วิชัย วชิรพงศ์

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
Oatarm
Verified User
โพสต์: 1266
ผู้ติดตาม: 0

วิชัย วชิรพงศ์

โพสต์ที่ 1

โพสต์

บทความน่าสนใจ ลงใน Bizweek

กูรูหุ้นพันล้าน : ตอนที่ 4 รู้ไม่จริง

วิชัย วชิรพงศ์

ถ้าเราเลือกหุ้นพี/อี ต่ำ พื้นฐานดี แต่ซื้อแล้วราคาไม่ขึ้น..มีแต่ลง แสดงว่าความคิดของเรา "ผิด" คุณต้องเปลี่ยน "อย่าดันทุรัง"


โดยพื้นฐานแล้ว "ความสำเร็จ" ไม่ได้ยากไปกว่า "ความล้มเหลว" แต่ทำไม!นักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาดหุ้น จึงมักสัมผัสรสชาติของการ "ขาดทุน" มากกว่า "กำไร"

วิชัยสรุปด้วยคำพูดสั้นๆ ที่เข้าใจง่ายว่า "เพราะคุณ...รู้ไม่จริง"

เขาบอกว่า นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ จะต้องค้นให้พบแนวทางของตัวเอง มีต้นแบบได้ แต่ต้องไม่ใช่การลอกเลียนแบบผู้อื่น..ต้องไม่ยืมจมูกคนอื่นหายใจ

"ลองถามตัวคุณเองว่า เป็นอย่างนั้นหรือไม่...ถ้าใช่! ต้องรีบหาแนวทางของตัวเองให้เจอ

..............ฯลฯ.......................
..........................................
..........................................


เขาบอกว่า อยู่ในตลาดหุ้นอย่าคิดว่าเราเก่งกว่าคนอื่น ยังมีคนที่รู้มากกว่าและเก่งกว่าเราตั้งเยอะแยะ เราต้องรู้ให้ได้ว่าหุ้นที่เราจะซื้อ...เราซื้อเพราะอะไร ? เราต้องตอบให้ได้ว่า หุ้นตัวนี้มันจะขึ้นด้วยเหตุผลอะไร ? ถ้าคุณตอบได้ โอกาส "ชนะ" ก็มีมากกว่าครึ่ง

"คนจะเกิด (ในตลาดหุ้น) มันต้องเกิดจากการไขว่คว้า...ไม่ใช่ฟลุ้ค!"

.............ฯลฯ.....................
อ่านเต็มๆที่นี่
http://www.bangkokbizweek.com/
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

วิชัย วชิรพงศ์

โพสต์ที่ 2

โพสต์

8) ตามอ่านมาตลอด
    ชีวิตยังกะนิยายเลยครับ
    เห็นว่ามีไม่มากเท่าไหร่นะครับ
    แค่แสนกว่าหมื่นเอง
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
zen
Verified User
โพสต์: 282
ผู้ติดตาม: 0

วิชัย วชิรพงศ์

โพสต์ที่ 3

โพสต์

"ถ้าเราเลือกหุ้นพี/อี ต่ำ พื้นฐานดี แต่ซื้อแล้วราคาไม่ขึ้น..มีแต่ลง แสดงว่าความคิดของเรา "ผิด" คุณต้องเปลี่ยน "อย่าดันทุรัง"


จริงเหรอ?

เชื่อดีหรือเปล่า?

เลือกหุ้นอนาคตดี  p/e อนาคตต่ำ ราคาขาขึ้น ดีกว่าใช่ไหมครับ
Oatarm
Verified User
โพสต์: 1266
ผู้ติดตาม: 0

วิชัย วชิรพงศ์

โพสต์ที่ 4

โพสต์

"ถ้าเราเลือกหุ้นพี/อี ต่ำ พื้นฐานดี แต่ซื้อแล้วราคาไม่ขึ้น..มีแต่ลง แสดงว่าความคิดของเรา "ผิด" คุณต้องเปลี่ยน "อย่าดันทุรัง"


จริงเหรอ?

เชื่อดีหรือเปล่า?

เลือกหุ้นอนาคตดี  p/e อนาคตต่ำ ราคาขาขึ้น ดีกว่าใช่ไหมครับ
ไม่จำเป็นต้องเชื่อครับ  ถนนสู่ความสำเร็จ   มีหลายสาย    ทางลัดอาจมีเหวลึกอยุ่ข้างทาง  ทางกว้าง อาจอ้อมใช้เวลานาน  เลือกเอาที่เราคิดว่าเราไปได้ เหมาะกับความสามารถของตน  

เมื่อสองสามปีก่อน  ผมซื้อ TPC  หุ้นดี PE ต่ำ  ปันผลสูง  ปัจจุบันก็ยังสูงอยู่  แต่ราคาไม่ไปไหน  ดื้อเหมือนกัน  คิดว่าเราแน่  แต่ความจริงไม่ใช่  ยังมีคนเก่งกว่าเราจมหูเลย  ยอมขายขาดทุนเมื่อปีที่แล้ว  หกลับปันผลแล้วกำไรนิดหน่อย  ถือเป็นค่าเล่าเรียน  

อ่นบทความนี้ ชอบตรงนี้
เขาบอกว่า อยู่ในตลาดหุ้นอย่าคิดว่าเราเก่งกว่าคนอื่น ยังมีคนที่รู้มากกว่าและเก่งกว่าเราตั้งเยอะแยะ เราต้องรู้ให้ได้ว่าหุ้นที่เราจะซื้อ...เราซื้อเพราะอะไร ? เราต้องตอบให้ได้ว่า หุ้นตัวนี้มันจะขึ้นด้วยเหตุผลอะไร ? ถ้าคุณตอบได้ โอกาส "ชนะ" ก็มีมากกว่าครึ่ง
ผมประเมินตัวเอง  แม้จะติดตามข้อมูล ของ บมจ.ที่เราลงทุน  แต่ก็ยังนับได้ว่า ยังไม่อยู่ในระดับแนวหน้าในการจอมข้อมูล   อาจเพราะมีงานประจำทำ  ต้องเลี้ยงลูกเอง  ( คนใช้ไปหมดแล้ว )  ฉะนั้น ความพร้อมเท่าที่มี  ไม่สามารถหวังผลตอบแทนในการลงทุนได้มากนัก   ฉะนั้นผมจึงเลือก ถนนที่อาจเป็นทางอ้อมเสียหน่อย  แต่มันเป็นเส้นทางที่ผมขับง่าย  อาจถึงช้าสักหน่อย  ( 10 - 15 % ) ต่อปี  ก็โอเคแล้วครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
metro
Verified User
โพสต์: 861
ผู้ติดตาม: 0

วิชัย วชิรพงศ์

โพสต์ที่ 5

โพสต์

รบกวนช่วย Copy ทั้งบทความ หรือ ส่ง link ที่เข้าไปดูโดยตรงได้มั้ยครับ

ขอบคุณครับ  :D
ภาพประจำตัวสมาชิก
tummeng
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 3665
ผู้ติดตาม: 0

วิชัย วชิรพงศ์

โพสต์ที่ 6

โพสต์

กูรูหุ้นพันล้าน : ตอนที่ 4 รู้ไม่จริง

วิชัย วชิรพงศ์
ถ้าเราเลือกหุ้นพี/อี ต่ำ พื้นฐานดี แต่ซื้อแล้วราคาไม่ขึ้น..มีแต่ลง แสดงว่าความคิดของเรา "ผิด" คุณต้องเปลี่ยน "อย่าดันทุรัง"


โดยพื้นฐานแล้ว "ความสำเร็จ" ไม่ได้ยากไปกว่า "ความล้มเหลว" แต่ทำไม!นักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาดหุ้น จึงมักสัมผัสรสชาติของการ "ขาดทุน" มากกว่า "กำไร"

วิชัยสรุปด้วยคำพูดสั้นๆ ที่เข้าใจง่ายว่า "เพราะคุณ...รู้ไม่จริง"

เขาบอกว่า นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ จะต้องค้นให้พบแนวทางของตัวเอง มีต้นแบบได้ แต่ต้องไม่ใช่การลอกเลียนแบบผู้อื่น..ต้องไม่ยืมจมูกคนอื่นหายใจ

"ลองถามตัวคุณเองว่า เป็นอย่างนั้นหรือไม่...ถ้าใช่! ต้องรีบหาแนวทางของตัวเองให้เจอ"

วิชัยเล่าหนทางเข้าสู่ตลาดหุ้นครั้งแรกในชีวิต ช่วงนั้นมีญาติฝั่งภรรยาเอาหุ้นจองธนาคารมหานคร (ปัจจุบันปิดกิจการไปแล้ว) มาให้จำนวน 1 แสนหุ้น ที่ราคาไอพีโอ 6 บาท หลังจากหุ้นตัวนี้เข้าไปซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ราคาวิ่งขึ้นไป 7.50 บาท ได้กำไรมาประมาณ "แสนห้า"

เราก็คิดว่า เอะ! ในโลกนี้มีวิธีหาเงินง่ายๆ อย่างนี้ด้วย!!!

