ขอคุยเรื่อง Margin of Safety หน่อยครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 103
- ผู้ติดตาม: 0
ขอคุยเรื่อง Margin of Safety หน่อยครับ
โพสต์ที่ 1
ผมกำลังคิดเรื่อง Margin of Safety อยู่ครับ
ผมสงสัยว่า ควรคิด Margin of Safety อย่างไร
1 ราคาหุ้นกับผลประกอบการในปัจจุบัน
2. ราคาหุ้นเมื่อเทียบกับผลประกอบการในระยะยาว หรือ อนาคต
เพราะผมมาคิดดูหลายบริษัทเรา ซื้อด้วยราคาหุ้นที่ต่ำกว่าความเป็นจริงในปัจจุบัน และก็ต่ำอยู่อย่างนั้นหลายครั้งราคาหุ้นก็ไหลลงไปเรื่อยๆด้วยซ้ำ เพราะบริษัทกำไรไม่เติบโตแล้ว หรือไม่มีอนาคต มีปัญหามากมาย
ในขณะที่ บางบริษัทเราเกี่ยงราคาหุ้นว่าแพงไป ไม่มี Margin of Safety แต่ผลประกอบการที่ดีวันดีคืนกับทำให้หุ้นวิ่งขึ้นไปอีกมาก
ดังนั้นจริงๆแล้วตัววัด Margin of Safety น่าจะเป็นผลประกอบการในอนาคตที่จะเกิดขึ้น ที่แต่ละคนจะมีมุมมองต่างกันมากกว่าใช่หรือไม่ครับ คนที่มีความรู้ในกิจการไหนจนเห็นอนาคตของกิจการ ก็จะเห็นอนาคตของราคาหุ้นได้ด้วย
ขอรบกวนถาม K. Chatchai หน่อยครับ ว่าเมื่อ 5 ปีที่แล้วตอนที่ ซื้อ WG K. Chatchai วัดกิจการด้วยข้อมูลวันนั้นหรือมีมุมมองต่ออนาคตของกิจการถึงซื้อที่ราคานั้นครับ
ยาวไปหน่อยนะครับ กำลังสับสนในความคิด
ผมสงสัยว่า ควรคิด Margin of Safety อย่างไร
1 ราคาหุ้นกับผลประกอบการในปัจจุบัน
2. ราคาหุ้นเมื่อเทียบกับผลประกอบการในระยะยาว หรือ อนาคต
เพราะผมมาคิดดูหลายบริษัทเรา ซื้อด้วยราคาหุ้นที่ต่ำกว่าความเป็นจริงในปัจจุบัน และก็ต่ำอยู่อย่างนั้นหลายครั้งราคาหุ้นก็ไหลลงไปเรื่อยๆด้วยซ้ำ เพราะบริษัทกำไรไม่เติบโตแล้ว หรือไม่มีอนาคต มีปัญหามากมาย
ในขณะที่ บางบริษัทเราเกี่ยงราคาหุ้นว่าแพงไป ไม่มี Margin of Safety แต่ผลประกอบการที่ดีวันดีคืนกับทำให้หุ้นวิ่งขึ้นไปอีกมาก
ดังนั้นจริงๆแล้วตัววัด Margin of Safety น่าจะเป็นผลประกอบการในอนาคตที่จะเกิดขึ้น ที่แต่ละคนจะมีมุมมองต่างกันมากกว่าใช่หรือไม่ครับ คนที่มีความรู้ในกิจการไหนจนเห็นอนาคตของกิจการ ก็จะเห็นอนาคตของราคาหุ้นได้ด้วย
ขอรบกวนถาม K. Chatchai หน่อยครับ ว่าเมื่อ 5 ปีที่แล้วตอนที่ ซื้อ WG K. Chatchai วัดกิจการด้วยข้อมูลวันนั้นหรือมีมุมมองต่ออนาคตของกิจการถึงซื้อที่ราคานั้นครับ
ยาวไปหน่อยนะครับ กำลังสับสนในความคิด
-
- Verified User
- โพสต์: 2496
- ผู้ติดตาม: 0
ขอคุยเรื่อง Margin of Safety หน่อยครับ
