ปี 2550 ผลตอบแทนตลาดน่าจะดีกว่าปี 2549
-
- Verified User
- โพสต์: 2938
- ผู้ติดตาม: 0
ปี 2550 ผลตอบแทนตลาดน่าจะดีกว่าปี 2549
โพสต์ที่ 5
ตอนกลางปีไปดูหมอมาเหมือนกัน
หมอดูบอกช่วงนี้ไม่น่าเล่นหุ้นหรือช่วงปลายปี49นั่นแหละ
ถ้าเชื่อหมอดูก็คงมีเงินสดเหลือตรึม
แต่เพราะไม่เชื่อหมอดู ครึ่งปีหลังเลยกำไรมากกว่า30%
ผมว่าตลาดหุ้นมีเสน่ห์ก็ตรงนี้หละมั้ง
มีเสน่ห์ที่ว่า เราไม่รู้ความแน่นอนของมันเอาซะเลย
การวางแผน การควบคุมระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ การไม่มองโลกแง่ร้ายเกิน และไม่มองบวกเกิน คงน่าจะช่วยให้เราสามารถอยู่ในตลาดได้อย่างมั่นคง
หมอดูบอกช่วงนี้ไม่น่าเล่นหุ้นหรือช่วงปลายปี49นั่นแหละ
ถ้าเชื่อหมอดูก็คงมีเงินสดเหลือตรึม
แต่เพราะไม่เชื่อหมอดู ครึ่งปีหลังเลยกำไรมากกว่า30%
ผมว่าตลาดหุ้นมีเสน่ห์ก็ตรงนี้หละมั้ง
มีเสน่ห์ที่ว่า เราไม่รู้ความแน่นอนของมันเอาซะเลย
การวางแผน การควบคุมระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ การไม่มองโลกแง่ร้ายเกิน และไม่มองบวกเกิน คงน่าจะช่วยให้เราสามารถอยู่ในตลาดได้อย่างมั่นคง
เฝ้าดูไป โดยใจที่เป็นกลาง
-
- Verified User
- โพสต์: 1266
- ผู้ติดตาม: 0
ปี 2550 ผลตอบแทนตลาดน่าจะดีกว่าปี 2549
โพสต์ที่ 6
ไหนๆ ก็คุยเรื่องหมอดูแล้ว หลายคน Short ตอนนี้ แล้วไปรอเก็บตอนเดือน ก.พ. หลัง พ.ค.ขายทำกำไร ไปรอรับตอน ต.ค. ซึ่งเป็นห่วงที่หมอดูเขาว่าจะเกิดเหตุการณ์รุนแรงอีกครั้ง อย่างอื่นไม่ต้องดูมันละ พื้นฐาน เทคนิค ฝีมือหรือจะสู้ดวงดาว ฮา....
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6483
- ผู้ติดตาม: 1
ปี 2550 ผลตอบแทนตลาดน่าจะดีกว่าปี 2549
โพสต์ที่ 8
ประเด็นแรกคือเงินไม่มีที่ไปครับ สุดท้ายก็ต้องกลับมา
น้ำไหลจากที่สูงไปสู่ที่ต่ำ เหียนเงินที่ไหลจากที่ให้ผลตอบแทนต่ำไปที่ๆให้ผลตอบแทนสูง ยิ่งในปัจจุบันการเคลื่อนย้ายเงินทุนทำได้ในพริบตา ไม่มีตลาดไหนที่จะรอดพ้นจากสายตาของพวกกองทุน ที่จ้องจะทำกำไรครับ
ตลาดหุ้นไทยไม่ไปไหนมา 2 ปีแล้ว พีอีต่ำกว่าตลาดอื่นๆ ในขณะที่ตลาดเพื่อนบ้านที่พื้นฐานใกล้เคียงหรือด้อยกว่าเช่น เมเลเซีย จาก 900 ไป 1100 จุดในปัจจุบัน ตลาดอินโดนีเซียจาก 1000 จุดเป็น 1800 ในปัจจุบัน ผมยังจำได้ดี 6-7 ปีก่อนหลังวิกฤตใหม่ๆ ดัชนีตลาดไทยสูงกว่าอินโดนะครับ และพอๆกับเกาหลีใต้ ผ่านไปไม่กี่ปี ทำไมต่างกันมาก โดยเฉพาะอินโดที่มีปัญหาเยอะแยะมากมาย
หลายคนกลัวว่าฝรั่งกำลังจะทิ้งประเทศไทย เพราะนโยบายธนาคารชาติ เรื่องนี้ผมคิดว่ามีผลบ้าง แต่เชื่อเถอะครับ ฝรั่งนั้นหน้าเงิน หมายถึง คำนึงถึงผลกำไรขาดทุน มากกว่าที่จะมาผูกใจเจ็บ จนต้องขายเลหลังหุ้นทุกราคา และโดยเฉพาะหลังจากเปลี่ยนกฏยกเว้นให้เงินที่ลงทุนในตลาดหุ้น ผลกระทบนี้ต่อเงินฝรั่งก็น้อยมาก อาจจะไม่สามารถโยกเงินไปตลาดตราสารหนี้ได้เท่านั้น
ดังนั้นผมเชื่อว่า หากหุ้นเราถูก จนมีช่องทางทำกำไร ในที่สุดฝรั่งก็ต้องเข้ามาซื้อในที่สุด..
น้ำไหลจากที่สูงไปสู่ที่ต่ำ เหียนเงินที่ไหลจากที่ให้ผลตอบแทนต่ำไปที่ๆให้ผลตอบแทนสูง ยิ่งในปัจจุบันการเคลื่อนย้ายเงินทุนทำได้ในพริบตา ไม่มีตลาดไหนที่จะรอดพ้นจากสายตาของพวกกองทุน ที่จ้องจะทำกำไรครับ
ตลาดหุ้นไทยไม่ไปไหนมา 2 ปีแล้ว พีอีต่ำกว่าตลาดอื่นๆ ในขณะที่ตลาดเพื่อนบ้านที่พื้นฐานใกล้เคียงหรือด้อยกว่าเช่น เมเลเซีย จาก 900 ไป 1100 จุดในปัจจุบัน ตลาดอินโดนีเซียจาก 1000 จุดเป็น 1800 ในปัจจุบัน ผมยังจำได้ดี 6-7 ปีก่อนหลังวิกฤตใหม่ๆ ดัชนีตลาดไทยสูงกว่าอินโดนะครับ และพอๆกับเกาหลีใต้ ผ่านไปไม่กี่ปี ทำไมต่างกันมาก โดยเฉพาะอินโดที่มีปัญหาเยอะแยะมากมาย
หลายคนกลัวว่าฝรั่งกำลังจะทิ้งประเทศไทย เพราะนโยบายธนาคารชาติ เรื่องนี้ผมคิดว่ามีผลบ้าง แต่เชื่อเถอะครับ ฝรั่งนั้นหน้าเงิน หมายถึง คำนึงถึงผลกำไรขาดทุน มากกว่าที่จะมาผูกใจเจ็บ จนต้องขายเลหลังหุ้นทุกราคา และโดยเฉพาะหลังจากเปลี่ยนกฏยกเว้นให้เงินที่ลงทุนในตลาดหุ้น ผลกระทบนี้ต่อเงินฝรั่งก็น้อยมาก อาจจะไม่สามารถโยกเงินไปตลาดตราสารหนี้ได้เท่านั้น
ดังนั้นผมเชื่อว่า หากหุ้นเราถูก จนมีช่องทางทำกำไร ในที่สุดฝรั่งก็ต้องเข้ามาซื้อในที่สุด..