ความสนใจเรื่องหุ้นของวิชัย เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยที่ยังช่วยงานกงสี สมัยก่อนยังไม่มีหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ระหว่างที่อ่านละครในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เดลินิวส์ ทุกๆ วันก็จะพลิกไปดูความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้น

ความสนใจยิ่งทวีมากขึ้น ก่อนเกิดเหตุการณ์ Black Monday (วันจันทร์ทมิฬ 19 ตุลาคม 2530) ช่วงนั้นหุ้นขึ้นมาตลอด

วิชัยตัดสินใจเดินทางจากจังหวัดอยุธยา เข้ามากรุงเทพฯ หาซื้อหนังสือวิธีการเล่นหุ้นกลับไปอ่าน และสนใจศึกษาตำราการเล่นหุ้นของบุคคลที่ประสบความสำเร็จหลายต่อหลายคน

เขาบอกว่า เรื่องหุ้นถือเป็นเรื่องไกลตัวในตอนนั้น ต้องเริ่มต้นนับหนึ่งจากที่ไม่มีความรู้อะไรเลย พอศึกษาไประยะหนึ่ง ก็คิดว่าตัวเองรู้ดีแล้ว เก่งแล้ว

เซียนหุ้นพันล้าน เล่าว่า เคล็ดลับการเล่นหุ้นให้ประสบความสำเร็จที่อ่านเจอจากตำรา บอกว่า หุ้นจะมี Cycle (วัฏจักร) หรือ "รอบ" ของมัน คุณต้องรอให้มันตกก่อนคุณค่อยเข้ามาเล่น ช่วงนั้นก็รออย่างเดียว..เชื่อว่า "เดี๋ยวมันต้องพัง"

"ผมก็ทำตามตำราเป๊ะ ! พอ Black Monday หุ้นตกหนัก เราก็เข้าไปลุยเลย เลือกซื้อแต่หุ้นค่าพี/อี ต่ำๆ สมัยนั้นก็หุ้นแบงก์ทั้งนั้น ซื้อไปแล้วมันก็ไม่ขึ้น...หุ้นตัวอื่นขึ้น หุ้นเราก็ไม่ขึ้น"

ประสบการณ์ขาดทุนครั้งแรก เอาเงินมาเล่น 2 ล้านกว่าบาท ขาดทุนไป 5 แสนกว่า นั่งมองคนอื่นกำไร ตัวเองขาดทุน เพราะเล่นแต่หุ้นแบงก์ค่าพี/อี ต่ำๆ สุดท้ายก็รู้ว่าวิธีนี้ใช้ไม่ได้ผล คนส่วนใหญ่เขาไม่คิดเหมือนเรา ในที่สุดก็ตัดสินใจ "ล้างพอร์ต"

"ในใจตอนนั้นคิดว่า..ไม่ไหว เราสู้เขาไม่ได้จริงๆ เมื่อสู้ไม่ได้เราต้องถอย..อย่าฝืน"

วิชัย บอกว่า ถ้าเราเลือกหุ้นพี/อี ต่ำ พื้นฐานดี แต่ซื้อแล้วราคาไม่ขึ้น..มีแต่ลง แสดงว่าความคิดของเรา "ผิด" คุณต้องเปลี่ยน "อย่าดันทุรัง"

เมื่อมีโอกาสกลับบ้านที่จังหวัดอยุธยา วิชัยก็เล่าประสบการณ์ "ขาดทุน" ให้พี่ชายฟัง พี่ชายก็บอกว่า มันต้องจ่ายค่าเทอมก่อน

"คุณยังไม่มีประสบการณ์เลย คุณต้องขาดทุนก่อน ในชีวิตจริงต้องเป็นอย่างนั้น นักลงทุนมือใหม่ "ขาดทุน" ถือเป็นเรื่องปกติ"

เขาสรุปข้อผิดพลาดในครั้งแรกว่า เป็นเพราะว่าเรารู้แค่ในทฤษฎี ในทางปฏิบัติจริงต้องอาศัยการพลิกแพลงให้เข้ากับสถานการณ์

การเล่นหุ้นขาดทุน แสดงว่า "คุณยังรู้ไม่จริง"

หลังจากจ่ายค่าเทอมแพง วิชัยตัดสินใจที่จะกลับมาสู้ใหม่ ครั้งนี้เขาให้สัตย์ปฏิญาณไว้กับตัวเองว่า ถ้าวันหนึ่งคนอื่นทำงาน 8 ชั่วโมง เราต้องทำงาน 10 ชั่วโมง ต้องกลับมา "ชนะ" ให้ได้

ในที่สุดก็พบว่า วิธีที่จะเอาชนะคนอื่นได้ ต้องเอาชนะความมุ่งมั่นของตัวเองให้ได้เสียก่อน ในช่วงที่ยังเป็นมือใหม่ในตลาดหุ้น หลังจากไปส่งลูกสาวที่โรงเรียนตอน 7 โมงครึ่ง วิชัยต้องรีบบึ่งรถมาที่บริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) ไปถึงประมาณ 8 โมงเช้า ถึงก่อนมาร์เก็ตติ้งเกือบทุกเช้า เมื่อไปถึงก็จะนั่งดูข้อมูลหุ้นให้ได้มากที่สุด และจะปฏิบัติเช่นนี้ในทุกๆ วัน

เขาบอกว่า อยู่ในตลาดหุ้นอย่าคิดว่าเราเก่งกว่าคนอื่น ยังมีคนที่รู้มากกว่าและเก่งกว่าเราตั้งเยอะแยะ เราต้องรู้ให้ได้ว่าหุ้นที่เราจะซื้อ...เราซื้อเพราะอะไร ? เราต้องตอบให้ได้ว่า หุ้นตัวนี้มันจะขึ้นด้วยเหตุผลอะไร ? ถ้าคุณตอบได้ โอกาส "ชนะ" ก็มีมากกว่าครึ่ง

"คนจะเกิด (ในตลาดหุ้น) มันต้องเกิดจากการไขว่คว้า...ไม่ใช่ฟลุ้ค!"

วิชัยเล่าต่อว่า สมัยก่อนการเล่นหุ้นยังไม่มีคอมพิวเตอร์ ไม่มีกราฟราคาหุ้นให้เคาะดูง่ายเหมือนทุกวันนี้ จะใช้วิธีการจำราคาหุ้น แล้วไปซื้อสมุดกราฟแผ่นใหญ่ๆ มาพ็อตกราฟราคาเอง หุ้นตัวไหนที่เราสนใจก็จะพ็อตกราฟมาติดไว้ข้างฝาเล็งมันทุกวัน

สมัยนั้นยังไม่มีรีเสิร์ช หรือบทวิจัยแพร่หลายหาอ่านง่ายอย่างในสมัยนี้ นักลงทุนรายย่อยต้องรอให้ "มาร์เก็ตติ้ง" มาบรีฟ (สรุปข้อมูล) ให้ฟังอีกทีหนึ่ง

เมื่อ 10 กว่าปีก่อน รายย่อยจะมองมาร์เก็ตติ้งเป็นพระเจ้า เขาเล่าว่า ขำที่สุด..สมัยก่อนผมรู้จักมาร์เก็ตติ้งอยู่ไม่กี่คน ตอนนั้นเล่นหุ้นอยู่ที่ บล.ธนสยาม เล่นช่วงแรกๆ ขาดทุนจนเราท้อ เคยไปคุยกับมาร์เก็ตติ้งว่า...เธอมาบริหารพอร์ตให้ฉันหน่อยสิ !

...ในสายตาตอนนั้น ผมมองมาร์เก็ตติ้งว่าต้องเล่นหุ้นเก่งมาก เพราะเรายังมองหุ้นไม่ออก ผิดกับเดี๋ยวนี้มาร์เก็ตติ้งรุ่นเก่าๆ ต้องโทรศัพท์มาถามว่าช่วงนี้เล่นหุ้นยังไง มีหุ้นอะไรเด็ดๆ อย่าลืมบอกกันด้วยนะ

วิชัย วชิรพงศ์ เฉลยว่า ที่จริงความรู้เรียนทันกันได้ ประสบการณ์ก็เรียนรู้ได้ แต่อุปนิสัยกับวิธีคิดของคนเรา "เปลี่ยนไม่ง่าย" เราต้องเริ่มต้นจากการยอมรับความผิดพลาดของเราเอง อย่าไปโทษคนอื่น นำกลับมาแก้ไข เชื่อผม! แล้วคุณจะเล่นหุ้นเก่งขึ้น

สัปดาห์หน้าโปรดติดตามห้องเรียนแห่งประสบการณ์ของเซียนหุ้นรายนี้...
Oatarm
Verified User
โพสต์: 1266
ผู้ติดตาม: 0

วิชัย วชิรพงศ์

โพสต์ที่ 7

โพสต์

ขอบคุณ คุณเม้ง  ที่ช่วยลงให้ครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
metro
Verified User
โพสต์: 861
ผู้ติดตาม: 0

วิชัย วชิรพงศ์

โพสต์ที่ 8

โพสต์

ชื่อในวงการน่าจะคือ พี่ยักษ์ หรือเปล่าครับ อ่านแล้วคุ้นๆเหมือนเคยฟังที่งานรวมพลเซียนหุ้นของ BSEC
chatchai
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 11444
ผู้ติดตาม: 1

วิชัย วชิรพงศ์

โพสต์ที่ 9

โพสต์

tummeng เขียน:วิชัย วชิรพงศ์
ถ้าเราเลือกหุ้นพี/อี ต่ำ พื้นฐานดี แต่ซื้อแล้วราคาไม่ขึ้น..มีแต่ลง แสดงว่าความคิดของเรา "ผิด" คุณต้องเปลี่ยน "อย่าดันทุรัง"
ตอนผมซื้อ MANRIN   ราคาก็แทบไม่ไปไหนเลย 4 - 5  เดือน

แถมมูลค่าการซื้อขายก็แทบไม่มี  บางวันผมซื้ออยู่คนเดียว

แต่ผมไม่คิดว่าตัวเอง  ผิด  ไม่คิดว่าตัวเอง  ดันทุรัง

หลังจากนั้นไม่นาน  ก็สามารถขายได้กำไรเท่าตัว

ตอนซื้อ WG ราคาก็ขึ้นๆลงๆแถวๆราคาที่ผมซื้อ  ไม่มีวี่แววว่าราคาจะไปไหน

แต่ผมก็ไม่คิดว่าตัวเอง  ผิด   ไม่คิดว่าตัวเอง  ดันทุรัง

ผมว่าทางใครก็ทางมันครับ  ใครจะเล่นหุ้นก็เล่น  ใครจะลงทุนก็ลงทุน  ถึงแม้จะเป็นตลาดเดียวกัน
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
Ent'
Verified User
โพสต์: 715
ผู้ติดตาม: 0

วิชัย วชิรพงศ์

โพสต์ที่ 10

โพสต์

น่าจะเป็นเพราะ แต่ละคน มี Time Frame ที่ไม่เท่ากันนะ
Capo
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1067
ผู้ติดตาม: 0

