พอไหวไหม นิทานอีสปของ WG

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
ภาพประจำตัวสมาชิก
metro
Verified User
โพสต์: 861
ผู้ติดตาม: 0

พอไหวไหม นิทานอีสปของ WG

โพสต์ที่ 91

โพสต์

เท่าที่อ่านจากที่คุณ Ninja Turtle ทำลิงค์ไว้ให้

ทางเลือกที่ดีกว่าที่ทำให้ผู้บริหารทุ่มเทกับบริษัทมากกว่าการออก ESOP น่าจะเป็นการให้โบนัสผู้บริหารในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นตามผลประกอบการที่ดีขึ้นนะครับ การออก ESOP เป็นการทำลายมูลค่าหุ้นทางอ้อมครับ

ดูจาก งบการเงินแล้ว การให้โบนัสที่สุงขึ้นตามผลประกอบการน่าจะเป็นอะไรที่ดีกว่าและหมาะกว่าอย่างมากๆครับ ถ้าบริษัทมีหนี้ที่ต้องชำระที่สูง การออกหุ้นเพิ่มทุนเพื่อนำเงินไปชำระหนี้ก็น่าจะเป็นทางเลือกได้ แต่ WG หนี้ก็น้อย เพิ่มทุนมา ไม่รู้ว่าจะเอาเงินไปทำอะไรอีกนอกจากเอาไปฝากแบงค์
chatchai
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 11444
ผู้ติดตาม: 1

พอไหวไหม นิทานอีสปของ WG

โพสต์ที่ 92

โพสต์

akekarat เขียน:2. เพิ่มทุนเต็ม Max ที่เหลืออีก 12.15 ล้านหุ้นไปเลย ESOP ออกมา 1.2 ล้านหุ้น แล้วอีก 10.95 ล้านหุ้นแบ่งให้ผู้ถือหุ้นทุกคนมีสิทธิซื้อด้วยในราคาพาร์
ข้อนี้ส่วนตัวไม่เห็นด้วยอย่างมากเลยครับ

เพราะไม่มีเงินเหลือไปซื้อหุ้นเพิ่มทุนแล้วครับ  :cry:    :cry:
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
ภาพประจำตัวสมาชิก
gnomeller
Verified User
โพสต์: 425
ผู้ติดตาม: 0

พอไหวไหม นิทานอีสปของ WG

โพสต์ที่ 93

โพสต์

สโมสรอื่นจ้องตาเป็นมันเพื่อจะนำตัวไปเล่นใน ดิวิชั่นหนึ่งของเสปน
บางทีต้นสังกัดเค้าก็ต้องทำสัญญาใจกันนิดนึงงงงงง
นักเตะจะได้ค้าแข้งกันนานๆ ดูอย่างเบคเฮมยังย้ายทีมเลยครับ
เมื่อถูกเสนอค่าตัวสูงลิบลิ่วจากรีลมาดริด

กีฬาฮาเอจริง
lychee
Verified User
โพสต์: 532
ผู้ติดตาม: 0

พอไหวไหม นิทานอีสปของ WG

โพสต์ที่ 94

โพสต์

Nokia Corporation มี Nokia Performance Share Plans โดยมี Criteria ว่าหากบริษัท สามารถ ทำยอดขายเพิ่มเฉลี่ยในสามปีจาก 2007-2009 ที่ 9.5% ถึง 20%  และ EPS ระหว่าง 1.26 - 1.86 Euro บริษัทฯจะแจกหุ้นให้ (น่าจะผู้บริหารระดับสูง) จำนวนต่อปี max 12 mil shares ในกรณีทำผลงานได้ และ จำนวนหุ้นลดหลั่นลงมาผลดำเนินที่อาจจะเติบโตไม่ถึงจุดสูงสุด

เขาแจกสูงสุด 12 ล้านหุ้น (ราคาล่าสุดประมาณ 17 Euro กว่า ๆ) จากจำนวนหุ้นที่อยู่ในตลาด 3925,542,619 หุ้นครับ

www.nokia.com > Press

WG จะแจก 1.2 ล้านหุ้น จาก 18 ล้านกว่าหุ้น โดยไม่มี criteria อะไร
ภาพประจำตัวสมาชิก
naris
Verified User
โพสต์: 6726
ผู้ติดตาม: 1