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
-
- ผู้ติดตาม: 0
ปี 2550 ผลตอบแทนตลาดน่าจะดีกว่าปี 2549
โพสต์ที่ 9
[quote="hot"]หมอดูผมว่าใช้ซื้อเดือนมีนาคม
-
- Verified User
- โพสต์: 857
- ผู้ติดตาม: 0
ปี 2550 ผลตอบแทนตลาดน่าจะดีกว่าปี 2549
โพสต์ที่ 11
ไม่แน่ใจครับ กำลังตามอ่านไปเรื่อย ๆ อย่างเช่นอันนี้
เหตุวินาศกรรม 31 ธ.ค. 49.. ผลในเชิงลบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2550
Source - ศูนย์วิจัยกสิกรไทย, บจ. (Th)
Wednesday, January 03, 2007 14:56
61833 XTHAI XECON V%RESEARCHL P%TFRC
สืบเนื่องจากเหตุวินาศกรรมในกรุงเทพมหานครในวันที่ 31 ธันวาคม 2549 ที่ผ่านมา รวมทั้งจากปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ อาทิ ผลกระทบจากมาตรการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้นำออกมาใช้ในช่วงก่อนหน้าเพื่อที่จะควบคุมเงินทุนที่ไหลเข้ามาเก็งกำไรในค่าเงินบาท รวมทั้งผลจากแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ ประเมินทบทวนแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยสำหรับปี 2550 ดังนี้ :-
ผลกระทบต่อความเชื่อมั่นจะขึ้นอยู่กับการดำเนินการของทางการ โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ถ้าหากการดำเนินการสืบสวนและจับกุมผู้กระทำความผิดในเหตุการณ์วินาศกรรมดังกล่าวมีความคืบหน้า เหตุที่เกิดขึ้นในวันที่ 31 ธ.ค. 49 ดังกล่าวก็อาจจะมีผลกระทบค่อนข้างจำกัดต่อความเชื่อมั่นของประชาชนและนักลงทุนโดยทั่วไป อย่างไรก็ตาม ถ้าหากทางการใช้เวลานานในการดำเนินการ หรือไม่สามารถจับกุมตัวผู้กระทำความผิดได้ รวมทั้งถ้าหากมีเหตุวินาศกรรมในลักษณะคล้ายกันเกิดขึ้นอีกในกรุงเทพมหานคร
ความเชื่อมั่นของภาคเอกชนก็ย่อมจะถูกกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในขณะที่นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ก็คงจะมีความกังวลเพิ่มมากขึ้นอย่างมากต่อสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศ
ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการบริโภคของทั้งชาวไทยและต่างประเทศน่าจะถูกกระทบโดยตรง จากกรณีดังกล่าว ผลกระทบโดยตรงน่าจะเห็นชัดที่สุดในหมวดการใช้จ่ายของภาคเอกชนในประเทศ โดยเฉพาะยอดขายห้างสรรพสินค้า โรงภาพยนตร์ และร้านอาหาร ที่อยู่ในบริเวณศูนย์การค้าหรือบริเวณใกล้เคียง รวมทั้งยังอาจจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ ทั้งนี้ จำนวนนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่อาจถูกกระทบจากสถานการณ์และความไม่เชื่อมั่นดังกล่าวนั้น นอกจากจะส่งผลโดยตรงต่อธุรกิจโรงแรมและธุรกิจต่าง ๆ ในศูนย์การค้าสำคัญ ๆ ใจกลางเมืองแล้ว ยังอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจอื่น ๆ ที่พึ่งฐานลูกค้าต่างชาติด้วย เช่น บริการทางการแพทย์ของโรงพยาบาลหลายแห่งที่ปรับรูปแบบเพื่อรองรับลูกค้าต่างชาติ รวมทั้งโครงการอสังหาริมทรัพย์ ทั้งที่เป็นโครงการที่อยู่อาศัยระดับสูงและโครงการนิคมอุตสาหกรรม
น้ำหนักการลงทุนของต่างชาติในตลาดทุนไทยอาจถูกกระทบ ทั้งนี้ เหตุวินาศกรรมและสถานการณ์ความไม่แน่นอนในประเทศ ยังอาจส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติปรับลดน้ำหนักการลงทุนในตลาดทุนของไทย ซึ่งเท่ากับเป็นการซ้ำเติมผลกระทบที่เกิดขึ้นก่อนหน้าจากการดำเนินมาตรการควบคุมการเคลื่อนย้ายเงินทุนของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่แม้ว่าธปท.จะได้ยอมผ่อนปรนให้แก่การลงทุนในตลาดหุ้นและการลงทุนโดยตรง (FDI) ไปแล้ว แต่ก็ยังคงข้อจำกัดสำหรับการลงทุนในตราสารหนี้และการการกู้ยืมเงินจากต่างประเทศ ทั้งนี้ สถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมืองและเศรษฐกิจในประเทศที่เพิ่มขึ้นจากเหตุวินาศกรรมดังกล่าว อาจจะส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติรอดูท่าทีอยู่ภายนอกประเทศ แทนที่จะกลับเข้ามาลงทุนในตลาดทุนไทย แม้ว่าราคาหลักทรัพย์ในตลาดจะได้ปรับตัวลดลงมาแล้วก็ตาม ซึ่งการลดน้ำหนักการลงทุนดังกล่าวของต่างชาติย่อมจะส่งผลกระทบต่อปริมาณธุรกรรมและสภาพคล่องของตลาดโดยรวม และอาจทำให้ตลาดทุนไทยต้องใช้เวลานานกว่าที่คาดไว้เดิมในการที่จะฟื้นตัว ตลอดจนอาจเป็นอุปสรรคแก่ธุรกิจไทย ที่ในปี 2550 นี้มีแผนที่จะระดมทุนผ่านตลาดทุน ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้นหรือตลาดตราสารหนี้
เงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลงจากปัญหาความเชื่อมั่นของนักลงทุนดังกล่าว แม้ว่าเงินบาทในตลาดต่างประเทศ (offshore) จะได้รับแรงหนุนส่วนหนึ่งจากมาตรการควมคุมเงินทุนของทางการไทย ซึ่งได้ส่งผลให้เกิดการแยก (two-tier) ระหว่างตลาดเงินบาทในประเทศ (onshore) ที่ต้องดำเนินการตามเกณฑ์สำรองร้อยละ 30 ของธปท.และตลาดเงินบาทในต่างประเทศ (offshore) ที่นักค้าเงินไม่ต้องมีภาระในเรื่องการกันสำรองแต่มีอุปทานของเงินบาทที่จำกัดกว่าตลาดในประเทศมาก แต่โดยรวมแล้ว คาดว่าความเชื่อมั่นที่ถูกกระทบของนักลงทุนจากเหตุการณ์ดังกล่าวน่าจะส่งผลให้เงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลง อย่างไรก็ตาม แนวโน้มค่าเงินบาทในปี 2550 ยังคงจะขึ้นอยู่กับทิศทางของค่าเงินดอลลาร์ฯและเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยในกรณีที่เศรษฐกิจสหรัฐฯชะลอตัวลงไม่มากนักจากปี 2549 ที่ผ่านมา และธนาคารกลางของสหรัฐฯไม่จำเป็นที่จะต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมาก ค่าเงินดอลลาร์ฯก็คงจะปรับฐานลงไม่มากนัก ทำให้เงินบาทอาจจะถูกกดดันจากประเด็นความเชื่อมั่นต่อสถานการณ์ในประเทศดังกล่าวได้มาก ในทางตรงกันข้าม หากเงินดอลลาร์ฯตกอยู่ภายใต้แรงกดดันจากการที่ธนาคารกลางของสหรัฐฯจำต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมากกว่าที่คาด รวมทั้งหากเงินสกุลต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเซียล้วนปรับค่าขึ้นแล้ว ค่าเงินบาทก็อาจจะได้รับแรงหนุนจากแนวโน้มค่าเงินดอลลาร์ฯและค่าเงินในภูมิภาคดังกล่าว ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ค่าเฉลี่ยของเงินบาทในปี 2550 อาจอยู่ที่ประมาณ 36.50 บาท/ดอลลาร์ฯ เทียบกับระดับปิด ณ สิ้นปี 2549 ที่ 35.42 บาท/ดอลลาร์ฯ และระดับปิดในช่วงเช้าของวันที่ 3 มกราคม 2550 ที่ 36.05 บาท/ดอลลาร์ฯ