โพสต์ที่ 2
อ่า จริงๆแล้วก็ทำนองนั้นเลยอ่าค่ะดังนั้นจริงๆแล้วตัววัด Margin of Safety น่าจะเป็นผลประกอบการในอนาคตที่จะเกิดขึ้น ที่แต่ละคนจะมีมุมมองต่างกันมากกว่าใช่หรือไม่ครับ คนที่มีความรู้ในกิจการไหนจนเห็นอนาคตของกิจการ ก็จะเห็นอนาคตของราคาหุ้นได้ด้วย
แบบเซียนหลายๆท่านในเวบนี้ หรือแม้แต่ ดร.นิเวศน์เอง ก็เคยพุดทำนองว่า ไม่ชอบใช้อะไรซับซ้อนมากนัก
หลักสำคัญจริงๆ น่าจะอยู่ที่ ต้องมองไปข้างหน้าให้ใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุด
แล้วอีกอัน เป็นเรื่องของจังหวะจะโคน
ซึ่งอันนี้ จะว่ายากก็ยาก ง่ายก็ไม่เชิง
อย่างท่านที่เซียนกร๊าฟ ดูผ่านๆยังรู้จังหวะได้เลย แต่ท่านที่ไม่รู้เรื่อง ดูทุกวันยังผิดตลอด :? :lol:
เหมือนกันท่านที่เป็นผู้เข้าใจในแต่ละกิจการ ก็ย่อมเข้าใจในจังหวะของบริษัทนั้นๆ ไม่มากก็น้อย
หุ้นตัวเดียวกันเนี่ย แต่เป็นคนละจังหวะ คนละคนกันลงทุน คนละมุมมอง ความเข้าใจไม่เท่ากัน หรือแม้แต่จิตนิ่งไม่เท่ากัน ผลที่ได้ออกมา ก็ต่างกันลิบลับได้เหมือนกัน
เรื่องจิตใจนั้นสำคัญมากเป็นอันดับต้นๆด้วยซ้ำ เพราะถ้าใจไม่นิ่ง มันจะแยกข้อมูลไหนขยะ ไหนดอกไม้ ได้ไม่ดีเท่าที่ควร
หรือหากใจติดยึด เกิดอคติ ก็ยิ่งเพี้ยนไปใหญ่ ประมวลผลจากการเปิดรับความรุ้ความเข้าใจ จะบิดเบี้ยวไปหมด
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11444
- ผู้ติดตาม: 1
ขอคุยเรื่อง Margin of Safety หน่อยครับ
โพสต์ที่ 3
ในอดีต เราสามารถดูพฤติกรรมของบริษัทได้บ้าง
ปัจจุบัน เราสามารถพิจารณาความแข็งแกร่งของกิจการ ทั้งฐานะทางการเงิน ผู้บริหาร พนักงาน และผลิตภัณฑ์
อนาคต เราก็ต้องคาดหวังบนพื้นฐานความเป็นจริงและด้วยความระมัดระวัง
ปัจจุบัน เราสามารถพิจารณาความแข็งแกร่งของกิจการ ทั้งฐานะทางการเงิน ผู้บริหาร พนักงาน และผลิตภัณฑ์
อนาคต เราก็ต้องคาดหวังบนพื้นฐานความเป็นจริงและด้วยความระมัดระวัง
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1485
- ผู้ติดตาม: 0
ขอคุยเรื่อง Margin of Safety หน่อยครับ
โพสต์ที่ 4
แม่นแล้ว2. ราคาหุ้นเมื่อเทียบกับผลประกอบการในระยะยาว หรือ อนาคต
ดังนั้นจริงๆแล้วตัววัด Margin of Safety น่าจะเป็นผลประกอบการในอนาคตที่จะเกิดขึ้น ที่แต่ละคนจะมีมุมมองต่างกันมากกว่าใช่หรือไม่ครับ คนที่มีความรู้ในกิจการไหนจนเห็นอนาคตของกิจการ ก็จะเห็นอนาคตของราคาหุ้นได้ด้วย