วิชัย วชิรพงศ์

โพสต์ที่ 11

โพสต์

ในบทความนี้เหมือนมีสิ่งที่น่าจะถูกพูดถึง
แต่ไม่ได้ถูกพูดถึง

ผมว่าน่าจะเป็น "กรอบเวลา" ครับ

แต่ก็ชอบตรงแนวคิด
- พยายามหาแนวทางของตัวเอง (จริง ๆ ผมอยากจะให้เป็นแนว ๆ ว่า พยายามรู้จักตัวเองมากกว่า)
- มุ่งมั่น เรียนรู้ และยอมรับจากข้อผิดพลาด
... จุดเริ่มต้นของคนเราไม่สำคัญ

มันสำคัญที่ว่าเขาวิ่งได้เร็วแค่ไหนตะหาก ...
ภาพประจำตัวสมาชิก
metro
Verified User
โพสต์: 861
ผู้ติดตาม: 0

วิชัย วชิรพงศ์

โพสต์ที่ 12

โพสต์

แล้วแต่มุมมองครับ ผมว่าสุดท้ายก็กลับมาที่เหตุผลตอนที่เราซื้อว่าเราซื้อเพราะอะไรยังไง ถ้าหุ้นลงมาแล้วเหตุผลที่เราซื้อยังคงอยู่เหมือนเดิม ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร ผมว่าผมก็ซื้อต่อ แต่ถ้าลงแล้วมันผิดจากที่เราคิดผมก็ขายครับ
chatchai
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 11444
ผู้ติดตาม: 1

วิชัย วชิรพงศ์

โพสต์ที่ 13

โพสต์

metro เขียน:แล้วแต่มุมมองครับ ผมว่าสุดท้ายก็กลับมาที่เหตุผลตอนที่เราซื้อว่าเราซื้อเพราะอะไรยังไง ถ้าหุ้นลงมาแล้วเหตุผลที่เราซื้อยังคงอยู่เหมือนเดิม ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร ผมว่าผมก็ซื้อต่อ แต่ถ้าลงแล้วมันผิดจากที่เราคิดผมก็ขายครับ
ก็ถูกต้องนะครับที่ว่า  เราต้องคำนึงถึงเหตุผลตอนที่เราซื้อว่าซื้อเพราะอะไรยังไง

แต่นอกจากนั้น  เหตุผลที่เราซื้อก็ต้องถูกต้องเหมาะสมด้วยนะครับ  เพราะถ้าเหตุผลที่ซื้อไม่ถูกต้องไม่เหมาะสม  ในระยะยาวคงไม่ได้ผลตอบแทนที่น่าพึงพอใจ
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
ภาพประจำตัวสมาชิก
maeteeb
Verified User
โพสต์: 783
ผู้ติดตาม: 0

วิชัย วชิรพงศ์

โพสต์ที่ 14

โพสต์

ขอคัดลอกบางประโยคของดร. นิเวศน์ มาครับ

ความฝัน - ความจริง
โลกในมุมมองของ Value Investor
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร 5 พฤษภาคม 2550    

การที่จะร่ำรวยได้อย่างรวดเร็วตามที่เราอาจจะได้รับฟังมาโดยเฉพาะจากคนที่ประสบความสำเร็จมาแล้วนั้น   เกือบทั้งหมด  มันคือความฝันที่มักจะไม่เป็นความจริงเพราะโอกาสที่เราจะรวยได้เร็วแบบเดียวกันนั้นมีน้อยมาก  การที่เราเห็นคนประสบความสำเร็จนั้น  ที่จริงเป็นเพียงคน 1 ใน พัน  หมื่น  แสน หรือ ล้านคน   คนที่ประสบความสำเร็จกลายเป็นข่าว  เป็นที่กล่าวขวัญถึง  หลายคนเขียนเป็นหนังสือให้คนอ่าน   วิธีการดูเหมือนง่าย  เช่น  ซื้อถูก  ขายแพง  มีจิตใจมุ่งมั่น  ตื๊อไว้ครองโลก  ฯ ล ฯ   หัวใจสำคัญที่สื่อถึงผู้อ่านหรือผู้ฟังก็คือ  ผมทำได้ คุณก็ทำได้  แต่ผมอยากจะบอกว่า  คุณเพียงแต่ฝันได้  ในความเป็นจริงนั้น  ผมคิดว่าเราควรประเมินคุณสมบัติของตนเองอย่างเป็นกลางที่สุด  แล้วเลือกว่า  ตนควรจะทำอะไรที่มีแต้มต่อดีที่สุดที่จะประสบความสำเร็จและร่ำรวยได้เร็วที่สุด  ซึ่งคำว่าร่ำรวยได้เร็วที่สุดนั้น   อาจจะเป็นเวลา 20 -  30 ปี  ไม่ใช่  3-4 ปีอย่างที่เราฝัน
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 1

วิชัย วชิรพงศ์

โพสต์ที่ 15

โพสต์

ผมคิดว่าทุกคนถูกหมด  ไม่มีผิด

แต่ถูกน้อย  ถูกมาก  ถูกทั้งหมด  ก็ต้องเป็นคนๆไป

ที่สำคัญสั้นๆง่ายๆ

ตัวของตัวเหมาะสมกับการลงทุนแบบไหนต้องเลือกเอง
พอท์ตเรากะจ้อยร่อยกะจิ๊ดริดแค่นี้  จะไปเทียบกับพอท์ตพันล้านคงไม่ได้

เมื่อเงินเราน้อย  จะซื้อหุ้นเป็นร้อยๆตัวก็ไม่ได้ทำให้อะไรมันสมเหตุสมผล

พอท์ตผมเล็ก  ต้องเน้นๆ  เหมือนคุณฉัตรชัย(ตายเป็นตาย)
ภาพประจำตัวสมาชิก
tanate
Verified User
โพสต์: 307
ผู้ติดตาม: 0

วิชัย วชิรพงศ์

โพสต์ที่ 16

โพสต์

ราคาไม่ไปไหน แม้พื้นฐานดี ยอมขายทิ้ง เพื่อซื้อตัวไม่ที่พื้นฐานแย่แต่ราคาขึ้น ลงเร็ว ชอบแบบไหนดี
ส่วนผมชอบพื้นฐานดี ราคาไม่ไปไหนเลย แต่มีปันผลทุกปี ก็จะยอมถือต่อไป
เพื่อวันใด มีขาใหญ่มาปั่น จะได้กำไรแบบเด้งๆ บ้าง
เพราะอย่างไรก็ไม่ขาดทุน
หุ้นขึ้นสักแต่รู้ว่าหุ้นขึ้น หุ้นตกสักแต่รู้ว่าหุ้นตก
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 1

วิชัย วชิรพงศ์

โพสต์ที่ 17

โพสต์

กูรูหุ้นพันล้าน : ตอนที่ 7 ไปจ่ายตลาด

วิชัย วชิรพงศ์
การตีกอล์ฟไกลๆ ลงหลุม "โฮลอินวัน" นั่นคือ...โชคชะตา แต่การที่คุณตีกอล์ฟ ไปตกให้ห่างจากธง 2 ฟุต นั่นคือ...ฝีมือ

ในสนามรบที่เรียกว่า "ตลาดหุ้น" วิชัย วชิรพงศ์ มีความเชื่อลึกๆ ว่า คนที่จะประสบความสำเร็จยืนอยู่บนสังเวียนนี้ได้ยาวนาน จะต้องอาศัย "ฝีมือ" 70%

...อีก 30% เป็นหน้าที่ของ "โชคชะตา"

"การตีกอล์ฟไกลๆ ลงหลุม (โฮลอินวัน) นั่นคือ โชคชะตา นั่นคือ ฟ้าลิขิต แต่การที่คุณตีกอล์ฟไปตกให้ห่างจากธง 2 ฟุต นั่นคือ ฝีมือ"

เขาบอกว่า การเล่นหุ้นก็เหมือนกัน ทุกคนจะมีจังหวะฟ้าลิขิต...ทุกคนต้องเคยได้รับโอกาสนั้น แต่คุณจะตักตวงมันได้หรือเปล่าเท่านั้นเอง

วิชัย เปรียบคนเล่นหุ้นเหมือนการเปิดร้าน "โชห่วย" เราต้องหาสินค้าเข้ามาขายทำกำไร เพราะฉะนั้น ถ้าอยากให้ได้กำไร...เราต้องอย่าใจร้อน ต้องเลือกสินค้าที่ดีๆ ซื้อเข้าร้านใน Timing (จังหวะ) ที่เหมาะสม

"ในตลาดหุ้นเขาพูดกันว่า มันมีอันตราย "ผีดุ" ถ้าช่วงไหนที่โบรกเกอร์ หรือนักวิเคราะห์ออกมาเตือนว่า มันเป็นช่วงอันตราย เราก็อย่าเพิ่งไปซื้อมัน อย่าเล่นแบบ "ทุ่มสุดตัว" คนที่มีฝีมือจะต้องรู้จัก Timing หรือเวลาไปจ่ายตลาด ใครเก่ง-ไม่เก่ง วัดกันตรงนี้"

จากประสบการณ์ 20 ปี ในวงการนี้ จะซื้อหุ้นให้ได้กำไร เราต้องกล้าไปจ่ายตลาด "ตอนประมาณ ตี 5" หรือ อีก 1 ชั่วโมงฟ้าจะสว่าง...ผีไม่มี

ใครซื้อหุ้นได้จังหวะนี้...ดีแน่! คุณได้เลือกของดี ได้ซื้อของสด ราคาไม่แพง ได้เลือกของก่อนคนอื่น รถไม่ติด คุณจะได้เปรียบเรื่อง "ต้นทุน"

แต่คนที่จะเข้าใน "จังหวะ" นี้ได้ จะรู้ว่าตอนนี้กี่โมงต้องอาศัยเครื่องมือทาง "เทคนิเคิล" มาช่วยในการคลำหาตำแหน่งเวลา ร่วมกับ "ประสบการณ์" ของแต่ละคน

