อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news06/03/08
โพสต์ที่ 151
ผู้ผลิตชิ้นส่วนจี้รัฐพัฒนาคน1.5แสน
โพสต์ทูเดย์ ชิ้นส่วนยานยนต์ จี้รัฐเร่งสร้างบุคลากร 1.5 แสนคน ใน 7 ปี รับอุตสาหกรรมขยายตัว
นายประสาทศิลป์ อ่อนอรรถ นายกสมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วน ยานยนต์ไทย ร่วมกับนายถาวร ชลัษเฐียร ประธานกลุ่มอุตสาห กรรมชิ้นส่วนยานยนต์ สภาอุตสาห กรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า อยู่ระหว่างการร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการผลักดันให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์สามารถแข่งขันได้ ท่ามกลางการเจริญเติบโตของ อุตสาหกรรม โดยมีมาตรการหลัก ที่ต้องเร่งลงมือประกอบไปด้วย เรื่องของการสร้างบุคลากรและเรื่องของการสร้างศูนย์ทดสอบ
ทั้งนี้ มองว่าหากเป็นไปตามแผนงานที่รัฐบาลกำหนดให้อุตสาห กรรมยานยนต์ขึ้นเป็น 1 ใน 10 ของโลกนั้น ก็ต้องเตรียมในเรื่องบุคลากรให้พร้อม โดยในปัจจุบัน มีบุคลากรในแวดวงอุตสาหกรรมยานยนต์กว่า 3 แสนคน และคาดว่าจะต้องการเพิ่มอีก 8 หมื่นคน ในปี 2553 และอีก 7 หมื่นคน ในปี 2558 ซึ่งต้องการบุคลากรในระดับวิศวกรมากถึง 10-20% ของความต้องการแรงงานทั้งหมด
ปัญหาทุกวันนี้ในด้านแรงงานก็คือการถูกแย่งชิงจากผู้ประกอบการรายใหญ่หรืออุตสาหกรรมอื่นๆ ซึ่งมองว่าหากมีแรงงานที่ดี ก็จะทำให้เกิดประสิทธิภาพในการผลิตมากกว่า ซึ่งในเรื่องนี้ คงต้องคุยกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ร่วมกัน นายประสาทศิลป์ กล่าว
สำหรับในเรื่องของศูนย์ทดสอบมาตรฐานชิ้นส่วนยานยนต์นั้น ยืนยันว่ามีความจำเป็นที่ภาครัฐจะต้องเข้ามาให้การสนับสนุน เพราะเป็นไปไม่ได้ที่อุตสาหกรรมยานยนต์จะเติบโตได้โดยที่ไม่มีสถาบันทดสอบกลาง และเป็นเรื่องตลกที่ผู้ผลิตชิ้นส่วนชาวไทยจะต้องส่งสินค้าไปทำการทดสอบที่อื่น
นายถาวร กล่าวว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกแห่งจะต้องเข้ามาร่วมมือกันผลักดันอุตสาหกรรมยานยนต์อย่างจริงจัง เพราะอุตสาหกรรมยานยนต์เองมีแนวโน้มที่จะก้าวขึ้นไปเป็นอุตสาหกรรมที่ทำรายได้เข้าประเทศมากที่สุดใน 2 ปีข้างหน้า ด้วยเป้าหมายการส่งออกสูงกว่า 1 ล้านล้านบาทต่อปี
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=224890
โพสต์ทูเดย์ ชิ้นส่วนยานยนต์ จี้รัฐเร่งสร้างบุคลากร 1.5 แสนคน ใน 7 ปี รับอุตสาหกรรมขยายตัว
นายประสาทศิลป์ อ่อนอรรถ นายกสมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วน ยานยนต์ไทย ร่วมกับนายถาวร ชลัษเฐียร ประธานกลุ่มอุตสาห กรรมชิ้นส่วนยานยนต์ สภาอุตสาห กรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า อยู่ระหว่างการร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการผลักดันให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์สามารถแข่งขันได้ ท่ามกลางการเจริญเติบโตของ อุตสาหกรรม โดยมีมาตรการหลัก ที่ต้องเร่งลงมือประกอบไปด้วย เรื่องของการสร้างบุคลากรและเรื่องของการสร้างศูนย์ทดสอบ
ทั้งนี้ มองว่าหากเป็นไปตามแผนงานที่รัฐบาลกำหนดให้อุตสาห กรรมยานยนต์ขึ้นเป็น 1 ใน 10 ของโลกนั้น ก็ต้องเตรียมในเรื่องบุคลากรให้พร้อม โดยในปัจจุบัน มีบุคลากรในแวดวงอุตสาหกรรมยานยนต์กว่า 3 แสนคน และคาดว่าจะต้องการเพิ่มอีก 8 หมื่นคน ในปี 2553 และอีก 7 หมื่นคน ในปี 2558 ซึ่งต้องการบุคลากรในระดับวิศวกรมากถึง 10-20% ของความต้องการแรงงานทั้งหมด
ปัญหาทุกวันนี้ในด้านแรงงานก็คือการถูกแย่งชิงจากผู้ประกอบการรายใหญ่หรืออุตสาหกรรมอื่นๆ ซึ่งมองว่าหากมีแรงงานที่ดี ก็จะทำให้เกิดประสิทธิภาพในการผลิตมากกว่า ซึ่งในเรื่องนี้ คงต้องคุยกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ร่วมกัน นายประสาทศิลป์ กล่าว
สำหรับในเรื่องของศูนย์ทดสอบมาตรฐานชิ้นส่วนยานยนต์นั้น ยืนยันว่ามีความจำเป็นที่ภาครัฐจะต้องเข้ามาให้การสนับสนุน เพราะเป็นไปไม่ได้ที่อุตสาหกรรมยานยนต์จะเติบโตได้โดยที่ไม่มีสถาบันทดสอบกลาง และเป็นเรื่องตลกที่ผู้ผลิตชิ้นส่วนชาวไทยจะต้องส่งสินค้าไปทำการทดสอบที่อื่น
นายถาวร กล่าวว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกแห่งจะต้องเข้ามาร่วมมือกันผลักดันอุตสาหกรรมยานยนต์อย่างจริงจัง เพราะอุตสาหกรรมยานยนต์เองมีแนวโน้มที่จะก้าวขึ้นไปเป็นอุตสาหกรรมที่ทำรายได้เข้าประเทศมากที่สุดใน 2 ปีข้างหน้า ด้วยเป้าหมายการส่งออกสูงกว่า 1 ล้านล้านบาทต่อปี
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=224890
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news12/03/08
โพสต์ที่ 152
ยอดขายรถ2เดือนโต15%
โพสต์ทูเดย์ ยอดขายรถยนต์เดือน ก.พ. ยังสดใส โต 8.36% ส่วนยอดขาย 2 เดือน โต 15.09%
รายงานข่าวจากบริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ แจ้งยอดจำหน่ายรถยนต์รวมเดือน ก.พ. ว่า ยอดจำหน่ายรถยนต์รวมทุกยี่ห้อในเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา มียอดจำหน่ายทั้งสิ้น 49,227 คัน เพิ่มขึ้น 8.36% เมื่อเทียบกับเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา โดยตลาดรถขับเคลื่อน 4 ล้อ มีอัตราเติบโตมากที่สุดคือ 16.57% รองลงมาเป็นตลาดรถยนต์นั่ง 13.51% โดยโตโยต้ายังครองอันดับ 1 สำหรับยอดจำหน่ายรถยนต์รวม ด้วยจำนวน 20,861 คัน หรือมีส่วนแบ่งตลาด 46.38%
ขณะที่อีซูซุมียอดจำหน่ายรองลงมาคือ 10,941 คัน มีส่วนแบ่งตลาด 22.23% และฮอนด้า 6,704 คัน มีส่วนแบ่งตลาด 13.6%
สำหรับยอดจำหน่ายรถยนต์นั่งในเดือน ก.พ. มียอดจำหน่าย 16,792 คัน เพิ่มขึ้น 13.51% เมื่อเทียบกับเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา โดยโตโยต้ามียอดจำหน่ายสูงสุด 8,863 คัน หรือมีส่วนแบ่งตลาด 52.78% โดยมียอดจำหน่ายเพิ่มขึ้น 12% ขณะที่ฮอนด้าจำหน่ายเป็นอันดับ 2 ด้วยยอดจำหน่าย 5,758 คัน มีอัตราลดลง 6.24% ขณะที่นิสสันมียอดจำหน่ายเพียง 465 คัน ลดลงมากถึง 36.21%
การที่ตลาดรถยนต์นั่งมีอัตราการเติบโตมากถึง 13.51% นั้น ส่วนหนึ่งมาจากการเปิดตัวรถยนต์โตโยต้า อัลติส ใหม่ ซึ่งมีส่วนผลักดันยอดจำหน่ายทั้งตลาดรถยนต์นั่งโดยรวมเติบโตขึ้น และทำให้ยอดจำหน่ายของคู่แข่งหลัก ทั้งฮอนด้าและนิสสัน ได้รับผลกระทบ เพราะทั้งสองยี่ห้อไม่มีโมเดลใหม่
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยในเรื่องของการปรับราคาลดลงของรถยนต์หลายยี่ห้อที่สามารถใช้เชื้อเพลิงแก๊สโซฮอล์ อี 20
สำหรับยอดจำหน่ายรถยนต์ทุกประเภทรวม 2 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-ก.พ.) เท่ากับ 94,657 คัน เพิ่มขึ้น 15.09% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยโตโยต้ามียอดจำหน่ายสูงสุดคือ 10,115 คัน มีส่วนแบ่งตลาด 38.03% อีซูซุมียอดจำหน่ายอันดับ 2 คือ 9,863 คัน หรือ 37%
ยอดจำหน่ายตลาดรถยนต์นั่งส่วนบุคคลใน 2 เดือนแรก มียอดจำหน่ายรวมทั้งสิ้น 31,586 คัน เพิ่มขึ้น 38.99% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยโตโยต้าจำหน่ายได้เป็นอันดับ 1 ด้วยยอดจำหน่าย 15,102 คัน เพิ่มขึ้น 37.57% รองลงมาเป็นฮอนด้า ด้วยยอดจำหน่าย 11,899 คัน เพิ่มขึ้น 53.08% เชฟโรเลต 1,213 คัน เพิ่มขึ้น 4.66% นิสสัน 1,194 คัน เพิ่มขึ้น 82.5%
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=226035
โพสต์ทูเดย์ ยอดขายรถยนต์เดือน ก.พ. ยังสดใส โต 8.36% ส่วนยอดขาย 2 เดือน โต 15.09%
รายงานข่าวจากบริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ แจ้งยอดจำหน่ายรถยนต์รวมเดือน ก.พ. ว่า ยอดจำหน่ายรถยนต์รวมทุกยี่ห้อในเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา มียอดจำหน่ายทั้งสิ้น 49,227 คัน เพิ่มขึ้น 8.36% เมื่อเทียบกับเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา โดยตลาดรถขับเคลื่อน 4 ล้อ มีอัตราเติบโตมากที่สุดคือ 16.57% รองลงมาเป็นตลาดรถยนต์นั่ง 13.51% โดยโตโยต้ายังครองอันดับ 1 สำหรับยอดจำหน่ายรถยนต์รวม ด้วยจำนวน 20,861 คัน หรือมีส่วนแบ่งตลาด 46.38%
ขณะที่อีซูซุมียอดจำหน่ายรองลงมาคือ 10,941 คัน มีส่วนแบ่งตลาด 22.23% และฮอนด้า 6,704 คัน มีส่วนแบ่งตลาด 13.6%
สำหรับยอดจำหน่ายรถยนต์นั่งในเดือน ก.พ. มียอดจำหน่าย 16,792 คัน เพิ่มขึ้น 13.51% เมื่อเทียบกับเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา โดยโตโยต้ามียอดจำหน่ายสูงสุด 8,863 คัน หรือมีส่วนแบ่งตลาด 52.78% โดยมียอดจำหน่ายเพิ่มขึ้น 12% ขณะที่ฮอนด้าจำหน่ายเป็นอันดับ 2 ด้วยยอดจำหน่าย 5,758 คัน มีอัตราลดลง 6.24% ขณะที่นิสสันมียอดจำหน่ายเพียง 465 คัน ลดลงมากถึง 36.21%
การที่ตลาดรถยนต์นั่งมีอัตราการเติบโตมากถึง 13.51% นั้น ส่วนหนึ่งมาจากการเปิดตัวรถยนต์โตโยต้า อัลติส ใหม่ ซึ่งมีส่วนผลักดันยอดจำหน่ายทั้งตลาดรถยนต์นั่งโดยรวมเติบโตขึ้น และทำให้ยอดจำหน่ายของคู่แข่งหลัก ทั้งฮอนด้าและนิสสัน ได้รับผลกระทบ เพราะทั้งสองยี่ห้อไม่มีโมเดลใหม่
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยในเรื่องของการปรับราคาลดลงของรถยนต์หลายยี่ห้อที่สามารถใช้เชื้อเพลิงแก๊สโซฮอล์ อี 20
สำหรับยอดจำหน่ายรถยนต์ทุกประเภทรวม 2 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-ก.พ.) เท่ากับ 94,657 คัน เพิ่มขึ้น 15.09% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยโตโยต้ามียอดจำหน่ายสูงสุดคือ 10,115 คัน มีส่วนแบ่งตลาด 38.03% อีซูซุมียอดจำหน่ายอันดับ 2 คือ 9,863 คัน หรือ 37%
ยอดจำหน่ายตลาดรถยนต์นั่งส่วนบุคคลใน 2 เดือนแรก มียอดจำหน่ายรวมทั้งสิ้น 31,586 คัน เพิ่มขึ้น 38.99% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยโตโยต้าจำหน่ายได้เป็นอันดับ 1 ด้วยยอดจำหน่าย 15,102 คัน เพิ่มขึ้น 37.57% รองลงมาเป็นฮอนด้า ด้วยยอดจำหน่าย 11,899 คัน เพิ่มขึ้น 53.08% เชฟโรเลต 1,213 คัน เพิ่มขึ้น 4.66% นิสสัน 1,194 คัน เพิ่มขึ้น 82.5%
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=226035
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news21/03/08
โพสต์ที่ 153
ยนตรกิจขายรถ3.49แสน
โพสต์ทูเดย์ คนเงินน้อยเฮ ยนตรกิจ เปิดตัวรถนาซ่า จาก มาเลย์ เคาะราคา 3.49 แสนบาท ผ่อนเดือนละ 5,000 บาท
นายสาธิต เตชะลาภอำนวย ผู้บริหารแบรนด์รถยนต์นาซ่า บริษัท ยนตรกิจมอเตอร์เซลส์ กล่าวว่า ได้นำเข้ารถยนต์ยี่ห้อนาซ่า รุ่นฟอร์ซ่า จากประเทศมาเลเซีย เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย โดยอาศัยผลประโยชน์จากนโยบายเขตการค้าเสรีอาเซียนที่เสียภาษีนำเข้าเพียง 5% โดยบริษัทได้ตั้งราคาจำหน่ายไว้เพียงคันละ 3.49 แสนบาทเท่านั้น
ทั้งนี้ กลุ่มเป้าหมายของรถยนต์ยี่ห้อดังกล่าว จะเป็นคนรุ่นใหม่ นักศึกษา และผู้ที่เริ่มทำงาน ที่มีรายได้น้อยกว่า 2 หมื่นบาทต่อเดือน โดยตั้งเป้าที่จะทำแคมเปญการผ่อนชำระต่อเดือนที่ต่ำกว่า 5,000 บาท โดยตั้งเป้ายอดจำหน่ายในปีนี้ไว้ไม่น้อยกว่า 1,000 คัน
ทั้งนี้ รถรุ่นดังกล่าวจะมีขนาดเครื่องยนต์เพียง 1.1 ลิตร 68 แรงม้า เกียร์ธรรมดา ซึ่งทำให้คาดว่าจะทำยอดจำหน่ายได้ไม่มากนัก แม้จะเป็นรถยนต์ที่ราคาจำหน่ายถูกสุดในประเทศไทยก็ตาม
สำหรับโชว์รูมและศูนย์บริการ จะใช้ศูนย์บริการร่วมกับรถยนต์เกีย ซึ่งมีเครือข่ายในทุกภูมิภาคของประเทศไทย โดยรถยนต์ที่จำหน่ายในประเทศไทย จะรับประกัน 3 ปีหรือ 1 แสนกิโลเมตร ตามมาตรฐานของยนตรกิจ ซึ่งเป็นการรับประกันที่เพิ่มขึ้นมาจากการรับประกัน 2 ปีหรือ 5 หมื่นกิโลเมตร ที่ทางบริษัทแม่ให้การรับรองมา
การทำตลาดฟอร์ซ่าของเรานั้น สืบเนื่องมาจากเราได้ติดต่อในเรื่องของการนำเข้าเกีย พิคานโต ซึ่งผลิตที่โรงงานแห่งนี้อยู่แล้ว หลังจากได้ทำการทดสอบอย่างต่อเนื่อง ก็พบว่ามีความเหมาะสมที่จะทำตลาดในประเทศไทย จึงตัดสินใจทำตลาดอย่างจริงจัง นายสาธิต กล่าว
อย่างไรก็ตาม อยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อนำรถยนต์นาซ่า รุ่นอื่นๆ เข้ามาตลาด ไม่ว่าจะเป็นฟอร์ซ่า ที่ใช้เกียร์อัตโนมัติ หรือรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ขนาด 1.4-1.5 ลิตร ซึ่งแม้จะเป็นตลาดขนาดใหญ่ แต่ก็มีการแข่งขันที่รุนแรง ซึ่งหากในอนาคตมีการขยายตัวเพิ่มมากขึ้น ก็จำเป็นต้องมีการสร้างเครือข่ายการขายและศูนย์บริการมารองรับการทำตลาดนาซ่าอย่างจริงจัง
นายสาธิต กล่าวว่า แม้โรงงานของนาซ่า จะทำการผลิตรถยนต์เกียก็ตาม แต่ว่าการนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย จะเลือกตัวสินค้าอย่างชัดเจน โดยเกียก็จะนำเข้าในชื่อของเกียเท่านั้น ขณะที่รถที่นำมาจำหน่ายในแบรนด์นาซ่า ก็จะต้องเลือกสินค้าตัวอื่นๆ มาแทน ซึ่งเชื่อว่ารถนาซ่าจะได้รับความนิยมจากลูกค้าชาวไทยอย่างแน่นอนในอนาคต
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=227892
โพสต์ทูเดย์ คนเงินน้อยเฮ ยนตรกิจ เปิดตัวรถนาซ่า จาก มาเลย์ เคาะราคา 3.49 แสนบาท ผ่อนเดือนละ 5,000 บาท
นายสาธิต เตชะลาภอำนวย ผู้บริหารแบรนด์รถยนต์นาซ่า บริษัท ยนตรกิจมอเตอร์เซลส์ กล่าวว่า ได้นำเข้ารถยนต์ยี่ห้อนาซ่า รุ่นฟอร์ซ่า จากประเทศมาเลเซีย เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย โดยอาศัยผลประโยชน์จากนโยบายเขตการค้าเสรีอาเซียนที่เสียภาษีนำเข้าเพียง 5% โดยบริษัทได้ตั้งราคาจำหน่ายไว้เพียงคันละ 3.49 แสนบาทเท่านั้น
ทั้งนี้ กลุ่มเป้าหมายของรถยนต์ยี่ห้อดังกล่าว จะเป็นคนรุ่นใหม่ นักศึกษา และผู้ที่เริ่มทำงาน ที่มีรายได้น้อยกว่า 2 หมื่นบาทต่อเดือน โดยตั้งเป้าที่จะทำแคมเปญการผ่อนชำระต่อเดือนที่ต่ำกว่า 5,000 บาท โดยตั้งเป้ายอดจำหน่ายในปีนี้ไว้ไม่น้อยกว่า 1,000 คัน
ทั้งนี้ รถรุ่นดังกล่าวจะมีขนาดเครื่องยนต์เพียง 1.1 ลิตร 68 แรงม้า เกียร์ธรรมดา ซึ่งทำให้คาดว่าจะทำยอดจำหน่ายได้ไม่มากนัก แม้จะเป็นรถยนต์ที่ราคาจำหน่ายถูกสุดในประเทศไทยก็ตาม
สำหรับโชว์รูมและศูนย์บริการ จะใช้ศูนย์บริการร่วมกับรถยนต์เกีย ซึ่งมีเครือข่ายในทุกภูมิภาคของประเทศไทย โดยรถยนต์ที่จำหน่ายในประเทศไทย จะรับประกัน 3 ปีหรือ 1 แสนกิโลเมตร ตามมาตรฐานของยนตรกิจ ซึ่งเป็นการรับประกันที่เพิ่มขึ้นมาจากการรับประกัน 2 ปีหรือ 5 หมื่นกิโลเมตร ที่ทางบริษัทแม่ให้การรับรองมา
การทำตลาดฟอร์ซ่าของเรานั้น สืบเนื่องมาจากเราได้ติดต่อในเรื่องของการนำเข้าเกีย พิคานโต ซึ่งผลิตที่โรงงานแห่งนี้อยู่แล้ว หลังจากได้ทำการทดสอบอย่างต่อเนื่อง ก็พบว่ามีความเหมาะสมที่จะทำตลาดในประเทศไทย จึงตัดสินใจทำตลาดอย่างจริงจัง นายสาธิต กล่าว