พอไหวไหม นิทานอีสปของ WG

โพสต์ที่ 95

โพสต์

ไปเที่ยวไม่ได้เข้าเวปหลายวัน มีกระทู้ร้อนๆรับสงกรานต์เลยนะครับ :D

ผมเห็นด้วยในการออกESOPและก็คิดเหมือนพี่ฉัตรชัยและเพื่อนๆในเรื่องการออกให้บุคคลแค่2ท่าน

แต่ผมก็มีข้อสังเกตุของการทำธุรกิจนะครับว่า วัฒนธรรมองค์กรที่อยู่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเป็นสิบปี โดยค่อนข้างเห็นชัดว่าWGต้องการอยู่กันแบบเรียบง่าย ไม่ฟุ้งเฟ้อ อยู่กันแบบมีเหตุและผล(ถ้าไม่อย่างนั้นคงนอกกรอบไปนานแล้ว)

แต่ทำไม่ถึงมีการแจกESOPแบบสุดโต่ง

หรือมีปัจจัยอะไรที่เราไม่รู้เกี่ยวกับสองท่านนี้ เช่น

-ท่านเป็นผู้พลิกวิกฤตในช่วง40และเป็นหัวขบวนทำงานถวายหัวจนผู้บริหารอื่นๆอยากตอบแทน หรือ
-ไม่ทราบว่าที่ดินที่ซื้อจากแอมคอร์ถูกไปหรือเปล่า ใครเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในแอมคอร์ มีการแลกเปลี่ยนบางอย่างเพื่อเสียภาษีน้อยลงหรือม่

นั่นคือข้อสังเกตุเท่านั้นครับ เพราะตอนนี้เรากำลังตัดสินใจบางอย่างโดยที่ยังไม่ฟังเสียงของทางจำเลย ในวันจันทร์ผมว่าน่าจะมีใครซักคนเป็นตัวแทนเราโทรเข้าไปสอบถามข้อเท็จจริง แล้วค่อยตัดสินใจครับ

ความเห็นผมเราควรแสดงพลังให้รู้ว่าเราไม่เห็นด้วยโดยการงดออกเสียงมากกว่าลงคะแนนไม่เห็นด้วยครับ เพราะถ้าเราชนะในการออกเสียง แต่เราก็จะแพ้ในการเป็นส่วนร่วมธุรกิจครับ
ราคาระยะสั้นตามข่าว--ราคาระยะยาวตามผลกำไร
akekarat
Verified User
โพสต์: 1746
ผู้ติดตาม: 0

พอไหวไหม นิทานอีสปของ WG

โพสต์ที่ 96

โพสต์

naris เขียน: เพราะตอนนี้เรากำลังตัดสินใจบางอย่างโดยที่ยังไม่ฟังเสียงของทางจำเลย ในวันจันทร์ผมว่าน่าจะมีใครซักคนเป็นตัวแทนเราโทรเข้าไปสอบถามข้อเท็จจริง แล้วค่อยตัดสินใจครับ

ความเห็นผมเราควรแสดงพลังให้รู้ว่าเราไม่เห็นด้วยโดยการงดออกเสียงมากกว่าลงคะแนนไม่เห็นด้วยครับ เพราะถ้าเราชนะในการออกเสียง แต่เราก็จะแพ้ในการเป็นส่วนร่วมธุรกิจครับ
ข้อความแรกเห็นด้วยครับ ถ้ามีการอธิบายด้วยเหตุผลที่ดีพอสำหรับการออก ESOP ครั้งนี้ได้ ผมคิดว่าทุก ๆ คนก็ยินดีที่จะยกมือเห็นด้วย

อันหลังนี่ไม่เห็นด้วยครับ เพราะการที่เราทำให้ฝ่ายบริหารเห็นว่า การที่เรางดออกเสียงคือการที่เราไม่เห็นด้วย ฝ่ายนั้นก็อาจได้ใจ และจากที่ไม่เห็นความสำคัญของเราแล้ว ยิ่งกลายเป็นสำคัญตัวผิดคิดว่าตัวเองสำคัญมากไปอีก การที่เราต้องตามใจฝ่ายบริหาร เพียงเพื่อเหตุผลว่าไม่ต้องการแพ้ในการเป็นส่วนร่วมของธุรกิจ "ผมมองไม่ต่างอะไรกับการที่เราเดินไปหาผู้บริหารแล้วบอกว่า บริษัทของผมขาดคุณไม่ได้จริง ๆ ไม่งั้นตายแน่ ๆ คุณอยากทำอะไรก็เชิญ หรือจะให้ผมแบ่งบริษัทให้คุณเป็นเจ้าของมากกว่าก็ได้นะ ขอแค่อย่าหนีเราไป" ทุกฝ่ายต่างต้องเคารพ และให้ความสำคัญซึ่งกันและกันครับ องค์กรถึงจะไปได้ด้วยดี ไม่ใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ต้องยอมทำตาปริบ ๆ ดูอีกฝ่ายทำอะไรตามใจ อยู่ฝ่ายเดียว
akekarat
Verified User
โพสต์: 1746
ผู้ติดตาม: 0