"ถ้าตลาดหุ้นอยู่ในทิศทางขาลง หรือ มีภาวะอึมครึมมาแล้วพักใหญ่ ในขณะที่เครื่องมือทางเทคนิค อาทิเช่น RSI, MACD ยืนยันสัญญาณการเปลี่ยนแนวโน้ม เช่น การเกิด Divergence หรือ สัญญาณขัดแย้ง เราต้องเตรียมตัวซื้อหุ้น เพราะฉะนั้น ช่วงตี 5 ถึงตี 5 ครึ่ง...คุณต้องกล้าซื้อ"

เซียนหุ้นพันล้าน อธิบายว่า ถ้าเราไปจ่ายตลาดตอน 8 โมงเช้า คนก็เยอะ สินค้าก็ไม่สด หุ้นมันขึ้นไปตั้งนานแล้ว คุณเพิ่งจะมาซื้อตอนคนอื่นเขากำลังจะกลับบ้าน รายใหญ่เขารอ "ออกของ" กันแล้ว

สิ่งที่เซียนหุ้นรายนี้ เน้นย้ำ ก็คือ "จุดซื้อ" คุณอาจจะใช้ "เทคนิเคิล" ช่วย แต่การขึ้นของหุ้นรอบใหญ่ๆ หรือ Major Up Trend (ทุกครั้ง) หลักการวิเคราะห์หุ้น เราต้องใช้ปัจจัยพื้นฐานมาเลือกหุ้น

"ทุกอย่างมันต้องมาจากพื้นฐานก่อน แต่การดูพื้นฐานอย่างเดียวถ้าไม่ใช้เทคนิเคิลช่วย...เปรียบเสมือนคุณขึ้นรถเมล์ คุณจะไปสะพานตากสิน คุณกลัวร้อนคุณก็ไปนั่งรอในรถเมล์คันที่มันสตาร์ทเครื่องเอาไว้แล้ว แต่มันไม่ออกจากท่า (รถ) สักที...

"...ที่มันไม่ออกเพราะจังหวะมันผิด มันเร่งเครื่องบรื้อๆ แต่ไม่ออก คันข้างๆ ออกไปแล้วเว้ย! คันเราก็ไม่ไป นั่งรอมีแต่กระเป๋ารถขึ้นมาเขย่าตั๋ว แต่ก็ไม่ออก เราจะคิดทันทีว่า "ต้องลง" ไม่ใช่คันนี้แน่...ขึ้นผิดคัน

...พอเราลง เปลี่ยนคันไปขึ้นคันใหม่ คันเดิมของเราดันออก"

วิชัย บอกว่า คนเล่นหุ้นทุกคน โดนกรณีอย่างนี้มาหมด เพราะฉะนั้น การหาจังหวะเข้าลงทุน...ต้องใช้เทคนิเคิลมาช่วย

"เวลาเลือกหุ้นให้ใช้พื้นฐาน แต่จังหวะซื้อต้องใช้เทคนิเคิล" เขาเน้นย้ำ

ยิ่งตอนขายหุ้นเทคนิเคิลไม่เคยหลอกเลย ถ้าเราถอยหลังย้อนกลับไปได้ เราต้องกลับไปทบทวนตัวเองให้ดีๆ

"ผมขอแนะนำให้จดไดอารี่ทุกวัน นั่นคือการทบทวนตัวคุณเอง คุณจะได้เก็บเอาไว้อ่าน คุณเจ็บตรงไหน วันนี้คุณโดน (เทคนิเคิล) หลอกอย่างไร?"

เขาอธิบายว่า ข้อผิดพลาดของนักลงทุน มักมาจากความ "ดื้อรั้น" ของตัวเอง เทคนิเคิลมันตัดลงมาตั้งนานแล้ว แต่ว่าเรายังดื้อ ยังเล่นอยู่ แสดงว่า "คุณผิดเอง ตลาดไม่ผิด"

ที่ผ่านมา ชีวิตพวกเราคนเล่นหุ้นทุกคน ถ้าใครเคยผ่านมาในระยะ 10 ปีนี้ (2540-2549) วิชัย กล้าพูดได้ว่า "เฉียดรวย" ทุกคน...เฉียดรวยมาหมด

...เมื่อก่อนหุ้น ธนาคารเกียรตินาคิน (KK) สมัยที่ยังเป็น บงล.เกียรตินาคิน ราคาหุ้นขึ้นมาประมาณ 40 เท่า (จาก 2 บาทขึ้นไป 80 บาท) นักลงทุนรายใหญ่เคยเล่นหุ้นตัวนี้มาแล้วทุกคน

วิชัย ยืนยันว่า ทุกครั้งที่ ดัชนี SET ขึ้นรอบใหญ่ๆ หรือ Major Up Trend จะต้องมีหุ้น "ดาวเด่น" ของมันอยู่ เราจะต้องคลำหาให้เจอ ต้องไขว่คว้าให้เจอ ในรอบที่ผ่านมาเท่าที่จำได้มีหุ้น อะโรเมติกส์ (ATC) จาก 3 บาท ขึ้นไป 75 บาท พวกรายใหญ่ทุกคนซื้อหมดแถวๆ 3 บาท มาขายที่ 4 บาท คนที่ขายก่อน ก็แค่ "เฉียดรวย"

"ตรงนี้จะวัดผลแพ้-ชนะ วัดว่าใครฝีมือจริง"

วิชัย ย้ำว่า นักลงทุนรายย่อยทุกคน มีสิทธิรวยได้...เชื่อผม! แต่ต้องขยัน ต้องทุ่มเท ต้องเป็นมืออาชีพจริงๆ

"...คุณต้องพยายามเข้ากลุ่มให้ได้ พยายามเกาะกลุ่มจะได้รู้ว่าคนอื่นเขาคิดยังไง เราจะเชื่อหรือไม่เชื่อไม่เป็นไร แต่มันทำให้เรามีมุมคิดที่หลากหลาย ไม่เชื่อมั่นในตัวเองมากจนเกินไป เพราะจะนำเราไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดได้ง่าย"

โปรดติดตามตอนต่อไปสัปดาห์หน้า
...
Verified User
โพสต์: 1817
ผู้ติดตาม: 0

วิชัย วชิรพงศ์

โพสต์ที่ 18

โพสต์

ขอบคุณสำหรับบทความดีๆครับ :D


แต่สงสัยนิดหน่อยตรง
ปรัชญา เขียน:"...คุณต้องพยายามเข้ากลุ่มให้ได้ พยายามเกาะกลุ่มจะได้รู้ว่าคนอื่นเขาคิดยังไง เราจะเชื่อหรือไม่เชื่อไม่เป็นไร แต่มันทำให้เรามีมุมคิดที่หลากหลาย ไม่เชื่อมั่นในตัวเองมากจนเกินไป เพราะจะนำเราไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดได้ง่าย"
มันไม่ทำให้เรากลายเป็นนายตลาดไปซะเองหรือครับ  :?
แมงเม่าบินเข้ากลางใจ
ภาพประจำตัวสมาชิก
nano
Verified User
โพสต์: 447
ผู้ติดตาม: 0

วิชัย วชิรพงศ์

โพสต์ที่ 19

โพสต์

... เขียน:ขอบคุณสำหรับบทความดีๆครับ :D


แต่สงสัยนิดหน่อยตรง
มันไม่ทำให้เรากลายเป็นนายตลาดไปซะเองหรือครับ
javoel
Verified User
โพสต์: 383
ผู้ติดตาม: 0

วิชัย วชิรพงศ์

โพสต์ที่ 20

โพสต์

อ่านเเล้วรู้สึกขนลุกครับ
กุหลาบงามหลังฝน
Verified User
โพสต์: 1598
ผู้ติดตาม: 0

วิชัย วชิรพงศ์

โพสต์ที่ 21

โพสต์

ต่างความคิด ต่างเหตุผล มนุษย์ถึงถูกเรียกว่า "คน" การลงทุนเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ 100% จึงไม่อาจจะบอกได้ว่าถูกต้องหรือผิด
อย่ามัวติดกับเรื่องในอดีต กังวลกับเรื่องในอนาคต จนลืมว่าปัจจุบันต้องทำอะไร
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 1

วิชัย วชิรพงศ์

โพสต์ที่ 22

โพสต์

... เขียน: แต่สงสัยนิดหน่อยตรง

มันไม่ทำให้เรากลายเป็นนายตลาดไปซะเองหรือครับ  :?
ความหมายนักเก็งกำไรก็เป็นอย่างนั้น

แต่นักลงทุนแนวVI  น่าจะเกาะกลุ่มหุ้นผลประกอบการในอนาคต
ที่ผ่านมาก็  กลุ่มโรงพยาบาล
กลุ่มพลังงานบางตัว
กลุ่มโมเดรินเทรดของท่าน  ดร.
กลุ่มร้านสะดวกซื้อ

คงต้องนำมาปรับใช้้ตามความเหมาะสมของแต่ละคนครับ
แฮ่ะๆ  ผมเดาล้วนๆ
ภาพประจำตัวสมาชิก
tummeng
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 3665
ผู้ติดตาม: 0

วิชัย วชิรพงศ์

โพสต์ที่ 23

โพสต์

กูรูหุ้นพันล้าน : ตอนที่ 8 ช่วงสุข และทุกข์

วิชัย วชิรพงศ์
วิธีการเอาตัวรอด ในช่วงที่ต้องเผชิญกับ "วิกฤตการณ์" ในตลาดหุ้น ทางเดียวที่จะทำให้เรา "รอด" คือ การตัดนิ้ว (Cut Loss) ยอมขาดทุนรักษาชีวิต

หลังวิกฤติเศรษฐกิจ ปี 2540 เป็นช่วงที่ "เสี่ยยักษ์" วิชัย วชิรพงศ์ ยกให้เป็นช่วงชีวิตที่เลวร้ายที่สุด ของนักเล่นหุ้น