อย่างไรก็ตาม อยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อนำรถยนต์นาซ่า รุ่นอื่นๆ เข้ามาตลาด ไม่ว่าจะเป็นฟอร์ซ่า ที่ใช้เกียร์อัตโนมัติ หรือรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ขนาด 1.4-1.5 ลิตร ซึ่งแม้จะเป็นตลาดขนาดใหญ่ แต่ก็มีการแข่งขันที่รุนแรง ซึ่งหากในอนาคตมีการขยายตัวเพิ่มมากขึ้น ก็จำเป็นต้องมีการสร้างเครือข่ายการขายและศูนย์บริการมารองรับการทำตลาดนาซ่าอย่างจริงจัง
นายสาธิต กล่าวว่า แม้โรงงานของนาซ่า จะทำการผลิตรถยนต์เกียก็ตาม แต่ว่าการนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย จะเลือกตัวสินค้าอย่างชัดเจน โดยเกียก็จะนำเข้าในชื่อของเกียเท่านั้น ขณะที่รถที่นำมาจำหน่ายในแบรนด์นาซ่า ก็จะต้องเลือกสินค้าตัวอื่นๆ มาแทน ซึ่งเชื่อว่ารถนาซ่าจะได้รับความนิยมจากลูกค้าชาวไทยอย่างแน่นอนในอนาคต
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=227892
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news28/03/08
โพสต์ที่ 154
ค่ายรถเบนเข็มลุยซีเอ็นจี
โพสต์ทูเดย์ ค่ายรถยนต์เดินหน้าพลังงานทางเลือก มิตซูบิชิ-ทาทา เตรียมเปิดตัวกระบะซีเอ็นจี ตามเชฟโรเลต
รายงานข่าวแจ้งว่า ในงานแสดงรถยนต์บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 29 ที่เปิดอย่างเป็นทางการตั้งแต่ วันนี้-6 เม.ย. 2551 ค่ายรถหลายรายก็ได้นำรถรุ่นใหม่ๆ เข้ามาแสดง โดยแต่ละค่ายต่างมีแผนงานเดินหน้าโครงการรถยนต์ที่สามารถใช้พลังงานทดแทนทั้งสิ้น
นายระวิ คานท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทาทา มอเตอร์ส ประเทศอินเดีย กล่าวว่า อยู่ระหว่างการศึกษาการทำตลาดรถปิกอัพซีนอน ที่ใช้เครื่องยนต์ซีเอ็นจี ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวได้ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และเชื่อว่าจะสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าในประเทศได้
เช่นเดียวกัน นายมิจิโร่ อิมาอิ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า อยู่ระหว่างการศึกษาการประกอบมิตซูบิชิ แลนเซอร์ ซีเอ็นจี เช่นกัน โดยจะติดตั้งจากโรงงาน ซึ่งคาดว่าจะติดตั้งบนรถยนต์มิตซูบิชิ แลนเซอร์ เครื่องยนต์ 1.6 ลิตร ซึ่งคาดว่าจะช่วยผลักดันยอดจำหน่ายของแลนเซอร์ให้เพิ่มขึ้นได้ จากเดิมที่มียอดราว 10%
นายสตีเฟน คาร์ไลส์ ประธานกรรมการ บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส เซาท์อีสต์เอเชีย โอเปอเรชั่นส์ และบริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ได้เปิดตัวเชฟโรเลต โคโลราโด ซีเอ็นจี เครื่องยนต์ 2.5 ลิตร มีให้เลือกทั้งแบบปิกอัพตอนเดียว และตอนครึ่ง ราคา 6.347.39 แสนบาท และโคโลราโด รุ่นพื้นกระบะท้ายเรียบ ราคา 5.04 แสนบาท สำหรับลูกค้าที่เน้นบรรทุกเป็นหลัก และในช่วงปลายปีเตรียมเปิดตัวรถยนต์นั่งที่สามารถรองรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ อี20
นายเทียรี่ เวียดิว กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สยามนิสสัน ออโตโมบิล กล่าวว่า แม้ตลาดรถยนต์ในช่วงต้นปีจะยังเติบโตดีอยู่ แต่เชื่อว่ามาจากปัจจัยในเรื่องของน้ำมัน อี20 ที่ถูกกว่าเบนซิน 95 ถึงลิตรละ 6 บาท และการอั้นกำลังซื้อของผู้บริโภคเป็นหลัก แต่เชื่อว่าไม่น่าจะรักษาการเติบโตดังกล่าวได้ต่อเนื่องทั้งปี เพราะกำลังซื้อของผู้บริโภคยังอยู่ในระดับต่ำ แม้จะมีการเลือกตั้งมาแล้ว ก็ไม่ได้สร้างความเชื่อมั่นให้เท่าที่ควร รวมไปถึงโครงการต่างๆ ที่รัฐบาลประกาศลงทุนเป็นโครงการระยะยาวทั้งสิ้น
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=229158
โพสต์ทูเดย์ ค่ายรถยนต์เดินหน้าพลังงานทางเลือก มิตซูบิชิ-ทาทา เตรียมเปิดตัวกระบะซีเอ็นจี ตามเชฟโรเลต
รายงานข่าวแจ้งว่า ในงานแสดงรถยนต์บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 29 ที่เปิดอย่างเป็นทางการตั้งแต่ วันนี้-6 เม.ย. 2551 ค่ายรถหลายรายก็ได้นำรถรุ่นใหม่ๆ เข้ามาแสดง โดยแต่ละค่ายต่างมีแผนงานเดินหน้าโครงการรถยนต์ที่สามารถใช้พลังงานทดแทนทั้งสิ้น
นายระวิ คานท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทาทา มอเตอร์ส ประเทศอินเดีย กล่าวว่า อยู่ระหว่างการศึกษาการทำตลาดรถปิกอัพซีนอน ที่ใช้เครื่องยนต์ซีเอ็นจี ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวได้ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และเชื่อว่าจะสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าในประเทศได้
เช่นเดียวกัน นายมิจิโร่ อิมาอิ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า อยู่ระหว่างการศึกษาการประกอบมิตซูบิชิ แลนเซอร์ ซีเอ็นจี เช่นกัน โดยจะติดตั้งจากโรงงาน ซึ่งคาดว่าจะติดตั้งบนรถยนต์มิตซูบิชิ แลนเซอร์ เครื่องยนต์ 1.6 ลิตร ซึ่งคาดว่าจะช่วยผลักดันยอดจำหน่ายของแลนเซอร์ให้เพิ่มขึ้นได้ จากเดิมที่มียอดราว 10%
นายสตีเฟน คาร์ไลส์ ประธานกรรมการ บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส เซาท์อีสต์เอเชีย โอเปอเรชั่นส์ และบริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ได้เปิดตัวเชฟโรเลต โคโลราโด ซีเอ็นจี เครื่องยนต์ 2.5 ลิตร มีให้เลือกทั้งแบบปิกอัพตอนเดียว และตอนครึ่ง ราคา 6.347.39 แสนบาท และโคโลราโด รุ่นพื้นกระบะท้ายเรียบ ราคา 5.04 แสนบาท สำหรับลูกค้าที่เน้นบรรทุกเป็นหลัก และในช่วงปลายปีเตรียมเปิดตัวรถยนต์นั่งที่สามารถรองรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ อี20
นายเทียรี่ เวียดิว กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สยามนิสสัน ออโตโมบิล กล่าวว่า แม้ตลาดรถยนต์ในช่วงต้นปีจะยังเติบโตดีอยู่ แต่เชื่อว่ามาจากปัจจัยในเรื่องของน้ำมัน อี20 ที่ถูกกว่าเบนซิน 95 ถึงลิตรละ 6 บาท และการอั้นกำลังซื้อของผู้บริโภคเป็นหลัก แต่เชื่อว่าไม่น่าจะรักษาการเติบโตดังกล่าวได้ต่อเนื่องทั้งปี เพราะกำลังซื้อของผู้บริโภคยังอยู่ในระดับต่ำ แม้จะมีการเลือกตั้งมาแล้ว ก็ไม่ได้สร้างความเชื่อมั่นให้เท่าที่ควร รวมไปถึงโครงการต่างๆ ที่รัฐบาลประกาศลงทุนเป็นโครงการระยะยาวทั้งสิ้น
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=229158
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news07/04/08
โพสต์ที่ 155
มอเตอร์โชว์ปิด2หมื่นล.ปีหน้าครบ30ปี
โพสต์ทูเดย์ มอเตอร์โชว์เตรียม ฉลองครบรอบ 3 ทศวรรษ ในปี 2552 เพิ่มเวลาจัดงานอีก 2 วัน ส่วนปีนี้เข้า เป้า 1.5 หมื่นคัน หรือ 2 หมื่นล้านบาท
นายปราจิน เอี่ยมลำเนา ประธานจัดงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ กล่าวว่า การจัดงานในปีหน้า บริษัทมีแผนที่จะทุ่มทุนเพิ่มเติม เพื่อให้การจัดงานออกมาอย่างยิ่งใหญ่กว่าเดิม พร้อมเพิ่มระยะเวลาในการจัดงานสำหรับประชาชนอีก 2 วัน จากเดิม 10 วัน เป็น 12 วัน เพื่อขยายระยะเวลาในการเปิดให้ประชาชนเดินเที่ยวชมงานได้ยาวขึ้น
ทั้งนี้ การขยายวันและเพิ่มงบ ประมาณครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่ประสบความสำเร็จจากการจัดงานมอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 29 ในปีนี้ บริษัทได้เตรียมแผนงานเพื่อร่วมฉลองครบรอบ 30 ปี ของการ จัดงานในปีหน้า ซึ่งจะเป็นการจัดงานครั้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของบริษัท
นายปราจินกล่าวถึงยอดจำหน่ายรถยนต์ในงานครั้งที่ 29 ว่า สามารถ ทำได้ตามเป้าหมายที่มีการคาดการณ์ที่ 1.5 หมื่นคัน ทำให้มีเม็ดเงินสะพัดในงานสูงถึงกว่า 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งยอดขายที่ทำได้ตามเป้าเป็นผลมาจากการที่ค่ายรถต่างๆ วางแผนที่จะเปิดตัวรถใหม่ในงาน และเป็นการต่อยอดมาจากตัวเลขยอดจำหน่ายที่เพิ่มขึ้นในช่วงต้นปีอยู่แล้ว
นอกจากนี้ ยังมองว่าการจัดงานมอเตอร์โชว์ยังช่วยกระตุ้นอารมณ์ของผู้ซื้อรถให้เพิ่มมากขึ้น โดยจะเห็นได้ จากการที่ค่ายรถออกแคมเปญกระตุ้นการขายมาเป็นพิเศษในงาน ทั้งเรื่อง ของเงินดาวน์และดอกเบี้ย รวมถึงมี โปรโมชันต่างๆ ที่ทำให้คนเข้ามาซื้อรถกันมากขึ้น และทำให้ยอดจำหน่ายเป็นไปตามที่วางเอาไว้ โดยมีจำนวนผู้เข้า ชมงานที่สามารถเก็บสถิติได้สูงกว่า 1.6 ล้านคน
ค่ายรถเอง นอกจากสามารถเก็บยอดขายรถภายในงานแล้ว ยังสามารถต่อยอดจากผู้ที่เข้ามาชมงานได้อีกด้วย ซึ่งงานมอเตอร์โชว์นับเป็นโอกาสที่ดีในการขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น เพราะ ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ได้อย่างใกล้ชิด นายปราจิน กล่าว
สำหรับภาพรวมของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในช่วงที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่าได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบทางด้านเศรษฐกิจและสังคมอย่างต่อเนื่อง ทำให้อารมณ์ของผู้บริโภคในการซื้อรถยนต์ลดลง แต่ด้วยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ทำให้สามารถผ่านสถานการณ์ต่างๆ มาได้ด้วยดี
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=231029
โพสต์ทูเดย์ มอเตอร์โชว์เตรียม ฉลองครบรอบ 3 ทศวรรษ ในปี 2552 เพิ่มเวลาจัดงานอีก 2 วัน ส่วนปีนี้เข้า เป้า 1.5 หมื่นคัน หรือ 2 หมื่นล้านบาท
นายปราจิน เอี่ยมลำเนา ประธานจัดงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ กล่าวว่า การจัดงานในปีหน้า บริษัทมีแผนที่จะทุ่มทุนเพิ่มเติม เพื่อให้การจัดงานออกมาอย่างยิ่งใหญ่กว่าเดิม พร้อมเพิ่มระยะเวลาในการจัดงานสำหรับประชาชนอีก 2 วัน จากเดิม 10 วัน เป็น 12 วัน เพื่อขยายระยะเวลาในการเปิดให้ประชาชนเดินเที่ยวชมงานได้ยาวขึ้น
ทั้งนี้ การขยายวันและเพิ่มงบ ประมาณครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่ประสบความสำเร็จจากการจัดงานมอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 29 ในปีนี้ บริษัทได้เตรียมแผนงานเพื่อร่วมฉลองครบรอบ 30 ปี ของการ จัดงานในปีหน้า ซึ่งจะเป็นการจัดงานครั้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของบริษัท
นายปราจินกล่าวถึงยอดจำหน่ายรถยนต์ในงานครั้งที่ 29 ว่า สามารถ ทำได้ตามเป้าหมายที่มีการคาดการณ์ที่ 1.5 หมื่นคัน ทำให้มีเม็ดเงินสะพัดในงานสูงถึงกว่า 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งยอดขายที่ทำได้ตามเป้าเป็นผลมาจากการที่ค่ายรถต่างๆ วางแผนที่จะเปิดตัวรถใหม่ในงาน และเป็นการต่อยอดมาจากตัวเลขยอดจำหน่ายที่เพิ่มขึ้นในช่วงต้นปีอยู่แล้ว
นอกจากนี้ ยังมองว่าการจัดงานมอเตอร์โชว์ยังช่วยกระตุ้นอารมณ์ของผู้ซื้อรถให้เพิ่มมากขึ้น โดยจะเห็นได้ จากการที่ค่ายรถออกแคมเปญกระตุ้นการขายมาเป็นพิเศษในงาน ทั้งเรื่อง ของเงินดาวน์และดอกเบี้ย รวมถึงมี โปรโมชันต่างๆ ที่ทำให้คนเข้ามาซื้อรถกันมากขึ้น และทำให้ยอดจำหน่ายเป็นไปตามที่วางเอาไว้ โดยมีจำนวนผู้เข้า ชมงานที่สามารถเก็บสถิติได้สูงกว่า 1.6 ล้านคน
ค่ายรถเอง นอกจากสามารถเก็บยอดขายรถภายในงานแล้ว ยังสามารถต่อยอดจากผู้ที่เข้ามาชมงานได้อีกด้วย ซึ่งงานมอเตอร์โชว์นับเป็นโอกาสที่ดีในการขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น เพราะ ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ได้อย่างใกล้ชิด นายปราจิน กล่าว
สำหรับภาพรวมของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในช่วงที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่าได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบทางด้านเศรษฐกิจและสังคมอย่างต่อเนื่อง ทำให้อารมณ์ของผู้บริโภคในการซื้อรถยนต์ลดลง แต่ด้วยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ทำให้สามารถผ่านสถานการณ์ต่างๆ มาได้ด้วยดี
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=231029
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news07/04/08
โพสต์ที่ 156
พิษ'เหล็ก-พลาสติก'แพงดันต้นทุนเพิ่ม ค่ายรถยนต์จ่อปรับราคาขึ้นคันละหมื่น
ผู้ผลิตรถยนต์โวยพิษราคาเหล็กและพลาสติกปรับตัว ดันต้นทุนผลิตรถเพิ่มคันละหมื่นบาทแล้ว ส่ง'เจซีซี'เจรจาต่อรองกับผู้ผลิตเหล็ก ชี้ถ้าไม่สำเร็จต้องปรับราคาจำหน่ายเพิ่ม 'อีซูซุ'แย้มอาจใช้ราคาใหม่ช่วงกลางปีนี้
นายโมริซาคุ ชกกิ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด เปิดเผยว่า ขณะนี้มีปัจจัยที่ส่งผลต่อต้นทุนการผลิตรถยนต์ โดยเฉพาะราคาวัตถุดิบหลายชนิดที่ปรับตัวขึ้นทั้งพลาสติกและเหล็ก โดยเฉพาะเหล็กที่มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องประมาณ 20% และมีแนวโน้มว่าจะมีการปรับขึ้นอีก จากสถานการณ์ดังกล่าวคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ โดยผู้ผลิตรถยนต์หลายรายต่างมีความพยายามในการต่อรองกับบริษัทผู้ผลิตเหล็ก รวมทั้งให้ทางสภาหอการค้าญี่ปุ่น (เจซีซี) เจรจาต่อรองกับบริษัทผู้ผลิตเหล็ก และหากการเจรจาไม่ประสบผลสำเร็จอาจจำเป็นต้องมีการปรับราคาจำหน่ายรถยนต์ขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มของรถปิกอัพที่ปัจจุบันต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นประมาณ 10,000 บาทต่อคันแล้ว
"ตอนนี้เจซีซีจะเป็นผู้ทำหน้าที่ในการเจรจาและรวมรวบข้อมูล เพื่อเจรจากับภาครัฐถึงปัญหาต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น เรามองว่าปัจจัยลบดังกล่าวจะเริ่มส่งผลกระทบที่ชัดเจนตั้งแต่เดือนเมษายนนี้ และน่าจะมีผลกับราคารถยนต์ในช่วงกลางปีนี้อย่างแน่นอน"
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบดังกล่าวจะไม่ได้ส่งผลกระทบเฉพาะอีซูซุเท่านั้น แต่บริษัทผู้ผลิตรถยนต์อื่นๆ อยู่ระหว่างการพยายามควบคุมราคาของรถยนต์ไม่ให้สูงขึ้น ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าอาจจะต้องทยอยปรับขึ้นราคาก็เป็นได้
ในส่วนของอีซูซุนั้น นอกจากจะผลิตรถปิกอัพขนาด 1 ตันแล้ว บริษัทยังมีการผลิตรถบรรทุกขนาดใหญ่ด้วย ซึ่งบริษัทมีแผนงานจะส่งรถบรรทุกเครื่องยนต์มาตรฐานยูโร 3 ออกสูงตลาดในเร็วๆ นี้ ซึ่งจากปัจจัยด้านต้นทุนที่สูงขึ้นบริษัทอาจมีความจำเป็นต้องปรับขึ้นราคาจำหน่ายด้วย
ส่วนสถานการณ์ของตลาดรถยนต์ในปีนี้นั้น คาดว่าจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นเนื่องจากปัจจัยบวกหลายประการ รวมทั้งในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมานั้นยอดจำหน่ายรถยนต์มีอัตราเติบโตเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงระยะเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา
ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการมีรัฐบาลใหม่ มีโครงการลงทุนจากภาครัฐหลายโครงการ ซึ่งหากได้รับการดำเนินงานคาดว่าจะช่วยสร้างรายได้ให้กับภาคประชาชน ทำให้เกิดเงินหมุนเวียนไปยังท้องถิ่นต่างๆ ทั่วประเทศ ประกอบกับสินค้าในภาคเกษตรกรรมมีราคาจำหน่ายที่ดีขึ้นด้วย
