6-7 เปอร์เซ็นต์ก็พอแล้ว
ผมเห็นด้วยกับ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รัฐมนตรีคลัง ที่ไปพูดในงาน มหกรรมการเงิน มันนี่ เอ็กซ์โป 2004 ว่า ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยจริงๆ วันนี้ก็คือ ราคาน้ำมัน ซึ่งขึ้นไปถึงบาร์เรลละ 40 เหรียญกว่า
ต่อให้เกิดกรณีเลวร้ายที่สุด เศรษฐกิจไทยก็ยังขยายตัวได้ 7 เปอร์เซ็นต์ หรือต่ำกว่า ก็ยังอยู่ในระดับที่ดีกว่าเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ที่ติดลบ ดร.สมคิดบอก
ครับ เศรษฐกิจไทยปีนี้ ถ้าขยายตัวได้ร้อยละ 6 หรือร้อยละ 7 ผมก็ว่าน่าพอใจแล้ว อย่าไปโลภมากถึงร้อยละ 8 เลยครับ ยิ่งสูงก็ยิ่งหนาว ตกลงมาจะเจ็บหนัก เหมือนอย่างจีน ที่กำลังประสบอยู่เวลานี้
ผมเคยเขียนมาหลายครั้งแล้วว่า ไม่อยากให้นายกฯทักษิณ ชินวัตร เร่งกระตุ้นการขยายตัว เศรษฐกิจมากเกินไป ให้ดูจีนเป็นตัวอย่าง ขอเพียงทำให้เศรษฐกิจทั้งระบบพอเพียง และเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนก็พอแล้ว
เดินสายกลาง ยึดแนว เศรษฐกิจพอเพียง ของในหลวงผมว่าดีที่สุด
ในวันนี้ต้องยอมรับว่า ความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจของคนไทยเริ่มลดลง เพราะกระแสข่าวที่เข้ามา ตั้งแต่เรื่องการก่อการร้ายในต่างประเทศ การก่อการร้ายในภาคใต้ อัตราดอกเบี้ยในสหรัฐฯ การเร่งชะลอเศรษฐกิจของจีน ไปจนถึงราคาน้ำมันที่ขึ้นไปสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เพราะ กลัว กลุ่มก่อการร้ายระเบิดบ่อน้ำมันในตะวันออกกลางอย่างที่ผมเขียนเล่าไปแล้ว
ความกลัว เป็นสิ่งที่ น่ากลัวที่สุด ในระบบเศรษฐกิจ
ความกลัวทำให้คนหยุดการใช้จ่าย หยุดการลงทุน สุดท้ายเศรษฐกิจก็หยุดชะงัก เมื่อเศรษฐกิจหยุดชะงัก มันก็ย้อนกลับมาทำลายเศรษฐกิจของคนที่กลัวนั่นเอง
ยิ่งโหมข่าวร้ายมากเท่าไร ความกลัวก็จะมากขึ้นเท่านั้น และความเชื่อมั่นก็จะหดหายไปในอัตราเดียวกัน
การ ปลุกความเชื่อมั่น มองในแง่บวก เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง
ในทุกวิกฤติ ย่อมมีโอกาสแฝงอยู่เปี่ยมล้น อย่างในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจไทยที่ผ่านมา 6-7 ปี ก็ได้สร้าง เศรษฐีใหม่ ขึ้นมาแทนที่ เศรษฐีเก่า มากมาย
หากเศรษฐีเก่าไม่รู้จักปรับตัวไปตามกระแสเศรษฐกิจใหม่ และวิธีคิดแบบใหม่ ยังคิดเสวยสุขอยู่กับกองมรดกและดอกผลจากเงินก้อนเก่า ในที่สุด พวกเศรษฐีเก่าก็จะกลายเป็นพวกคนจนเก่า ที่มีแต่จะจนลงไปเรื่อยๆ
ผมรู้สึกว่า คนไทยวันนี้ หวาดกลัว ต่อปัจจัยภายนอกประเทศมากเกินไป จากการบริโภคข่าวสารจากสื่อนอก จนลืมมองถึงความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจ ในประเทศไทยเราเอง ซึ่งเรารู้ดีกว่าฝรั่งต่างชาติ แต่เรากลับไปเชื่อฝรั่งต่างชาติ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงเหมือนกัน
อย่างกรณีอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่สื่อนอกโหมประโคมว่า อาจจะปรับขึ้นในต้นไตรมาส 3 ที่จะถึงนี้ ทำให้คนไทยวิตกไปตามฝรั่ง เทขายหุ้นตามฝรั่ง
แต่ถ้าหยุดคิดสักนิด ก็จะเข้าใจว่า ผลกระทบต่อไทยนั้นไม่มาก
อย่างมากก็กระทบต่อสินค้าส่งออกบางรายการที่ต้องพึ่งพาวัตถุดิบจากนอก แต่ผลดีก็ช่วยลด การนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยที่ชักจะมากเกินไป อาจช่วยทำให้ดุลการค้าดีขึ้นก็ได้
ยิ่งเรื่องดอกเบี้ยภายในประเทศ ยิ่งไม่มีผลเลย เพราะสภาพคล่องทางการเงินของเราวันนี้ ยังล้นแบงก์อยู่ 5-6 แสนล้านบาท
การชะลอความร้อนแรงของเศรษฐกิจจีนก็เหมือนกัน แทนที่จะคิดในแง่ร้าย อย่างเดียว ผมกลับคิดว่าน่าจะเป็นผลดีด้วยซ้ำ อย่างเรื่องปูน เหล็ก น้ำมัน ที่จีนดูดไปจากตลาดโลกจน ขาดตลาด ทำให้มีราคาแพงลิ่ว ถ้าจีนลดการขยายตัวลงมาบ้าง น้ำมัน เหล็ก ปูน ราคาจะได้ถูกลงมาบ้าง
ประเด็นที่ผมอยากฝากพ่อค้านักธุรกิจและคนไทยทั่วไปคิดเป็นการบ้านก็คือ
ถ้าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะโตร้อยละ 6-7 ไม่ถึงร้อยละ 8 อย่างที่นายกฯทักษิณตั้งเป้าไว้ มันมีอะไรเสียหายมากมายหรือ โตแค่นี้ในยามนี้ ต้องถือว่าน่าพอใจอย่างยิ่งแล้ว จริงไหม.
"ลม เปลี่ยนทิศ"