นับจาก ดัชนี SET ทำจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์ เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2537 ที่ระดับความสูง 1,789 จุด จากนั้นก็ค่อยๆ หล่นลงมาทำจุดต่ำสุด 207 จุด เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2541

เสี่ยยักษ์ บอกว่า ใครที่รอดตายช่วงนี้มาได้ แล้วพอร์ตยังโตขึ้น ต้องยกให้ว่าเป็น "ยอดฝีมือ" ทุกคน

วิชัย ก็เป็นหนึ่งในกลุ่มนักลงทุนรายใหญ่ที่ "รอด" ช่วงนี้มาได้ แต่ก็รอดแบบเฉียดตาย และสูญเสีย ไม่ใช่น้อย

"ช่วงนั้นพอร์ตหุ้นของผม หายไปครึ่งหนึ่ง" เขาบอก

วิธีการเอาตัวรอด ในช่วงที่ต้องเผชิญกับ "วิกฤตการณ์" ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด เขาย้อนเล่าประสบการณ์ครั้งนั้นว่า ทางเดียวที่จะทำให้เรา "รอด" คือ การตัดนิ้ว (Cut Loss) ยอมขาดทุนรักษาชีวิต

"เริ่มตัดไปทีละนิ้ว ตัดไปเรื่อยๆ เหมือนนิทานตะพาบน้ำ ที่ผมเคยเล่าให้ฟังไง! มันเจ็บปวดที่สุด แต่คุณไม่มีทางเลือก..ถ้าอยากรอดคุณต้องรีบทำ"

เขาสะท้อนช่วงวิกฤติครั้งนั้นให้ฟัง...จากตัดนิ้วก็ต้องตัดแขน พอดัชนีลงมาเหลือ 220 จุด ผมจำได้ว่า หายไปครึ่งตัว "พอร์ตเหลือครึ่งเดียว" อารมณ์ช่วงนั้นมันเศร้าที่สุด

เมื่อถามว่าช่วงไหนที่ เสี่ยยักษ์ มีความสุขมากที่สุด?

"...ช่วงที่หาเงินได้ 100% ของพอร์ต โดยเฉพาะช่วงเริ่มต้นเล่นหุ้นใหม่ๆ ถ้าพอร์ตคุณเพิ่มได้ 1 เท่าตัว..มันยากจริงๆ แต่คุณจะรู้สึกภูมิใจ...

ผมยังจำได้ ตอนที่เล่นหุ้นใหม่ๆ เครดิตเราก็ไม่มี ไม่มีใครอยากมองเรา เพราะว่าพอร์ตเราเล็ก เราจะไปคุยกับรายใหญ่ เขาก็กลัวว่าเราจะไปเกาะเขา ช่วงนั้นสำหรับผมมันยากที่สุด และน่าจดจำที่สุด"

เขาเล่าว่า วิธีการเล่นหุ้น เมื่อ 20 ปี ที่แล้ว การเล่นหุ้นไม่ใช่แบบนี้ ใครไปซื้อหุ้นพื้นฐาน ไม่ได้กำไร สมัยก่อน "หุ้นปั่นครองเมือง" (ยิ่งกว่านี้อีก) ประมาณปี 2535-2536 เพิ่งมีการตั้งกองทุนรวม(บลจ.)ใหม่ๆ กองทุนยังเล่นหุ้นไม่เก่ง ต่างชาติก็ยังไม่มากอย่างทุกวันนี้ มีแต่ "นักลงทุนรายใหญ่" "เจ้าของหุ้น" กับ "รายย่อย" ที่เล่นกัน ใครเล่นหุ้นพื้นฐานไม่ได้กำไร

...คำว่า "ปั่น" มันแปลว่า "หมุน" จึงไม่ใช่ของจริง ต้องเข้า-ออกเร็ว เมื่อไรที่หุ้น "หมุนช้า" หรือ "หยุดหมุน" ใครออกไม่ทันก็ "เจ๊ง" นี่คือ สัจธรรม ของหุ้นปั่น

ประสบการณ์ยังสอน วิชัย ว่า ใครที่เล่นหุ้นปั่นแล้วไม่ยอมเลิก ได้มาเท่าไรก็ต้องคืนกลับไปหมด เพราะธรรมชาติของหุ้นปั่น เหมือนการ "ตีฟอง" หมดรอบเมื่อไหร่ ราคาก็หมด คือ ไม่เหลือค่าอะไร

เขาย้ำว่า..คนที่เล่นหุ้นปั่นแล้วรอดมาได้ ไม่ใช่ว่าเราเก่ง(ถ้าไม่ใช่พวกเขา)เพราะพวกนั้นเขาตั้งใจเอา "ปืนแก๊ป" มาดวลกับเรา เขาหลอกล่อให้เราได้กำไรก่อน..แต่ถ้าวันไหนมันเอา "แห" มาครอบเรา หมายถึง ทุบหุ้นออกมาทุกราคา วันนั้น..คุณโดน(เจ๊ง)แน่

แต่พอผ่านมาอีก 10 ปี หลังยุควิกฤติเศรษฐกิจ ปี 2540 กองทุน(บลจ.)เริ่มมีประสบการณ์ เริ่มเก่ง เพราะเหตุว่า หนึ่ง..เขาใกล้ชิดข้อมูล เขาศึกษาข้อผิดพลาดมาเยอะ สอง..วิธีการเขาเปลี่ยน เล่นสั้นได้ เล่นยาวได้ การบริหารพอร์ต ของเขาจะยืดหยุ่นตลอดเวลา พอกองทุนเริ่มเก่ง บวกกับเงินต่างชาติเข้ามามาก จากหุ้นเก็งกำไรครองเมือง ก็เปลี่ยนมาเป็นหุ้นพื้นฐานครองเมือง

"...ถึง พ.ศ.นี้ ผมมองว่า ถ้าคุณไม่มี "อินไซด์" ต้องเล่นหุ้นพื้นฐานอย่างเดียวเลย ถึงจะมีโอกาสรวย"

วิชัย บอกว่า นักลงทุนรายใหญ่เท่าที่สังเกต เขาจะลงทุนแบบ "โฟกัส" ในหุ้นหนักๆ อยู่ไม่กี่ตัว เพราะการกระจาย พอร์ตมากตัวเกินไป ถ้าไม่ใช่นักลงทุนระยะยาวจริงๆ การตัดสินใจ "ซื้อ-ขาย" จะผิดพลาดได้ง่าย

"อย่างพอร์ตของผม จะถือหุ้นอยู่แค่ 1-2 ตัว"

วิชัย อธิบายว่า จริงๆ แล้วการเล่นหุ้น เรารู้..เราเก่งของเราแค่ตัวเดียวพอ ขออย่างเดียว หุ้นที่เราซื้อ ต้องตอบคำถามได้ว่า เราเล่นหุ้นตัวนี้เพราะอะไร? มันทำธุรกิจอะไร? มันจะขึ้นเพราะอะไร? เหตุผลมันคืออะไร? มันเปลี่ยนชื่อเพราะอะไร? ต้องการสร้างภาพพจน์ให้ดีขึ้นรึเปล่า

"ผมขอให้คุณเก่งหุ้นแค่ทีละตัว หรืออย่างมากแค่ 3 ตัวพอ รู้ให้ลึก..รู้ให้แตกฉาน แล้วทนรอกับมันได้ คุณจะรวยมหาศาล"

"...แต่ต้องเก่งจริงๆนะ ต้องรอกับมันได้ อย่าเป็นคนใจเร็วด่วนได้ เพราะคุณจะไม่ได้..นี่เรื่องจริง"

นอกจากนี้ คนที่จะเล่นหุ้นแล้วรวย คุณจะต้องหา "หุ้นในดวงใจ" ให้ได้ก่อน วันไหนที่คุณมีหุ้นในดวงใจแล้ว คุณจะเหมือน "เสี่ยปู่" สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล เขาจะนิ่ง เขาจะอดทน เขาจะ Let the Profit Run แล้วได้กำไรเยอะ

...แต่ถ้าวันไหนคนเล่นหุ้นไม่มีหุ้นในดวงใจ..คุณไม่มีทางรวย รับประกันได้ คุณไม่มีทางรวยแน่ๆ หุ้นขึ้นไป 2-3 ช่อง..เห็นเขาวางขายเป็นล้านหุ้น คุณจะใจไม่อยู่(ใจเสีย)รีบขายตาม พอหุ้นเด้งขึ้นมาใหม่ คุณก็ไม่กล้าซื้อกลับ ถ้ากล้าซื้อก็จะซื้อน้อยลง

"นี่แหละ..จุดพลาดสำคัญ ที่ทำให้นักเล่นหุ้นส่วนใหญ่ ไม่ประสบความสำเร็จ" เขาวิเคราะห์ให้ฟัง

โปรดติดตามตอนต่อไปสัปดาห์หน้า...
GrahamDodd
Verified User
โพสต์: 107
ผู้ติดตาม: 0

วิชัย วชิรพงศ์

โพสต์ที่ 24

โพสต์

chatchai เขียน:
ตอนผมซื้อ MANRIN
Oatarm
Verified User
โพสต์: 1266
ผู้ติดตาม: 0

วิชัย วชิรพงศ์

โพสต์ที่ 25

โพสต์

กูรูหุ้นพันล้าน : ตอนที่ 9 อย่ารีบซื้อความสุข

วิชัย วชิรพงศ์
คนเราต้องตั้งเป้าหมายให้สูงๆ เข้าไว้ และในระหว่างที่ต้นไม้กำลังโต คุณอย่ารีบไปเด็ดยอดทิ้ง อย่าด่วนเอาเงินมาซื้อความสุข ใจเย็นๆ ไว้ก่อน

"คนฟุ่มเฟือย แม้จะรวยก็มักขัดสน คนประหยัด แม้จะจนก็มักมีเหลือเก็บ"

วิชัย วชิรพงศ์ ฝากถึงนักลงทุนรุ่นใหม่ว่า ช่วงที่พอร์ตหุ้นของเรายังไม่โตมาก อย่าด่วนเอากำไรไปซื้อความสุข เพราะนั่นคุณยังไม่ประสบความสำเร็จเลย คุณต้องใจเย็นๆ พัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ เก็บเอากำไรไปลงทุนต่อ