ทั้งนี้ ในส่วนของผู้ประกอบการยังมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด รวมทั้งวางแผนการดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบ สำหรับบริษัทยังเชื่อว่าปีนี้ยอดจำหน่ายรถยนต์โดยรวมและยอดจำหน่ายของอีซูซุจะมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
http://matichon.co.th/prachachat/news_d ... 49&catid=1
ผู้ผลิตรถยนต์โวยพิษราคาเหล็กและพลาสติกปรับตัว ดันต้นทุนผลิตรถเพิ่มคันละหมื่นบาทแล้ว ส่ง'เจซีซี'เจรจาต่อรองกับผู้ผลิตเหล็ก ชี้ถ้าไม่สำเร็จต้องปรับราคาจำหน่ายเพิ่ม 'อีซูซุ'แย้มอาจใช้ราคาใหม่ช่วงกลางปีนี้
นายโมริซาคุ ชกกิ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด เปิดเผยว่า ขณะนี้มีปัจจัยที่ส่งผลต่อต้นทุนการผลิตรถยนต์ โดยเฉพาะราคาวัตถุดิบหลายชนิดที่ปรับตัวขึ้นทั้งพลาสติกและเหล็ก โดยเฉพาะเหล็กที่มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องประมาณ 20% และมีแนวโน้มว่าจะมีการปรับขึ้นอีก จากสถานการณ์ดังกล่าวคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ โดยผู้ผลิตรถยนต์หลายรายต่างมีความพยายามในการต่อรองกับบริษัทผู้ผลิตเหล็ก รวมทั้งให้ทางสภาหอการค้าญี่ปุ่น (เจซีซี) เจรจาต่อรองกับบริษัทผู้ผลิตเหล็ก และหากการเจรจาไม่ประสบผลสำเร็จอาจจำเป็นต้องมีการปรับราคาจำหน่ายรถยนต์ขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มของรถปิกอัพที่ปัจจุบันต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นประมาณ 10,000 บาทต่อคันแล้ว
"ตอนนี้เจซีซีจะเป็นผู้ทำหน้าที่ในการเจรจาและรวมรวบข้อมูล เพื่อเจรจากับภาครัฐถึงปัญหาต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น เรามองว่าปัจจัยลบดังกล่าวจะเริ่มส่งผลกระทบที่ชัดเจนตั้งแต่เดือนเมษายนนี้ และน่าจะมีผลกับราคารถยนต์ในช่วงกลางปีนี้อย่างแน่นอน"
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบดังกล่าวจะไม่ได้ส่งผลกระทบเฉพาะอีซูซุเท่านั้น แต่บริษัทผู้ผลิตรถยนต์อื่นๆ อยู่ระหว่างการพยายามควบคุมราคาของรถยนต์ไม่ให้สูงขึ้น ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าอาจจะต้องทยอยปรับขึ้นราคาก็เป็นได้
ในส่วนของอีซูซุนั้น นอกจากจะผลิตรถปิกอัพขนาด 1 ตันแล้ว บริษัทยังมีการผลิตรถบรรทุกขนาดใหญ่ด้วย ซึ่งบริษัทมีแผนงานจะส่งรถบรรทุกเครื่องยนต์มาตรฐานยูโร 3 ออกสูงตลาดในเร็วๆ นี้ ซึ่งจากปัจจัยด้านต้นทุนที่สูงขึ้นบริษัทอาจมีความจำเป็นต้องปรับขึ้นราคาจำหน่ายด้วย
ส่วนสถานการณ์ของตลาดรถยนต์ในปีนี้นั้น คาดว่าจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นเนื่องจากปัจจัยบวกหลายประการ รวมทั้งในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมานั้นยอดจำหน่ายรถยนต์มีอัตราเติบโตเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงระยะเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา
ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการมีรัฐบาลใหม่ มีโครงการลงทุนจากภาครัฐหลายโครงการ ซึ่งหากได้รับการดำเนินงานคาดว่าจะช่วยสร้างรายได้ให้กับภาคประชาชน ทำให้เกิดเงินหมุนเวียนไปยังท้องถิ่นต่างๆ ทั่วประเทศ ประกอบกับสินค้าในภาคเกษตรกรรมมีราคาจำหน่ายที่ดีขึ้นด้วย
ทั้งนี้ ในส่วนของผู้ประกอบการยังมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด รวมทั้งวางแผนการดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบ สำหรับบริษัทยังเชื่อว่าปีนี้ยอดจำหน่ายรถยนต์โดยรวมและยอดจำหน่ายของอีซูซุจะมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
http://matichon.co.th/prachachat/news_d ... 49&catid=1
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news07/04/08
โพสต์ที่ 157
เท8หมื่นล.ต่อยอด"อีโคคาร์" อุตฯชิ้นส่วนเฮลงทุนขยายโรงงาน
อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ตีปีก นักลงทุนหอบเม็ดเงินลงทุนกว่าแสนล้านรับอานิสงส์ตลาดโต "บีโอไอ" ผ่าน โปรเจ็กต์ด้านยานยนต์กว่าร้อยโครงการ ระบุชัดเฉพาะอีโคคาร์ลงทุนไม่น้อยกว่า 80,000 ล้านบาท "ไทยสแตนเลย์ฯ-ซัมมิท โอโต บอดี้ฯ-ยานภัณฑ์" เสริมเขี้ยวเร่งขยายโรงงานนำเข้าเครื่องจักรใหม่รองรับ ด้านผู้ผลิตยานยนต์มั่นใจ ชี้ปี 2553 เทรนด์รถเล็กแรงทะลุ 700,000 คัน
ผลพวงจากสำนักงานคณะกรรมการ ส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) มีมติเห็นชอบอนุมัติโครงการเกี่ยวกับยานยนต์จำนวน 112 โครงการ ซึ่งในจำนวนนั้นมีโครงการรถยนต์ขนาดเล็กประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล (อีโคคาร์) อีก 6 โครงการ ส่งผลให้บรรดาผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ได้รับอานิสงส์จากการลงทุนจำนวนมหาศาลครั้งนี้ และปรับตัวขยายธุรกิจของตัวเองเพื่อรองรับการขยายตัวที่เพิ่มขึ้น
แหล่งข่าวจากสมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า เร็วๆ นี้ประเทศไทยจะได้เห็นการลงทุนจำนวนมหาศาลของบรรดาผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ซึ่งประเมินว่าจะมีมูลค่าการลงทุนมากกว่าแสนล้านบาทขึ้นไป รวมถึงจะมีกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์เกิดใหม่อีกจำนวนมากอันเป็นผลสืบเนื่องจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์
"คาดว่ามูลค่าการลงทุนน่าจะเป็น 2 เท่าของมูลค่าการลงทุนจากค่ายรถต่างๆ อย่างแน่นอน โดยเฉพาะการลงทุนของผู้ผลิตชิ้นส่วน ค่ายซูซูกิ ทาทา ที่ยังไม่มีฐานการผลิตในไทยนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมองหาซัพพลายเออร์คนไทยอย่างแน่นอน"
นายประสาทศิลป์ อ่อนอรรถ นายกสมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย กล่าวเสริมว่า ในช่วงหนึ่งปีจากนี้ไป การลงทุนในภาคอุตสาหกรรมชิ้นส่วนจะเด่นชัดขึ้นจริง ซึ่งเป็นเรื่องดีที่รัฐบาลให้การสนับสนุน แต่การลงทุนจำนวนมากเช่นนี้จะต้องมีความชัดเจน รวมถึงรัฐบาลต้องให้ความสำคัญในการปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศและคำนึงถึงการเข้ามาของบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนจากต่างประเทศด้วย
ผู้ผลิตชิ้นส่วนเสริมเขี้ยวลงทุน
นายพูลศักดิ์ วุฒิกุล ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวางแผนพัฒนาธุรกิจ บริษัท ซัมมิท โอโต บอดี้ อินดัสตรี จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายชิ้นส่วนยานยนต์ ในเครือซัมมิท กรุ๊ป เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างรอความชัดเจนจากบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ว่าจะให้มีการผลิตชิ้นส่วนใดบ้าง ซึ่งบริษัทได้เตรียมงบประมาณเบื้องต้นเพื่อใช้ในการลงทุนสำหรับอีโคคาร์ถึง 1,000 ล้านบาท
นายพูลศักดิ์กล่าวว่า ทิศทางของอุตสาหกรรมชิ้นส่วนมีแนวโน้มที่จะเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สังเกตจากอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ปัจจุบันปริมาณการผลิตอยู่ปีละ 1.5 ล้านคัน และคาดว่าภายในอีก 5 ปี ปริมาณการผลิตจะเพิ่มขึ้นไปอีกไม่ต่ำกว่าปีละ 2 ล้านคัน ผลักดันการใช้ชิ้นส่วนยานยนต์ขยายตัวเพิ่มขึ้นแน่นอน
ขณะที่นายอภิชาติ ลี้อิสระนุกูล รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทย สแตนเลย์การไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทได้เตรียมงบฯลงทุนมูลค่ากว่า 1,200 ล้านบาท เพื่อผลิตโคมไฟให้กับรถยนต์โมเดลใหม่ๆ รวมทั้งรถขนาดเล็ก หรือซับคอมแพ็กต์ของมาสด้า และฟอร์ด ที่จะเริ่มขึ้นใน 1-2 ปีข้างหน้า
นายวิชัย ทองแตง ประธานกรรมการ บริษัท ยานภัณฑ์ จำกัด (มหาชน) หรือ YIP ผู้ผลิตชิ้นส่วนชุดท่อไอเสีย เบรก คลัตช์ คันเร่ง และการขึ้นรูปโลหะรถยนต์ กล่าวว่า ปีนี้เราได้ออร์เดอร์จากโตโยต้าจำนวนมาก ภายหลังจากเริ่มมีความเชื่อมั่นในภาวะของเศรษฐกิจที่เริ่มส่งสัญญาณดี ซึ่งเราเองก็มีแผนที่จะพัฒนาสินค้าใหม่อย่างน้อย 2-3 รุ่น โดยขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการเตรียมการ ส่วนปัญหาเรื่องต้นทุนโดยเฉพาะราคาเหล็กที่ปรับตัวสูงขึ้นนั้น อาจะทำให้เราคงจะต้องมีการปรับราคาจำหน่ายด้วย
ขณะที่นายฮิโรชิ โฮริอุจิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไซโก ไอดีพี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้ขยายธุรกิจของไซโก โฮลดิ้ง คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น ลงทุนเปิดโรงงานแห่งใหม่ที่นิคมอุตสาหกรรมโรจนะ อยุธยา เพื่อผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกตกแต่งชิ้นส่วนรถยนต์รองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมรถยนต์ในไทยในปัจจุบันและอนาคต พร้อมทั้งตั้งเป้ามียอดจำหน่ายไว้ที่ 350 ล้านบาท
ฟันธงชิ้นส่วนอีโคคาร์เฉียดแสนล้าน
ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" รายงานสถานการณ์การลงทุนของอุตสาหกรรม ชิ้นส่วนยานยนต์ว่า จากสถิติตัวเลขขอรับการส่งเสริมการลงทุนในกิจการชิ้นส่วนยานพาหนะ (กิจการประเภทที่ 4.8) ในช่วงปี 2548-2551 คือปี 2548 มีขอรับส่งเสริมการลงทุนในกิจการประเภทดังกล่าว 112 โครงการ มูลค่า 49,132 ล้านบาท, ปี 2549 จำนวน 92 โครงการ 26,088 ล้านบาท, ปี 2550 กิจการผลิตชิ้นส่วนยานพาหนะ 80 โครงการ 40,388 ล้านบาท และช่วง 3 เดือนแรกของ ปี 2551 จำนวน 20 โครงการ 3,920 ล้านบาท
ด้านนางสุดจิตร อินทรไทยวงศ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า โครงการผลิตรถยนต์ขนาดเล็กประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล หรืออีโคคาร์นั้น ปัจจุบันอนุมัติการขอรับการส่งเสริมการลงทุนไปแล้ว 6 ราย คือ ฮอนด้า ซูซูกิ นิสสัน โตโยต้า มิตซูบิชิ และทาทา โดย 2 ใน 6 รายเป็นรายใหม่ที่เข้ามาลงทุนในไทย คือ ซูซูกิ และทาทา
เชื่อว่าหลังให้การส่งเสริมอีโคคาร์อุตสาหกรรมสนับสนุนรวมทั้งอุตสาหกรรมชิ้นส่วนก็จะมีการลงทุนเพื่อรองรับการผลิตภายใน 3-5 ปีข้างหน้า เช่นเดียวกับการเกิดในการส่งเสริมอุตสาหกรรมรถปิกอัพ โดยบริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายแรกที่จะผลิต อีโคคาร์ได้ในปี พ.ศ.2553 และในปี 2555
สำหรับการลงทุนในอุตสาหกรรมสนับสนุนจากโครงการอีโคคาร์นั้น คาดว่าจะมีการลงทุนในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนคิดเป็นมูลค่า 80,000 ล้านบาท อีก 40,000 ล้านบาท เป็นการลงทุนของชิ้นส่วนรถปิกอัพเพิ่มอีก คาดว่าปีนี้อุตสาหกรรมยานยนต์จะมีมูลค่าลงทุนทั้งสิ้น 120,000 ล้านบาท ปี 2552 ลงทุน 130,000 ล้านบาท และปี 2553-2554 ลงทุน 140,000 ล้านบาท จากปีที่แล้วที่มีการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์มากถึง 1.7 แสนล้าน
"เป็นเรื่องแปลกเราไม่มีอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศ ทำให้ต้องซื้อเพื่อนำเข้ามาผลิตรถยนต์และอุตสาหกรรมอื่นๆ แต่วันนี้กลับมีความแข็งแกร่งในอุตสาหกรรมยานยนต์ เพราะเราสามารถก้าวขึ้นไปเป็นผู้ผลิตอันดับ 15 ของโลกได้ และในปี 2553 จะก้าวขึ้นอันดับ 9 ได้อย่างไม่ยากด้วย"
เทรนด์รถเล็กมาแรง
นายอดิศักดิ์ โรหิตศุน รองประธานกรรมการบริหารอาวุโส บริษัท เอเชี่ยน ฮอนด้า มอเตอร์ จำกัด กล่าวว่า จากการศึกษาตลาดและความต้องการของอีโคคาร์มาก่อนหน้านี้ และพบว่าตลาดโลกยังมีความต้องการอยู่มาก ประกอบกับตลาดในไทยยังไม่มีการทำตลาดรถยนต์นี้มาก่อนทำให้บริษัทตัดสินใจลงทุน จากการลดภาษีจาก 30% เหลือเพียง 17% คาดว่าในปี 2555 กำลังการผลิตของอีโคคาร์ในไทยจะอยู่ที่ 670,000-700,000 คัน จากผู้ผลิต 6 ราย โดยปี 2553 จะเริ่มมีการผลิตออกสู่ตลาด
สำหรับฮอนด้า ไม่มีความน่ากังวลแต่อย่างใด เนื่องอยู่ในประเทศไทยมากว่า 40 ปี ทำให้มีความรู้ดีว่าผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยมีความสามารถอยู่ในระดับแข่งขันได้ เพราะไทยถือเป็นฐานการผลิตรถปิกอัพขนาด 1 ตันที่สำคัญ บวกกับการพัฒนาเรื่องอาร์แอนด์ดีจากค่ายรถยนต์และบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วน บวกกับการส่งเสริมจากภาครัฐและสถาบันยานยนต์ ทำให้เชื่อว่าอุตสาหกรรมสนับสนุนโดยเฉพาะชิ้นส่วนจะมีความพร้อมและสามารถรองรับความต้องการในอนาคต จากปัจจุบันมีผู้ผลิตชิ้นส่วนอันดับ 1 (เทียร์วัน) อยู่ 648 ราย ผู้ผลิตอันดับ 2-3 อยู่ 1,6000 กว่าราย
"วันนี้รถยนต์ขนาดเล็กได้รับความนิยม เป็นผลเนื่องมาจากภาวะโลกร้อน ทุกคนพยายามที่ลดซีโอทู ทำให้ความนิยมรถเล็กเพิ่มขึ้น บวกกับราคาน้ำมันที่สูงขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้โอกาสของรถยนต์ที่ใช้น้ำมันน้อยได้รับความต้องการมากขึ้น"
นายสิทธิศักดิ์ เกสรวิบูลย์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทซูซูกิ ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า รถเล็กกำลังได้รับความนิยม อย่างในอินเดียบริษัทมียอดขายสูงถึง 50% และ 2 ใน 3 ก็มาจากรถยนต์เล็ก นอกจากนยังมีรถ 4x4 ที่ขึ้นชื่อด้วย และจากที่มีรถเล็กซึ่งสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลจึงตัดสินใจเข้ามาลงทุน ปี 2553 จะเป็นปีแรกที่ผลิตที่ 1.45 หมื่นคัน
บีโอไอผ่านอีโคคาร์ 6 โครงการ
จากที่ประชุมบอร์ดคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนมีมติอนุมัติโครงการผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล หรืออีโคคาร 6 โครงการ แบ่งการอนุมัติเมื่อวันที่ 30 พ.ย.2550 จำนวน 3 ค่าย คือ 1.บริษัทฮอนด้า ออโตโมบิล โดยใช้เงินลงทุนมูลค่า 7,588 ล้านบาท 2.บริษัท สยามนิสสัน ออโตโมบิล จำกัด ซึ่งใช้เงินลงทุนมูลค่า 5,500 ล้านบาท 3.บริษัทซูซูกิ มอเตอร์ ใช้เงินลงทุน 9,500 ล้านบาท
ล่าสุดอนุมัติส่งเสริมการลงทุนไปเมื่อวันที่ 2 เม.ย.ที่ผ่านมา อีก 3 ค่าย คือ 1.บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ได้รับส่งเสริมผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล (eco-car) มูลค่าเงินลงทุนทั้งสิ้น 4,711 ล้านบาท
2.บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ได้รับส่งเสริมผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล (eco-car) มูลค่าเงินลงทุนทั้งสิ้น 4,642 ล้านบาท
3.บริษัททาทา มอเตอร์ ประเทศไทยอินเดีย ได้รับส่งเสริมผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล (eeco-car) มูลค่าเงินลงทุนทั้งสิ้น 7,317 ล้านบาท
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0201
อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ตีปีก นักลงทุนหอบเม็ดเงินลงทุนกว่าแสนล้านรับอานิสงส์ตลาดโต "บีโอไอ" ผ่าน โปรเจ็กต์ด้านยานยนต์กว่าร้อยโครงการ ระบุชัดเฉพาะอีโคคาร์ลงทุนไม่น้อยกว่า 80,000 ล้านบาท "ไทยสแตนเลย์ฯ-ซัมมิท โอโต บอดี้ฯ-ยานภัณฑ์" เสริมเขี้ยวเร่งขยายโรงงานนำเข้าเครื่องจักรใหม่รองรับ ด้านผู้ผลิตยานยนต์มั่นใจ ชี้ปี 2553 เทรนด์รถเล็กแรงทะลุ 700,000 คัน
ผลพวงจากสำนักงานคณะกรรมการ ส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) มีมติเห็นชอบอนุมัติโครงการเกี่ยวกับยานยนต์จำนวน 112 โครงการ ซึ่งในจำนวนนั้นมีโครงการรถยนต์ขนาดเล็กประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล (อีโคคาร์) อีก 6 โครงการ ส่งผลให้บรรดาผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ได้รับอานิสงส์จากการลงทุนจำนวนมหาศาลครั้งนี้ และปรับตัวขยายธุรกิจของตัวเองเพื่อรองรับการขยายตัวที่เพิ่มขึ้น
แหล่งข่าวจากสมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า เร็วๆ นี้ประเทศไทยจะได้เห็นการลงทุนจำนวนมหาศาลของบรรดาผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ซึ่งประเมินว่าจะมีมูลค่าการลงทุนมากกว่าแสนล้านบาทขึ้นไป รวมถึงจะมีกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์เกิดใหม่อีกจำนวนมากอันเป็นผลสืบเนื่องจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์
"คาดว่ามูลค่าการลงทุนน่าจะเป็น 2 เท่าของมูลค่าการลงทุนจากค่ายรถต่างๆ อย่างแน่นอน โดยเฉพาะการลงทุนของผู้ผลิตชิ้นส่วน ค่ายซูซูกิ ทาทา ที่ยังไม่มีฐานการผลิตในไทยนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมองหาซัพพลายเออร์คนไทยอย่างแน่นอน"
นายประสาทศิลป์ อ่อนอรรถ นายกสมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย กล่าวเสริมว่า ในช่วงหนึ่งปีจากนี้ไป การลงทุนในภาคอุตสาหกรรมชิ้นส่วนจะเด่นชัดขึ้นจริง ซึ่งเป็นเรื่องดีที่รัฐบาลให้การสนับสนุน แต่การลงทุนจำนวนมากเช่นนี้จะต้องมีความชัดเจน รวมถึงรัฐบาลต้องให้ความสำคัญในการปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศและคำนึงถึงการเข้ามาของบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนจากต่างประเทศด้วย
ผู้ผลิตชิ้นส่วนเสริมเขี้ยวลงทุน
นายพูลศักดิ์ วุฒิกุล ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวางแผนพัฒนาธุรกิจ บริษัท ซัมมิท โอโต บอดี้ อินดัสตรี จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายชิ้นส่วนยานยนต์ ในเครือซัมมิท กรุ๊ป เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างรอความชัดเจนจากบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ว่าจะให้มีการผลิตชิ้นส่วนใดบ้าง ซึ่งบริษัทได้เตรียมงบประมาณเบื้องต้นเพื่อใช้ในการลงทุนสำหรับอีโคคาร์ถึง 1,000 ล้านบาท
นายพูลศักดิ์กล่าวว่า ทิศทางของอุตสาหกรรมชิ้นส่วนมีแนวโน้มที่จะเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สังเกตจากอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ปัจจุบันปริมาณการผลิตอยู่ปีละ 1.5 ล้านคัน และคาดว่าภายในอีก 5 ปี ปริมาณการผลิตจะเพิ่มขึ้นไปอีกไม่ต่ำกว่าปีละ 2 ล้านคัน ผลักดันการใช้ชิ้นส่วนยานยนต์ขยายตัวเพิ่มขึ้นแน่นอน
ขณะที่นายอภิชาติ ลี้อิสระนุกูล รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทย สแตนเลย์การไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทได้เตรียมงบฯลงทุนมูลค่ากว่า 1,200 ล้านบาท เพื่อผลิตโคมไฟให้กับรถยนต์โมเดลใหม่ๆ รวมทั้งรถขนาดเล็ก หรือซับคอมแพ็กต์ของมาสด้า และฟอร์ด ที่จะเริ่มขึ้นใน 1-2 ปีข้างหน้า
นายวิชัย ทองแตง ประธานกรรมการ บริษัท ยานภัณฑ์ จำกัด (มหาชน) หรือ YIP ผู้ผลิตชิ้นส่วนชุดท่อไอเสีย เบรก คลัตช์ คันเร่ง และการขึ้นรูปโลหะรถยนต์ กล่าวว่า ปีนี้เราได้ออร์เดอร์จากโตโยต้าจำนวนมาก ภายหลังจากเริ่มมีความเชื่อมั่นในภาวะของเศรษฐกิจที่เริ่มส่งสัญญาณดี ซึ่งเราเองก็มีแผนที่จะพัฒนาสินค้าใหม่อย่างน้อย 2-3 รุ่น โดยขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการเตรียมการ ส่วนปัญหาเรื่องต้นทุนโดยเฉพาะราคาเหล็กที่ปรับตัวสูงขึ้นนั้น อาจะทำให้เราคงจะต้องมีการปรับราคาจำหน่ายด้วย
ขณะที่นายฮิโรชิ โฮริอุจิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไซโก ไอดีพี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้ขยายธุรกิจของไซโก โฮลดิ้ง คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น ลงทุนเปิดโรงงานแห่งใหม่ที่นิคมอุตสาหกรรมโรจนะ อยุธยา เพื่อผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกตกแต่งชิ้นส่วนรถยนต์รองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมรถยนต์ในไทยในปัจจุบันและอนาคต พร้อมทั้งตั้งเป้ามียอดจำหน่ายไว้ที่ 350 ล้านบาท
ฟันธงชิ้นส่วนอีโคคาร์เฉียดแสนล้าน
ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" รายงานสถานการณ์การลงทุนของอุตสาหกรรม ชิ้นส่วนยานยนต์ว่า จากสถิติตัวเลขขอรับการส่งเสริมการลงทุนในกิจการชิ้นส่วนยานพาหนะ (กิจการประเภทที่ 4.8) ในช่วงปี 2548-2551 คือปี 2548 มีขอรับส่งเสริมการลงทุนในกิจการประเภทดังกล่าว 112 โครงการ มูลค่า 49,132 ล้านบาท, ปี 2549 จำนวน 92 โครงการ 26,088 ล้านบาท, ปี 2550 กิจการผลิตชิ้นส่วนยานพาหนะ 80 โครงการ 40,388 ล้านบาท และช่วง 3 เดือนแรกของ ปี 2551 จำนวน 20 โครงการ 3,920 ล้านบาท
ด้านนางสุดจิตร อินทรไทยวงศ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า โครงการผลิตรถยนต์ขนาดเล็กประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล หรืออีโคคาร์นั้น ปัจจุบันอนุมัติการขอรับการส่งเสริมการลงทุนไปแล้ว 6 ราย คือ ฮอนด้า ซูซูกิ นิสสัน โตโยต้า มิตซูบิชิ และทาทา โดย 2 ใน 6 รายเป็นรายใหม่ที่เข้ามาลงทุนในไทย คือ ซูซูกิ และทาทา
เชื่อว่าหลังให้การส่งเสริมอีโคคาร์อุตสาหกรรมสนับสนุนรวมทั้งอุตสาหกรรมชิ้นส่วนก็จะมีการลงทุนเพื่อรองรับการผลิตภายใน 3-5 ปีข้างหน้า เช่นเดียวกับการเกิดในการส่งเสริมอุตสาหกรรมรถปิกอัพ โดยบริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายแรกที่จะผลิต อีโคคาร์ได้ในปี พ.ศ.2553 และในปี 2555
สำหรับการลงทุนในอุตสาหกรรมสนับสนุนจากโครงการอีโคคาร์นั้น คาดว่าจะมีการลงทุนในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนคิดเป็นมูลค่า 80,000 ล้านบาท อีก 40,000 ล้านบาท เป็นการลงทุนของชิ้นส่วนรถปิกอัพเพิ่มอีก คาดว่าปีนี้อุตสาหกรรมยานยนต์จะมีมูลค่าลงทุนทั้งสิ้น 120,000 ล้านบาท ปี 2552 ลงทุน 130,000 ล้านบาท และปี 2553-2554 ลงทุน 140,000 ล้านบาท จากปีที่แล้วที่มีการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์มากถึง 1.7 แสนล้าน
"เป็นเรื่องแปลกเราไม่มีอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศ ทำให้ต้องซื้อเพื่อนำเข้ามาผลิตรถยนต์และอุตสาหกรรมอื่นๆ แต่วันนี้กลับมีความแข็งแกร่งในอุตสาหกรรมยานยนต์ เพราะเราสามารถก้าวขึ้นไปเป็นผู้ผลิตอันดับ 15 ของโลกได้ และในปี 2553 จะก้าวขึ้นอันดับ 9 ได้อย่างไม่ยากด้วย"
เทรนด์รถเล็กมาแรง
นายอดิศักดิ์ โรหิตศุน รองประธานกรรมการบริหารอาวุโส บริษัท เอเชี่ยน ฮอนด้า มอเตอร์ จำกัด กล่าวว่า จากการศึกษาตลาดและความต้องการของอีโคคาร์มาก่อนหน้านี้ และพบว่าตลาดโลกยังมีความต้องการอยู่มาก ประกอบกับตลาดในไทยยังไม่มีการทำตลาดรถยนต์นี้มาก่อนทำให้บริษัทตัดสินใจลงทุน จากการลดภาษีจาก 30% เหลือเพียง 17% คาดว่าในปี 2555 กำลังการผลิตของอีโคคาร์ในไทยจะอยู่ที่ 670,000-700,000 คัน จากผู้ผลิต 6 ราย โดยปี 2553 จะเริ่มมีการผลิตออกสู่ตลาด
สำหรับฮอนด้า ไม่มีความน่ากังวลแต่อย่างใด เนื่องอยู่ในประเทศไทยมากว่า 40 ปี ทำให้มีความรู้ดีว่าผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยมีความสามารถอยู่ในระดับแข่งขันได้ เพราะไทยถือเป็นฐานการผลิตรถปิกอัพขนาด 1 ตันที่สำคัญ บวกกับการพัฒนาเรื่องอาร์แอนด์ดีจากค่ายรถยนต์และบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วน บวกกับการส่งเสริมจากภาครัฐและสถาบันยานยนต์ ทำให้เชื่อว่าอุตสาหกรรมสนับสนุนโดยเฉพาะชิ้นส่วนจะมีความพร้อมและสามารถรองรับความต้องการในอนาคต จากปัจจุบันมีผู้ผลิตชิ้นส่วนอันดับ 1 (เทียร์วัน) อยู่ 648 ราย ผู้ผลิตอันดับ 2-3 อยู่ 1,6000 กว่าราย
"วันนี้รถยนต์ขนาดเล็กได้รับความนิยม เป็นผลเนื่องมาจากภาวะโลกร้อน ทุกคนพยายามที่ลดซีโอทู ทำให้ความนิยมรถเล็กเพิ่มขึ้น บวกกับราคาน้ำมันที่สูงขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้โอกาสของรถยนต์ที่ใช้น้ำมันน้อยได้รับความต้องการมากขึ้น"
นายสิทธิศักดิ์ เกสรวิบูลย์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทซูซูกิ ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า รถเล็กกำลังได้รับความนิยม อย่างในอินเดียบริษัทมียอดขายสูงถึง 50% และ 2 ใน 3 ก็มาจากรถยนต์เล็ก นอกจากนยังมีรถ 4x4 ที่ขึ้นชื่อด้วย และจากที่มีรถเล็กซึ่งสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลจึงตัดสินใจเข้ามาลงทุน ปี 2553 จะเป็นปีแรกที่ผลิตที่ 1.45 หมื่นคัน
บีโอไอผ่านอีโคคาร์ 6 โครงการ
จากที่ประชุมบอร์ดคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนมีมติอนุมัติโครงการผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล หรืออีโคคาร 6 โครงการ แบ่งการอนุมัติเมื่อวันที่ 30 พ.ย.2550 จำนวน 3 ค่าย คือ 1.บริษัทฮอนด้า ออโตโมบิล โดยใช้เงินลงทุนมูลค่า 7,588 ล้านบาท 2.บริษัท สยามนิสสัน ออโตโมบิล จำกัด ซึ่งใช้เงินลงทุนมูลค่า 5,500 ล้านบาท 3.บริษัทซูซูกิ มอเตอร์ ใช้เงินลงทุน 9,500 ล้านบาท
ล่าสุดอนุมัติส่งเสริมการลงทุนไปเมื่อวันที่ 2 เม.ย.ที่ผ่านมา อีก 3 ค่าย คือ 1.บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ได้รับส่งเสริมผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล (eco-car) มูลค่าเงินลงทุนทั้งสิ้น 4,711 ล้านบาท
2.บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ได้รับส่งเสริมผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล (eco-car) มูลค่าเงินลงทุนทั้งสิ้น 4,642 ล้านบาท
3.บริษัททาทา มอเตอร์ ประเทศไทยอินเดีย ได้รับส่งเสริมผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล (eeco-car) มูลค่าเงินลงทุนทั้งสิ้น 7,317 ล้านบาท
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0201
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news11/04/08
โพสต์ที่ 158
ค่ายรถโหมอี20ดันยอด3เดือนโต
โพสต์ทูเดย์ ยอดขายรถยนต์ไตรมาสแรกโต 16.28% มั่นใจ แนวโน้มพุ่งต่อ หลังทุกค่ายออกรถใช้ อี20
รายงานข่าวจากบริษัท ตรีเพชร อีซูซุเซลส์ เปิดเผยถึงยอดจำหน่ายรถในไตรมาสแรกของปีนี้ว่า สำหรับยอดจำหน่ายรถยนต์ในไตรมาสแรกของปีนี้ มียอดขายรวมทุกยี่ห้อ ทุกประเภทเท่ากับ 160,785 คัน เติบโตเพิ่มขึ้น 16.28% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ โตโยต้า จำหน่ายได้สูงสุดคือ 67,012 คัน มีส่วนแบ่งตลาด 41.68% อีซูซุ จำหน่ายได้เป็นอันดับ 2 คือ 35,988 คัน คิดเป็น 22.38% และฮอนด้า อันดับ 3 จำหน่ายได้ 22,437 คัน คิดเป็น 13.95%
ยอดจำหน่ายรวมทุกยี่ห้อในเดือน มี.ค. 2551 อยู่ที่ 66,107 คัน เพิ่มขึ้น 34.23% จากเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา และเป็นสัญญาณบวกมาตั้งแต่ต้นปี 2551
เมื่อพิจารณาแยกแต่ละตลาดในเดือน มี.ค. จะเห็นว่ารถตู้ รถปิกอัพ และรถเพื่อการพาณิชย์มีการขยายตัวมากสุดถึง 48.68% 42.50% และ 40.58% ตามลำดับ และเมื่อรวมตลาดรถยนต์ทุกประเภทในเดือน มี.ค. พบว่าโตโยต้ายังจำหน่ายได้เป็นอันดับ 1 คือ 28,516 คัน คิดเป็น 43.14% ตามมาด้วยอีซูซุ 14,654 คัน คิดเป็น 22.17% และฮอนด้ามาเป็นอันดับ 3 คือ 8,660 คัน มีส่วนแบ่ง 13.10%
สำหรับตลาดรถปิกอัพขนาด 1 ตัน ในเดือน มี.ค. มียอดจำหน่ายเพิ่มขึ้นจากเดือน ก.พ. 42.50% เมื่อรวมยอดขายรถปิกอัพทุกยี่ห้อในไตรมาสแรกของปีนี้ จำหน่ายได้รวม 89,898 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา 7.41% โดยโตโยต้าจำหน่ายได้สูงสุด 34,595 คัน มี ส่วนแบ่งตลาด 38.48% ตาม มาด้วยอีซูซุ 33,428 คัน ส่วนแบ่งตลาด 37.18% และมิตซูบิชิมาเป็นอันดับ 3 คือ 7,321 คัน ส่วนแบ่งตลาด 8.14%
ตลาดรถยนต์นั่งส่วนบุคคลในเดือน มี.ค.นี้ ยังคงเติบโตถึง 24.13% โดยมีผลต่อเนื่องมาจากการจำหน่ายรถประเภท อี20 ของทุกๆ ยี่ห้อ
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=231848
โพสต์ทูเดย์ ยอดขายรถยนต์ไตรมาสแรกโต 16.28% มั่นใจ แนวโน้มพุ่งต่อ หลังทุกค่ายออกรถใช้ อี20
รายงานข่าวจากบริษัท ตรีเพชร อีซูซุเซลส์ เปิดเผยถึงยอดจำหน่ายรถในไตรมาสแรกของปีนี้ว่า สำหรับยอดจำหน่ายรถยนต์ในไตรมาสแรกของปีนี้ มียอดขายรวมทุกยี่ห้อ ทุกประเภทเท่ากับ 160,785 คัน เติบโตเพิ่มขึ้น 16.28% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ โตโยต้า จำหน่ายได้สูงสุดคือ 67,012 คัน มีส่วนแบ่งตลาด 41.68% อีซูซุ จำหน่ายได้เป็นอันดับ 2 คือ 35,988 คัน คิดเป็น 22.38% และฮอนด้า อันดับ 3 จำหน่ายได้ 22,437 คัน คิดเป็น 13.95%
ยอดจำหน่ายรวมทุกยี่ห้อในเดือน มี.ค. 2551 อยู่ที่ 66,107 คัน เพิ่มขึ้น 34.23% จากเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา และเป็นสัญญาณบวกมาตั้งแต่ต้นปี 2551
เมื่อพิจารณาแยกแต่ละตลาดในเดือน มี.ค. จะเห็นว่ารถตู้ รถปิกอัพ และรถเพื่อการพาณิชย์มีการขยายตัวมากสุดถึง 48.68% 42.50% และ 40.58% ตามลำดับ และเมื่อรวมตลาดรถยนต์ทุกประเภทในเดือน มี.ค. พบว่าโตโยต้ายังจำหน่ายได้เป็นอันดับ 1 คือ 28,516 คัน คิดเป็น 43.14% ตามมาด้วยอีซูซุ 14,654 คัน คิดเป็น 22.17% และฮอนด้ามาเป็นอันดับ 3 คือ 8,660 คัน มีส่วนแบ่ง 13.10%
สำหรับตลาดรถปิกอัพขนาด 1 ตัน ในเดือน มี.ค. มียอดจำหน่ายเพิ่มขึ้นจากเดือน ก.พ. 42.50% เมื่อรวมยอดขายรถปิกอัพทุกยี่ห้อในไตรมาสแรกของปีนี้ จำหน่ายได้รวม 89,898 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา 7.41% โดยโตโยต้าจำหน่ายได้สูงสุด 34,595 คัน มี ส่วนแบ่งตลาด 38.48% ตาม มาด้วยอีซูซุ 33,428 คัน ส่วนแบ่งตลาด 37.18% และมิตซูบิชิมาเป็นอันดับ 3 คือ 7,321 คัน ส่วนแบ่งตลาด 8.14%
ตลาดรถยนต์นั่งส่วนบุคคลในเดือน มี.ค.นี้ ยังคงเติบโตถึง 24.13% โดยมีผลต่อเนื่องมาจากการจำหน่ายรถประเภท อี20 ของทุกๆ ยี่ห้อ
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=231848
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news21/04/08
โพสต์ที่ 159
Moneyline News
ECO Car ดันลงทุนเพิ่ม 1.4 แสนล้านบาท - ข่าว 18.00 น.