แม้ว่าเหตุวินาศกรรมจะมีนัยในเชิงลบต่อการบริโภคและการลงทุนในประเทศ แต่ ณ ขณะนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังคงประมาณการอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2550 ไว้ที่ร้อยละ 4.0-5.0 ทั้งนี้ แม้ว่าเศรษฐกิจไทยจะเริ่มต้นปี 2550 ด้วยเหตุการณ์ที่ไม่สู้จะดีนัก หลังจากที่ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติเพิ่งจะถูกกระทบจากมาตรการควบคุมการเคลื่อนย้ายเงินทุนของธปท. ซึ่งทำให้มีความโน้มเอียงไปในเชิงลบ (Negative Bias) ต่อแนวโน้มการบริโภคและการลงทุนในประเทศ แต่ ณ ขณะนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังคงประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2550 ไว้ที่ร้อยละ 4.0-5.0 จากที่ขยายตัวร้อยละ 5.0 ในปี 2549 อย่างไรก็ตาม ความกังวลหลักก็คือ ในขณะที่เศรษฐกิจไทยต้องพึ่งการขยายตัวของการใช้จ่ายในประเทศมากขึ้นกว่าปี 2549 ที่ผ่านมา เนื่องจากแนวโน้มการชะลอตัวของการส่งออกในปี 2550 ตามภาวะเศรษฐกิจหลักของโลก โดยเฉพาะเศรษฐกิจสหรัฐฯที่คาดว่าจะเผชิญกับการชะลอตัว แต่การขยายตัวของการใช้จ่ายในประเทศของเศรษฐกิจไทยในปี 2550 ดังกล่าวก็ต้องมาเผชิญกับข้อจำกัดจากปัญหาความเชื่อมั่นและความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ ในขณะที่ตลาดทุนของประเทศก็อาจจะต้องใช้เวลาฟื้นตัวนานขึ้นกว่าที่คาดไว้เดิม ซึ่งนอกจากจะส่งผลกระทบในเชิงลบต่อความมั่งคั่ง (Wealth Effect) ของผู้บริโภคที่เป็นนักลงทุนรายย่อยในตลาดฯแล้ว ยังอาจส่งผลกระทบต่อการระดมทุนของภาคธุรกิจ ทั้งที่ผ่านตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ รวมทั้งมีผลต่อการลงทุนและการดำเนินธุรกิจของนักลงทุนต่างชาติ ที่ในบางส่วนยังคงถูกกระทบจากมาตรการสำรองร้อยละ 30 ของธนาคารแห่งประเทศไทย
ซึ่งทำให้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า หากปัจจัยลบที่กระทบต่อความเชื่อมั่นของภาคเอกชนดังกล่าวไม่ได้รับการคลี่คลาย รวมทั้งอุปสรรคที่เกิดขึ้นต่อการดำเนินธุรกิจของนักลงทุนต่างชาติไม่ได้รับการบรรเทาแก้ไขแล้ว ความเป็นไปได้ของการปรับลดประมาณการอัตราการขยายตัวของการบริโภค การลงทุน และ GDP ของไทยสำหรับปี 2550 นี้ ก็คงจะเพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
โดยสรุปแล้ว แม้ว่าตลาดหุ้นไทยและค่าเงินบาทจะได้อ่อนตัวลงตอบสนองต่อเหตุวินาศกรรมที่เกิดขึ้นในกรุงเทพมหานครในวันที่ 31 ธ.ค. 49 ที่ผ่านมา แต่ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ณ ขณะนี้ ยังคงประมาณการอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2550 ไว้ที่ร้อยละ 4.0-5.0 เทียบกับที่ขยายตัวร้อยละ 5.0 ในปี 2549 แต่ก็มีความโน้มเอียงไปในเชิงลบ (Negative Bias) ต่อการบริโภค และการลงทุนในประเทศ อันเป็นผลมาจากความไม่แน่นอนทางการเมืองที่เพิ่มขึ้นจากเหตุวินาศกรรมดังกล่าว โดยระดับของผลกระทบที่จะมีต่อภาวะการใช้จ่ายในประเทศนั้น ย่อมจะขึ้นอยู่กับความคืบหน้าในการดำเนินการสอบสวนและจับกุมผู้กระทำความผิดของทางการ รวมทั้งความนิ่งของเหตุการณ์ทางการเมืองในประเทศ อย่างไรก็ตาม อาจจะกล่าวได้ว่า ธุรกิจที่น่าจะได้รับผลกระทบโดยตรงจากภาวะความไม่เชื่อมั่นดังกล่าวคงได้แก่ ธุรกิจเพื่อการบริโภคต่าง ๆ ที่ตั้งอยู่ในบริเวณศูนย์การค้าและใกล้เคียง ในขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่อาจถูกกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวนั้น ก็ย่อมจะส่งผลโดยตรงต่อธุรกิจโรงแรม รวมทั้งต่อธุรกิจอื่น ๆ ที่พึ่งฐานลูกค้าต่างชาติ เช่น ธุรกิจบริการทางการแพทย์ รวมทั้งโครงการอสังหาริมทรัพย์ ทั้งที่เป็นโครงการที่อยู่อาศัยระดับสูงและโครงการนิคมอุตสาหกรรม ในขณะเดียวกัน สถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมืองและเศรษฐกิจในประเทศที่เพิ่มขึ้น ก็อาจจะส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติรอดูท่าทีอยู่ภายนอกประเทศ แทนที่จะกลับเข้ามาลงทุนในตลาดทุนไทยแม้ว่าราคาหลักทรัพย์ในตลาดจะได้ปรับตัวลดลงมาแล้วก็ตาม ซึ่งการลดน้ำหนักการลงทุนดังกล่าวของต่างชาติย่อมจะส่งผลกระทบต่อปริมาณธุรกรรมและสภาพคล่องของตลาดโดยรวม และอาจทำให้ตลาดทุนไทยต้องใช้เวลานานกว่าที่คาดไว้เดิมในการที่จะฟื้นตัว ซึ่งนอกจากจะส่งผลกระทบในเชิงลบต่อความมั่งคั่ง (Wealth Effect) ของผู้บริโภคที่เป็นนักลงทุนรายย่อยในตลาดฯแล้ว ยังอาจเป็นอุปสรรคแก่ธุรกิจไทย ที่ในปี 2550 นี้มีแผนที่จะระดมทุนผ่านตลาดทุน ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้นหรือตลาดตราสารหนี้
* ผู้สนใจสามารถสมัครสมาชิกได้ที่ฝ่ายคอมพิวเตอร์ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ชั้น 9 อาคารธนาคารกสิกรไทย เลขที่ 400/22 ถนนพหลโยธิน แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพฯ 10400 โทร. (66 2) 0-2273-1883-5 โทรสาร. (66 2) 0-2270-1218 หรือ 0-2270-1235, 0-2270-1569, 0-2271-4032 Email: [email protected] http://www.kasikornresearch.com
เหตุวินาศกรรม 31 ธ.ค. 49.. ผลในเชิงลบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2550
Source - ศูนย์วิจัยกสิกรไทย, บจ. (Th)
Wednesday, January 03, 2007 14:56