ซึ่งภาษาการลงทุนเรียกว่า.."Reinvestment"

"ผมเห็นมาเยอะ พอได้กำไรหุ้นมา 5-6 ล้านบาท บางคนซื้อนาฬิกาเรือนละ 7-8 แสนมาใส่ มองดูแล้วคนอย่างนี้โอกาสที่จะชนะในระยะยาว "ยาก" แค่เริ่มต้นก็เห็นจุดอ่อนแล้ว"

วิชัยบอกว่า วันที่ตัวเองมีเงินถึง 100 ล้านบาท ถึงได้ให้รางวัลชีวิต ไปซื้อรถยนต์ Mercedes-Benz รุ่น S 280 มาขับ สมัยนั้นรถรุ่นนี้ราคาคันละกว่า 4 ล้านบาท

"ชีวิตผมแม้จะสำเร็จ..ได้กำไรหุ้นมาตลอด แต่ก็ยังทนใช้รถยนต์คันเก่าไม่ยอมเปลี่ยน บ้านที่อยู่ก็ไม่ใช่บ้านของตัวเอง อาศัยบ้านพ่อตา-แม่ยายอยู่ จำได้ว่าช่วงก่อนหน้าที่ดัชนี SET จะขึ้นมา 1,700 จุด ก่อนหน้านั้น ผมไปขออนุญาตภรรยาว่า..ถ้าวันไหนผมมีเงินถึง 100 ล้านบาทนะ..ขอซื้อรถ Benz มาขับสักคัน"

...แฟนก็บอกว่าเอาเลย ถ้าเธอแน่จริงก็ทำให้ได้ซิ! แล้ววันที่ผมมีเงินถึง 100 ล้านบาท (ช่วงดัชนี 1,700 จุด) ก็ไปซื้อ S 280 มาขับ แต่ก่อนจะซื้อ ช่วงนั้นก็ยังอยู่บ้านพ่อตา-แม่ยาย อยู่ตึกแถวย่านประตูน้ำ ก็ให้แฟนไปบอกพ่อแม่เขาว่า ผมขออนุญาตซื้อรถ Benz นะ เดี๋ยวเขาจะหาว่าเราเป็นคน "โอเวอร์" กลัวเขาจะมองว่าเป็นพวกอวดร่ำอวดรวย"

เมื่อพอร์ตโตขึ้น..มีเงินระดับ 300-400 ล้านบาท วิชัยถึงได้เปลี่ยนมาใช้รถเบนซ์สปอร์ต และเมื่อมีเงินถึงระดับ "พันล้าน" ถึงได้สัมผัสรถยนต์ในฝัน "เฟอร์รารี่" ราคาคันละ 22 ล้านบาท ซึ่งเหมาะสมกับฐานะที่พึงมี

ชีวิตคนเราจะก้าวหน้าต่อไปได้ วิชัยให้แง่คิดว่า คนเราต้องตั้งเป้าหมายให้สูงๆ เข้าไว้ ในระหว่างที่ต้นไม้กำลังโต คุณอย่ารีบไปเด็ดยอดทิ้ง คุณกำไรมา 10-20 ล้านบาท อย่ารีบเอามาใช้จ่าย ใจเย็นๆ ไว้ก่อน

"ผมอยากให้คนเล่นหุ้น ไม่ใช่ว่าได้กำไรมาแล้วคุณเอาเงินไปใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย ผมทนใช้รถคันเก่า โดยตั้งเป้าหมายให้กับตัวเอง เราต้องรู้จักอดทนเพื่อรอวันที่ประสบความสำเร็จก่อน"

ประสบการณ์ตลอด 20 ปีในตลาดหุ้น..ย้ำสอนกูรูหุ้นท่านนี้ว่า ความสำเร็จในตลาดหุ้นเพียงชั่วขณะใดขณะหนึ่ง เราต้องไม่หลงระเริง เพราะนั่นยังไม่ใช่ความสำเร็จที่แท้จริง..คุณต้องพิสูจน์เป้าหมายที่ตั้งใจไว้ ต้องทำให้ได้เสียก่อน

"...เพราะ "เงิน" จะเติบโตก็เฉพาะกับคนที่รู้จักใช้มัน ในเวลาที่เหมาะสม" เขาเชื่อเช่นนั้น

วิชัยเล่าว่า การตัดสินใจหันเหชีวิตมาเอาดีด้านการเล่นหุ้นเป็นอาชีพ ช่วงแรกโดนดูถูกมาก สุดท้ายถึงได้ล้มล้างภาพให้เห็นว่าคนเล่นหุ้น ก็สำเร็จได้

"ภรรยาผมเป็นหลานอาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ ครอบครัวเขามีหน้ามีตา มีฐานะ คุณพ่อ-คุณแม่ภรรยาก็เป็นหมอ (อยู่โรงพยาบาลราชวิถี และโรงพยาบาลเด็ก) เขามีพี่น้อง 4 คน อนาคตดีๆ กันทั้งนั้นเลย มีแต่ผมเป็นคนจีนต่างด้าว ไม่มีอะไรเลย ห่วยที่สุด ไม่น่าไว้วางใจที่สุด แล้วไปอาศัยอยู่บ้านเขาอีกต่างหาก"

ก่อนจะมาเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้ วิชัยบอกว่า ก่อนหน้านั้นสิ่งที่รู้สึกมากก็คือ ไม่รู้ว่าคนรอบข้างจะมองตัวเองอย่างไร ซึ่งก็คิดไปในแง่ร้ายว่า เขาคงมองเราว่าไอ้คนนี้ท่าทางมันจะแย่ที่สุด

ปัจจัยที่จะทำให้เรามีเครดิตจากสังคมรอบข้าง ดีที่สุดเราต้องพิสูจน์ตัวเอง วิชัยมีคติประจำใจว่า หนึ่ง..เราต้องเป็นคนดี สอง..ถ้าเราทำอะไรไว้ต้องได้สิ่งนั้น และสาม..เครดิตสำคัญที่สุด ต้องรักษาไว้

นอกจากนี้เขายังชักจูงคนใกล้ชิด นำเงินมาฝากเพื่อบริหารพอร์ตให้ ถ้าไม่มั่นใจก็รับประกันการขาดทุนให้ด้วย เล่นไม่นานก็ได้กำไรเป็นเท่าตัว

วิชัยบอกว่า บางคนอยากจะเข้ามาเล่นหุ้นเอง แต่ต้องบอกกลับไปว่า.."อย่าเล่นเลย ให้ผมบริหารพอร์ตให้ดีกว่า" ตามปกติการบริหารพอร์ตให้คนอื่น สมมติเอาเงินมาฝาก 100 บาท ถ้าเล่นหุ้นได้กำไรจะต้องได้ส่วนแบ่ง 30% ถ้าขาดทุนต้องช่วยออกด้วย 20% ในวงการทำกันอย่างนี้

แต่สำหรับวิชัย ถ้ากำไรให้คืนไปหมดเลย ถ้าพอร์ตเล็กๆ 1-2 ล้านบาท ก็จะรับประกันการขาดทุนให้ด้วย

"ผมมีความเชื่อว่า การช่วยเหลือคนอื่นมันเป็นตัวส่งเสริมให้เราเล่นหุ้นได้กำไรมาตลอด...คือเราไม่ได้ไปเอาเล็กๆ น้อยๆ จากเขา มันเป็นบุญคุณที่ส่งเสริมให้เราสำเร็จ เพราะใครรู้ข่าวอะไรก็มาบอกเรา มีคนฝากผมตอนนี้ไม่ต่ำกว่า 50-60 ล้านบาท" เขากล่าว

วิชัยสรุปตอนท้ายว่า คนเรานั้น การรักษาเครดิตสำคัญมากๆ อย่าให้เสีย อีกอย่าง เราอย่าไปเอาเปรียบคนอื่น อยู่ในวงการนี้ถึงจะมีพรรคพวก มีคนนับถือ 2 ข้อนี้ จะส่งเสริมให้เราประสบความสำเร็จ..จำไว้!

ตอนต่อไป..โปรดติดตาม "หุ้น The Winner ปตท."
ภาพประจำตัวสมาชิก
tummeng
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 3665
ผู้ติดตาม: 0

วิชัย วชิรพงศ์

โพสต์ที่ 26

โพสต์

กูรูหุ้นพันล้าน : ตอนที่ 10 ปตท.หุ้น The Winner (1)

วิชัย วชิรพงศ์
เส้นทางการเติบโต..พอร์ตหุ้นของ วิชัย วชิรพงศ์ ไม่ได้เกิดขึ้นแบบรวดเร็ว เขาเพียรพยายามนำกำไรมาลงทุนต่อ (Reinvestment) โดยไม่เด็ดยอดความสำเร็จ เอาไปซื้อหาความสุข ก่อนถึงเวลาอันควร

นานนับสิบปี พอร์ตของ วิชัย ก็เติบโตขึ้นมาเรื่อยๆ อย่างน่าอัศจรรย์ เขาไม่ใช่ "พ่อมด" ที่เสกเงินได้เอง

แต่เขาเชื่อในหลักการของ "พลังแห่งการทบต้นของเงิน"

วิชัย เชื่อว่า พอร์ตหุ้นของนักลงทุนที่จะประสบความสำเร็จได้นั้น ในระหว่างทาง คุณจำเป็นต้องเจอหุ้น "แจ๊คพอต" (หุ้นในดวงใจ) ที่ทำกำไรครั้งละมากๆ ต้องมีผ่านเข้ามาเป็นระยะ พอร์ตจึงจะเติบโตได้

"...การเล่นหุ้นเพื่อหวังกำไร 3-5% เป็นการลงทุนที่มีโอกาส "ร่ำรวย" ได้ยาก!!! เพราะการตัดสินใจ(ซื้อ-ขาย)บ่อย โอกาสผิดพลาดจะมีสูง"