Posted on Monday, April 21, 2008
นายสุวิทย์ คุณกิตติ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม บอกว่า จากการที่รัฐบาลเปิดส่งเสริมการลงทุนโครงการผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงาน (ECO Car) ให้กับค่ายรถยนต์จำนวน 6 บริษัท คิดเป็นเงินลงทุนประมาณ 6.8 หมื่นล้านบาท โดยตั้งเป้าจะเกิดการลงทุนของกลุ่มผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในประเทศมูลค่ากว่า 1.4 แสนล้านบาท ใน 5 ปีข้างหน้า ซึ่งจะเป็นการผลิตเพื่อสนับสนุน ECO Car
ด้านนายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย บอกว่า แนวทางการส่งเสริมการผลิตรถยนต์ ECO Car ของรัฐบาล จะส่งผลดีต่อภาพรวมอุตสาหกรรมไทย เพราะจะเกิดอุตสาหกรรมต่อเนื่องตามมากมาย เช่น อุตสาหกรรมเหล็ก และอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ แต่รัฐบาลจะต้องรีบดำเนินการให้เป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ เพื่อไม่ให้ประเทศคู่แข่งในเอเซียตามทัน เพราะขณะนี้ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในเอเชียด้านอุตสาหกรรมยานยนต์
นายสันติเชื่อด้วยว่า การส่งออกของไทยในปีนี้น่าจะเติบโตมากกว่า 12.5% ที่รัฐบาลตั้งเป้าไว้ เพราะการส่งออกของไทยในไตรมาสแรกขยายตัวเกือบ 20% โดยเฉพาะกลุ่มสินค้ายานยนต์และชิ้นส่วน อุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมสิ่งทอ และอุตสาหกรรมรองเท้า จากการที่ต่างประเทศหันมาสั่งซื้อสินค้าจากไทย เพราะไม่มั่นใจคุณภาพสินค้าและอาหารจากจีนที่มีปัญหาก่อนหน้านี้
ขณะที่นายอดิศักดิ์ โรหิตะศุน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย บอกว่า โครงการ ECO Car น่าจะผลิตออกสู่ตลาดได้อย่างเร็วที่สุดภายในปลายปีหน้า ซึ่งจะทำให้การผลิตรถยนต์ของประเทศเพิ่มจากปัจจุบันที่มีอยู่ 1.4 ล้านคัน เป็น 2.1 ล้านคัน โดยผู้ผลิตชิ้นส่วนจะต้องพยายามรองรับการผลิตให้มากขึ้น เนื่องจากจำนวนรถยนต์ 1 รุ่น จะอยู่ที่ 1 แสนคัน ถือว่ามากพอสมควร ขณะที่ประชาชนก็จะมีทางเลือกในการใช้รถยนต์ประหยัดพลังงาน ซึ่งสามารถช่วยทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมได้
ปัจจุบัน คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ได้อนุมัติการลงทุนในโครงการ ECO Car แล้ว 6 ราย ได้แก่ ฮอนด้า ,ซูซูกิ ,นิสสัน ,มิตซูบิชิ ,โตโยต้า และกลุ่มทาทา
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
ECO Car ดันลงทุนเพิ่ม 1.4 แสนล้านบาท - ข่าว 18.00 น.
Posted on Monday, April 21, 2008
นายสุวิทย์ คุณกิตติ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม บอกว่า จากการที่รัฐบาลเปิดส่งเสริมการลงทุนโครงการผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงาน (ECO Car) ให้กับค่ายรถยนต์จำนวน 6 บริษัท คิดเป็นเงินลงทุนประมาณ 6.8 หมื่นล้านบาท โดยตั้งเป้าจะเกิดการลงทุนของกลุ่มผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในประเทศมูลค่ากว่า 1.4 แสนล้านบาท ใน 5 ปีข้างหน้า ซึ่งจะเป็นการผลิตเพื่อสนับสนุน ECO Car
ด้านนายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย บอกว่า แนวทางการส่งเสริมการผลิตรถยนต์ ECO Car ของรัฐบาล จะส่งผลดีต่อภาพรวมอุตสาหกรรมไทย เพราะจะเกิดอุตสาหกรรมต่อเนื่องตามมากมาย เช่น อุตสาหกรรมเหล็ก และอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ แต่รัฐบาลจะต้องรีบดำเนินการให้เป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ เพื่อไม่ให้ประเทศคู่แข่งในเอเซียตามทัน เพราะขณะนี้ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในเอเชียด้านอุตสาหกรรมยานยนต์
นายสันติเชื่อด้วยว่า การส่งออกของไทยในปีนี้น่าจะเติบโตมากกว่า 12.5% ที่รัฐบาลตั้งเป้าไว้ เพราะการส่งออกของไทยในไตรมาสแรกขยายตัวเกือบ 20% โดยเฉพาะกลุ่มสินค้ายานยนต์และชิ้นส่วน อุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมสิ่งทอ และอุตสาหกรรมรองเท้า จากการที่ต่างประเทศหันมาสั่งซื้อสินค้าจากไทย เพราะไม่มั่นใจคุณภาพสินค้าและอาหารจากจีนที่มีปัญหาก่อนหน้านี้
ขณะที่นายอดิศักดิ์ โรหิตะศุน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย บอกว่า โครงการ ECO Car น่าจะผลิตออกสู่ตลาดได้อย่างเร็วที่สุดภายในปลายปีหน้า ซึ่งจะทำให้การผลิตรถยนต์ของประเทศเพิ่มจากปัจจุบันที่มีอยู่ 1.4 ล้านคัน เป็น 2.1 ล้านคัน โดยผู้ผลิตชิ้นส่วนจะต้องพยายามรองรับการผลิตให้มากขึ้น เนื่องจากจำนวนรถยนต์ 1 รุ่น จะอยู่ที่ 1 แสนคัน ถือว่ามากพอสมควร ขณะที่ประชาชนก็จะมีทางเลือกในการใช้รถยนต์ประหยัดพลังงาน ซึ่งสามารถช่วยทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมได้
ปัจจุบัน คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ได้อนุมัติการลงทุนในโครงการ ECO Car แล้ว 6 ราย ได้แก่ ฮอนด้า ,ซูซูกิ ,นิสสัน ,มิตซูบิชิ ,โตโยต้า และกลุ่มทาทา
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news23/04/08
โพสต์ที่ 160
จยย.เริ่มยิ้มออกยอดขาย3เดือนโต2%
โพสต์ทูเดย์ ตลาดรถจักรยานยนต์ไตรมาสแรกดีเกินคาด ทำยอดขายไป 4.35 แสนคัน เติบโต 2%
นายธีระพัฒน์ จิวะพงศ์ กรรมการบริหารฝ่ายขาย บริษัท เอ.พี. ฮอนด้า เปิดเผยถึงยอดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2551 ว่าตลาดมีความคึกคักและตื่นตัวอย่างมาก เนื่องมาจากปัจจัยด้านบวกหลากหลายประการ ส่งผลให้ปริมาณยอดจดทะเบียนป้ายวงกลมสะสมนับตั้งแต่เดือน ม.ค.มี.ค. มีจำนวนรวมทั้งสิ้นสูงถึง 435,069 คัน เมื่อเปรียบเทียบกับในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าซึ่งมีจำนวน 426,172 คันแล้ว มีอัตราการขยายตัวเพิ่มสูงขึ้น 2%
ทั้งนี้ ฮอนด้ายังครองตลาดด้วยการมียอดจดทะเบียน 298,136 คัน คิดเป็นส่วนแบ่งการตลาด 69% ยามาฮ่า 110,777 คัน คิดเป็น 25% ซูซูกิ 18,861 คัน คิดเป็น 4% คาวาซากิ 2,395 คัน คิดเป็น 1% ที่เหลือเป็นจักรยานยนต์ยี่ห้ออื่นๆ โดยหากคิดแยกประเภทแล้ว รถจักรยานยนต์แบบครอบครัวมีส่วนแบ่ง 50% และรถจักรยานยนต์แบบเอ.ที. มีส่วนแบ่ง 46%
สำหรับปัจจัยบวกที่ส่งผลต่อตลาดโดยตรง ประกอบไปด้วยปัจจัยทางด้านสภาพตลาดที่เป็นช่วงของฤดูการขาย ส่งผลให้บรรดาค่ายผู้ผลิตรายใหญ่ต่างโหมกระตุ้นตลาดด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์รถจักรยานยนต์รุ่นใหม่ๆ พร้อมการจัดกิจกรรมส่งเสริมการจำหน่ายในรูปแบบต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
ขณะที่กลุ่มเป้าหมายหลักซึ่งโดยส่วนใหญ่คือกลุ่มเกษตรกรนั้น มีกำลังซื้อเพิ่มมากขึ้น อันเป็นผลเนื่องมาจากการมีราคาสูงขึ้นของสินค้าทางด้านการเกษตร นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสริมจากความชัดเจนในด้านการเมือง ส่งผลให้ความเชื่อมั่นในการบริโภคมีเพิ่มมากขึ้น
แนวโน้มของตลาดในช่วงไตรมาสต่อไป คาดว่ายังคงมีความคึกคักและตื่นตัว โดยเฉพาะจากนโยบายของทางภาครัฐบาลที่เตรียมกระตุ้นเศรษฐกิจสู่ระดับฐานราก นายธีระพัฒน์ กล่าว
ด้านนายอดิศักดิ์ โรหิตะศุน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า คาดว่ายอดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ทั้งปีจะใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาคือ 1.65 ล้านคัน เนื่องจากปีนี้รัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้มีเม็ดเงินอัดสู่ระบบเศรษฐกิจ อีกทั้งราคาพืชผลทางการเกษตรดีขึ้น ทำให้เกษตรกรมีกำลังซื้อและนำเงินมาจับจ่ายใช้สอยรวมทั้งซื้อรถจักรยานยนต์เพื่อเป็นพาหนะในการเดินทาง ทำให้จากนี้ไปยอดขายในแต่ละเดือนน่าจะอยู่ในระดับใกล้เคียง 2 แสนคัน
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=233959
โพสต์ทูเดย์ ตลาดรถจักรยานยนต์ไตรมาสแรกดีเกินคาด ทำยอดขายไป 4.35 แสนคัน เติบโต 2%
นายธีระพัฒน์ จิวะพงศ์ กรรมการบริหารฝ่ายขาย บริษัท เอ.พี. ฮอนด้า เปิดเผยถึงยอดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2551 ว่าตลาดมีความคึกคักและตื่นตัวอย่างมาก เนื่องมาจากปัจจัยด้านบวกหลากหลายประการ ส่งผลให้ปริมาณยอดจดทะเบียนป้ายวงกลมสะสมนับตั้งแต่เดือน ม.ค.มี.ค. มีจำนวนรวมทั้งสิ้นสูงถึง 435,069 คัน เมื่อเปรียบเทียบกับในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าซึ่งมีจำนวน 426,172 คันแล้ว มีอัตราการขยายตัวเพิ่มสูงขึ้น 2%
ทั้งนี้ ฮอนด้ายังครองตลาดด้วยการมียอดจดทะเบียน 298,136 คัน คิดเป็นส่วนแบ่งการตลาด 69% ยามาฮ่า 110,777 คัน คิดเป็น 25% ซูซูกิ 18,861 คัน คิดเป็น 4% คาวาซากิ 2,395 คัน คิดเป็น 1% ที่เหลือเป็นจักรยานยนต์ยี่ห้ออื่นๆ โดยหากคิดแยกประเภทแล้ว รถจักรยานยนต์แบบครอบครัวมีส่วนแบ่ง 50% และรถจักรยานยนต์แบบเอ.ที. มีส่วนแบ่ง 46%
สำหรับปัจจัยบวกที่ส่งผลต่อตลาดโดยตรง ประกอบไปด้วยปัจจัยทางด้านสภาพตลาดที่เป็นช่วงของฤดูการขาย ส่งผลให้บรรดาค่ายผู้ผลิตรายใหญ่ต่างโหมกระตุ้นตลาดด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์รถจักรยานยนต์รุ่นใหม่ๆ พร้อมการจัดกิจกรรมส่งเสริมการจำหน่ายในรูปแบบต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
ขณะที่กลุ่มเป้าหมายหลักซึ่งโดยส่วนใหญ่คือกลุ่มเกษตรกรนั้น มีกำลังซื้อเพิ่มมากขึ้น อันเป็นผลเนื่องมาจากการมีราคาสูงขึ้นของสินค้าทางด้านการเกษตร นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสริมจากความชัดเจนในด้านการเมือง ส่งผลให้ความเชื่อมั่นในการบริโภคมีเพิ่มมากขึ้น
แนวโน้มของตลาดในช่วงไตรมาสต่อไป คาดว่ายังคงมีความคึกคักและตื่นตัว โดยเฉพาะจากนโยบายของทางภาครัฐบาลที่เตรียมกระตุ้นเศรษฐกิจสู่ระดับฐานราก นายธีระพัฒน์ กล่าว
ด้านนายอดิศักดิ์ โรหิตะศุน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า คาดว่ายอดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ทั้งปีจะใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาคือ 1.65 ล้านคัน เนื่องจากปีนี้รัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้มีเม็ดเงินอัดสู่ระบบเศรษฐกิจ อีกทั้งราคาพืชผลทางการเกษตรดีขึ้น ทำให้เกษตรกรมีกำลังซื้อและนำเงินมาจับจ่ายใช้สอยรวมทั้งซื้อรถจักรยานยนต์เพื่อเป็นพาหนะในการเดินทาง ทำให้จากนี้ไปยอดขายในแต่ละเดือนน่าจะอยู่ในระดับใกล้เคียง 2 แสนคัน
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=233959
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news24/04/08
โพสต์ที่ 161
ยอดขายโตโยต้าทั่วแซงหน้า GM ในไตรมาสแรกปีนี้
บริษัทโตโยต้ามอเตอร์ คอร์ปอเรชั่นสามารถทำยอดขายรถยนต์ทั่วโลกในไตรมาส 1/51 มากกว่า เจนเนอรัลมอเตอร์ (GM) เป็นผลสำเร็จ โดยโตโยต้ามียอดขายรถยนต์ทั่วโลกในไตรมาส 1/51 อยู่ที่ 2.41 ล้านคัน ขณะที่ GM ชี้ว่า มูลค่ายอดขายทรุดลงในไตรมาส 1/51 น้อยกว่า 1% ในทางตรงกันข้าม มูลค่าการขายของโตโยต้ากลับพุ่งสูงถึง 2.4% ทั้งนี้ 64% ของยอดขาย GM มาจากนอกสหรัฐฯ
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
บริษัทโตโยต้ามอเตอร์ คอร์ปอเรชั่นสามารถทำยอดขายรถยนต์ทั่วโลกในไตรมาส 1/51 มากกว่า เจนเนอรัลมอเตอร์ (GM) เป็นผลสำเร็จ โดยโตโยต้ามียอดขายรถยนต์ทั่วโลกในไตรมาส 1/51 อยู่ที่ 2.41 ล้านคัน ขณะที่ GM ชี้ว่า มูลค่ายอดขายทรุดลงในไตรมาส 1/51 น้อยกว่า 1% ในทางตรงกันข้าม มูลค่าการขายของโตโยต้ากลับพุ่งสูงถึง 2.4% ทั้งนี้ 64% ของยอดขาย GM มาจากนอกสหรัฐฯ
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news26/04/08
โพสต์ที่ 162
มิตซูฯเท7,000ล.ในไทย
โพสต์ทูเดย์ มิตซูบิชิ เฮฟวี่ฯ ปักหลักในไทย เดินหน้าลงทุนกว่า 7,000 ล้านบาท เปิดโรงงานผลิตเทอร์โบชาร์จเจอร์หลัก 1 ใน 3 ฐานทั่วโลก
นายคัตสุฮิเกะ โยชิดะ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท มิตซูบิชิ เฮฟวี่ อินดัสตรี (เอ็ม เอชเอ) ประเทศญี่ปุ่น กล่าวว่า บริษัทได้ตัดสินใจลงทุนมูลค่ากว่า 2.2 หมื่นล้านเยน (ประมาณ 7,000 ล้านบาท) ในประเทศไทย เพื่อก่อตั้งโรงงานผลิตเทอร์โบชาร์จเจอร์ในประเทศไทย โดยคาดว่าจะก่อสร้างโรงงานเรียบร้อยในช่วงเดือน ม.ค. 2551 และเริ่มเดินสายการผลิตได้ในเดือน เม.ย.ปีเดียวกัน
การลงทุนในครั้งนี้จะทำให้ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็น 1 ใน 3 ฐานการผลิตเทอร์โบชาร์จเจอร์ขนาดใหญ่ของมิตซูบิชิ นอกเหนือไปจากที่ประเทศญี่ปุ่นและเนเธอร์แลนด์ ซึ่งนอกเหนือจากการลงทุนในประเทศไทย ก็จะ มีการลงทุนเพิ่มใน 2 ฐานการผลิต ที่เหลือเช่นกัน โดยบริษัทตั้งเป้าหมายว่าในปี 2554 จะมีกำลังการผลิตทั่วโลก 6.9 ล้านชิ้นต่อปี โดยการลงทุนทั้งหมดใช้งบประมาณกว่า 4.4 หมื่นล้านเยน (ประมาณ 1.2 หมื่นล้านบาท)
ทั้งนี้ โรงงานที่ประเทศญี่ปุ่น จะมีการผลิตสมองกล (Cartridge) เพิ่มขึ้นจาก 8 แสนชิ้น เป็น 3 ล้านชิ้นต่อปี พร้อมเพิ่มการประกอบ จาก 5 แสนชิ้นเป็น 1.4 ล้านชิ้น ขณะที่โรงงานในไทย จะมีกำลังการผลิตสมองกล 2.5 ล้านชิ้น และไลน์ประกอบ 5 แสนชิ้นต่อปี ซึ่งกำลังการผลิตสมองกล ส่วนที่เหลือจะส่งไปยังโรงงานประเทศเนเธอร์แลนด์ ที่จะประกอบเพิ่มจาก 8 แสนชิ้น เป็น 2.8 ล้าน ชิ้นต่อปี
เรามองที่ศักยภาพในด้าน คลัสเตอร์ชิ้นส่วน และแรงงานที่มีความชำนาญสูงในประเทศไทย จึงตัดสินใจมาลงทุน ที่นี่ นายโยชิดะ กล่าว
นอกจากนี้ ยังได้ก่อตั้งบริษัท มิตซูบิชิ เทอร์โบชาร์จเจอร์ เอเชีย (เอ็มทีเอ) ขึ้นมาดูแลการ บริหารงานในประเทศไทยขณะที่ตลาดส่งออกจะเป็นลักษณะการเทรดอินระหว่างบริษัทลูกของเอ็มเอชเอ จึงยังไม่ได้ให้ดูแล
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=234592
โพสต์ทูเดย์ มิตซูบิชิ เฮฟวี่ฯ ปักหลักในไทย เดินหน้าลงทุนกว่า 7,000 ล้านบาท เปิดโรงงานผลิตเทอร์โบชาร์จเจอร์หลัก 1 ใน 3 ฐานทั่วโลก
นายคัตสุฮิเกะ โยชิดะ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท มิตซูบิชิ เฮฟวี่ อินดัสตรี (เอ็ม เอชเอ) ประเทศญี่ปุ่น กล่าวว่า บริษัทได้ตัดสินใจลงทุนมูลค่ากว่า 2.2 หมื่นล้านเยน (ประมาณ 7,000 ล้านบาท) ในประเทศไทย เพื่อก่อตั้งโรงงานผลิตเทอร์โบชาร์จเจอร์ในประเทศไทย โดยคาดว่าจะก่อสร้างโรงงานเรียบร้อยในช่วงเดือน ม.ค. 2551 และเริ่มเดินสายการผลิตได้ในเดือน เม.ย.ปีเดียวกัน
การลงทุนในครั้งนี้จะทำให้ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็น 1 ใน 3 ฐานการผลิตเทอร์โบชาร์จเจอร์ขนาดใหญ่ของมิตซูบิชิ นอกเหนือไปจากที่ประเทศญี่ปุ่นและเนเธอร์แลนด์ ซึ่งนอกเหนือจากการลงทุนในประเทศไทย ก็จะ มีการลงทุนเพิ่มใน 2 ฐานการผลิต ที่เหลือเช่นกัน โดยบริษัทตั้งเป้าหมายว่าในปี 2554 จะมีกำลังการผลิตทั่วโลก 6.9 ล้านชิ้นต่อปี โดยการลงทุนทั้งหมดใช้งบประมาณกว่า 4.4 หมื่นล้านเยน (ประมาณ 1.2 หมื่นล้านบาท)