พอไหวไหม นิทานอีสปของ WG

โพสต์ที่ 97

โพสต์

chatchai เขียน:
ข้อนี้ส่วนตัวไม่เห็นด้วยอย่างมากเลยครับ

เพราะไม่มีเงินเหลือไปซื้อหุ้นเพิ่มทุนแล้วครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
tanate
Verified User
โพสต์: 307
ผู้ติดตาม: 0

พอไหวไหม นิทานอีสปของ WG

โพสต์ที่ 98

โพสต์

เที่ยงครึ่ง -3 บาแล้ว เหลือ 42 บาท
เกิดอะไรขึ้นครับ
wg big sell หรือเปล่า
เสียดายไม่มีเงินซื้อ กะว่าจะรอปันผลแล้วนำมาซื้อ
อย่าเพิ่งขึ้นละ
หุ้นขึ้นสักแต่รู้ว่าหุ้นขึ้น หุ้นตกสักแต่รู้ว่าหุ้นตก
ภาพประจำตัวสมาชิก
atsu
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1220
ผู้ติดตาม: 1

พอไหวไหม นิทานอีสปของ WG

โพสต์ที่ 99

โพสต์

tanate เขียน:เที่ยงครึ่ง -3 บาแล้ว เหลือ 42 บาท
เกิดอะไรขึ้นครับ
เกิดการ xd ขึ้นครับ อย่าคิดมาก  :D
tt
Verified User
โพสต์: 1150
ผู้ติดตาม: 0

พอไหวไหม นิทานอีสปของ WG

โพสต์ที่ 100

โพสต์

ผมกลับมานั่งดูใหม่ ถ้าเราตีว่า ESOP ปีละ 240,000 หุ้น เป็นเวลา 5 ปี
ถ้าคิดเป็นปีๆไปมันก็ dilute นิดเดียวเอง ถ้าผลประกอบการโตได้ปีละ 15 %
ผมว่าก็ OK นะ ถ้าเราไม่มองว่าจำนวนหุ้น ล้านหุ้น เทียบกับราคาปัจจุบัน
เราตกใจกันเกินเหตุหรือปล่าว ส่งสัยปีนี้ต้องไปประชุมผู้ถือหุ้น
cwiboon
Verified User
โพสต์: 171
ผู้ติดตาม: 0

พอไหวไหม นิทานอีสปของ WG

โพสต์ที่ 101

โพสต์

tt เขียน:ผมกลับมานั่งดูใหม่ ถ้าเราตีว่า ESOP ปีละ 240,000 หุ้น เป็นเวลา 5 ปี
ถ้าคิดเป็นปีๆไปมันก็ dilute นิดเดียวเอง ถ้าผลประกอบการโตได้ปีละ 15 %
ผมว่าก็ OK นะ ถ้าเราไม่มองว่าจำนวนหุ้น ล้านหุ้น เทียบกับราคาปัจจุบัน
เราตกใจกันเกินเหตุหรือปล่าว ส่งสัยปีนี้ต้องไปประชุมผู้ถือหุ้น
แต่ส่วนต่างของราคาหุ้นต้องนำมาคิดเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นด้วยนะครับ ประมาณปีละ 8 ล้านกว่าบาท และอีกประเด็นนึงที่พูดถึงกันมาก คือการให้แค่ผู้บริหาร 2 ท่านน่ะครับ
chatchai
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 11444
ผู้ติดตาม: 1