กูรูหุ้นรายนี้ แนะนำว่า ระหว่างที่ "จังหวะ" และ "โอกาส" ยังมาไม่ถึง นักลงทุนอาจจะแบ่งเงินลงทุนบางส่วน มาเล่นหุ้นเก็งกำไร แต่ไม่ควรทุ่มเทเงินทั้งหมด มาเสี่ยงในสถานการณ์ที่เราไม่มั่นใจเต็มร้อย

ขณะเดียวกัน..ในระหว่างที่เรากำลังจับ "ปลาเล็ก" (หุ้นเก็งกำไร) คุณต้องพยายามค้นหา "หุ้นในดวงใจ" (ของรอบ) และควรเตรียมแหอวน สำหรับการจับ "ปลาใหญ่" ไว้ให้พร้อม

เขาเชื่อว่า ในทุกๆ ปี จะมีฤดูกาล "จับปลาใหญ่" อย่างน้อย 1 คลื่นใหญ่ คุณต้องหาหุ้นที่ "แจ๊คพอตแตก" ให้เจอ และต้องกล้าที่จะ "ทุ่ม" ลงไปกับมัน

สำหรับ หุ้นที่เป็น "จุดหักเห" ของพอร์ต วิชัย ตัวหนึ่ง ก็คือ หุ้นปตท.(PTT) เขาบอกว่าหุ้นตัวนี้ทำกำไรให้มากที่สุด ประมาณ 700 ล้านบาท

เสี่ยยักษ์ เล่าว่า ก่อนที่หุ้นปตท.จะเข้าตลาดหลักทรัพย์ ช่วงปลายปี 2544 ก่อนหน้านั้นรู้อยู่แล้วว่าหุ้นตัวนี้ต้องดีแน่ เป็นหุ้นรัฐวิสาหกิจที่ผูกขาดด้านพลังงานของประเทศ ทุกคนมองหุ้นตัวนี้ดีหมด

"ผมจ้างคนไปเข้าคิวจองหุ้นปตท. ตั้งแต่ตี 5 ใช้ชื่อญาติพี่น้องเป็นสิบๆ คน กระจายกันไปจอง จำได้ว่าคนหนึ่งจองได้ 20,000 หุ้น ราคาไอพีโอ 35 บาท ก่อนหน้านั้นผมกลับไปที่จังหวัด อยุธยา ไปเขียนใบจองล่วงหน้า 2-3 วัน โดยขอออเดอร์แรกทุกสาขา ทุกธนาคารที่เปิดจอง เพราะในต่างจังหวัดไม่ค่อยมีคนนิยมเล่นหุ้น ผมก็ไปเตรียมการไว้ก่อน

...สรุปว่า ได้หุ้นมารวมกัน 7 แสนหุ้น ผมไม่มีเส้นสาย ไม่มีพวก จำนวนหุ้นขนาดนี้ถือว่าเยอะมาก ได้มา 35 ใบจอง ลงทุนไป 24.50 ล้านบาท"

วิชัย จำได้ว่า ความคิดตอนนั้น จะฝากชีวิตไว้กับหุ้นปตท. นี่แหละ!!

แต่ที่ไหนได้..หลังจากหุ้นปตท.เข้ามาเทรดในตลาด วันที่ 6 ธันวาคม 2544 ขึ้นไป High ที่ราคา 38.25 บาท แล้วถูกกดลงมาปิดที่ราคา 35.75 บาท

"ชั้นเชิงของรายใหญ่ (พวกกองทุน) เขาจะต้องขยายหุ้น หรือเพิ่มจำนวนหุ้นในพอร์ต ก่อนลากราคาขึ้นไป พอเปิดมา 35.75 บาท เขาบี้อยู่อย่างนั้นตั้งนาน จนผมทนไม่ไหว ต้องขายออกไปที่ราคา 35.50 บาท การที่เราโฟกัสหุ้นตัวนี้ตัวเดียว เวลาที่หุ้นลง ความรู้สึกมันอึดอัดมาก"

วิชัย บอกความรู้สึกว่า รายใหญ่เขาจะจับเรา(นักลงทุน)เข้าเครื่องเขย่าหุ้น ให้คนที่ใจไม่ถึงต้องออกไป กลยุทธ์ของเขา คือ ทำให้พวกที่ใจไม่ถึงต้อง "คืนของ" หรือ "ขายคืน"

ประจวบกับช่วงนั้นดัชนี SET อยู่แถว 300 จุดต้นๆ หุ้นตัวเล็กตัวน้อยขึ้นตลอด จน วิชัย ทนไม่ไหว ต้องขายหุ้นปตท.ที่เป็นหุ้นในดวงใจในขณะนั้น ทิ้งไปทั้งก้อน

"ช่วงนั้น ผมซื้อหุ้นปตท.เพิ่มเป็น 1 ล้านหุ้น ลงทุนไปประมาณ 35 ล้านบาท กู้เครดิตบาลานซ์ ซื้อเพิ่มอีก 1 ล้านหุ้น รวมเป็น 2 ล้านหุ้น แต่ไม่สำเร็จก็ต้องออก เอาเงินไปเล่นเก็งกำไรหุ้นตัวอื่น"

หลังจากนั้น ดัชนี SET ก็ขยับขึ้นมาเรื่อยๆ แม้พอร์ตของ วิชัย จะเพิ่มขึ้นจาก 35 ล้านบาท (ช่วงหุ้นปตท.เข้าตลาด) เพิ่มขึ้นมาเป็น 70 ล้านบาท จากการเล่นหุ้นเก็งกำไร พอร์ตหุ้นโตขึ้นมา 1 เท่าตัว แต่เขาก็รู้สึกว่าชีวิตเสี่ยงมาตลอดทาง

ขณะเดียวกัน หุ้นปตท. ก็ค่อยๆ แอบขึ้นมาเงียบๆ แต่ก่อนจะขึ้นใหญ่ ราคาหุ้นปตท.วิ่งในลักษณะ "ไซด์เวย์" อยู่นานเป็นปี (2545-กลางปี 2546)

จากราคาจอง 35 บาท ราคาหุ้นลงไปต่ำสุด 28.75 บาท ในวันที่ 30 เมษายน 2545 แล้วไล่ขึ้นไป 38 บาท ในวันที่ 12 มิถุนายน 2545 จากนั้นก็กดราคาลงมาอีกทีเหลือ 34 บาท ในวันที่ 2 สิงหาคม 2545

ต่อจากนั้นราคาก็เคลื่อนตัวอยู่ในกรอบ 38 - 45 บาท นานอีกหลายเดือน จนถึงกลางเดือนเมษายน 2546 ราคาหุ้นปตท.ทะยานขึ้นไปเร็วมาก ขึ้นไป 78 บาท ในวันที่ 8 กรกฎาคม 2546

วิชัย อธิบายว่า จากช่วงเดือนธันวาคม 2544 ถึง กรกฎาคม 2546 พอร์ตหุ้นของตัวเอง เพิ่มขึ้นมา 1 เท่าตัว จากการเล่นหุ้นปั่น ขณะที่ หุ้นปตท. ก็ขึ้นมา 1 เท่าตัวเหมือนกัน

"ถ้ามองย้อนกลับไป มันก็ดีที่คุณมีเงิน 35 ล้านบาท เพิ่มเป็น 70 ล้านบาท แต่ผมฉุกคิดได้ว่า เวลาที่เราเล่นหุ้นปั่นกำไร 100% ก็จริง แต่มันเสี่ยงตลอดทาง เข้าถูกตัวบ้าง เข้าผิดบ้าง ที่บอกว่ามันเสี่ยงก็เพราะว่าหุ้นหลายตัวที่เล่น พี/อี 30-40 เท่า แล้วบางตัวขาดทุน เพราะหุ้นปั่นส่วนใหญ่ปัจจัยพื้นฐานไม่ดี ยิ่งถือนานยิ่งเสี่ยง"

ช่วงปี 2545 ในก๊วนตีกอล์ฟ วิชัย ยังจำได้ว่า เคยบอกให้เพื่อนๆ เก็บหุ้นปตท. เดี๋ยวมีรถเฟอร์รารี่ขับ "เชื่อผมซิ!" แต่ไม่มีใครซื้อ เพราะมันไม่สนุก เขาไปเล่นหุ้นปั่นกันหมด

"...ช่วงที่หุ้นปตท.อยู่แถวๆ 35 บาท ผมเชียร์ให้ทุกคนซื้อเก็บยาวเลย แล้วไม่ต้องมอง เพราะผมมองว่ารายใหญ่ รายย่อย มีต้นทุนเท่ากัน ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ แต่ผมดันทนไม่ไหวเอง ขายหุ้นทิ้งออกไปก่อน" เสี่ยยักษ์ กล่าวถึง การตัดสินใจที่ผิดพลาดในครั้งนั้น

สัปดาห์หน้า..โปรดติดตาม "ปตท.หุ้น The Winner ตอน 2"

Bizweek วันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2550
chatchai
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 11444
ผู้ติดตาม: 1

วิชัย วชิรพงศ์

โพสต์ที่ 27

โพสต์

อ่านมาตั้งหลายตอนแล้ว  อ่านแล้วก็สนุกดี

แต่ไม่เห็นพูดถึงวิถีการคัดเลือกหุ้นให้ศึกษาบ้างเลยแฮะ
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
chatchai
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 11444
ผู้ติดตาม: 1

วิชัย วชิรพงศ์

โพสต์ที่ 28

โพสต์

tummeng เขียน:ช่วงปี 2545 ในก๊วนตีกอล์ฟ วิชัย ยังจำได้ว่า เคยบอกให้เพื่อนๆ เก็บหุ้นปตท. เดี๋ยวมีรถเฟอร์รารี่ขับ "เชื่อผมซิ!" แต่ไม่มีใครซื้อ เพราะมันไม่สนุก เขาไปเล่นหุ้นปั่นกันหมด
ถ้ามาชวนผม  แค่ประโยคนี้  เก็บหุ้นปตท. เดี๋ยวมีรถเฟอร์รารี่ขับ "เชื่อผมซิ!"  ผมก็ไม่ซื้อครับ
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
ภาพประจำตัวสมาชิก
tummeng
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 3665
ผู้ติดตาม: 0