61833 XTHAI XECON V%RESEARCHL P%TFRC
สืบเนื่องจากเหตุวินาศกรรมในกรุงเทพมหานครในวันที่ 31 ธันวาคม 2549 ที่ผ่านมา รวมทั้งจากปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ อาทิ ผลกระทบจากมาตรการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้นำออกมาใช้ในช่วงก่อนหน้าเพื่อที่จะควบคุมเงินทุนที่ไหลเข้ามาเก็งกำไรในค่าเงินบาท รวมทั้งผลจากแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ ประเมินทบทวนแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยสำหรับปี 2550 ดังนี้ :-
ผลกระทบต่อความเชื่อมั่นจะขึ้นอยู่กับการดำเนินการของทางการ โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ถ้าหากการดำเนินการสืบสวนและจับกุมผู้กระทำความผิดในเหตุการณ์วินาศกรรมดังกล่าวมีความคืบหน้า เหตุที่เกิดขึ้นในวันที่ 31 ธ.ค. 49 ดังกล่าวก็อาจจะมีผลกระทบค่อนข้างจำกัดต่อความเชื่อมั่นของประชาชนและนักลงทุนโดยทั่วไป อย่างไรก็ตาม ถ้าหากทางการใช้เวลานานในการดำเนินการ หรือไม่สามารถจับกุมตัวผู้กระทำความผิดได้ รวมทั้งถ้าหากมีเหตุวินาศกรรมในลักษณะคล้ายกันเกิดขึ้นอีกในกรุงเทพมหานคร
ความเชื่อมั่นของภาคเอกชนก็ย่อมจะถูกกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในขณะที่นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ก็คงจะมีความกังวลเพิ่มมากขึ้นอย่างมากต่อสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศ
ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการบริโภคของทั้งชาวไทยและต่างประเทศน่าจะถูกกระทบโดยตรง จากกรณีดังกล่าว ผลกระทบโดยตรงน่าจะเห็นชัดที่สุดในหมวดการใช้จ่ายของภาคเอกชนในประเทศ โดยเฉพาะยอดขายห้างสรรพสินค้า โรงภาพยนตร์ และร้านอาหาร ที่อยู่ในบริเวณศูนย์การค้าหรือบริเวณใกล้เคียง รวมทั้งยังอาจจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ ทั้งนี้ จำนวนนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่อาจถูกกระทบจากสถานการณ์และความไม่เชื่อมั่นดังกล่าวนั้น นอกจากจะส่งผลโดยตรงต่อธุรกิจโรงแรมและธุรกิจต่าง ๆ ในศูนย์การค้าสำคัญ ๆ ใจกลางเมืองแล้ว ยังอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจอื่น ๆ ที่พึ่งฐานลูกค้าต่างชาติด้วย เช่น บริการทางการแพทย์ของโรงพยาบาลหลายแห่งที่ปรับรูปแบบเพื่อรองรับลูกค้าต่างชาติ รวมทั้งโครงการอสังหาริมทรัพย์ ทั้งที่เป็นโครงการที่อยู่อาศัยระดับสูงและโครงการนิคมอุตสาหกรรม
น้ำหนักการลงทุนของต่างชาติในตลาดทุนไทยอาจถูกกระทบ ทั้งนี้ เหตุวินาศกรรมและสถานการณ์ความไม่แน่นอนในประเทศ ยังอาจส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติปรับลดน้ำหนักการลงทุนในตลาดทุนของไทย ซึ่งเท่ากับเป็นการซ้ำเติมผลกระทบที่เกิดขึ้นก่อนหน้าจากการดำเนินมาตรการควบคุมการเคลื่อนย้ายเงินทุนของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่แม้ว่าธปท.จะได้ยอมผ่อนปรนให้แก่การลงทุนในตลาดหุ้นและการลงทุนโดยตรง (FDI) ไปแล้ว แต่ก็ยังคงข้อจำกัดสำหรับการลงทุนในตราสารหนี้และการการกู้ยืมเงินจากต่างประเทศ ทั้งนี้ สถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมืองและเศรษฐกิจในประเทศที่เพิ่มขึ้นจากเหตุวินาศกรรมดังกล่าว อาจจะส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติรอดูท่าทีอยู่ภายนอกประเทศ แทนที่จะกลับเข้ามาลงทุนในตลาดทุนไทย แม้ว่าราคาหลักทรัพย์ในตลาดจะได้ปรับตัวลดลงมาแล้วก็ตาม ซึ่งการลดน้ำหนักการลงทุนดังกล่าวของต่างชาติย่อมจะส่งผลกระทบต่อปริมาณธุรกรรมและสภาพคล่องของตลาดโดยรวม และอาจทำให้ตลาดทุนไทยต้องใช้เวลานานกว่าที่คาดไว้เดิมในการที่จะฟื้นตัว ตลอดจนอาจเป็นอุปสรรคแก่ธุรกิจไทย ที่ในปี 2550 นี้มีแผนที่จะระดมทุนผ่านตลาดทุน ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้นหรือตลาดตราสารหนี้
เงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลงจากปัญหาความเชื่อมั่นของนักลงทุนดังกล่าว แม้ว่าเงินบาทในตลาดต่างประเทศ (offshore) จะได้รับแรงหนุนส่วนหนึ่งจากมาตรการควมคุมเงินทุนของทางการไทย ซึ่งได้ส่งผลให้เกิดการแยก (two-tier) ระหว่างตลาดเงินบาทในประเทศ (onshore) ที่ต้องดำเนินการตามเกณฑ์สำรองร้อยละ 30 ของธปท.และตลาดเงินบาทในต่างประเทศ (offshore) ที่นักค้าเงินไม่ต้องมีภาระในเรื่องการกันสำรองแต่มีอุปทานของเงินบาทที่จำกัดกว่าตลาดในประเทศมาก แต่โดยรวมแล้ว คาดว่าความเชื่อมั่นที่ถูกกระทบของนักลงทุนจากเหตุการณ์ดังกล่าวน่าจะส่งผลให้เงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลง อย่างไรก็ตาม แนวโน้มค่าเงินบาทในปี 2550 ยังคงจะขึ้นอยู่กับทิศทางของค่าเงินดอลลาร์ฯและเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยในกรณีที่เศรษฐกิจสหรัฐฯชะลอตัวลงไม่มากนักจากปี 2549 ที่ผ่านมา และธนาคารกลางของสหรัฐฯไม่จำเป็นที่จะต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมาก ค่าเงินดอลลาร์ฯก็คงจะปรับฐานลงไม่มากนัก ทำให้เงินบาทอาจจะถูกกดดันจากประเด็นความเชื่อมั่นต่อสถานการณ์ในประเทศดังกล่าวได้มาก ในทางตรงกันข้าม หากเงินดอลลาร์ฯตกอยู่ภายใต้แรงกดดันจากการที่ธนาคารกลางของสหรัฐฯจำต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมากกว่าที่คาด รวมทั้งหากเงินสกุลต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเซียล้วนปรับค่าขึ้นแล้ว ค่าเงินบาทก็อาจจะได้รับแรงหนุนจากแนวโน้มค่าเงินดอลลาร์ฯและค่าเงินในภูมิภาคดังกล่าว ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ค่าเฉลี่ยของเงินบาทในปี 2550 อาจอยู่ที่ประมาณ 36.50 บาท/ดอลลาร์ฯ เทียบกับระดับปิด ณ สิ้นปี 2549 ที่ 35.42 บาท/ดอลลาร์ฯ และระดับปิดในช่วงเช้าของวันที่ 3 มกราคม 2550 ที่ 36.05 บาท/ดอลลาร์ฯ