ทั้งนี้ โรงงานที่ประเทศญี่ปุ่น จะมีการผลิตสมองกล (Cartridge) เพิ่มขึ้นจาก 8 แสนชิ้น เป็น 3 ล้านชิ้นต่อปี พร้อมเพิ่มการประกอบ จาก 5 แสนชิ้นเป็น 1.4 ล้านชิ้น ขณะที่โรงงานในไทย จะมีกำลังการผลิตสมองกล 2.5 ล้านชิ้น และไลน์ประกอบ 5 แสนชิ้นต่อปี ซึ่งกำลังการผลิตสมองกล ส่วนที่เหลือจะส่งไปยังโรงงานประเทศเนเธอร์แลนด์ ที่จะประกอบเพิ่มจาก 8 แสนชิ้น เป็น 2.8 ล้าน ชิ้นต่อปี
เรามองที่ศักยภาพในด้าน คลัสเตอร์ชิ้นส่วน และแรงงานที่มีความชำนาญสูงในประเทศไทย จึงตัดสินใจมาลงทุน ที่นี่ นายโยชิดะ กล่าว
นอกจากนี้ ยังได้ก่อตั้งบริษัท มิตซูบิชิ เทอร์โบชาร์จเจอร์ เอเชีย (เอ็มทีเอ) ขึ้นมาดูแลการ บริหารงานในประเทศไทยขณะที่ตลาดส่งออกจะเป็นลักษณะการเทรดอินระหว่างบริษัทลูกของเอ็มเอชเอ จึงยังไม่ได้ให้ดูแล
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=234592
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news28/04/08
โพสต์ที่ 163
AH-TRUปีนี้โต15% STANLYขอแค่5%
ทันหุ้น- เจาะผลงานหุ้นชิ้นส่วนไตรมาส 1/2551 AH-TRU-STANLY เปิดปากแค่น่าพอใจ บอกเป้าทั้งปี AH-TRU เป้ารายได้โต 15% ส่วน TRU ขอเกาะกระแสยอดขายรถยนต์โตแค่ 5% ส่วนภาพรวมหุ้นชิ้นส่วนเริ่มแรงซื้อดันดัชนีบวกสวนตลาด
นายเย็บ ซู ซวน ประธานเจ้านห้าที่บริหาร บริษัท อาปิดก้ ไฮเทค จำกัด (มหาชน) AH เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 1/2551 จะออกมาดีกว่าช่วงเดียวกันของปืที่แล้วเนื่องจากยอดขายปรับเพิ่มขึ้นตามอุตสาหกรรมยานยนต์ที่เติบโค โดยในปีนี้บริษัทวางเป้าหมายการเติบโตของรายได้ 15% จากปี 2550 ที่มีรายได้รวม 9,700 ล้านบาท กำไรสุทธิ 350 ล้านบาท
ทันหุ้น- เจาะผลงานหุ้นชิ้นส่วนไตรมาส 1/2551 AH-TRU-STANLY เปิดปากแค่น่าพอใจ บอกเป้าทั้งปี AH-TRU เป้ารายได้โต 15% ส่วน TRU ขอเกาะกระแสยอดขายรถยนต์โตแค่ 5% ส่วนภาพรวมหุ้นชิ้นส่วนเริ่มแรงซื้อดันดัชนีบวกสวนตลาด
นายเย็บ ซู ซวน ประธานเจ้านห้าที่บริหาร บริษัท อาปิดก้ ไฮเทค จำกัด (มหาชน) AH เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 1/2551 จะออกมาดีกว่าช่วงเดียวกันของปืที่แล้วเนื่องจากยอดขายปรับเพิ่มขึ้นตามอุตสาหกรรมยานยนต์ที่เติบโค โดยในปีนี้บริษัทวางเป้าหมายการเติบโตของรายได้ 15% จากปี 2550 ที่มีรายได้รวม 9,700 ล้านบาท กำไรสุทธิ 350 ล้านบาท
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news29/04/08
โพสต์ที่ 164
บีโอไอไฟเขียว 6โครงการลงทุน ต่อยอดอีโคคาร์
โพสต์ทูเดย์ บอร์ดเล็กบีโอไอ ไฟเขียว 6 โครงการลงทุนอุตสาหกรรมยานยนต์ เกือบ 2,000 ล้านบาท ต่อยอดโครงการลงทุนอีโคคาร์
นายสุวิทย์ คุณกิตติ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.อุตสาหกรรม กล่าวว่า ที่ประชุมคณะอนุกรรมการส่งเสริมการลงทุน ได้อนุมัติโครงการส่งเสริมการลงทุนที่เกี่ยวกับการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์และยานพาหนะ จำนวน 6 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 1,996 ล้านบาท
สำหรับรายละเอียดโครงการที่ได้รับอนุมัติเช่น 1.บริษัท อินทิเกรเทดพรีซิชั่น เอ็นจิเนียริ่ง (ประเทศไทย) ขอขยายกิจการผลิตชิ้นส่วนโลหะขึ้นรูปสำหรับยานพาหนะ และงานอุตสาหกรรมอื่นๆ มูลค่าเงินลงทุนทั้งสิ้น 149.2 ล้านบาท 2.นายสมพงษ์ เผอิญโชค ขอรับการส่งเสริม (ขยายกิจการ) ผลิตชิ้นส่วนยานพาหนะ ชุดหุ้มเบาะ เบาะที่นั่ง และ SHIFTER ประเภทละ 1 แสนชุด มูลค่าเงินลงทุนทั้งสิ้น 747.2 ล้านบาท
3.บริษัท เซนต์โกเบน ซีคิวริท (ไทยแลนด์) ขอรับการส่งเสริม (ขยายกิจการ) ผลิตกระจกนิรภัยเทมเปอร์ มูลค่าเงินลงทุนทั้งสิ้น 336 ล้านบาท 4.บริษัท บางกอก นากัทสึ ขอรับการส่งเสริมผลิตสายพานตีนตะขาบ มูลค่าเงินลงทุนทั้งสิ้น 325.2 ล้านบาท ฯลฯ
การอนุมัติของคณะอนุกรรมการครั้งนี้ จะเป็นการขยายลงทุนให้โครงการอีโคคาร์พัฒนาเร็วยิ่งขึ้น เพราะชิ้นส่วนยานยนต์จัดเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมในการเข้ามารองรับตลาดรถยนต์ที่กำลังพัฒนาจึงเป็นหัวใจสำคัญ หลังจากได้ประมาณการว่าจะเริ่มผลิตจริงในปี 2553 ซึ่ง นอกจากจะช่วยเพิ่มยอดการส่งออกของไทยได้แล้ว จะช่วยประหยัดการนำเข้าน้ำมันได้ ส่วนมูลค่าการลงทุนในกลุ่มผลิตชิ้นส่วนอีโคคาร์ประมาณการว่าจะอยู่ประมาณ 1.4 แสนล้านบาท นายสุวิทย์ กล่าว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=235117
โพสต์ทูเดย์ บอร์ดเล็กบีโอไอ ไฟเขียว 6 โครงการลงทุนอุตสาหกรรมยานยนต์ เกือบ 2,000 ล้านบาท ต่อยอดโครงการลงทุนอีโคคาร์
นายสุวิทย์ คุณกิตติ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.อุตสาหกรรม กล่าวว่า ที่ประชุมคณะอนุกรรมการส่งเสริมการลงทุน ได้อนุมัติโครงการส่งเสริมการลงทุนที่เกี่ยวกับการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์และยานพาหนะ จำนวน 6 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 1,996 ล้านบาท
สำหรับรายละเอียดโครงการที่ได้รับอนุมัติเช่น 1.บริษัท อินทิเกรเทดพรีซิชั่น เอ็นจิเนียริ่ง (ประเทศไทย) ขอขยายกิจการผลิตชิ้นส่วนโลหะขึ้นรูปสำหรับยานพาหนะ และงานอุตสาหกรรมอื่นๆ มูลค่าเงินลงทุนทั้งสิ้น 149.2 ล้านบาท 2.นายสมพงษ์ เผอิญโชค ขอรับการส่งเสริม (ขยายกิจการ) ผลิตชิ้นส่วนยานพาหนะ ชุดหุ้มเบาะ เบาะที่นั่ง และ SHIFTER ประเภทละ 1 แสนชุด มูลค่าเงินลงทุนทั้งสิ้น 747.2 ล้านบาท
3.บริษัท เซนต์โกเบน ซีคิวริท (ไทยแลนด์) ขอรับการส่งเสริม (ขยายกิจการ) ผลิตกระจกนิรภัยเทมเปอร์ มูลค่าเงินลงทุนทั้งสิ้น 336 ล้านบาท 4.บริษัท บางกอก นากัทสึ ขอรับการส่งเสริมผลิตสายพานตีนตะขาบ มูลค่าเงินลงทุนทั้งสิ้น 325.2 ล้านบาท ฯลฯ
การอนุมัติของคณะอนุกรรมการครั้งนี้ จะเป็นการขยายลงทุนให้โครงการอีโคคาร์พัฒนาเร็วยิ่งขึ้น เพราะชิ้นส่วนยานยนต์จัดเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมในการเข้ามารองรับตลาดรถยนต์ที่กำลังพัฒนาจึงเป็นหัวใจสำคัญ หลังจากได้ประมาณการว่าจะเริ่มผลิตจริงในปี 2553 ซึ่ง นอกจากจะช่วยเพิ่มยอดการส่งออกของไทยได้แล้ว จะช่วยประหยัดการนำเข้าน้ำมันได้ ส่วนมูลค่าการลงทุนในกลุ่มผลิตชิ้นส่วนอีโคคาร์ประมาณการว่าจะอยู่ประมาณ 1.4 แสนล้านบาท นายสุวิทย์ กล่าว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=235117
-
- Verified User
- โพสต์: 5011
- ผู้ติดตาม: 0
car
โพสต์ที่ 165
ยอดผลิตรถยนต์ปีนี้อาจพุ่ง 1.6 ล้านคัน
Posted on Thursday, October 21, 2010
นายสุรพงษ์ ไพสิษฐ์พัฒนพงษ์ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) บอกว่า มีโอกาสที่ผลิตรถยนต์ในปีนี้จะเพิ่มขึ้นไปแตะที่ระดับ 1.6 ล้านคัน ซึ่งจะเป็นการสถิติการผลิตรถยนต์ของประเทศไทย เนื่องจากช่วง 9 เดือนแรกมียอดผลิตรถยนต์แล้วถึง 1,197,300 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 83.74% และยังมียอดคำสั่งซื้อล่วงหน้าในช่วง 3 เดือนนับจากนี้ไปประมาณ 400,000 คัน โดยทั้งปีจะสามารถส่งออกได้ 890,000-900,000 คัน ขณะที่ยอดขายในประเทศจะอยู่ที่ 750,000 คัน
ทั้งนี้ ยอดการผลิตรถยนต์ในเดือนกันยายน อยู่ที่ 141,486 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 36.85% ขณะที่ยอดส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปในเดือนกันยายนปีนี้ อยู่ที่ 81,296 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 64.73% ส่งผลให้การส่งออกรถยนต์ในช่วง 9 เดือนแรกปีนี้ อยู่ที่ 664,829 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 82.75%
นายสุรพงษ์บอกว่า ปัญหาเงินบาทแข็งค่าและปัญหาน้ำท่วมจะไม่กระทบเป้าการผลิตรถยนต์ในปีนี้ แต่ยอมรับว่าหากสถานการณน้ำท่วมยังไม่คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น ภายใน 2 เดือนนับจากนี้ยอดขายรถจักรยานยนต์และรถกระบะขนาด 1 ตันจะลดลง
ส่วนค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นทุกๆ 1 บาท จะทำให้รายได้ที่เป็นเงินดอลลาร์สหรัฐเมื่อนำมาแลกเป็นเงินบาทหายไปเดือนละ 1.5 พันล้านบาท ซึ่งอุตสาหกรรมรถยนต์ได้ตั้งราคาขายรถยนต์ตั้งแต่ช่วงต้นปีนี้ไว้ที่ 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้นการที่เงินบาทแข็งค่าต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปีถึง 10% จะส่งผลกระทบให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ประสบปัญหาขาดทุน แต่เชื่อว่าการตั้งกองทุนช่วยเหลือ SMEs ของภาครัฐจะเข้ามาช่วยเสริมสภาพคล่องได้
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/New ... fault.aspx
Posted on Thursday, October 21, 2010
นายสุรพงษ์ ไพสิษฐ์พัฒนพงษ์ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) บอกว่า มีโอกาสที่ผลิตรถยนต์ในปีนี้จะเพิ่มขึ้นไปแตะที่ระดับ 1.6 ล้านคัน ซึ่งจะเป็นการสถิติการผลิตรถยนต์ของประเทศไทย เนื่องจากช่วง 9 เดือนแรกมียอดผลิตรถยนต์แล้วถึง 1,197,300 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 83.74% และยังมียอดคำสั่งซื้อล่วงหน้าในช่วง 3 เดือนนับจากนี้ไปประมาณ 400,000 คัน โดยทั้งปีจะสามารถส่งออกได้ 890,000-900,000 คัน ขณะที่ยอดขายในประเทศจะอยู่ที่ 750,000 คัน
ทั้งนี้ ยอดการผลิตรถยนต์ในเดือนกันยายน อยู่ที่ 141,486 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 36.85% ขณะที่ยอดส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปในเดือนกันยายนปีนี้ อยู่ที่ 81,296 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 64.73% ส่งผลให้การส่งออกรถยนต์ในช่วง 9 เดือนแรกปีนี้ อยู่ที่ 664,829 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 82.75%
นายสุรพงษ์บอกว่า ปัญหาเงินบาทแข็งค่าและปัญหาน้ำท่วมจะไม่กระทบเป้าการผลิตรถยนต์ในปีนี้ แต่ยอมรับว่าหากสถานการณน้ำท่วมยังไม่คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น ภายใน 2 เดือนนับจากนี้ยอดขายรถจักรยานยนต์และรถกระบะขนาด 1 ตันจะลดลง
ส่วนค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นทุกๆ 1 บาท จะทำให้รายได้ที่เป็นเงินดอลลาร์สหรัฐเมื่อนำมาแลกเป็นเงินบาทหายไปเดือนละ 1.5 พันล้านบาท ซึ่งอุตสาหกรรมรถยนต์ได้ตั้งราคาขายรถยนต์ตั้งแต่ช่วงต้นปีนี้ไว้ที่ 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้นการที่เงินบาทแข็งค่าต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปีถึง 10% จะส่งผลกระทบให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ประสบปัญหาขาดทุน แต่เชื่อว่าการตั้งกองทุนช่วยเหลือ SMEs ของภาครัฐจะเข้ามาช่วยเสริมสภาพคล่องได้
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/New ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 5011
- ผู้ติดตาม: 0
อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน
โพสต์ที่ 166
ยอดขายรถยนต์เดือน ต.ค.พุ่ง 35.2%
Posted on Monday, November 15, 2010
นาย วุฒิกร สุริยะฉันทนานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด บอกว่า ยอดขายรถยนต์ภายในประเทศทั้งระบบเดือนตุลาคม มีจำนวนทั้งสิ้น 72,012 คัน เพิ่มขึ้น 35.2% จากระยะเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นการขยายตัวต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเดือนที่ 14
สำหรับปัจจัยบวกมาจากการเพิ่มกำลังการผลิตโดยเฉพาะรถยนต์นั่งขนาดเล็กบางรุ่น เพื่อเร่งส่งมอบให้กับลูกค้า และการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งคาดว่าในเดือนพฤศจิกายนยอดขายรถยนต์ในประเทศก็จะยังขยายตัวต่อเนื่อง แม้ในภาวะน้ำท่วม อาจส่งผลให้ลูกค้าบางส่วนชะลอการซื้อรถยนต์ รวมถึงอาจจะชะลอการรับมอบรถออกไป
นายวุฒิกร บอกด้วยว่า ยอดขายรถยนต์ทั้งระบบในเดือนตุลาคม แบ่งเป็น ตลาดรถยนต์ นั่ง 32,461 คัน เพิ่มขึ้น 42.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ 39,551 คัน เพิ่มขึ้น 29.6% โดยในส่วนนี้เป็นรถกระบะ ขนาด 1 ตัน ที่รวมรถกระบะ ดัดแปลง (PPV) มีทั้งสิ้น 33,851 คัน เพิ่มขึ้น 27.8%
สำหรับยอดขายรถยนต์สะสมทั้งระบบช่วง 10 เดือนแรกปีนี้ อยู่ที่ 628,361 คัน เพิ่มขึ้น 49.7%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตลาดรถยนต์นั่ง ขยายตัวสูงสุด 56.1% จำนวน274,035 คัน ส่วนยอดขายรถยนต์ทั้งระบบในปีนี้ จะอยู่ที่ 750,000 คัน ขยายตัว 37% จาก 549,000 คันในปีที่ผ่านมา
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/New ... fault.aspx
Posted on Monday, November 15, 2010
นาย วุฒิกร สุริยะฉันทนานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด บอกว่า ยอดขายรถยนต์ภายในประเทศทั้งระบบเดือนตุลาคม มีจำนวนทั้งสิ้น 72,012 คัน เพิ่มขึ้น 35.2% จากระยะเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นการขยายตัวต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเดือนที่ 14
สำหรับปัจจัยบวกมาจากการเพิ่มกำลังการผลิตโดยเฉพาะรถยนต์นั่งขนาดเล็กบางรุ่น เพื่อเร่งส่งมอบให้กับลูกค้า และการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งคาดว่าในเดือนพฤศจิกายนยอดขายรถยนต์ในประเทศก็จะยังขยายตัวต่อเนื่อง แม้ในภาวะน้ำท่วม อาจส่งผลให้ลูกค้าบางส่วนชะลอการซื้อรถยนต์ รวมถึงอาจจะชะลอการรับมอบรถออกไป
นายวุฒิกร บอกด้วยว่า ยอดขายรถยนต์ทั้งระบบในเดือนตุลาคม แบ่งเป็น ตลาดรถยนต์ นั่ง 32,461 คัน เพิ่มขึ้น 42.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ 39,551 คัน เพิ่มขึ้น 29.6% โดยในส่วนนี้เป็นรถกระบะ ขนาด 1 ตัน ที่รวมรถกระบะ ดัดแปลง (PPV) มีทั้งสิ้น 33,851 คัน เพิ่มขึ้น 27.8%
สำหรับยอดขายรถยนต์สะสมทั้งระบบช่วง 10 เดือนแรกปีนี้ อยู่ที่ 628,361 คัน เพิ่มขึ้น 49.7%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตลาดรถยนต์นั่ง ขยายตัวสูงสุด 56.1% จำนวน274,035 คัน ส่วนยอดขายรถยนต์ทั้งระบบในปีนี้ จะอยู่ที่ 750,000 คัน ขยายตัว 37% จาก 549,000 คันในปีที่ผ่านมา
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/New ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 5011
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน
โพสต์ที่ 167
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ยอดจองรถงาน “มหกรรมยานยนต์” 5 วัน 10,447 คัน มั่นใจทุบสถิติปี 2552
ยอดจองรถ MOTOR EXPO 2010 ช่วง 5 วันแรก 10,447 คัน สูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ที่มีจำนวนทั้งสิ้น 8,300 คัน หรือ คิดเป็นอัตราเติบโตร้อยละ 26.8 ทำสถิติใหม่สูงสุดของยอดจอง
นายขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ ประธาน บริษัท สื่อสากล จำกัด และประธานจัดงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 27” หรือ MOTOR EXPO 2010 เปิดเผยว่า บรรยากาศการจัดงานตลอดช่วง 5 วันจนถึงวันนี้ ประชาชนให้ความสนใจเข้าชมงานและสั่งยอดรถยนต์ประเภทต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก รวมทั้งการจัดงานในปีนี้ยังได้รับความสนใจจากบรรดาค่ายรถยนต์เข้าร่วมงานเป็นจำนวนมากด้วยเช่นกัน และเป็นประจำของทุกปี ในช่วงไตรมาสสุดท้ายซึ่งเป็นฤดูการจำหน่ายและเทศกาลรับปีใหม่ ดังนั้นค่ายรถยนต์ต่าง ๆ จึงหาแนวทางกระตุ้นยอดขายให้ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ ด้วยการจัดโปรโมชั่น ลดแลกแจกแถม เพื่อดึงดูดความสนใจจากผู้บริโภคอย่างเต็มที่
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... 0&catid=00
ยอดจองรถงาน “มหกรรมยานยนต์” 5 วัน 10,447 คัน มั่นใจทุบสถิติปี 2552
ยอดจองรถ MOTOR EXPO 2010 ช่วง 5 วันแรก 10,447 คัน สูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ที่มีจำนวนทั้งสิ้น 8,300 คัน หรือ คิดเป็นอัตราเติบโตร้อยละ 26.8 ทำสถิติใหม่สูงสุดของยอดจอง
นายขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ ประธาน บริษัท สื่อสากล จำกัด และประธานจัดงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 27” หรือ MOTOR EXPO 2010 เปิดเผยว่า บรรยากาศการจัดงานตลอดช่วง 5 วันจนถึงวันนี้ ประชาชนให้ความสนใจเข้าชมงานและสั่งยอดรถยนต์ประเภทต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก รวมทั้งการจัดงานในปีนี้ยังได้รับความสนใจจากบรรดาค่ายรถยนต์เข้าร่วมงานเป็นจำนวนมากด้วยเช่นกัน และเป็นประจำของทุกปี ในช่วงไตรมาสสุดท้ายซึ่งเป็นฤดูการจำหน่ายและเทศกาลรับปีใหม่ ดังนั้นค่ายรถยนต์ต่าง ๆ จึงหาแนวทางกระตุ้นยอดขายให้ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ ด้วยการจัดโปรโมชั่น ลดแลกแจกแถม เพื่อดึงดูดความสนใจจากผู้บริโภคอย่างเต็มที่
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... 0&catid=00
-
- Verified User
- โพสต์: 5011
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน
โพสต์ที่ 168
JAPAN:โตโยต้าเล็งเพิ่มกำลังการผลิตรถยนต์ในไทยขึ้น 20% สู่ 600,000 คัน/ปี
โตเกียว--7 ธ.ค.--รอยเตอร์
หนังสือพิมพ์นิกเกอิรายงานว่า บริษัทโตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปมีแผนจะเพิ่มกำลังการผลิตในไทยขึ้นราว 20% ต่อปีเพื่อเพิ่มยอดขายโดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งนี้ โตโยต้ามีแผนจะเพิ่มการผลิตรถยนต์ในไทยสู่ระดับ600,000 คันต่อปีภายในกลางปีหน้า นิกเกอิรายงานว่า โรงงานที่บ้านโพธิ์ จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นหนึ่งในโรงงานประกอบรถยนต์ 3 แห่งของโตโยต้าในประเทศไทย จะมีกำลังการผลิตต่อปีเพิ่มขึ้นราว 120,000 คัน สู่ระดับ 200,000 คัน นอกจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้ว คาดว่าอุปสงค์จากตะวันออกกลางและตลาดส่งออกอื่นๆจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต นิกเกอิระบุว่า ยอดขายรถยนต์ใหม่ในตลาดขนาดใหญ่ 6 แห่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งรวมถึงไทยและอินโดนีเซีย มีจำนวนทั้งสิ้น 1.8 ล้านคันในช่วง9 เดือนแรกของปีนี้ เพิ่มขึ้น 36% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ตลาดเอเชียไม่รวมญี่ปุ่นและจีนกำลังมีความสำคัญเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วสำหรับโตโยต้า โดยกำไรจากการดำเนินงานในภูมิภาคเหล่านี้เพิ่มขึ้นถึง 2 เท่าครึ่งสู่ระดับ 1.642 แสนล้านเยน (1.96 พันล้านดอลลาร์) ในช่วงเดือนเม.ย.-ก.ย.
(รอยเตอร์ โดย เสาวณีย์ เอกปัญญาชัย แปล; ก้องเกียรติ กอวีรกิติ เรียบเรียง)
โตเกียว--7 ธ.ค.--รอยเตอร์
หนังสือพิมพ์นิกเกอิรายงานว่า บริษัทโตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปมีแผนจะเพิ่มกำลังการผลิตในไทยขึ้นราว 20% ต่อปีเพื่อเพิ่มยอดขายโดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งนี้ โตโยต้ามีแผนจะเพิ่มการผลิตรถยนต์ในไทยสู่ระดับ600,000 คันต่อปีภายในกลางปีหน้า นิกเกอิรายงานว่า โรงงานที่บ้านโพธิ์ จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นหนึ่งในโรงงานประกอบรถยนต์ 3 แห่งของโตโยต้าในประเทศไทย จะมีกำลังการผลิตต่อปีเพิ่มขึ้นราว 120,000 คัน สู่ระดับ 200,000 คัน นอกจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้ว คาดว่าอุปสงค์จากตะวันออกกลางและตลาดส่งออกอื่นๆจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต นิกเกอิระบุว่า ยอดขายรถยนต์ใหม่ในตลาดขนาดใหญ่ 6 แห่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งรวมถึงไทยและอินโดนีเซีย มีจำนวนทั้งสิ้น 1.8 ล้านคันในช่วง9 เดือนแรกของปีนี้ เพิ่มขึ้น 36% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ตลาดเอเชียไม่รวมญี่ปุ่นและจีนกำลังมีความสำคัญเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วสำหรับโตโยต้า โดยกำไรจากการดำเนินงานในภูมิภาคเหล่านี้เพิ่มขึ้นถึง 2 เท่าครึ่งสู่ระดับ 1.642 แสนล้านเยน (1.96 พันล้านดอลลาร์) ในช่วงเดือนเม.ย.-ก.ย.
(รอยเตอร์ โดย เสาวณีย์ เอกปัญญาชัย แปล; ก้องเกียรติ กอวีรกิติ เรียบเรียง)
-
- Verified User
- โพสต์: 5011
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน
โพสต์ที่ 169
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ยอดขายรถพ.ย.พุ่งอีก 7.8 หมื่นคัน เพิ่ม 38% คาดทั้งปีทะลุ7.8แสนคัน เหตุตัวเลขธ.ค.พุ่งกระฉูด
นายวุฒิกร สุริยะฉันทนานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด รายงานสถิติการขายรถยนต์เดือนพฤศจิกายน 2553 มีปริมาณการขายทั้งสิ้น 78,874 คัน เพิ่มขึ้น 38.3% ประกอบด้วย รถยนต์นั่ง 33,594 คัน เพิ่มขึ้น 39.7% รถเพื่อการพาณิชย์ 45,280 คัน เพิ่มขึ้น 37.3% ซึ่งรวมรถกระบะขนาด 1 ตัน จำนวน 39,310 คัน เพิ่มขึ้น 36.1%
@ประเด็นสำคัญ
1. ตลาดรถยนต์เดือนพฤศจิกายนมีปริมาณการขาย 78,874 คัน เพิ่มขึ้น 38.3% เติบโตต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 15 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่าน โดยตลาดรถยนต์นั่งมีปริมาณการขาย 33,594 คัน เพิ่มขึ้น 39.7% ด้านตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์มีปริมาณการขาย 45,280 คัน เพิ่มขึ้น 37.3% สะท้อนถึงภาพเศรษฐกิจโดยรวมที่ดีขึ้น โดยส่วนหนึ่งเป็นผลจากการไหลเข้าของเงินทุนทำให้มีปริมาณเงินในระบบมากขึ้น ซึ่งเป็นผลดีต่อการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ ทั้งนี้แม้ว่าในบางพื้นที่จะได้รับผลกระทบจากภัยน้ำท่วม
2. ตลาดรถยนต์สะสม 11 เดือนแรก มีปริมาณการขาย 707,235 คัน เป็นยอดขายที่สูงกว่ายอดขายทั้งปีของปี 2548 (703,432 คัน) ซึ่งเป็นปีที่ประเทศไทยมียอดขายรถยนต์สูงที่สุด ทั้งนี้มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 48.3% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยตลาดรถยนต์นั่งมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 54.1% ตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 44.2% ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการบริโภคภายใน ประเทศที่เพิ่มขึ้นตามทิศทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ประกอบกับความนิยมในรถยนต์นั่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รถยนต์นั่งขนาดเล็กที่เพิ่มมากขึ้นตั้งแต่ต้นปี
3. ตลาดรถยนต์ในเดือน ธันวาคม ยังคงเติบโต จากสถิติการขายแล้วเดือนธันวาคมจะเป็นเดือนที่มียอดขายสูงสุด จากการที่ทุกค่ายรถยนต์จะนำข้อเสนอพิเศษต่างๆมาเสนอต่อผู้บริโภคเพื่อบรรลุเป้าหมายการขายของปี การจัดงานมอเตอร์เอ็กซ์โป ประกอบกับความนิยมต่อเนื่องในตลาดรถยนต์นั่ง และรถยนต์รุ่นใหม่ รุ่นพิเศษ ที่เพิ่งแนะนำเข้าสู่ตลาด ซึ่งคาดว่าตลาดรถยนต์ในปีนี้ ถึงสิ้นเดือนธันวาคมจะมีปริมาณการขายมากกว่า 780,000 คันได้
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... 3&catid=no
ยอดขายรถพ.ย.พุ่งอีก 7.8 หมื่นคัน เพิ่ม 38% คาดทั้งปีทะลุ7.8แสนคัน เหตุตัวเลขธ.ค.พุ่งกระฉูด
นายวุฒิกร สุริยะฉันทนานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด รายงานสถิติการขายรถยนต์เดือนพฤศจิกายน 2553 มีปริมาณการขายทั้งสิ้น 78,874 คัน เพิ่มขึ้น 38.3% ประกอบด้วย รถยนต์นั่ง 33,594 คัน เพิ่มขึ้น 39.7% รถเพื่อการพาณิชย์ 45,280 คัน เพิ่มขึ้น 37.3% ซึ่งรวมรถกระบะขนาด 1 ตัน จำนวน 39,310 คัน เพิ่มขึ้น 36.1%
@ประเด็นสำคัญ
1. ตลาดรถยนต์เดือนพฤศจิกายนมีปริมาณการขาย 78,874 คัน เพิ่มขึ้น 38.3% เติบโตต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 15 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่าน โดยตลาดรถยนต์นั่งมีปริมาณการขาย 33,594 คัน เพิ่มขึ้น 39.7% ด้านตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์มีปริมาณการขาย 45,280 คัน เพิ่มขึ้น 37.3% สะท้อนถึงภาพเศรษฐกิจโดยรวมที่ดีขึ้น โดยส่วนหนึ่งเป็นผลจากการไหลเข้าของเงินทุนทำให้มีปริมาณเงินในระบบมากขึ้น ซึ่งเป็นผลดีต่อการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ ทั้งนี้แม้ว่าในบางพื้นที่จะได้รับผลกระทบจากภัยน้ำท่วม
2. ตลาดรถยนต์สะสม 11 เดือนแรก มีปริมาณการขาย 707,235 คัน เป็นยอดขายที่สูงกว่ายอดขายทั้งปีของปี 2548 (703,432 คัน) ซึ่งเป็นปีที่ประเทศไทยมียอดขายรถยนต์สูงที่สุด ทั้งนี้มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 48.3% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยตลาดรถยนต์นั่งมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 54.1% ตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 44.2% ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการบริโภคภายใน ประเทศที่เพิ่มขึ้นตามทิศทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ประกอบกับความนิยมในรถยนต์นั่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รถยนต์นั่งขนาดเล็กที่เพิ่มมากขึ้นตั้งแต่ต้นปี
3. ตลาดรถยนต์ในเดือน ธันวาคม ยังคงเติบโต จากสถิติการขายแล้วเดือนธันวาคมจะเป็นเดือนที่มียอดขายสูงสุด จากการที่ทุกค่ายรถยนต์จะนำข้อเสนอพิเศษต่างๆมาเสนอต่อผู้บริโภคเพื่อบรรลุเป้าหมายการขายของปี การจัดงานมอเตอร์เอ็กซ์โป ประกอบกับความนิยมต่อเนื่องในตลาดรถยนต์นั่ง และรถยนต์รุ่นใหม่ รุ่นพิเศษ ที่เพิ่งแนะนำเข้าสู่ตลาด ซึ่งคาดว่าตลาดรถยนต์ในปีนี้ ถึงสิ้นเดือนธันวาคมจะมีปริมาณการขายมากกว่า 780,000 คันได้
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... 3&catid=no
-
- Verified User
- โพสต์: 5011
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน
โพสต์ที่ 170
ญี่ปุ่นคาดยอดขายรถปีหน้าร่วงต่ำสุดรอบ 34 ปี
Posted on Friday, December 17, 2010
นายโทชิยูกิ ชิกะ ประธานสมาคมยานยนต์ญี่ปุ่น บอกว่า ในปีหน้ายอดขายรถยนต์แต่ละเดือนจะปรับลดลงมากกว่า 10% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยคาดว่า เฉลี่ยทั้งปี 2554 ยอดขายรถใหม่ในญี่ปุ่นมีแนวโน้มร่วงลง 9.9% แตะ 4,465,000 คัน ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 34 ปี หลังจากรัฐบาลญี่ปุ่นประกาศยกเลิกมาตรการช่วยเหลือผู้ซื้อรถเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ขณะที่แนวโน้มเศรษฐกิจประเทศยังขาดความแน่นอน
สำหรับยอดขายในปีนี้คาดว่า จะเพิ่มขึ้น 7.5% แตะที่ 4,955,700 คัน ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปี ส่วนยอดผลิตรถยนต์ภายในประเทศในปีนี้ คาดว่าจะต่ำกว่า 10 ล้านคัน เนื่องจากเงินเยนแข็งค่า แต่จะสูงกว่า 10 ล้านคันในปีหน้า เนื่องจากตลาดต่างประเทศมีความแข็งแกร่ง
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/New ... fault.aspx
Posted on Friday, December 17, 2010
นายโทชิยูกิ ชิกะ ประธานสมาคมยานยนต์ญี่ปุ่น บอกว่า ในปีหน้ายอดขายรถยนต์แต่ละเดือนจะปรับลดลงมากกว่า 10% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยคาดว่า เฉลี่ยทั้งปี 2554 ยอดขายรถใหม่ในญี่ปุ่นมีแนวโน้มร่วงลง 9.9% แตะ 4,465,000 คัน ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 34 ปี หลังจากรัฐบาลญี่ปุ่นประกาศยกเลิกมาตรการช่วยเหลือผู้ซื้อรถเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ขณะที่แนวโน้มเศรษฐกิจประเทศยังขาดความแน่นอน
สำหรับยอดขายในปีนี้คาดว่า จะเพิ่มขึ้น 7.5% แตะที่ 4,955,700 คัน ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปี ส่วนยอดผลิตรถยนต์ภายในประเทศในปีนี้ คาดว่าจะต่ำกว่า 10 ล้านคัน เนื่องจากเงินเยนแข็งค่า แต่จะสูงกว่า 10 ล้านคันในปีหน้า เนื่องจากตลาดต่างประเทศมีความแข็งแกร่ง
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/New ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 5011
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน
โพสต์ที่ 171
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
กสิกรฯคาดยอดขายรถยนต์ปีหน้าพุ่ง 8.3-8.7 แสนคัน เพิ่ม 5-10% ชี้"เก๋งเล็ก"นำตลาด
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยออกบทวิเคราะห์ประเมินยอดขายรถยนต์ในประเทศปี 2554 ว่าจะอยู่ระหว่าง 830,000 ถึง 870,000 คัน หรือขยายตัวร้อยละ 5 ถึง 10 ขยายตัวลดลงจากที่คาดว่าจะขยายตัวสูงกว่าร้อยละ 44 ในปี 2553 ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของผลกระทบจากปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ เช่น ความไม่แน่นอนของการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก และภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ปัจจัยบวกน่าจะมาจากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ยังคงปรับตัวดีขึ้น รวมทั้งความนิยมของตลาดรถยนต์นั่งขนาดเล็กที่คาดว่าจะยังคงมีสูงอย่างต่อเนื่อง
อนึ่ง จากทิศทางตลาดรถยนต์ในประเทศในระยะที่ผ่านมา ทำให้คาดว่าในระยะต่อจากนี้รถยนต์นั่งขนาดเล็กและรถยนต์ที่ใช้พลังงานทดแทน จะมีบทบาทสำคัญในตลาดมากขึ้นเรื่อยๆ จากความนิยมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ทิศทางราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น และรูปแบบรถยนต์รุ่นใหม่ๆที่ผู้ผลิตมีการพัฒนาและนำออกมาสู่ตลาด รวมถึงการให้การสนับสนุนของภาครัฐ โดยเฉพาะในด้านภาษีกับรถยนต์นั่งขนาดเล็กและรถยนต์ที่ใช้พลังงานทดแทน ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางตลาดรถยนต์ในประเทศในอนาคต ซึ่งความนิยมรถยนต์ประเภทดังกล่าวที่เพิ่มขึ้นนี้ ส่งผลทำให้ส่วนแบ่งการตลาดของรถยนต์ในประเทศเริ่มเปลี่ยนทิศทางไป โดยรถยนต์นั่งขนาดเล็กมีการขยายส่วนแบ่งในตลาดรถยนต์นั่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่รถยนต์นั่งขนาดกลางและใหญ่เริ่มมีสัดส่วนที่ลดลง