วิชัย วชิรพงศ์

โพสต์ที่ 29

โพสต์

กูรูหุ้นพันล้าน : ตอนที่ 11 ปตท.หุ้น The Winner (2)

วิชัย วชิรพงศ์ กล่าวว่า บทเรียนที่ผ่านมามันทำให้ตนเองมีคติประจำใจว่า ถ้าจะกำไรเยอะๆ ต้องถือหุ้นยาวๆ ให้ได้

เมื่อรู้ว่า "เดินทางผิด" ไปทุ่มลงทุน "หุ้นปั่น" แทนที่จะเป็นหุ้น ปตท.ที่ตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่แรก กำไรที่ได้มาจากหุ้นปั่น 100% เท่าๆ กับการขึ้นของหุ้น ปตท.จาก 35 บาท ขึ้นมา 70 บาท

แต่ตลอดทางที่ทำกำไรจาก "หุ้นปั่น" วิชัยกลับรู้สึกกระวนกระวายใจ ชีวิตไม่มีความสุข เพราะรู้สึกว่าตัวเองเสี่ยงทุกวัน จิตใต้สำนึกบอกว่าถ้าขืนเล่นหุ้นแบบนี้ไปเรื่อยๆ จะต้องมีวันพลาดท่า "เจ๊ง" ไม่วันใดก็วันหนึ่ง แน่ๆ

"จำได้ว่า ก่อนที่จะกลับมาเข้าหุ้น ปตท.(ครั้งที่ 2) ผมไปเข้าหุ้น HEMRAJ เกือบ 30 ล้านหุ้น วันนั้น ราคาขึ้นไปทำนิวไฮที่ 2.70-2.80 บาท ลงทุนไปประมาณ 70 ล้านบาท ซื้อหุ้นตัวเดียวเต็มพอร์ต

...พอซื้อเสร็จ มันก็ขึ้นไปทำนิวไฮ พอกลับไปบ้าน ทั้งคืนนอนไม่หลับ เพราะหุ้นตัวนี้ (ตอนนั้น) พี/อี มันสูงมาก ได้แต่รำพึงกับตัวเองว่า..กูหาเรื่องแท้ๆ ไม่น่าซื้อเลย"

ย้อนถึงเหตุการณ์ครั้งนั้น เสี่ยยักษ์มานั่งคิดว่า โอ้โห! ทำไมเราถึงกล้ามาก รู้เลยว่าที่ผ่านมาเราตัดสินใจผิดพลาดแล้วนะ เพราะพอร์ตเราใหญ่ ลูกเรายังเล็กอยู่ ถ้าพลาดท่าเราตายแน่

เขาอธิบายคำศัพท์ของนักเล่นหุ้น ที่บอกว่า "ลูกยังเล็กอยู่" ความหมายคือ ลูกเรายังเล็ก..จะพลาดไม่ได้ หมายความว่าหุ้นตัวนี้ "อันตราย" เราต้อง Cut Loss ทิ้ง

เมื่อรู้ตัวว่า "ซื้อแพง" ถลำลึกกับหุ้นเก็งกำไรจนหมดตัว เช้าวันรุ่งขึ้น วิชัยจึงตัดสินใจขายหุ้น HEMRAJ ทิ้งทั้งหมด จากเดิมที่มีกำไรหลายล้านบาท กลับเป็นว่าไม่เหลือกำไรเลย แต่เขาไม่เสียใจ

...เพราะการซื้อหุ้นแล้วเราไม่สบายใจ การขายหุ้นออกไปให้หมด จะเป็นทางออกที่ดีที่สุด

จากนั้น วิชัยก็เอาเงินทั้งหมดประมาณ 70 ล้านบาท มาซื้อหุ้น ปตท. "ตัวเดียว" โดยเข้าลงทุนประมาณเดือนสิงหาคม-กันยายน ปี 2546 ซึ่งขณะนั้นราคาหุ้นได้แอบขึ้นจาก 35 บาท ไป 70 บาท แล้ว

สาเหตุอะไรที่ทำให้วิชัยฉุกคิดได้ว่าต้องทิ้งหุ้น HEMRAJ แล้วมาซื้อหุ้น ปตท.?

เหตุผลอยู่ที่ความเชื่อมั่นใน "ผลประกอบการ" ที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง และเป็นการเติบโตมาจากฐานที่ต่ำ หุ้น ปตท.ในขณะนั้น จึงเป็น Super Growth Company หมายความว่า หุ้นจะมี "อัตราเร่ง" ของราคา ที่มากกว่าภาวะปกติ

อีกมิติทางการเมือง..รัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในขณะนั้น ก็มีความเข้มแข็งถึงขีดสุด อีกทั้งมีนโยบายเกื้อหนุนให้ ปตท.เติบโตอย่างชัดเจน

ช่วงที่ ปตท.ประกาศผลการดำนินงาน ปี 2545 (ปีแรกที่เข้าตลาดหุ้น) มีกำไรสุทธิ 24,506 ล้านบาท พอปี 2546 กำไรเพิ่มขึ้นเป็น 39,400 ล้านบาท พอปี 2547 กำไรก้าวกระโดด เป็น 62,666 ล้านบาท

"5 ปีย้อนหลัง ในยุค พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร (2545-2549) หุ้น ปตท.มันขึ้นมาตลอด"

วิชัยยังจำได้อีกว่า ช่วงที่ราคาหุ้น ปตท.ขยับขึ้นจาก 35 บาท มาถึง 70 บาท จากนั้นก็ประกาศงบการเงิน งวดครึ่งปี 2546 กำไรออกมาดีมาก 17,623 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 6.30 บาท ถ้าจำไม่ผิด พี/อี แค่ 5 เท่านิดๆ เท่านั้นเอง (ทั้งปีกำไรต่อหุ้น 14.09 บาท)

"ช่วงที่หุ้น ปตท.ขึ้นมาถึง 70 บาท ดัชนี SET ขยับขึ้นมาจาก 340 จุด ขึ้นมาเกือบๆ 500 จุด ผมเข้าไปซื้อหุ้น ปตท.แถวๆ นี้ ช่วงประกาศงบการเงิน งวดครึ่งปี 2546"

ระหว่างที่เข้าไปซื้อหุ้น ปตท. วิชัยถือที่ต้นทุน 70 บาท เกมเขย่าราคาก็เกิดขึ้นอีกครั้ง รายใหญ่ใช้วิธี "โยนหุ้น" ในกรอบราคา 69-75 บาท ย่ำฐานอยู่แถวนี้ ทำให้คนที่ซื้อเยอะๆ รู้สึกอึดอัด ถ้าใครทนไม่ไหวก็ต้อง "คายหุ้น" กลับคืนไป

"มันบี้ผมช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม 2546 ผมก็ทนถือเอาไว้ เพราะรู้ว่ามันต้องประกาศงบทั้งปีออกมาดีแน่ๆ ขณะที่หุ้นปั่นตัวอื่นๆ ตกกันหมด ถ้าใครใจไม่อยู่ก็ต้องคืนของเขาไป..แต่ผมปักหลักสู้"

ช่วงที่ตลาดหุ้นถูกเขย่าไปพร้อมๆ กับหุ้น ปตท. วิชัยบอกว่า ช่วงนั้น ดัชนี SET ขึ้นไป 500 ต้นๆ แล้วก็ถูกทุบลงมา กราฟตอนนั้นมีคน "เจ๊งหุ้น" (ปั่น) เยอะมาก ใครที่เล่นหุ้นปั่นตายหมด ตรงกันข้ามกับหุ้น ปตท.ที่ยืนกับขึ้น

การที่หุ้น ปตท. "ยืน" กับ "ขึ้น" ในภาวะขาลง เขารู้ทันทีว่า การตัดสินใจเปลี่ยนจากหุ้นเก็งกำไร มาซื้อ ปตท. เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง มิฉะนั้นก็คงจะไม่มีชื่อ "วิชัย วชิรพงศ์" อย่างทุกวันนี้

โปรดติดตามต่อในสัปดาห์หน้า..รวยอย่างไร? ด้วย "เครดิตบาลานซ์"
chatchai
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 11444
ผู้ติดตาม: 1

วิชัย วชิรพงศ์

โพสต์ที่ 30

โพสต์

แต่ตลอดทางที่ทำกำไรจาก "หุ้นปั่น" วิชัยกลับรู้สึกกระวนกระวายใจ ชีวิตไม่มีความสุข เพราะรู้สึกว่าตัวเองเสี่ยงทุกวัน จิตใต้สำนึกบอกว่าถ้าขืนเล่นหุ้นแบบนี้ไปเรื่อยๆ จะต้องมีวันพลาดท่า "เจ๊ง" ไม่วันใดก็วันหนึ่ง แน่ๆ
เป็นข้อคิดเตือนใจนักเก็งกำไรได้ดีทีเดียวครับ
เหตุผลอยู่ที่ความเชื่อมั่นใน "ผลประกอบการ" ที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง และเป็นการเติบโตมาจากฐานที่ต่ำ หุ้น ปตท.ในขณะนั้น จึงเป็น Super Growth Company หมายความว่า หุ้นจะมี "อัตราเร่ง" ของราคา ที่มากกว่าภาวะปกติ
ผมอ่านแล้วก็ยังงงอยู่ 2 ที่

คือ  การเติบโตมาจากฐานที่ต่ำ  เข้าใจว่าคงหมายถึงกำไรสุทธิ  แต่ระดับไหนถึงคิดว่าต่ำละครับ  ระดับ ปตท. ก็ไม่น่าจะต่ำนะ  กำไรเป็นหมื่นล้านบาทต่อปี

อีกจุดก็ Super Growth Company  ที่ว่ามีอัตราเร่ง  เป็นอัตราของอะไรครับ  กำไรสุทธิ  หรือว่า  ราคาหุ้น
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
โพสต์โพสต์