แม้ว่าเหตุวินาศกรรมจะมีนัยในเชิงลบต่อการบริโภคและการลงทุนในประเทศ แต่ ณ ขณะนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังคงประมาณการอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2550 ไว้ที่ร้อยละ 4.0-5.0 ทั้งนี้ แม้ว่าเศรษฐกิจไทยจะเริ่มต้นปี 2550 ด้วยเหตุการณ์ที่ไม่สู้จะดีนัก หลังจากที่ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติเพิ่งจะถูกกระทบจากมาตรการควบคุมการเคลื่อนย้ายเงินทุนของธปท. ซึ่งทำให้มีความโน้มเอียงไปในเชิงลบ (Negative Bias) ต่อแนวโน้มการบริโภคและการลงทุนในประเทศ แต่ ณ ขณะนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังคงประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2550 ไว้ที่ร้อยละ 4.0-5.0 จากที่ขยายตัวร้อยละ 5.0 ในปี 2549 อย่างไรก็ตาม ความกังวลหลักก็คือ ในขณะที่เศรษฐกิจไทยต้องพึ่งการขยายตัวของการใช้จ่ายในประเทศมากขึ้นกว่าปี 2549 ที่ผ่านมา เนื่องจากแนวโน้มการชะลอตัวของการส่งออกในปี 2550 ตามภาวะเศรษฐกิจหลักของโลก โดยเฉพาะเศรษฐกิจสหรัฐฯที่คาดว่าจะเผชิญกับการชะลอตัว แต่การขยายตัวของการใช้จ่ายในประเทศของเศรษฐกิจไทยในปี 2550 ดังกล่าวก็ต้องมาเผชิญกับข้อจำกัดจากปัญหาความเชื่อมั่นและความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ ในขณะที่ตลาดทุนของประเทศก็อาจจะต้องใช้เวลาฟื้นตัวนานขึ้นกว่าที่คาดไว้เดิม ซึ่งนอกจากจะส่งผลกระทบในเชิงลบต่อความมั่งคั่ง (Wealth Effect) ของผู้บริโภคที่เป็นนักลงทุนรายย่อยในตลาดฯแล้ว ยังอาจส่งผลกระทบต่อการระดมทุนของภาคธุรกิจ ทั้งที่ผ่านตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ รวมทั้งมีผลต่อการลงทุนและการดำเนินธุรกิจของนักลงทุนต่างชาติ ที่ในบางส่วนยังคงถูกกระทบจากมาตรการสำรองร้อยละ 30 ของธนาคารแห่งประเทศไทย
ซึ่งทำให้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า หากปัจจัยลบที่กระทบต่อความเชื่อมั่นของภาคเอกชนดังกล่าวไม่ได้รับการคลี่คลาย รวมทั้งอุปสรรคที่เกิดขึ้นต่อการดำเนินธุรกิจของนักลงทุนต่างชาติไม่ได้รับการบรรเทาแก้ไขแล้ว ความเป็นไปได้ของการปรับลดประมาณการอัตราการขยายตัวของการบริโภค การลงทุน และ GDP ของไทยสำหรับปี 2550 นี้ ก็คงจะเพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
โดยสรุปแล้ว แม้ว่าตลาดหุ้นไทยและค่าเงินบาทจะได้อ่อนตัวลงตอบสนองต่อเหตุวินาศกรรมที่เกิดขึ้นในกรุงเทพมหานครในวันที่ 31 ธ.ค. 49 ที่ผ่านมา แต่ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ณ ขณะนี้ ยังคงประมาณการอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2550 ไว้ที่ร้อยละ 4.0-5.0 เทียบกับที่ขยายตัวร้อยละ 5.0 ในปี 2549 แต่ก็มีความโน้มเอียงไปในเชิงลบ (Negative Bias) ต่อการบริโภค และการลงทุนในประเทศ อันเป็นผลมาจากความไม่แน่นอนทางการเมืองที่เพิ่มขึ้นจากเหตุวินาศกรรมดังกล่าว โดยระดับของผลกระทบที่จะมีต่อภาวะการใช้จ่ายในประเทศนั้น ย่อมจะขึ้นอยู่กับความคืบหน้าในการดำเนินการสอบสวนและจับกุมผู้กระทำความผิดของทางการ รวมทั้งความนิ่งของเหตุการณ์ทางการเมืองในประเทศ อย่างไรก็ตาม อาจจะกล่าวได้ว่า ธุรกิจที่น่าจะได้รับผลกระทบโดยตรงจากภาวะความไม่เชื่อมั่นดังกล่าวคงได้แก่ ธุรกิจเพื่อการบริโภคต่าง ๆ ที่ตั้งอยู่ในบริเวณศูนย์การค้าและใกล้เคียง ในขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่อาจถูกกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวนั้น ก็ย่อมจะส่งผลโดยตรงต่อธุรกิจโรงแรม รวมทั้งต่อธุรกิจอื่น ๆ ที่พึ่งฐานลูกค้าต่างชาติ เช่น ธุรกิจบริการทางการแพทย์ รวมทั้งโครงการอสังหาริมทรัพย์ ทั้งที่เป็นโครงการที่อยู่อาศัยระดับสูงและโครงการนิคมอุตสาหกรรม ในขณะเดียวกัน สถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมืองและเศรษฐกิจในประเทศที่เพิ่มขึ้น ก็อาจจะส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติรอดูท่าทีอยู่ภายนอกประเทศ แทนที่จะกลับเข้ามาลงทุนในตลาดทุนไทยแม้ว่าราคาหลักทรัพย์ในตลาดจะได้ปรับตัวลดลงมาแล้วก็ตาม ซึ่งการลดน้ำหนักการลงทุนดังกล่าวของต่างชาติย่อมจะส่งผลกระทบต่อปริมาณธุรกรรมและสภาพคล่องของตลาดโดยรวม และอาจทำให้ตลาดทุนไทยต้องใช้เวลานานกว่าที่คาดไว้เดิมในการที่จะฟื้นตัว ซึ่งนอกจากจะส่งผลกระทบในเชิงลบต่อความมั่งคั่ง (Wealth Effect) ของผู้บริโภคที่เป็นนักลงทุนรายย่อยในตลาดฯแล้ว ยังอาจเป็นอุปสรรคแก่ธุรกิจไทย ที่ในปี 2550 นี้มีแผนที่จะระดมทุนผ่านตลาดทุน ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้นหรือตลาดตราสารหนี้
* ผู้สนใจสามารถสมัครสมาชิกได้ที่ฝ่ายคอมพิวเตอร์ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ชั้น 9 อาคารธนาคารกสิกรไทย เลขที่ 400/22 ถนนพหลโยธิน แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพฯ 10400 โทร. (66 2) 0-2273-1883-5 โทรสาร. (66 2) 0-2270-1218 หรือ 0-2270-1235, 0-2270-1569, 0-2271-4032 Email: [email protected] http://www.kasikornresearch.com
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6483
- ผู้ติดตาม: 1
ปี 2550 ผลตอบแทนตลาดน่าจะดีกว่าปี 2549
โพสต์ที่ 12
หากทั้งโลกหนีตายจากเงินดอลลาร์ ที่กำลังลดค่า..
คัดลอกจากกรุงเทพธุรกิจฉบับวันนี้ครับ
ถ้าสหรัฐอเมริกาเป็นบริษัทชื่อ USA Inc.
พื้นฐานของบริษัทใกล้ถึงจุดวิกฤต
เพราะตลอดมา ทำมาค้าขาย ขาดทุน ต้องก่อหนี้ตลอด
คล้ายๆกับไทยก่อนเกิดวิกฤติไหมครับ แต่ดูเหมือนของอเมริกาจะหนักกว่า และแน้วโน้มยังดูไม่ดีขึ้น การอ่อนค่าของเงินเหรียญเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก
ถ้าทุกคนคิดกันอย่างนี้ เกิดวิกฤติศรัทธาในเงินเหรียญ แห่กันแลกเป็นเงินสกุลอื่นๆ เหมือนฝนตกทั่วฟ้า ก็คงมีเงินไหลหนีเงินเหรียญ มาซื้อเงินบาท เมื่อซื้อตราสารหนี้ไม่ได้ ก็ต้องซื้อหุ้นซิครับ..