อย่างไรก็ตาม การขยายฐานตลาดของรถยนต์นั่งขนาดกลางขึ้นไปที่ใช้เทคโนโลยีเพื่ออนาคต เช่น รถไฮบริด ที่เริ่มได้รับความนิยมในตลาดที่แม้ว่าปัจจุบันจะยังอยู่ในวงที่จำกัด เนื่องจากราคาที่อยู่ในระดับสูง แต่จะสังเกตเห็นได้ว่าผู้บริโภคเริ่มมีการรับรู้และให้สนใจเกี่ยวกับรถยนต์ประเภทนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งน่าจะทำให้ทิศทางการพัฒนาตลาดรถยนต์นั่งประเภทนี้มีเพิ่มมากขึ้นในอนาคต
ส่วนประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป คงจะเป็นเรื่องของความต่อเนื่องในการพยุงราคาพลังงานเชื้อเพลิงสำหรับยานยนต์ของภาครัฐ โดยท่ามกลางกระแสราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง จนปัจจุบันได้แตะขึ้นไปสู่ระดับราคาเหนือ 90 ดอลลาร์ฯต่อบาร์เรลติดต่อกันมาระยะหนึ่งแล้ว ซึ่งแม้ว่าปัจจุบันรัฐบาลจะเข้ามาช่วยพยุงราคาน้ำมันดีเซล โดยมีนโยบายใช้เงินกองทุนน้ำมันเข้าพยุงราคาน้ำมันดีเซลถึงช่วงเดือนกุมภาพันธ์
แต่ด้วยวงเงินของกองทุนน้ำมันที่มีอยู่จำกัด และรัฐยังมีภาระที่ต้องเข้าไปชดเชยราคาก๊าซเอ็นจีวี และก๊าซหุงต้ม(แอลพีจี) อีกด้วย หากราคาน้ำมันในตลาดโลกยังคงพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาจทำให้ภาครัฐต้องหยิบยกประเด็นการตัดสินใจเรื่องการพยุงราคาพลังงานขึ้นมาอีกครั้งในปีหน้า ในขณะที่การตรึงราคาของรัฐบาลคงทำได้ในขอบเขตที่จำกัด จึงมีโอกาสที่ราคาหน้าสถานีบริการน้ำมันอาจจำเป็นต้องปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจัยด้านราคาน้ำมันในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้นนี้ อาจจะมีผลกระทบต่อการตัดสินใจซื้อรถยนต์ในประเทศได้ ส่วนรถยนต์นั่งขนาดเล็กประหยัดพลังงาน และรถยนต์พลังงานทางเลือก แม้ว่ามองโดยรวมแล้วอาจได้รับประโยชน์ เนื่องจากความสามารถในการประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน แต่หากราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นกว่าที่มีการประเมินกันไว้จริง ก็ย่อมจะส่งผลกระทบต่อตลาดอย่างไม่อาจเลี่ยง
อย่างไรก็ตาม จากทิศทางตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปสู่การพัฒนารถยนต์ที่ประหยัดพลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมทั้งสอดคล้องกับการใช้งานจริงของผู้บริโภคมากขึ้นนี้ ก็ยังเป็นความจำเป็นที่ผู้ประกอบการซึ่งอยู่ในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ทั้งในส่วนของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ ผู้ผลิตชิ้นส่วน ผู้ผลิตที่อยู่ในอุตสาหกรรมต้นน้ำและให้บริการในส่วนปลายน้ำต่างๆ คงจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จำเป็นจะต้องให้ความสำคัญกับการติดตามทิศทางตลาดดังกล่าวอย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมพร้อมรับมือและปรับตัว ให้สามารถรองรับกับทิศทางตลาดรถยนต์ที่เปลี่ยนแปลงไปดังกล่าว
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... 3&catid=00
กสิกรฯคาดยอดขายรถยนต์ปีหน้าพุ่ง 8.3-8.7 แสนคัน เพิ่ม 5-10% ชี้"เก๋งเล็ก"นำตลาด
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยออกบทวิเคราะห์ประเมินยอดขายรถยนต์ในประเทศปี 2554 ว่าจะอยู่ระหว่าง 830,000 ถึง 870,000 คัน หรือขยายตัวร้อยละ 5 ถึง 10 ขยายตัวลดลงจากที่คาดว่าจะขยายตัวสูงกว่าร้อยละ 44 ในปี 2553 ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของผลกระทบจากปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ เช่น ความไม่แน่นอนของการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก และภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ปัจจัยบวกน่าจะมาจากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ยังคงปรับตัวดีขึ้น รวมทั้งความนิยมของตลาดรถยนต์นั่งขนาดเล็กที่คาดว่าจะยังคงมีสูงอย่างต่อเนื่อง
อนึ่ง จากทิศทางตลาดรถยนต์ในประเทศในระยะที่ผ่านมา ทำให้คาดว่าในระยะต่อจากนี้รถยนต์นั่งขนาดเล็กและรถยนต์ที่ใช้พลังงานทดแทน จะมีบทบาทสำคัญในตลาดมากขึ้นเรื่อยๆ จากความนิยมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ทิศทางราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น และรูปแบบรถยนต์รุ่นใหม่ๆที่ผู้ผลิตมีการพัฒนาและนำออกมาสู่ตลาด รวมถึงการให้การสนับสนุนของภาครัฐ โดยเฉพาะในด้านภาษีกับรถยนต์นั่งขนาดเล็กและรถยนต์ที่ใช้พลังงานทดแทน ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางตลาดรถยนต์ในประเทศในอนาคต ซึ่งความนิยมรถยนต์ประเภทดังกล่าวที่เพิ่มขึ้นนี้ ส่งผลทำให้ส่วนแบ่งการตลาดของรถยนต์ในประเทศเริ่มเปลี่ยนทิศทางไป โดยรถยนต์นั่งขนาดเล็กมีการขยายส่วนแบ่งในตลาดรถยนต์นั่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่รถยนต์นั่งขนาดกลางและใหญ่เริ่มมีสัดส่วนที่ลดลง
อย่างไรก็ตาม การขยายฐานตลาดของรถยนต์นั่งขนาดกลางขึ้นไปที่ใช้เทคโนโลยีเพื่ออนาคต เช่น รถไฮบริด ที่เริ่มได้รับความนิยมในตลาดที่แม้ว่าปัจจุบันจะยังอยู่ในวงที่จำกัด เนื่องจากราคาที่อยู่ในระดับสูง แต่จะสังเกตเห็นได้ว่าผู้บริโภคเริ่มมีการรับรู้และให้สนใจเกี่ยวกับรถยนต์ประเภทนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งน่าจะทำให้ทิศทางการพัฒนาตลาดรถยนต์นั่งประเภทนี้มีเพิ่มมากขึ้นในอนาคต
ส่วนประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป คงจะเป็นเรื่องของความต่อเนื่องในการพยุงราคาพลังงานเชื้อเพลิงสำหรับยานยนต์ของภาครัฐ โดยท่ามกลางกระแสราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง จนปัจจุบันได้แตะขึ้นไปสู่ระดับราคาเหนือ 90 ดอลลาร์ฯต่อบาร์เรลติดต่อกันมาระยะหนึ่งแล้ว ซึ่งแม้ว่าปัจจุบันรัฐบาลจะเข้ามาช่วยพยุงราคาน้ำมันดีเซล โดยมีนโยบายใช้เงินกองทุนน้ำมันเข้าพยุงราคาน้ำมันดีเซลถึงช่วงเดือนกุมภาพันธ์
แต่ด้วยวงเงินของกองทุนน้ำมันที่มีอยู่จำกัด และรัฐยังมีภาระที่ต้องเข้าไปชดเชยราคาก๊าซเอ็นจีวี และก๊าซหุงต้ม(แอลพีจี) อีกด้วย หากราคาน้ำมันในตลาดโลกยังคงพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาจทำให้ภาครัฐต้องหยิบยกประเด็นการตัดสินใจเรื่องการพยุงราคาพลังงานขึ้นมาอีกครั้งในปีหน้า ในขณะที่การตรึงราคาของรัฐบาลคงทำได้ในขอบเขตที่จำกัด จึงมีโอกาสที่ราคาหน้าสถานีบริการน้ำมันอาจจำเป็นต้องปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจัยด้านราคาน้ำมันในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้นนี้ อาจจะมีผลกระทบต่อการตัดสินใจซื้อรถยนต์ในประเทศได้ ส่วนรถยนต์นั่งขนาดเล็กประหยัดพลังงาน และรถยนต์พลังงานทางเลือก แม้ว่ามองโดยรวมแล้วอาจได้รับประโยชน์ เนื่องจากความสามารถในการประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน แต่หากราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นกว่าที่มีการประเมินกันไว้จริง ก็ย่อมจะส่งผลกระทบต่อตลาดอย่างไม่อาจเลี่ยง
อย่างไรก็ตาม จากทิศทางตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปสู่การพัฒนารถยนต์ที่ประหยัดพลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมทั้งสอดคล้องกับการใช้งานจริงของผู้บริโภคมากขึ้นนี้ ก็ยังเป็นความจำเป็นที่ผู้ประกอบการซึ่งอยู่ในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ทั้งในส่วนของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ ผู้ผลิตชิ้นส่วน ผู้ผลิตที่อยู่ในอุตสาหกรรมต้นน้ำและให้บริการในส่วนปลายน้ำต่างๆ คงจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จำเป็นจะต้องให้ความสำคัญกับการติดตามทิศทางตลาดดังกล่าวอย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมพร้อมรับมือและปรับตัว ให้สามารถรองรับกับทิศทางตลาดรถยนต์ที่เปลี่ยนแปลงไปดังกล่าว
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... 3&catid=00
-
- Verified User
- โพสต์: 55
- ผู้ติดตาม: 0
ยอดขายรถม.ค.เพิ่มขึ้น38%
โพสต์ที่ 172
วันศุกร์ ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา 8:33 น
เนื้อหาข่าว
ทำสถิติโตต่อเนื่องเดือนที่17
นายวุฒิกร สุริยะฉันทนานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยถึงยอดขายรถยนต์ประจำเดือน ม.ค. ที่ผ่านมาว่า มีจำนวนทั้งสิ้น 68,398 คัน เพิ่มขึ้น 38% เทียบกับช่วงเดียวกับปีก่อน แบ่งเป็นรถยนต์นั่ง 31,008 คัน เพิ่มขึ้น 49.6%รถเพื่อการพาณิชย์ 37,390 คัน เพิ่มขึ้น 29.7% รถกระบะ 1 ตัน 31,638 คัน เพิ่มขึ้น 28.4% ซึ่งยอดขายรถยนต์เดือนนี้ถือว่าเป็นสถิติใหม่และขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 17
“สำหรับยอดขายที่เพิ่มขึ้นถึง 68,398 คันนั้นโตโยต้า มียอดขาย 26,819 คัน เพิ่มขึ้น 32.2% ด้วยส่วนแบ่งการตลาดที่ 39.2% ตามด้วยอีซูซุ 11,612 คัน เพิ่มขึ้น 14.2% มีส่วนแบ่งการตลาด 17% และ ฮอนด้า 9,772 คัน เพิ่มขึ้น 26.9% มีส่วนแบ่งการตลาด 14.3%”
ทั้งนี้สะท้อนถึงการเติบโตที่ต่อเนื่องของตลาดรถยนต์ทั้งจากภาพเศรษฐกิจโดยรวมที่ดีขึ้น ราคาสินค้าเกษตรที่ปรับสูงขึ้น โดยเฉพาะราคายางพารา ซึ่งส่งผลดีต่อกำลังซื้อของเกษตรกร การไหลเข้าของเงินทุนจากต่างประเทศ ประกอบกับการแนะนำรถยนต์รุ่นใหม่และกิจกรรมส่งเสริมการขายในงานมอเตอร์เอ็กซ์โปช่วงปลายปีที่ผ่านมาซึ่งมียอดจองสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่มีการจัดงานมา แต่ทั้งนี้การใช้นโยบายทางการเงินโดยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อนั้นอาจส่งผลต่อตลาดรถยนต์ได้
นายวุฒิกร กล่าวเพิ่มเติมว่า ตลาดรถยนต์ในเดือน ก.พ.คาดว่าปริมาณการขายยังคงเติบโต จากความนิยมอย่างต่อเนื่องของรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ ที่แนะนำเข้าสู่ตลาดตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมาและตอนต้นปี ซึ่งยังมีส่วนหนึ่งที่ค้างส่งมอบ และมีการปรับเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อเร่งส่งมอบ ประกอบกับข้อมูลสถิติการขายของเดือนก.พ.จะมียอดขายเป็นอันดับ 2 ของไตรมาสแรก
นายวิรัตน์ ผลประดับ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซันยอง (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมของตลาดรถยนต์ปีนี้คาดว่ามียอดขายไม่น้อยกว่า 840,000 คัน ขณะเดียวกันการแข่งขันก็จะคงเข้มข้นมากขึ้นตามสภาวะการเติบโตของตลาด เหล่านี้โดยรวมจะเอื้อประโยชน์แก่ผู้บริโภคซึ่งจะได้มีโอกาสในการเลือกสรร และบริโภคสินค้า
http://www.dailynews.co.th/newstartpage ... tId=121864
เนื้อหาข่าว
ทำสถิติโตต่อเนื่องเดือนที่17
นายวุฒิกร สุริยะฉันทนานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยถึงยอดขายรถยนต์ประจำเดือน ม.ค. ที่ผ่านมาว่า มีจำนวนทั้งสิ้น 68,398 คัน เพิ่มขึ้น 38% เทียบกับช่วงเดียวกับปีก่อน แบ่งเป็นรถยนต์นั่ง 31,008 คัน เพิ่มขึ้น 49.6%รถเพื่อการพาณิชย์ 37,390 คัน เพิ่มขึ้น 29.7% รถกระบะ 1 ตัน 31,638 คัน เพิ่มขึ้น 28.4% ซึ่งยอดขายรถยนต์เดือนนี้ถือว่าเป็นสถิติใหม่และขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 17
“สำหรับยอดขายที่เพิ่มขึ้นถึง 68,398 คันนั้นโตโยต้า มียอดขาย 26,819 คัน เพิ่มขึ้น 32.2% ด้วยส่วนแบ่งการตลาดที่ 39.2% ตามด้วยอีซูซุ 11,612 คัน เพิ่มขึ้น 14.2% มีส่วนแบ่งการตลาด 17% และ ฮอนด้า 9,772 คัน เพิ่มขึ้น 26.9% มีส่วนแบ่งการตลาด 14.3%”
ทั้งนี้สะท้อนถึงการเติบโตที่ต่อเนื่องของตลาดรถยนต์ทั้งจากภาพเศรษฐกิจโดยรวมที่ดีขึ้น ราคาสินค้าเกษตรที่ปรับสูงขึ้น โดยเฉพาะราคายางพารา ซึ่งส่งผลดีต่อกำลังซื้อของเกษตรกร การไหลเข้าของเงินทุนจากต่างประเทศ ประกอบกับการแนะนำรถยนต์รุ่นใหม่และกิจกรรมส่งเสริมการขายในงานมอเตอร์เอ็กซ์โปช่วงปลายปีที่ผ่านมาซึ่งมียอดจองสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่มีการจัดงานมา แต่ทั้งนี้การใช้นโยบายทางการเงินโดยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อนั้นอาจส่งผลต่อตลาดรถยนต์ได้
นายวุฒิกร กล่าวเพิ่มเติมว่า ตลาดรถยนต์ในเดือน ก.พ.คาดว่าปริมาณการขายยังคงเติบโต จากความนิยมอย่างต่อเนื่องของรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ ที่แนะนำเข้าสู่ตลาดตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมาและตอนต้นปี ซึ่งยังมีส่วนหนึ่งที่ค้างส่งมอบ และมีการปรับเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อเร่งส่งมอบ ประกอบกับข้อมูลสถิติการขายของเดือนก.พ.จะมียอดขายเป็นอันดับ 2 ของไตรมาสแรก
นายวิรัตน์ ผลประดับ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซันยอง (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมของตลาดรถยนต์ปีนี้คาดว่ามียอดขายไม่น้อยกว่า 840,000 คัน ขณะเดียวกันการแข่งขันก็จะคงเข้มข้นมากขึ้นตามสภาวะการเติบโตของตลาด เหล่านี้โดยรวมจะเอื้อประโยชน์แก่ผู้บริโภคซึ่งจะได้มีโอกาสในการเลือกสรร และบริโภคสินค้า
http://www.dailynews.co.th/newstartpage ... tId=121864
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 1
Re: อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน
โพสต์ที่ 173
ปิดฉากมอเตอร์เอ็กซโป ยอดจองรถทะลุ 7 หมื่นคัน [ เดลินิวส์, 11 ธ.ค. 55 ]
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในงานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 29 หรือมอเตอร์เอ็กซโป 2012 ที่ได้จัดขึ้นตั้งแต่
วันที่ 29 พ.ย.-9 ธ.ค.ที่ผ่านมา มียอดจองรถยนต์รวม 69,482 คัน โดย 5 อันดับแรก ค่ายฮอนด้ามียอด
จอง 16,148 คัน โตโยต้า 14,961 คัน นิสสัน 6,809 คัน อีซูซุ 5,587 คัน มิตซูบิชิ 4,692 คัน ส่วน
รถหรูค่ายเมอร์เซเดสเบนซ์ 1,306 คัน บีเอ็มดับเบิลยู 1,191 คัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในงานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 29 หรือมอเตอร์เอ็กซโป 2012 ที่ได้จัดขึ้นตั้งแต่
วันที่ 29 พ.ย.-9 ธ.ค.ที่ผ่านมา มียอดจองรถยนต์รวม 69,482 คัน โดย 5 อันดับแรก ค่ายฮอนด้ามียอด
จอง 16,148 คัน โตโยต้า 14,961 คัน นิสสัน 6,809 คัน อีซูซุ 5,587 คัน มิตซูบิชิ 4,692 คัน ส่วน
รถหรูค่ายเมอร์เซเดสเบนซ์ 1,306 คัน บีเอ็มดับเบิลยู 1,191 คัน
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."