พอไหวไหม นิทานอีสปของ WG

โพสต์ที่ 102

โพสต์

cwiboon เขียน:แต่ส่วนต่างของราคาหุ้นต้องนำมาคิดเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นด้วยนะครับ ประมาณปีละ 8 ล้านกว่าบาท
ตามหลักการบัญชีที่ใช้อยู่ในประเทศไทยขณะนี้  กำหนดให้เป็นค่าใช้จ่ายแล้วหรือครับ

ผมไม่แน่ใจ
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
Viewtiful Investor
Verified User
โพสต์: 1477
ผู้ติดตาม: 0

พอไหวไหม นิทานอีสปของ WG

โพสต์ที่ 103

โพสต์

แต่ส่วนต่างของราคาหุ้นต้องนำมาคิดเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นด้วยนะครับ ประมาณปีละ 8 ล้านกว่าบาท
ไม่เคยได้ยินครับ นี่ของ USA หรือเปล่าครับ เดี๋ยวของ check กะ CPA ก่อน
I do not sleep. I dream.
Kao
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 1257
ผู้ติดตาม: 0

พอไหวไหม นิทานอีสปของ WG

โพสต์ที่ 104

โพสต์

cwiboon เขียน:แต่ส่วนต่างของราคาหุ้นต้องนำมาคิดเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นด้วยนะครับ ประมาณปีละ 8 ล้านกว่าบาท และอีกประเด็นนึงที่พูดถึงกันมาก คือการให้แค่ผู้บริหาร 2 ท่านน่ะครับ
ไม่น่าจะต้องคิดเป็นค่าใช้จ่ายนะครับ เนื่องจากเกี่ยวกับทุนจดทะเบียน
ถ้าราคาใช้สิทธิต่ำกว่าราคาพาร์ => ส่วนต่ำกว่าทุน (ไม่รู้ใช้คำนี้หรือเปล่า :oops:  )
ถ้าราคาใช้สิทธิสูงกว่าราคาพาร์ => ส่วนเกินทุน
ถ้าราคาใช้สิทธิเท่ากับราคาพาร์ => ไม่เกิดส่วนขาด/ส่วนเกินทุน

แต่ที่แน่ๆส่วนต่างราคาตลาดกับราคาพาร์ ผู้ใช้สิทธิแปลงESOPต้องนำไปคำนวณภาษีครับ :lol:
"Price is what you pay. Value is what you get."
cwiboon
Verified User
โพสต์: 171
ผู้ติดตาม: 0

พอไหวไหม นิทานอีสปของ WG

โพสต์ที่ 105

โพสต์

น่าจะคิดนะครับ เหมือนผมเคยอ่านเจอในหนังสือน่ะครับ แต่เดี๋ยวขอกลับไปเช็คอีกรอบก่อน แล้วถ้าไม่คิด ส่วนต่างราคาใช้สิทธิ กับราคาพาร์ ให้ไปปรับที่ส่วนผูถือหุ้นหรือครับ ตามที่คุณ Kao บอก
cwiboon
Verified User
โพสต์: 171
ผู้ติดตาม: 0

พอไหวไหม นิทานอีสปของ WG

โพสต์ที่ 106

โพสต์

เท่าที่เคยอ่านเจอ ตามที่คุณ Kao บอก ว่านำไปปรับ ส่วนเกินทุน จำได้ว่าเป็นการเสนอขายหุ้นครั้งแรก แต่ถ้าการแจก ESOP นั้นน่าจะจัดเป็นค่าใช้จ่ายนะครับ ไม่น่าจะเอาไปเพิ่มหรือลดตรงนั้นน่ะครับ แต่เท่าที่รู้ คือ ตอนที่นำไปคิดเป็นค่าใช้จ่ายนั้น ประเทศไทยไม่ได้กำหนดว่าให้เอาไปคิดตอนที่ใช้สิทธิหรือคิดเฉลี่ยตามระยะเวลาที่สามารถแปลงสภาพได้

อืม แต่ผมก็ไม่มั่นใจ 100 % น่ะครับ ใครมีผู้รู้ช่วยสอบถามดูเป็นข้อมูลก็ดีครับ
cwiboon
Verified User
โพสต์: 171
ผู้ติดตาม: 0

พอไหวไหม นิทานอีสปของ WG

โพสต์ที่ 107

โพสต์

งั้นขอถามอีกเรื่องนะครับ ถ้ากรณีที่เอาไปเพิ่มเป็นส่วนเกินทุน การ dilute ก็จะไม่ใช่เท่ากับเปอร์เซ็นต์จำนวนหุ้นที่ออกแล้วสิครับ เพราะจะมีการปรับส่วนเกินทุน ตรงนั้นเข้าไปในส่วนผู้ถือหุ้นด้วย
chatchai
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 11444
ผู้ติดตาม: 1