คัดลอกจากกรุงเทพธุรกิจฉบับวันนี้ครับ
ทั่วโลกปรับทุนสำรองกดดอลล์อ่อน
ตลอดสามไตรมาสแรกของปี 2549 มีแต่ข่าวสมาชิกรัฐบาลสหรัฐ โดยเฉพาะผู้นำด้านการเงินการคลัง เรียงแถวกันออกมาเรียกร้องให้จีน แก้ปัญหาเศรษฐกิจโลกที่ไร้สมดุล ด้วยการปรับมูลค่าเงินหยวนเทียบกับดอลลาร์สหรัฐให้แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการเรียกร้องเป็นไปในเชิงรุก
แต่ในไตรมาสสุดท้ายของปีที่ผ่านมา ข่าวดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง เทียบกับสกุลเงินสำคัญอย่างปอนด์, เยน, ยูโร, และสกุลเงินเอเชียอื่นๆ รวมทั้งเงินบาทของไทย กลับดังและตื่นเต้นยิ่งกว่า เป็นการส่งท้ายสิ้นปี 2549 ต้อนรับปีใหม่ 2550
การอ่อนค่าของดอลลาร์สำหรับไทยแล้ว ผลกระทบสำคัญเกิดขึ้นกับภาคส่งออกมากที่สุด เพราะการค้าการขายเกี่ยวกับค่าเงินโดยตรง ขณะที่ประวัติศาสตร์การเงินของไทยต้องบันทึกไว้อีกครั้งว่าวันที่ 19 ธันวาคม ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกมาตรการรุนแรงเป็นการควบคุมเงินทุน แก้ปัญหาเงินบาทแข็งค่ามากเกินไป และเป็นการช่วยผู้ส่งออกของไทยทางอ้อม
โดยสั่งให้การนำเข้าเงินสกุลต่างประเทศระยะสั้น เพื่อทำธุรกรรมในไทยต้องสำรองเงินทุนนั้นไว้กับธปท. 30% คำสั่งช็อกตลาดได้กดดัชนีหุ้นไทยดิ่งลงกว่า 100 จุด ก่อน รมว.การคลังจะยอมปรับข้อบังคับอ่อนลงเล็กน้อย ด้วยการกำหนดให้ข้อบังคับ ครอบคลุมเฉพาะการลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น
อย่างไรก็ตาม ปัญหาค่าเงินดอลลาร์ในภาพรวมระดับโลก จากนี้ไปอาจสะท้อนได้จากบทวิเคราะห์เรื่อง "ดอลลาร์ร่วงเป็นเรื่องเล่าขานกันได้อีกยาวนาน" ของไฟแนนเชียล ไทมส์ อ้างอิงถึง จอห์น คอนเนลลี รัฐมนตรีคลังในสมัยอดีตประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน ของสหรัฐ ที่ทำให้วาทะที่ว่า "ดอลลาร์เป็นสกุลเงินของเรา แต่ปัญหาเป็นของพวกคุณ" เป็นที่รู้จักกันดี
"กรีนสแปน"ทำนายดอลลาร์ขาลง
นายอลัน กรีนสแปน อดีตประธานธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด ก็ยอมรับว่า "ผมคาดว่าดอลลาร์จะยังคงขยับลงต่อไป จนกว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในดุลการชำระเงินของสหรัฐ" สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่า ดอลลาร์จะอ่อนค่าลงในช่วงไม่กี่ปีข้างหน้า ขณะที่สหรัฐประสบปัญหาขาดดุลการชำระเงิน
ทั้งนี้ ความเห็นของกรีนสแปนสอดรับกับนักวิเคราะห์บางราย ซึ่งมองว่าค่าเงินดอลลาร์อ่อน ไม่น่าจะเกิดจากบริษัทสหรัฐในต่างประเทศ โยกเอากำไรที่แลกเป็นสกุลเงินดอลลาร์กลับฐานในช่วงปลายปี แต่น่าจะเป็นเพราะสหรัฐขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเพิ่มขึ้นประมาณ 7.5 แสนล้านดอลลาร์ ในปี 2548 และน่าจะขาดดุลบัญชีเดินสะพัดอีก 8.7 แสนล้านดอลลาร์
โดยในปี 2549 ทำให้สหรัฐมีหนี้เพิ่มอีกประมาณ 1.6 ล้านล้านดอลลาร์ ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา เป็นเหตุสำคัญฉุดดอลลาร์ไม่สามารถฟื้นตัวได้ง่ายโอเปคแตกทุนสำรองหลายสกุล
นายกรีนสแปน ยังตั้งข้อสังเกตว่า บางประเทศโดยเฉพาะประเทศผู้ผลิตน้ำมัน ที่มีดอลลาร์อยู่ในทุนสำรองเป็นจำนวนมาก ได้เริ่มปรับทุนสำรองของประเทศ ออกจากดอลลาร์เข้าสู่สกุลเงินอื่นๆ แล้ว
"มีหลักฐานบางประการบ่งชี้ว่า สมาชิกโอเปคได้เริ่มโยกย้ายทุนสำรองออกจากดอลลาร์เข้าสู่ยูโรและเยน และเป็นเรื่องที่ไม่รอบคอบ หากจะถือครองสินทรัพย์ทั้งหมดในรูปของเงินสกุลเดียว" นายกรีนสแปน กล่าว
ด้านนักวิเคราะห์และสื่อต่างชาติจากหลายค่าย ก็ออกมาประเมินกันว่า ดอลลาร์จะยังอ่อนค่าต่อไป จากหลายปัจจัยทั้งจากกรณีที่ธนาคารกลางหลายประเทศ ปรับสัดส่วนของสกุลเงินดอลลาร์ ในทุนสำรองสกุลเงินต่างประเทศ ไปเป็นสกุลเงินอื่นมากขึ้น
ขณะเดียวกัน ก็มีแรงกดดันจากข่าวที่ว่า จีนกำลังปรับเปลี่ยนสัดส่วนถือครองดอลลาร์ที่มีอยู่มากในทุนสำรองนับล้านล้านดอลลาร์ ไปเป็นเงินยูโรกับสกุลเงินเอเชียอื่น หลังจากปรากฏตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐออกมาไม่ดีในไตรมาส 3 ปีที่ผ่านมา
สื่อวิเคราะห์แรงกดดันรอบด้าน
ในบทวิเคราะห์เรื่อง ดอลลาร์ร่วงสะท้อนปัจจัยพื้นฐาน ของไฟแนนเชียล ไทมส์ สรุปว่าหลังดอลลาร์ในตลาดเงินทั่วโลกอ่อนค่าเร็วจนน่าตกใจ เป็นผลสะท้อนจากปัจจัยพื้นฐาน เพราะตลาดคาดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ย จึงเป็นแรงกดดัน และมีตัวแปรสำคัญอีกตัวหนึ่งคือตลาดผู้บริโภคอเมริกันซบเซาอาจหยุดใช้จ่ายช่วงเทศกาลต่างๆ จนทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวแรงได้
ขณะที่เวบไซต์บาร์รอน ออนไลน์ ในเครือวอลล์ สตรีท เจอร์นัล สรุปทิศทางดอลลาร์ในระยะยาวจะอ่อนค่าสม่ำเสมอ เพราะเศรษฐกิจสหรัฐและตลาดสหรัฐอาจเผชิญความเสี่ยงสองทาง ทั้งจากการลดหรือละทิ้งสินทรัพย์สกุลดอลลาร์จำนวนมากในต่างประเทศ และการขาดดุลมากมายอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ความวิตกเรื่องดอลลาร์มีต่อเนื่องเช่นกัน
ส่วนต่างดอกเบี้ยเริ่มแคบลง
ทั้งนี้ จากบทวิเคราะห์สถานการณ์ดอลลาร์สหรัฐ ในหัวเรื่อง ดอลลาร์จะอ่อนค่าอีกมากน้อยเพียงใด ของ ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการและผู้อำนวยการสายวิจัย บล.ภัทร ยังมองอีกประเด็นหนึ่งว่า ปัจจัยอีกตัวหนึ่งที่สามารถฉุดดอลลาร์อ่อนลงได้อีกมากนั้น อยู่ที่ส่วนต่างดอกเบี้ยสหรัฐกับประเทศอื่นๆ ที่นับวันจะแคบลง
โดยในช่วงปี 2547 จนถึงต้นปี 2549 ดอกเบี้ยสหรัฐปรับเพิ่มขึ้น 2.75% ขณะที่ยุโรปและญี่ปุ่นปรับเพิ่มขึ้นเพียง 0.25% และอังกฤษปรับดอกเบี้ยลง จึงไม่น่าแปลกใจว่าเงินดอลลาร์จะสามารถรักษาค่าเอาไว้ได้ แต่ครึ่งหลังของปี 2549 ธนาคารอังกฤษปรับดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเป็น 5% ธนาคารกลางยุโรปปรับดอกเบี้ยขึ้นเป็น 3.25% และน่าจะปรับขึ้นอีก 0.25% เป็น 3.5%
ดังนั้นส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ยสหรัฐกับดอกเบี้ยประเทศหลักอื่นๆ ได้แคบลงอย่างมาก และจะแคบลงไปอีกเมื่อธนาคารกลางสหรัฐปรับลดดอกเบี้ยลงในปี 2550 ซึ่งตลาดล่วงหน้าได้ทำนายไว้ว่า มีโอกาส 30% ที่เฟดจะลดดอกเบี้ยลงเหลือ 5% ในเดือนมีนาคม 2550
ดร.ศุภวุฒิ ได้สรุปว่า สถานการณ์ดอลลาร์ในปี 2550 จึงไม่น่าไว้วางใจ เพราะดอกเบี้ยสหรัฐมีแนวโน้มลดลง แต่การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเพิ่มขึ้น ทำให้ความต้องการถือเงินดอลลาร์และสินทรัพย์ดอลลาร์ของธนาคารกลางทั่วโลก ลดน้อยถอยลงอย่างมากนับจากนี้ไป
ถ้าสหรัฐอเมริกาเป็นบริษัทชื่อ USA Inc.
พื้นฐานของบริษัทใกล้ถึงจุดวิกฤต
เพราะตลอดมา ทำมาค้าขาย ขาดทุน ต้องก่อหนี้ตลอด
คล้ายๆกับไทยก่อนเกิดวิกฤติไหมครับ แต่ดูเหมือนของอเมริกาจะหนักกว่า และแน้วโน้มยังดูไม่ดีขึ้น การอ่อนค่าของเงินเหรียญเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก
ถ้าทุกคนคิดกันอย่างนี้ เกิดวิกฤติศรัทธาในเงินเหรียญ แห่กันแลกเป็นเงินสกุลอื่นๆ เหมือนฝนตกทั่วฟ้า ก็คงมีเงินไหลหนีเงินเหรียญ มาซื้อเงินบาท เมื่อซื้อตราสารหนี้ไม่ได้ ก็ต้องซื้อหุ้นซิครับ..