แต่ขอตัด "ก็จะเห็นอนาคตของราคาหุ้นได้ด้วย" อาจจะเป็นคนละเรื่องเดียวกัน บางครั้งดีจนไม่ยอมปล่อยของกัน ราคาพรีเมี่ยมไม่เกิด จนกิจการเลยจุดที่ดีที่สุดไป ต้องรอรอบใหม่(ถ้าบริษัทปรับตัวได้)
margin of safety คำนวณจากผลประกอบการในอนาคต เช่น บริษัทหลังคาไทย เป็นเจ้าของ กระเบี้องเย็นใจ(เย็นโดยไม่ต้องเปิดแอร์) ขณะนี้กำลังการผลิต110 % บ.เป็นเจ้าของเทคโนโลยีเอง อยู่เบอร์1 ในอุตสาหกรรม ตลาดยังมีความต้องการผลิตภัณฑ์อีกมาก คนอื่นเลียนแบบได้ยาก ของที่จะมาทดแทนก็มีน้อย ราคาหุ้นขณะนี้ เต็มมูลค่า ได้ทำการเพิ่มกำลังการผลิต 1 เท่าตัว โดยใช้เงินสดในบริษัท ถ้าแบบนี้ก็ชัดครับ margin of safety เหลือเฟือ
margin of safety จะถูกfilter ด้วยความเสี่ยง ระยะสั้น กลาง ยาว เราจึงต้องรู้จักกิจการที่เราลงทุนให้ดี(มากๆ) และคอยติดตามการบริหารงาน
safety ก็มีหลายประเภทอีกครับ
ดูจากปัจจุบันก็ได้ครับ แต่ไม่ได้ดูที่ผลประกอบการเป็นหลัก แต่จะดูที่มูลค่าที่แท้จริงเป็นหลัก
ตอนนี้ผมถืออยู่บริษัทนึง ถือแล้วก็ภาวนาว่า เลิกกิจการ เถอะ อ่ะ ล้อเล่น
- Linzhi
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1522
- ผู้ติดตาม: 1
ขอคุยเรื่อง Margin of Safety หน่อยครับ
โพสต์ที่ 5
มุมมองผม Margin of Safety ดูที่มูลค่าในอนาคตเป็นหลักครับ
ใช้ข้อมูลประเมินจากอดีตและปัจจุบัน
ถ้าดูที่ราคามากเกินไปอาจทำให้เจอ Mr. Marketปั่นป่วน และดูปัจจุบันมากเกินไป ทำให้ประเมินจากปัจจุบันไม่ใช่อนาคต
สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับกรอบเวลาด้วยครับว่าจะขายเมื่อไหร่ Margin of Safety ก็ไม่เท่ากันในเกมส์คนละเกมส์
ใช้ข้อมูลประเมินจากอดีตและปัจจุบัน
ถ้าดูที่ราคามากเกินไปอาจทำให้เจอ Mr. Marketปั่นป่วน และดูปัจจุบันมากเกินไป ทำให้ประเมินจากปัจจุบันไม่ใช่อนาคต
สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับกรอบเวลาด้วยครับว่าจะขายเมื่อไหร่ Margin of Safety ก็ไม่เท่ากันในเกมส์คนละเกมส์
-
- Verified User
- โพสต์: 78
- ผู้ติดตาม: 0
ขอคุยเรื่อง Margin of Safety หน่อยครับ
โพสต์ที่ 7
ส่วนผมคิดอย่างนี้ครับ ไม่ทราบถูกเหรอเปล่า
1.ความแข็งแกร่งของบริษัท
2.ความสามารถผู้บริหาร ในการจัดการต้นทุนและการบริหารงาน และมีแผนงานในอนาคตชัดเจน
3.ดูว่าบริษัทมีกำไรจากการดำเนิน สม่ำเสมอ และปันผลให้ผู้ถือหุ้นสม่ำเสมอแต่ไม่จำเป็นต้องปันผลทุกปี
4.ดูค่า PE และ PBV ว่าควรเข้าซื้อหรือไม่ pe ผมให้ต้องต่ำกว่า 10 pbv ควรต่ำกว่า 1.2
