เอาเข้าจริงๆ ขนาด Petri ที่เป็นกองทุนเค้ายังบอกเลยว่าอันนี้ดี ซื้อหุ้น Foreign ได้ไม่จำกัดเลย ซื้อหุ้นมี Premium โดยไม่ต้องจ่าย Premium
ผมก็เลยคิดว่าเมืองไทยต่อจากนี้ คนไปต่างประเทศเป็นเรื่องปกติ
แต่หุ้นเมืองไทยก็ต้องมีพอร์ตนะ เพราะเราก็อยู่ที่นี่
บทความพอร์ตชีวิต อาจแบ่งไป พอร์ตละ 25% เวียดนาม อเมริกา จีน ไทย แต่ละตลาดก็เลือกเอาว่าจะใช้วิธีไหน
ผมว่าต่างประเทศก็เลือกกองทุน หรือ ETF ที่เราชอบใจ ผมว่าผลตอบแทน 7-10% ต่อปีทบต้น ก็จะทำให้เรามีอิสรภาพการเงินได้ก่อนเราเกษียน แต่เราก็ต้องใส่เงินจากการเก็บออมไปลงทุนด้วยนะ
ฟังคลิปดังกล่าวจากรายการรู้ใช้เข้าใจเงินได้ที่ (นาทีที่ 18 เป็นต้นไป)ได้ที่: https://www.youtube.com/watch?v=eb4kDF2V92g