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
- pongo
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1075
- ผู้ติดตาม: 0
ปี 2550 ผลตอบแทนตลาดน่าจะดีกว่าปี 2549
โพสต์ที่ 15
ผมเห็นด้วยกับคุณลูกอีสานนะครับว่า ฝรั่งเห็นแก่ผลตอบแทน หากบ้านเราผลตอบแทนสูงจริง เดี๋ยวก็ต้องเอาเงินเข้ามาซื้อ แต่ผมว่าช่วงนี้ฝรั่งกลัวไม่ได้ขนกำไรกลับบ้านน่ะซิครับ หากมาตรการเกี่ยวกับการป้องกันการเก็งกำไรค่าเงินเรายังไม่ชัดเจน กับมีความไม่มั่นคงทางการเมือง ซึ่งจะสะท้อนออกในมาในหลายๆ แง่ เช่น ความเชื่อมั่นผู้บริโภค การลงทุนภาครัฐ เศรษฐกิจชะลอตัว และผมว่าอาจกระทบไปถึงผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนบางกลุ่ม
แต่ไงๆ ผมก็ภาวนาให้เศรษฐกิจปีนี้ดีกว่าปีที่แล้วน๊าาาาี้
แต่ไงๆ ผมก็ภาวนาให้เศรษฐกิจปีนี้ดีกว่าปีที่แล้วน๊าาาาี้
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6483
- ผู้ติดตาม: 1
ปี 2550 ผลตอบแทนตลาดน่าจะดีกว่าปี 2549
โพสต์ที่ 16
ประเด็นปัจจัยภายในประเทศ..
ผมคิดว่าตอนนี้คนไทยทุกคน เอือมระอากับเรื่องการเมืองเต็มที่ ดังนั้นเมื่อไหร่ที่ทุกอย่างเริ่มจะชัดเจน มีการกำหนดวันเลือกตั้ง คิดว่าตอนนั้นความเชื่อมั่นของนักลงทุนจะกลับมา กล้าที่จะซือหุ้น ผมเดาว่าปลายปีนี้จะมีความชัดเจนครับ
เมื่อมีการเลือกตั้งที่รอคอยมาเกือบ 2 ปี ได้ผลอย่างไร นายกคนไหน คงไม่มีการโต้แย้งอีกแล้ว เพราะทุกอย่างเป็นไปตามกติกาใหม่ รัฐธรรมนูญใหม่ ประเทศชาติจะได้เดินหน้าไปเสียที ผมมองแง่ดีอย่างนั้น
no pain no gain .. ตอนนี้เมื่อยังมีความไม่แน่นอน ก็ต้องทำใจครับ ผมยังเชื่อว่าถ้าเลือกหุ้นถูกตัว ก็น่าจะยังทำกำไรได้ ถึงแม้ตลาดรวมจะตกลงบ้างก็ตาม อย่าลืมว่าปัจจัยพื้นฐานของประเทศไม่ได้เปลี่ยนในปี สองปี แต่เพราะความเชื่อมั่นของประชาชนลดลง คนก็เลือกที่จะระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น ธุรกิจบางประเภทที่ขึ้นอยู่กับความมั่นใจของผู้บริโภค รวมถึงความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยว คงมีผลกระทบบ้างเป็นธรรมดา ส่วนธุรกิจที่รายได้มาจากส่งออกไปต่างประเทศ ก็แทบจะไม่ได้รับผลกระทบจากการเมือง อาจจะกระทบในแง่อื่นๆมากกว่า เช่นความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน หรือกำลังซื้อในตลาดหลักๆ
ผมคิดว่าตอนนี้คนไทยทุกคน เอือมระอากับเรื่องการเมืองเต็มที่ ดังนั้นเมื่อไหร่ที่ทุกอย่างเริ่มจะชัดเจน มีการกำหนดวันเลือกตั้ง คิดว่าตอนนั้นความเชื่อมั่นของนักลงทุนจะกลับมา กล้าที่จะซือหุ้น ผมเดาว่าปลายปีนี้จะมีความชัดเจนครับ
เมื่อมีการเลือกตั้งที่รอคอยมาเกือบ 2 ปี ได้ผลอย่างไร นายกคนไหน คงไม่มีการโต้แย้งอีกแล้ว เพราะทุกอย่างเป็นไปตามกติกาใหม่ รัฐธรรมนูญใหม่ ประเทศชาติจะได้เดินหน้าไปเสียที ผมมองแง่ดีอย่างนั้น
no pain no gain .. ตอนนี้เมื่อยังมีความไม่แน่นอน ก็ต้องทำใจครับ ผมยังเชื่อว่าถ้าเลือกหุ้นถูกตัว ก็น่าจะยังทำกำไรได้ ถึงแม้ตลาดรวมจะตกลงบ้างก็ตาม อย่าลืมว่าปัจจัยพื้นฐานของประเทศไม่ได้เปลี่ยนในปี สองปี แต่เพราะความเชื่อมั่นของประชาชนลดลง คนก็เลือกที่จะระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น ธุรกิจบางประเภทที่ขึ้นอยู่กับความมั่นใจของผู้บริโภค รวมถึงความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยว คงมีผลกระทบบ้างเป็นธรรมดา ส่วนธุรกิจที่รายได้มาจากส่งออกไปต่างประเทศ ก็แทบจะไม่ได้รับผลกระทบจากการเมือง อาจจะกระทบในแง่อื่นๆมากกว่า เช่นความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน หรือกำลังซื้อในตลาดหลักๆ
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
- Luty97
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1552
- ผู้ติดตาม: 0
ปี 2550 ผลตอบแทนตลาดน่าจะดีกว่าปี 2549
โพสต์ที่ 17
เห็นด้วยอย่างแรงครับ :lol: :lol: :lol:ลูกอิสาน เขียน:ประเด็นปัจจัยภายในประเทศ..
ผมคิดว่าตอนนี้คนไทยทุกคน เอือมระอากับเรื่องการเมืองเต็มที่ ดังนั้นเมื่อไหร่ที่ทุกอย่างเริ่มจะชัดเจน มีการกำหนดวันเลือกตั้ง คิดว่าตอนนั้นความเชื่อมั่นของนักลงทุนจะกลับมา กล้าที่จะซือหุ้น ผมเดาว่าปลายปีนี้จะมีความชัดเจนครับ
หลักของความสมดุล
-
- Verified User
- โพสต์: 3345
- ผู้ติดตาม: 0
ปี 2550 ผลตอบแทนตลาดน่าจะดีกว่าปี 2549
โพสต์ที่ 20
ตรุษจีน เป็นอีกวันหนึ่ง ที่ผมจะสะสมกระสุนเพิ่มได้อีก 3-4 ลัง ครับ แฮ่ๆๆ ...birdflu เขียน:รอถึงตรุษจีนไหวไหมเนี่ย!!
ขอคิดเข้าข้างตัวเองแล้วกันนะ ว่า ถึงวันนั้น ก้อยังมีหุ้นดีราคาถูกอยู่เต็มตลาดเช่นปัจจุบัน ครับ
8) 8) 8) ...
-
- Verified User
- โพสต์: 307
- ผู้ติดตาม: 0
ปี 2550 ผลตอบแทนตลาดน่าจะดีกว่าปี 2549
โพสต์ที่ 21
เข้ามาฟังท่านลูกอิสาน แล้วเคลิ้มเลยคับ :lol:ลูกอิสาน เขียน:ถ้าทุกคนคิดกันอย่างนี้ เกิดวิกฤติศรัทธาในเงินเหรียญ แห่กันแลกเป็นเงินสกุลอื่นๆ เหมือนฝนตกทั่วฟ้า ก็คงมีเงินไหลหนีเงินเหรียญ มาซื้อเงินบาท เมื่อซื้อตราสารหนี้ไม่ได้ ก็ต้องซื้อหุ้นซิครับ..
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6483
- ผู้ติดตาม: 1
ปี 2550 ผลตอบแทนตลาดน่าจะดีกว่าปี 2549
โพสต์ที่ 22
ขอเอาเรือเข้ามาขวางน้ำเชี่ยวหน่อยครับ..