เมื่อราคายิ่งลง แต่เราเชื่อในขอ 1 และ 2 ว่าราคาที่เราถือยังถูก เราถือไว้ก็สบายใจ และยังสามารถซื้อเพิ่มได้เรื่อยๆ และ ถือไว้ยาวๆ ครับ
1.ความแข็งแกร่งของบริษัท
2.ความสามารถผู้บริหาร ในการจัดการต้นทุนและการบริหารงาน และมีแผนงานในอนาคตชัดเจน
3.ดูว่าบริษัทมีกำไรจากการดำเนิน สม่ำเสมอ และปันผลให้ผู้ถือหุ้นสม่ำเสมอแต่ไม่จำเป็นต้องปันผลทุกปี
4.ดูค่า PE และ PBV ว่าควรเข้าซื้อหรือไม่ pe ผมให้ต้องต่ำกว่า 10 pbv ควรต่ำกว่า 1.2
เมื่อราคายิ่งลง แต่เราเชื่อในขอ 1 และ 2 ว่าราคาที่เราถือยังถูก เราถือไว้ก็สบายใจ และยังสามารถซื้อเพิ่มได้เรื่อยๆ และ ถือไว้ยาวๆ ครับ
- sirivajj
- Verified User
- โพสต์: 985
- ผู้ติดตาม: 0
ขอคุยเรื่อง Margin of Safety หน่อยครับ
โพสต์ที่ 9
ถ้าต้องเลือก ผมคงให้น้ำหนักและเลือก Margin of Safety ที่จะได้จาก Earning และ Growth ในอนาคตมากกว่าแหละครับ
และถ้าจะได้จะต้องเสีย Margin of Safety ที่ต้องไปเลือกหุ้นราคาแพง
ก็อย่าให้มันมากหรือเสียเปรียบจนเกินไป
ประมาณว่า หุ้น 2 ตัวทำกำไรต่อหุ้นเท่ากันที่ 20 บาท
ถ้าให้ซื้อตัวแรกได้ที่ราคา 100 บาท (PE 5)
แต่เพื่อได้ Earning Growth สูงขึ้นจาก 5% เป็น 15% แล้ว
ต้องไปซื้อที่ราคา 300 บาท (PE15) นี่
มันยังไง ยังไง อยู่นะครับ
ถ้าให้ซื้อได้ที่ราคา 140 - 160 ก็ว่าไปอย่าง
และถ้าจะได้จะต้องเสีย Margin of Safety ที่ต้องไปเลือกหุ้นราคาแพง
ก็อย่าให้มันมากหรือเสียเปรียบจนเกินไป
ประมาณว่า หุ้น 2 ตัวทำกำไรต่อหุ้นเท่ากันที่ 20 บาท
ถ้าให้ซื้อตัวแรกได้ที่ราคา 100 บาท (PE 5)
แต่เพื่อได้ Earning Growth สูงขึ้นจาก 5% เป็น 15% แล้ว
ต้องไปซื้อที่ราคา 300 บาท (PE15) นี่
มันยังไง ยังไง อยู่นะครับ
ถ้าให้ซื้อได้ที่ราคา 140 - 160 ก็ว่าไปอย่าง
What do you mean.?
-
- Verified User
- โพสต์: 1104
- ผู้ติดตาม: 0
ขอคุยเรื่อง Margin of Safety หน่อยครับ
โพสต์ที่ 10
ผมคิดว่าต้องเข้าใจบริษัทก่อน
เเล้วเเตก เป็นหุ้น 5 ประเภท เหมือน Peter Lynch
เเต่ละประเภทก็ทำ MOS จากประมาณ กำไรบริษัท
เเล้วใช้ P/E, P/BV หรือ DCF เเล้วเเต่ชนิดหุ้น
จึงได้ราคาหุ้นมา เทียบกับราคาตลาด
8)
เเล้วเเตก เป็นหุ้น 5 ประเภท เหมือน Peter Lynch
เเต่ละประเภทก็ทำ MOS จากประมาณ กำไรบริษัท
เเล้วใช้ P/E, P/BV หรือ DCF เเล้วเเต่ชนิดหุ้น
จึงได้ราคาหุ้นมา เทียบกับราคาตลาด
8)