พอไหวไหม นิทานอีสปของ WG

โพสต์ที่ 108

โพสต์

เวลาคิดกำไรต่อหุ้น  เรานำกำไรสุทธิ  มาหารด้วยจำนวนหุ้นที่ออกแล้วทั้งหมดนะครับ  คุณ cwiboon

แล้วส่วนเกินทุนจะมาเกี่ยวได้อย่างไร

แล้วการคิดค่าใช้จ่ายในการออก ESOP  สำหรับประเทศไทย  ปัจจุบัน  ยังไม่มีนะครับ
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
cwiboon
Verified User
โพสต์: 171
ผู้ติดตาม: 0

พอไหวไหม นิทานอีสปของ WG

โพสต์ที่ 109

โพสต์

[quote="chatchai"]เวลาคิดกำไรต่อหุ้น
cwiboon
Verified User
โพสต์: 171
ผู้ติดตาม: 0

พอไหวไหม นิทานอีสปของ WG

โพสต์ที่ 110

โพสต์

คือผมคิดเหมือนตอนที่เอาหุ้น ipo เข้ามาขายน่ะครับ สมมติว่า พาร์ 1 บาท ราคา ipo ที่ขาย เกินจากราคาจะจัดเป็นส่วนเกินทุน น่ะครับ
Glaxo
Verified User
โพสต์: 311
ผู้ติดตาม: 0

พอไหวไหม นิทานอีสปของ WG

โพสต์ที่ 111

โพสต์

ผมว่าคงมีเหตุที่จะต้องแจก esop ละครับ อาจจะเป็นการขอลาออกก็ได้
ซึ่งถ้าพี่แกไปก็อาจเอาคนอื่นไปด้วย หรืออาจเป็นสาเหตุอื่นที่ถามในที่ประชุมไปก็คงไม่ได้คำตอบ

พูดถึงเรื่องvote ถึงเราชนะ  แล้วเค้าลาออก เราก็ไม่แน่ใจในอนาคตอีก
เนื่องจากบริษัทเป็น trading สำหรับสินค้าส่วนใหญ่

เอาเป็นว่าถ้าไม่แน่ใจก็ขายครับ

ส่วนผมตอนนี้ก็รอเก็บอย่างเดียว
Monet
Verified User
โพสต์: 363
ผู้ติดตาม: 0

พอไหวไหม นิทานอีสปของ WG

โพสต์ที่ 112

โพสต์

cwiboon เขียน: 4.ส่วนเกินทุนคือราคาตลาดที่สูงกว่าราคาพาร์
ตรงนี้คิดว่าผิดนะครับ
น่าจะใช้เฉพาะตอน IPO หรือ PO เท่านั้น
เดี๋ยวรอผู้รู้มาตอบดีกว่า
บทที่หนึ่ง "ทำงานหาเงิน"
chatchai
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 11444
ผู้ติดตาม: 1

พอไหวไหม นิทานอีสปของ WG

โพสต์ที่ 113

โพสต์

จัดตั้งบริษัท A ด้วยทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท  มูลค่าพาร์ที่ 1 บาท  ก็จะมีหุ้นทั้งหมด 100 ล้านหุ้น

ส่วนผู้ถือหุ้นก็จะเป็น

ทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท (จำนวนหุ้น 100 ล้านหุ้น)
ส่วนเกินทุน 0 ล้านบาท
กำไรสะสม 0 ล้านบาท

รวมส่วนผู้ถือหุ้น 100 ล้านบาท

-------------------------------------------------------------------------------

บริษัท A ดำเนินธุรกิจ 3 ปี  มีกำไรสุทธิจำนวนปีละ 20 ล้านบาท  ไม่เคยจ่ายเงินปันผล

ส่วนผู้ถือหุ้นก็จะเป็น

ทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท  (จำนวนหุ้น 100 ล้านหุ้น และ EPS 0.20 )
ส่วนเกินทุน 0 ล้านบาท
กำไรสะสม 60 ล้านบาท

รวมส่วนผู้ถือหุ้น 160 ล้านบาท

---------------------------------------------------------------------------------