ผมไม่ได้ซื้อ ไม่ได้ขายหุ้นเลย
และไม่บอกว่าใครที่ขายหรือซื้อผิดนะครับ
แต่เอาประสบการณ์ที่ลงทุนมา 10 ปีมาเล่ากันนะครับ..
เวลาข่าวร้ายมา ก็มักมาตามกันเป็นโขยง เหมือนนัดกัน..
วิกฤติแต่ละครั้งได้สร้างเศรษฐีใหม่ๆขึ้นมาเสมอๆ ผมยอมรับตัวเองว่า ถ้าไม่มีวิกฤติครั้งที่แล้ว ผมคงไม่ได้มีวันนี้แน่ๆ พี่ๆหลายท่านก็เช่นกัน แม้แต่ปรมาจารย์ดร.นิเวศน์..
เราขายหุ้นตามพื้นฐานที่เปลี่ยน หรือเพราะเห็นคนอื่นก็ขายด้วย เพื่อหวังจะได้ไปซื้อตอนต่ำสุด แล้วใครจะแน่ใจว่าจะซื้อได้ตอนราคาต่ำสุด ..
เราเป็นเพื่อนกับนายตลาดหรือเราเป็นนายตลาดเสียเอง..
การใกล้ชิดกับนายตลาดมากๆ ทำให้เรานิสัยคล้ายนายตลาดไปทุกที...
เราซื้อหุ้นแล้วจะหวังให้หุ้นขึ้นทุกครั้งทุกตัวหรือเปล่า ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ดังนั้นท่านก็ควรจะเข้าใจว่าราคาหุ้นที่ลดลง เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ สำหรับชีวิตการลงทุน...
นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ ต้องแยกตัวจากกระแส มวลชน ไม่อย่างนั้นทุกคนที่เล่นหุ้นคงมีแต่กำไร ไม่มีใครขาดทุน..
ท่านเราเดาอารมณ์ตลาดไม่ได้ เราก็ต้องซื้อ-ขายอิงกับพื้นฐานของกิจการ..
ผมไม่ได้ซื้อ ไม่ได้ขายหุ้นเลย
และไม่บอกว่าใครที่ขายหรือซื้อผิดนะครับ
แต่เอาประสบการณ์ที่ลงทุนมา 10 ปีมาเล่ากันนะครับ..
เวลาข่าวร้ายมา ก็มักมาตามกันเป็นโขยง เหมือนนัดกัน..
วิกฤติแต่ละครั้งได้สร้างเศรษฐีใหม่ๆขึ้นมาเสมอๆ ผมยอมรับตัวเองว่า ถ้าไม่มีวิกฤติครั้งที่แล้ว ผมคงไม่ได้มีวันนี้แน่ๆ พี่ๆหลายท่านก็เช่นกัน แม้แต่ปรมาจารย์ดร.นิเวศน์..
เราขายหุ้นตามพื้นฐานที่เปลี่ยน หรือเพราะเห็นคนอื่นก็ขายด้วย เพื่อหวังจะได้ไปซื้อตอนต่ำสุด แล้วใครจะแน่ใจว่าจะซื้อได้ตอนราคาต่ำสุด ..
เราเป็นเพื่อนกับนายตลาดหรือเราเป็นนายตลาดเสียเอง..
การใกล้ชิดกับนายตลาดมากๆ ทำให้เรานิสัยคล้ายนายตลาดไปทุกที...
เราซื้อหุ้นแล้วจะหวังให้หุ้นขึ้นทุกครั้งทุกตัวหรือเปล่า ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ดังนั้นท่านก็ควรจะเข้าใจว่าราคาหุ้นที่ลดลง เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ สำหรับชีวิตการลงทุน...
นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ ต้องแยกตัวจากกระแส มวลชน ไม่อย่างนั้นทุกคนที่เล่นหุ้นคงมีแต่กำไร ไม่มีใครขาดทุน..
ท่านเราเดาอารมณ์ตลาดไม่ได้ เราก็ต้องซื้อ-ขายอิงกับพื้นฐานของกิจการ..
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 920
- ผู้ติดตาม: 0
ปี 2550 ผลตอบแทนตลาดน่าจะดีกว่าปี 2549
โพสต์ที่ 25
ผมแอบคิดว่าอยากให้set index อยู่แถวนี้เรื่อยๆไป หกร้อยกว่า ถึงเจ็ดร้อยกว่า
ขึ้นๆลงๆอยู่นี้แหละดี
เห็นหุ้นลงเราขาดทุนไม่มาก แต่หุ้นขึ้นเรากำไรกันกระฉูด
เราชาววีไอจะได้รวยๆๆๆๆ
เพราะถ้าเซตเป็นกระทิงผมก็ไม่รู้ว่าจะกล้า... ซื้อตัวไหนเหมือนกัน
:lol: :lol: :lol:
ขึ้นๆลงๆอยู่นี้แหละดี
เห็นหุ้นลงเราขาดทุนไม่มาก แต่หุ้นขึ้นเรากำไรกันกระฉูด
เราชาววีไอจะได้รวยๆๆๆๆ
เพราะถ้าเซตเป็นกระทิงผมก็ไม่รู้ว่าจะกล้า... ซื้อตัวไหนเหมือนกัน
:lol: :lol: :lol:
-
- Verified User
- โพสต์: 18364
- ผู้ติดตาม: 1
ปี 2550 ผลตอบแทนตลาดน่าจะดีกว่าปี 2549
โพสต์ที่ 26
ไม่ได้ทำอะไรมาหลายวันแล้ว
มองปีนี้เป็นปีที่ยากลำบากมากๆๆๆ
เพราะหุ้นดีราคาถูกบ้างตัวนั้นได้ โดนต่างชาติและกองทุนศึกษา
ทำให้หุ้นดีๆๆ ราคาถูกของรายย่อยหายากยิ่งขึ้น
งานนี้ต้องเอาจอบ และเสียมไปขุดหุ้นกันต่อไป
จนกว่าจะได้หุ้นดีถูกใจ
มองปีนี้เป็นปีที่ยากลำบากมากๆๆๆ
เพราะหุ้นดีราคาถูกบ้างตัวนั้นได้ โดนต่างชาติและกองทุนศึกษา
ทำให้หุ้นดีๆๆ ราคาถูกของรายย่อยหายากยิ่งขึ้น
งานนี้ต้องเอาจอบ และเสียมไปขุดหุ้นกันต่อไป
จนกว่าจะได้หุ้นดีถูกใจ
-
- Verified User
- โพสต์: 3345
- ผู้ติดตาม: 0
ปี 2550 ผลตอบแทนตลาดน่าจะดีกว่าปี 2549
โพสต์ที่ 27
ผมเจอตัวที่ถูกใจเต็มไปหมดเลยครับวันนี้ ไม่ต้องขุดให้เมื่อยเลย แบกับดินนี่แหละครับ ...miracle เขียน:งานนี้ต้องเอาจอบ และเสียมไปขุดหุ้นกันต่อไป
จนกว่าจะได้หุ้นดีถูกใจ:)
ผมมองว่า ปี 2550 เป็นปีที่รอความชัดเจนทางการเมืองมากกว่า
แสดงว่า หากการเมือง และทุกอย่าง มันชัดเจน
หุ้นก้อดีดกลับไป อย่างน้อยก้อควรจะใกล้ๆ 700 จุด เพราะฝรั่งยังไงก้อเข้ามาซื้ออยู่วันยังค่ำแหละน้า
ถึงตอนนั้นหลายตัวที่ผมเล็งไว้ก้อคงจะแพงแล้ว เพราะถูกดันราคาขึ้นไปหมดละ ...
ถ้าจะเก็บของที่มีคุณภาพดี และราคาถูก
ถามเพื่อนๆ นิดนึงครับ..
ว่าจะเก็บตอนที่การเมืองยังไม่ชัดเจน หรือว่ารอให้มันชัดเจนก่อนแล้วค่อยเก็บ ??? จ๊ะ ...
-
- Verified User
- โพสต์: 155
- ผู้ติดตาม: 0
ปี 2550 ผลตอบแทนตลาดน่าจะดีกว่าปี 2549
โพสต์ที่ 28
อ่าน Topic นี้แล้วค่อยมีความเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับ VI :D ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นดีๆครับ