ต่อมาบริษัท A  มีการขายหุ้น IPO  เพื่อนำบริษัทเข้าตลาด  ขายหุ้นเพิ่มทุนให้ประชาชนจำนวน 50 ล้านหุ้น  ราคาหุ้นละ 2 บาท  

ส่วนผู้ถือหุ้นก็จะเป็น

ทุนจดทะเบียน 150 ล้านบาท  (จำนวนหุ้น 150 ล้านหุ้น และ EPS 0.13 )
ส่วนเกินทุน 50 ล้านบาท
กำไรสะสม 60 ล้านบาท

รวมส่วนผู้ถือหุ้น 260 ล้านบาท

-----------------------------------------------------------------------------------

ปีต่อมา  บริษัท A มีผลการดำเนินงานกำไรสุทธิ 40 ล้านบาท  จ่ายเงินปันผล หุ้นละ 0.20 บาท

ส่วนผู้ถือหุ้นก็จะเป็น

ทุนจดทะเบียน 150 ล้านบาท  (จำนวนหุ้น 150 ล้านหุ้น และ EPS 0.27)
ส่วนเกินทุน 50 ล้านบาท
กำไรสะสม 70 ล้านบาท

รวมส่วนผู้ถือหุ้น 270 ล้านบาท

-------------------------------------------------------------------------------------

ราคาตลาดซื้อขายกันที่ 3 บาท  บริษัท A  ออก ESOP ให้กรรมการ  7.5 ล้านหุ้น  ราคาใช้สิทธิที่ 1 บาท  เมื่อกรรมการใช้สิทธิ

ส่วนผู้ถือหุ้นก็จะเป็น

ทุนจดทะเบียน 157.50 ล้านบาท  (จำนวนหุ้น 157.50 ล้านหุ้น EPS 0.25)
ส่วนเกินทุน 50 ล้านบาท
กำไรสะสม 70 ล้านบาท

รวมส่วนผู้ถือหุ้น 277.50 ล้านบาท

----------------------------------------------------------------------------------

ในกรณี ออก ESOP  ราคาตลาดซื้อขายกันที่ราคาเท่าไร  ก็ไม่เกี่ยวกับงบการเงินและ EPS เลยครับ  นอกจากจะมีการแก้ไขหลักเกณฑ์ในการบันทึกบัญชีใหม่
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
cwiboon
Verified User
โพสต์: 171
ผู้ติดตาม: 0

พอไหวไหม นิทานอีสปของ WG

โพสต์ที่ 114

โพสต์

อ้างอิงจาก หนังสือชื่อ กลบัญชี ดร. ภาพร เอกอรรถพร หน้าที่ 69
APB 25 (Accounting Principles Board Opinio No25,"Accounting for Stock Issued to Employees") ที่มีผลบังคับใช้มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1973(พ.ศ.2516) ข้อกำหนดในมาตรฐานการบัญชี)ฉบับนี้บังคับให้บริษัทต้องนำ Stock Options มาพิจารณาว่าการออก Stock Options ให้พนักงานนั้นถือเป็นการจ่าย โบนัสหรือไม่ ถ้าใช่ บริษัทต้องนำโบนัสนั้นมาบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายในงบกำไรขาดทุน ถ้าไม่ใช่ก็ไม่ต้องนำมาบันทึก
อ้างอิงจาก หนังสือชื่อ กลบัญชี ดร. ภาพร เอกอรรถพร หน้าที่ 75
หวังว่าสิ่งที่ถูกต้องคงเกิดกับประเทศไทย แม้ว่าขณะนี้เราจะยังไม่มีมาตรฐานบัญชีเกี่ยวกันเรื่อง Stock option
หน้าแตกเลยครับ  :?  ขอบคุณ คุณฉัตรชัยด้วยครับ ที่ช่วยอธิบาย รู้สึกว่าต่างประเทศเค้าจะใช้กันแต่ที่ไทยยังไม่มีกฏออกมาบังคับ ที่ต่างประเทศเค้าจะจัดว่า Stock Option เป็นโบนัสหรือไม่โดยดูว่ามีการกระจายอย่างเสมอภาคหรือเปล่า ถ้าเป็นกรณีให้ผู้บริหารแค่บาง คน จะต้องจัดเป็นโบนัสที่ให้พนักงานและบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายในงบกำไรขาดทุน