เตือนใจนักลงทุน
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6483
- ผู้ติดตาม: 1
เตือนใจนักลงทุน
โพสต์ที่ 1
ช่วงนี้ไปไหนมาไหน เจอะเจอใคร ก็มักถามผมเรื่องหุ้น
เพราะเค้าทราบว่าผมลงทุนมานานแล้ว
โดยแต่ละคนก็มีเหตุผลร้อยแปด
-เพื่อนคนนึงอยากเรียนต่อ แต่ไม่มีเงิน มีเงินเก็บก้อนนึง ก็เลยจะเล่นหุ้นหาทุนเรียน
-ญาติๆ ก็ถามไถ่เรื่องหุ้น ว่าควรจะซื้อตัวไหน เพราะเค้าเบื่อเต็มทนกับดอกเบี้ย 1%
-เพื่อนภรรยา ก็ถามว่าจะซื้อตัวไหนดี ผมก็เลยแนะนำ PTT ตอนที่ 80 บาท แต่ด้วยความไม่แน่ใจเค้าก็เลยไม่ซื้อ มาเมื่อวานเจอผม ถามว่า PTT ราคาเท่าไหร่แล้ว ผมบอกประมาณ 180 บาท เค้าตกใจระคนเสียดายครับ....ครับผมก็เสียดายแทนครับ
ที่กล่าวมาผมก็ได้แต่แนะนำ หุ้นปัจจัยพื้นฐานดีๆ ให้ครับ จะไปซื้อหรือเปล่าเป็นเรื่องของเค้า แต่ก็บอกทุกคนว่า หุ้นขึ้นมา 2-3 ปี แล้ว ให้ระวังไว้ด้วยครับ
แต่ถ้าให้ดีที่สุด อยากให้เค้าเหล่านั้นอ่านบทความ ของ ดร.นิเวศน์ บทนี้ครับ.....
อย่าหวังรวยลัดจากตลาดหุ้น
ปี 2546 คงจะต้องถูกจารึกว่าเป็นปีที่ตลาดหลักทรัพย์ให้ผลตอบแทนดีที่สุดปีหนึ่งในประวัติศาสตร์ของตลาดหุ้นเพราะดัชนีตลาดปรับตัวขึ้นกว่า 100% จากดัชนีประมาณ 356 จุดเป็นประมาณ 772 จุดในวันสิ้นปี
นักลงทุนทุกกลุ่มในตลาดต่างก็ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ บางคนกำไรหลายร้อยเปอร์เซ็นต์จากเงินที่นำมาลงทุนในหุ้น บางคนกำไรเพียงหลักสิบเปอร์เซ็นต์ ความดีใจและความภาคภูมิใจของนักลงทุนก็ลดหลั่นกันไปตามผลกำไรที่ได้รับเช่นเดียวกับความมั่นใจที่เกิดขึ้นจากการเล่นหุ้น
หลาย ๆ คนอาจจะเริ่มฝันว่าได้พบหนทางสู่ความมั่งคั่งอย่างง่ายดายและรวดเร็ว บางคนเริ่มคิดถึงวันที่ตนเองจะมีอิสรภาพทางการเงินในไม่ช้าทั้ง ๆ ที่เพิ่งจะเริ่มเข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์
สิ่งที่คนจำนวนมากในตลาดหุ้นคิดและเชื่อกันในขณะนี้ก็คือหุ้นเป็นทรัพย์สินที่ให้ผลตอบแทนสูงมาก และถ้าทำโพลถามนักลงทุนว่าเขาคิดว่าตลาดหุ้นจะให้ผลตอบแทนเท่าไรในระยะยาว คำตอบคงเป็น 30 40% ต่อปีขึ้นไป โดยเฉพาะในปี 2547 นั้น หุ้นคงจะวิ่งกระฉูดไม่แพ้ปี 2546 เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เอื้ออำนวยต่อตลาดหุ้นก็ยังคงอยู่ และน่าจะดีขึ้นด้วยซ้ำไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งภาวะเศรษฐกิจที่เขาบอกกันว่าจะดียิ่งขึ้นไปอีก
แต่ถ้าถามว่ามีนักลงทุนในตลาดหุ้นกี่คนที่ร่ำรวย หรือมีอิสระทางการเงินแล้วจากการลงทุนในตลาดหุ้น คำตอบก็คือน้อยมาก แม้ว่าจะไม่มีใครทำการศึกษาเรื่องนี้ แต่ผมเชื่อว่าคนที่รวยจากการลงทุนหรือเล่นหุ้นจริง ๆ นั้นมีไม่เกิน 1 ใน 100 คนที่มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากการลงทุน ผมคิดว่าคงมีพอสมควรหลังจากที่ดัชนีตลาดปรับตัวขึ้นอย่างรุนแรงในช่วงปีสองปีที่ผ่านมา ส่วนที่เหลือไม่ต่ำกว่า 70 80% ของนักลงทุนนั้น ผมเชื่อว่ายังไม่ได้กำไรจากหุ้นเป็นเรื่องเป็นราวจริง ๆ ยกเว้นปี 2546 ที่ได้กำไรชดเชยมาบ้าง
เพราะข้อเท็จของหุ้นก็คือ ในช่วงเกือบ 30 ปีที่ผ่านมา การลงทุนในตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยปีละประมาณ 10% เท่านั้น โดยเป็นผลตอบแทนที่เกิดจากการปรับตัวขึ้นของดัชนีประมาณ 7 8% และผลตอบแทนจากเงินปันผลประมาณ 2 3% ต่อปี และข้อมูลนี้ก็บังเอิญใกล้เคียงกับผลตอบแทนของตลาดหุ้นในสหรัฐที่ให้ผลตอบแทนประมาณ 10 11% ต่อปี โดยเฉลี่ยเป็นระยะเวลา 50 60 ปีขึ้นไป
ข้อเท็จจริงต่อมาของตลาดหุ้นก็คือผลตอบแทนจากการลงทุนมีการขึ้นลงผันผวนไปเรื่อย ๆ แม้ว่าการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจจะเดินหน้าต่อเนื่องมายาวนานหลายสิบปีโดยที่มีน้อยครั้งมากที่เศรษฐกิจจะติดลบและเกิดวิกฤติ นาน ๆ ครั้งดัชนีตลาดก็จะตกต่ำลงอย่างหนักเป็นเวลา 2 3 ปี เช่นเดียวกับที่บางครั้งดัชนีก็ปรับตัวขึ้นอย่างรุนแรงเป็นภาวะกระทิงเปลี่ยวอย่างเช่นที่เกิดขึ้นในปีที่แล้ว ข้อสรุปที่ชัดเจนก็คือ ในระยะยาวตลาดไม่สามารถเติบโตเกิน 10 15% ต่อปี โดยเฉลี่ยได้
ด้วยเหตุดังกล่าว นักลงทุนที่คิดว่าตนเองจะสามารถลงทุนทำกำไรจากตลาดหุ้นได้ปีละ 30 40% หรือบางคนคิดว่าจะสามารถกำไรเป็นเท่าตัวในปีเดียวจึงเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีมากเกินไปหรือไม่ก็คงประมาณการฝีมือการลงทุนของตนเองสูงกว่าความเป็นจริง ซึ่งโอกาสที่จะไม่เป็นเช่นนั้นคงมีอยู่สูง ความผิดหวังจะตามมา และเมื่อถึงเวลานั้น ความคิดและภาพพจน์เกี่ยวกับตลาดหุ้นก็จะเปลี่ยนไป คนจะเลิกคิดว่าตลาดหลักทรัพย์เป็นแหล่งที่จะสามารถสร้างความมั่งคั่งที่รวดเร็วได้ และคนจำนวนมากก็จะออกจากตลาดหลักทรัพย์กลับไป ทำมาหากิน ตามเดิม
นอกจากผลตอบแทนของตลาดหลักทรัพย์ที่ไม่ได้สูงลิ่วอย่างที่หลายคนคิดแล้ว การจัดสรรเงินมาลงทุนในหุ้นสำหรับคนส่วนมากก็มักจะเป็นจำนวนน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับทรัพย์สินทั้งหมดที่มีอยู่ ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่คงลงทุนในหุ้นไม่เกิน 20 30% ของเม็ดเงินที่มี เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่ากำไรจากหุ้นจะเป็น 100% ในปีใดปีหนึ่ง แต่ถ้าเงินส่วนใหญ่อีก 70 80% กลับฝากอยู่ในธนาคารได้ดอกเบี้ยเพียง 1% ต่อปี ผลตอบแทนรวมก็จะได้เพียงประมาณ 21 31% เท่านั้น ซึ่งไม่เพียงพอที่จะทำให้ใครรวยได้อย่างรวดเร็ว
ข้อสรุปของผมก็คือเป็น เรื่องที่ยากมากสำหรับคนทั่วไปที่จะร่ำรวยจากตลาดหุ้นแม้ว่าในช่วงนี้หลาย ๆ คนจะคิดว่าเป็นไปได้ไม่ยาก คนมักจะเอาสิ่งที่เพิ่งจะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้มาเป็นฐานในการมองไปข้างหน้า สิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเพียงปีหรือสองปีมักจะมีอิทธิพลมากกว่าประวัติศาสตร์เกือบ 30 ปีที่ผ่านมาของไทยและประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นนับเป็น 100 ปีของตลาดหุ้นที่เจริญที่สุดอย่างสหรัฐอเมริกา
Value Investor ที่จะประสบความสำเร็จ ร่ำรวย และเป็นอิสระทางการเงินจากตลาดหุ้นได้นั้น ผมคิดว่าจะต้องมองตลาดหุ้นด้วยความเป็นจริง คาดหวังผลตอบแทนปีละไม่เกิน 15% โดยเฉลี่ยจากการลงทุนไม่ว่าภาวะแวดล้อมจะสดใสเพียงใด ไม่ควรลงทุนในหุ้นที่เก็งกำไรสูงแต่ควรซื้อหุ้นที่มีความปลอดภัยมากด้วยเม็ดเงินในสัดส่วนที่สูง นั่นคืออย่าฝากเงินในธนาคารซึ่งให้ดอกเบี้ยเพียง 1% ต่อปีมากนัก และสุดท้ายซึ่งหนีไม่พ้นก็คือจะต้องลงทุนในตลาดหุ้นยาวนานไม่ออกไปไหนถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ ไม่ว่าภาวะตลาดจะเป็นอย่างไร
การลงทุนให้ประสบความสำเร็จจริง ๆ นั้น ไม่มีทางลัด และมันต้องการเวลา วอเร็น บัฟเฟตต์เคยพูดว่าคุณไม่สามารถผลิตเด็กภายใน 1 เดือนโดยใช้ผู้ชาย 9 คนได้ เช่นเดียวกันการลงทุนนั้นอย่าหวังรวยเร็ว ควรหวังรวยช้าแต่แน่นอนจะดีกว่า
เพราะเค้าทราบว่าผมลงทุนมานานแล้ว
โดยแต่ละคนก็มีเหตุผลร้อยแปด
-เพื่อนคนนึงอยากเรียนต่อ แต่ไม่มีเงิน มีเงินเก็บก้อนนึง ก็เลยจะเล่นหุ้นหาทุนเรียน
-ญาติๆ ก็ถามไถ่เรื่องหุ้น ว่าควรจะซื้อตัวไหน เพราะเค้าเบื่อเต็มทนกับดอกเบี้ย 1%
-เพื่อนภรรยา ก็ถามว่าจะซื้อตัวไหนดี ผมก็เลยแนะนำ PTT ตอนที่ 80 บาท แต่ด้วยความไม่แน่ใจเค้าก็เลยไม่ซื้อ มาเมื่อวานเจอผม ถามว่า PTT ราคาเท่าไหร่แล้ว ผมบอกประมาณ 180 บาท เค้าตกใจระคนเสียดายครับ....ครับผมก็เสียดายแทนครับ
ที่กล่าวมาผมก็ได้แต่แนะนำ หุ้นปัจจัยพื้นฐานดีๆ ให้ครับ จะไปซื้อหรือเปล่าเป็นเรื่องของเค้า แต่ก็บอกทุกคนว่า หุ้นขึ้นมา 2-3 ปี แล้ว ให้ระวังไว้ด้วยครับ
แต่ถ้าให้ดีที่สุด อยากให้เค้าเหล่านั้นอ่านบทความ ของ ดร.นิเวศน์ บทนี้ครับ.....
อย่าหวังรวยลัดจากตลาดหุ้น
ปี 2546 คงจะต้องถูกจารึกว่าเป็นปีที่ตลาดหลักทรัพย์ให้ผลตอบแทนดีที่สุดปีหนึ่งในประวัติศาสตร์ของตลาดหุ้นเพราะดัชนีตลาดปรับตัวขึ้นกว่า 100% จากดัชนีประมาณ 356 จุดเป็นประมาณ 772 จุดในวันสิ้นปี
นักลงทุนทุกกลุ่มในตลาดต่างก็ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ บางคนกำไรหลายร้อยเปอร์เซ็นต์จากเงินที่นำมาลงทุนในหุ้น บางคนกำไรเพียงหลักสิบเปอร์เซ็นต์ ความดีใจและความภาคภูมิใจของนักลงทุนก็ลดหลั่นกันไปตามผลกำไรที่ได้รับเช่นเดียวกับความมั่นใจที่เกิดขึ้นจากการเล่นหุ้น
หลาย ๆ คนอาจจะเริ่มฝันว่าได้พบหนทางสู่ความมั่งคั่งอย่างง่ายดายและรวดเร็ว บางคนเริ่มคิดถึงวันที่ตนเองจะมีอิสรภาพทางการเงินในไม่ช้าทั้ง ๆ ที่เพิ่งจะเริ่มเข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์
สิ่งที่คนจำนวนมากในตลาดหุ้นคิดและเชื่อกันในขณะนี้ก็คือหุ้นเป็นทรัพย์สินที่ให้ผลตอบแทนสูงมาก และถ้าทำโพลถามนักลงทุนว่าเขาคิดว่าตลาดหุ้นจะให้ผลตอบแทนเท่าไรในระยะยาว คำตอบคงเป็น 30 40% ต่อปีขึ้นไป โดยเฉพาะในปี 2547 นั้น หุ้นคงจะวิ่งกระฉูดไม่แพ้ปี 2546 เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เอื้ออำนวยต่อตลาดหุ้นก็ยังคงอยู่ และน่าจะดีขึ้นด้วยซ้ำไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งภาวะเศรษฐกิจที่เขาบอกกันว่าจะดียิ่งขึ้นไปอีก
แต่ถ้าถามว่ามีนักลงทุนในตลาดหุ้นกี่คนที่ร่ำรวย หรือมีอิสระทางการเงินแล้วจากการลงทุนในตลาดหุ้น คำตอบก็คือน้อยมาก แม้ว่าจะไม่มีใครทำการศึกษาเรื่องนี้ แต่ผมเชื่อว่าคนที่รวยจากการลงทุนหรือเล่นหุ้นจริง ๆ นั้นมีไม่เกิน 1 ใน 100 คนที่มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากการลงทุน ผมคิดว่าคงมีพอสมควรหลังจากที่ดัชนีตลาดปรับตัวขึ้นอย่างรุนแรงในช่วงปีสองปีที่ผ่านมา ส่วนที่เหลือไม่ต่ำกว่า 70 80% ของนักลงทุนนั้น ผมเชื่อว่ายังไม่ได้กำไรจากหุ้นเป็นเรื่องเป็นราวจริง ๆ ยกเว้นปี 2546 ที่ได้กำไรชดเชยมาบ้าง
เพราะข้อเท็จของหุ้นก็คือ ในช่วงเกือบ 30 ปีที่ผ่านมา การลงทุนในตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยปีละประมาณ 10% เท่านั้น โดยเป็นผลตอบแทนที่เกิดจากการปรับตัวขึ้นของดัชนีประมาณ 7 8% และผลตอบแทนจากเงินปันผลประมาณ 2 3% ต่อปี และข้อมูลนี้ก็บังเอิญใกล้เคียงกับผลตอบแทนของตลาดหุ้นในสหรัฐที่ให้ผลตอบแทนประมาณ 10 11% ต่อปี โดยเฉลี่ยเป็นระยะเวลา 50 60 ปีขึ้นไป
ข้อเท็จจริงต่อมาของตลาดหุ้นก็คือผลตอบแทนจากการลงทุนมีการขึ้นลงผันผวนไปเรื่อย ๆ แม้ว่าการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจจะเดินหน้าต่อเนื่องมายาวนานหลายสิบปีโดยที่มีน้อยครั้งมากที่เศรษฐกิจจะติดลบและเกิดวิกฤติ นาน ๆ ครั้งดัชนีตลาดก็จะตกต่ำลงอย่างหนักเป็นเวลา 2 3 ปี เช่นเดียวกับที่บางครั้งดัชนีก็ปรับตัวขึ้นอย่างรุนแรงเป็นภาวะกระทิงเปลี่ยวอย่างเช่นที่เกิดขึ้นในปีที่แล้ว ข้อสรุปที่ชัดเจนก็คือ ในระยะยาวตลาดไม่สามารถเติบโตเกิน 10 15% ต่อปี โดยเฉลี่ยได้
ด้วยเหตุดังกล่าว นักลงทุนที่คิดว่าตนเองจะสามารถลงทุนทำกำไรจากตลาดหุ้นได้ปีละ 30 40% หรือบางคนคิดว่าจะสามารถกำไรเป็นเท่าตัวในปีเดียวจึงเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีมากเกินไปหรือไม่ก็คงประมาณการฝีมือการลงทุนของตนเองสูงกว่าความเป็นจริง ซึ่งโอกาสที่จะไม่เป็นเช่นนั้นคงมีอยู่สูง ความผิดหวังจะตามมา และเมื่อถึงเวลานั้น ความคิดและภาพพจน์เกี่ยวกับตลาดหุ้นก็จะเปลี่ยนไป คนจะเลิกคิดว่าตลาดหลักทรัพย์เป็นแหล่งที่จะสามารถสร้างความมั่งคั่งที่รวดเร็วได้ และคนจำนวนมากก็จะออกจากตลาดหลักทรัพย์กลับไป ทำมาหากิน ตามเดิม
นอกจากผลตอบแทนของตลาดหลักทรัพย์ที่ไม่ได้สูงลิ่วอย่างที่หลายคนคิดแล้ว การจัดสรรเงินมาลงทุนในหุ้นสำหรับคนส่วนมากก็มักจะเป็นจำนวนน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับทรัพย์สินทั้งหมดที่มีอยู่ ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่คงลงทุนในหุ้นไม่เกิน 20 30% ของเม็ดเงินที่มี เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่ากำไรจากหุ้นจะเป็น 100% ในปีใดปีหนึ่ง แต่ถ้าเงินส่วนใหญ่อีก 70 80% กลับฝากอยู่ในธนาคารได้ดอกเบี้ยเพียง 1% ต่อปี ผลตอบแทนรวมก็จะได้เพียงประมาณ 21 31% เท่านั้น ซึ่งไม่เพียงพอที่จะทำให้ใครรวยได้อย่างรวดเร็ว
ข้อสรุปของผมก็คือเป็น เรื่องที่ยากมากสำหรับคนทั่วไปที่จะร่ำรวยจากตลาดหุ้นแม้ว่าในช่วงนี้หลาย ๆ คนจะคิดว่าเป็นไปได้ไม่ยาก คนมักจะเอาสิ่งที่เพิ่งจะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้มาเป็นฐานในการมองไปข้างหน้า สิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเพียงปีหรือสองปีมักจะมีอิทธิพลมากกว่าประวัติศาสตร์เกือบ 30 ปีที่ผ่านมาของไทยและประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นนับเป็น 100 ปีของตลาดหุ้นที่เจริญที่สุดอย่างสหรัฐอเมริกา
Value Investor ที่จะประสบความสำเร็จ ร่ำรวย และเป็นอิสระทางการเงินจากตลาดหุ้นได้นั้น ผมคิดว่าจะต้องมองตลาดหุ้นด้วยความเป็นจริง คาดหวังผลตอบแทนปีละไม่เกิน 15% โดยเฉลี่ยจากการลงทุนไม่ว่าภาวะแวดล้อมจะสดใสเพียงใด ไม่ควรลงทุนในหุ้นที่เก็งกำไรสูงแต่ควรซื้อหุ้นที่มีความปลอดภัยมากด้วยเม็ดเงินในสัดส่วนที่สูง นั่นคืออย่าฝากเงินในธนาคารซึ่งให้ดอกเบี้ยเพียง 1% ต่อปีมากนัก และสุดท้ายซึ่งหนีไม่พ้นก็คือจะต้องลงทุนในตลาดหุ้นยาวนานไม่ออกไปไหนถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ ไม่ว่าภาวะตลาดจะเป็นอย่างไร
การลงทุนให้ประสบความสำเร็จจริง ๆ นั้น ไม่มีทางลัด และมันต้องการเวลา วอเร็น บัฟเฟตต์เคยพูดว่าคุณไม่สามารถผลิตเด็กภายใน 1 เดือนโดยใช้ผู้ชาย 9 คนได้ เช่นเดียวกันการลงทุนนั้นอย่าหวังรวยเร็ว ควรหวังรวยช้าแต่แน่นอนจะดีกว่า
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
- คัดท้าย
- Verified User
- โพสต์: 2917
- ผู้ติดตาม: 0
เตือนใจนักลงทุน
โพสต์ที่ 2
พี่ลูกอีสานลองไปโพสต์อย่างนี้ที่เว็บกระทิงเขียว ตอนนี้ดิครับ
ผมอยากเห็น Feedback จัง 5555 :lol:
ผมอยากเห็น Feedback จัง 5555 :lol:
The crowd, the world, and sometimes even the grave, step aside for the man who knows where he's going, but pushes the aimless drifter aside. -- Ancient Roman Saying
-
- Verified User
- โพสต์: 627
- ผู้ติดตาม: 0
เตือนใจนักลงทุน
โพสต์ที่ 3
ขอบคุณครับ ผมสำหรับคำเตือนทีมีคุณค่า
ช่วงนี้ นลท หน้าใหม่ใหม่ เริ่มที่จะมาสนใจซื้อหุ้น ซึ่งอาจจะเป็นราคาที่สุงเกินไปมากมาก สำหรับหุ้นบางตัวแล้วครับ
แต่หุ้นที่ดีดี บางตัวก็ยังไม่ได้ขึ้นเท่าไหร่ ครับ
ช่วงนี้ นลท หน้าใหม่ใหม่ เริ่มที่จะมาสนใจซื้อหุ้น ซึ่งอาจจะเป็นราคาที่สุงเกินไปมากมาก สำหรับหุ้นบางตัวแล้วครับ
แต่หุ้นที่ดีดี บางตัวก็ยังไม่ได้ขึ้นเท่าไหร่ ครับ
ควรลงทุนอย่างรอบคอบ ในหุ้นดีและราคาไม่แพง ครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11444
- ผู้ติดตาม: 1
เตือนใจนักลงทุน
โพสต์ที่ 5
ผมก็สงสัยทุกครั้งครับว่าทำไมตอนหุ้นตกมากๆ ราคาต่ำๆ นักลงทุนรายย่อยหน้าใหม่ถึงไม่ซื้อ พอหุ้นขึ้นมามากแล้วค่อยคิดที่จะซื้อ ทั้งๆที่ผลตอบแทนก็ต่ำลง แต่มีความเสี่ยงมากขึ้น
ถ้าทุกคนมียึดหลักการลงทุนไว้ จะมีความคิดที่ถูกต้อง เช่นถ้ายึดหลักผลตอบแทนจากเงินปันผลเทียบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำระยะยาว ทุกคนจะสนใจซื้อตอนที่หุ้นตกมามากแล้ว แต่จะหลีกเลี่ยงตอนหุ้นขึ้น
คนส่วนใหญ่ไม่คิดเช่นนั้น เพราะไม่ได้มองว่าการซื้อหุ้นเป็นการลงทุน
หุ้นของแต่ละบริษัทมีมูลค่าที่แท้จริงซ่อนอยู่ สามารถให้ผลตอบแทนได้ด้วยตัวมันเอง (เงินปันผล) ไม่เหมือนการเก็งกำไรที่อาศัยการปั่นราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยที่สิ่งนั้นไม่สามารถให้ผลตอบแทนที่แท้จริงได้ (ไม่สามารถผลิตกระแสเงินสดได้จากการถือครอง) เช่น Stamp งานศิลปะ ทองคำ เพชรพลอย สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถผลิตกระแสเงินสดให้เราได้ต่อเนื่อง นอกจากความสุขใจที่ได้ชื่นชม จะได้ผลตอบแทนก็ต่อเมื่อราคามันสูงขึ้นจากความนิยมที่ถูกปั่นกระแสขึ้น
ถ้าทุกคนมียึดหลักการลงทุนไว้ จะมีความคิดที่ถูกต้อง เช่นถ้ายึดหลักผลตอบแทนจากเงินปันผลเทียบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำระยะยาว ทุกคนจะสนใจซื้อตอนที่หุ้นตกมามากแล้ว แต่จะหลีกเลี่ยงตอนหุ้นขึ้น
คนส่วนใหญ่ไม่คิดเช่นนั้น เพราะไม่ได้มองว่าการซื้อหุ้นเป็นการลงทุน
หุ้นของแต่ละบริษัทมีมูลค่าที่แท้จริงซ่อนอยู่ สามารถให้ผลตอบแทนได้ด้วยตัวมันเอง (เงินปันผล) ไม่เหมือนการเก็งกำไรที่อาศัยการปั่นราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยที่สิ่งนั้นไม่สามารถให้ผลตอบแทนที่แท้จริงได้ (ไม่สามารถผลิตกระแสเงินสดได้จากการถือครอง) เช่น Stamp งานศิลปะ ทองคำ เพชรพลอย สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถผลิตกระแสเงินสดให้เราได้ต่อเนื่อง นอกจากความสุขใจที่ได้ชื่นชม จะได้ผลตอบแทนก็ต่อเมื่อราคามันสูงขึ้นจากความนิยมที่ถูกปั่นกระแสขึ้น
แก้ไขล่าสุดโดย chatchai เมื่อ อาทิตย์ ต.ค. 19, 2008 8:35 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
- ม้าเฉียว
- Verified User
- โพสต์: 350
- ผู้ติดตาม: 0
เตือนใจนักลงทุน
โพสต์ที่ 6
นักลงทุนจำนวนมาก คงทำใจไม่ได้กับการปล่อยให้เงินของตัวเองอยู่ในหุ้นนาน เพราะเค้ามองว่า การลงทุนมันเป็นเกม ในเมื่อเงินมันยังอยู่ในเกม เราจะไว้ใจได้อย่างไร ยิ่งคนที่ลงทุนในหุ้นที่มีการเก็งกำไรสูง ความเข้มข้นของเกมมันจะมีมากขึ้น ทำให้รู้สึกว่าต้องชิงไหวชิงพริบ หาทางเอาเงินออกมาจากเกมให้ได้ คือ ซื้อแล้วต้องขายให้ได้กำไร หลังจากนั้นค่อยว่ากันอีกที
การลงทุน มันต้องการเวลา และซื้อหุ้นที่มีความปลอดภัยมากด้วยเม็ดเงินในสัดส่วนที่สูง
พี่ปรัชญาว่าไว้อย่างนั้น
การลงทุน มันต้องการเวลา และซื้อหุ้นที่มีความปลอดภัยมากด้วยเม็ดเงินในสัดส่วนที่สูง
พี่ปรัชญาว่าไว้อย่างนั้น
- BOONPARUEY
- Verified User
- โพสต์: 184
- ผู้ติดตาม: 0
เตือนใจนักลงทุน
โพสต์ที่ 7
... กระทู้คุณค่า ...
... :cheers: ...
... :cheers: ...
... " บุญ คือ เสบียงของคนไม่ประมาท " พุทธตรัส ...
- justbegin
- Verified User
- โพสต์: 13
- ผู้ติดตาม: 0
เตือนใจนักลงทุน
โพสต์ที่ 8
เป็นคำพูดของ คุณเสริมสิน สมะลาภา อ่านมาแล้วเข้าใจอะไรมากขี้น ไม่แน่ใจว่าเคยอ่านกันแล้วหรือยัง
"ในตลาดหุ้นไม่มีใครโง่ ทุกคนที่เล่นหุ้นฉลาด แต่ว่าความกลัวกับความกล้าของคนเราไม่เท่ากัน เรารู้ดีว่าในช่วงที่คนกล้าเราต้องระวัง
คนโง่ไม่เคยเรียนรู้อะไรเลย คนปานกลางเรียนรู้จากความผิดพลาดของตัวเอง คนฉลาดเรียนรู้ความผิดพลาดของคนอื่น"
"ในตลาดหุ้นไม่มีใครโง่ ทุกคนที่เล่นหุ้นฉลาด แต่ว่าความกลัวกับความกล้าของคนเราไม่เท่ากัน เรารู้ดีว่าในช่วงที่คนกล้าเราต้องระวัง
คนโง่ไม่เคยเรียนรู้อะไรเลย คนปานกลางเรียนรู้จากความผิดพลาดของตัวเอง คนฉลาดเรียนรู้ความผิดพลาดของคนอื่น"
อยากเป็นเจ้านายคนที่ดี จงฟังให้มาก และพูดให้น้อย
อยากเป็นวีไอที่ดี จงอ่านให้มาก และลงมือเมื่อพร้อม
อยากเป็นวีไอที่ดี จงอ่านให้มาก และลงมือเมื่อพร้อม
-
- Verified User
- โพสต์: 231
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เตือนใจนักลงทุน
โพสต์ที่ 10
ชอบอันนี้ครับลูกอิสาน เขียน: การลงทุนให้ประสบความสำเร็จจริง ๆ นั้น ไม่มีทางลัด และมันต้องการเวลา วอเร็น บัฟเฟตต์เคยพูดว่าคุณไม่สามารถผลิตเด็กภายใน 1 เดือนโดยใช้ผู้ชาย 9 คนได้ เช่นเดียวกันการลงทุนนั้นอย่าหวังรวยเร็ว ควรหวังรวยช้าแต่แน่นอนจะดีกว่า
- Juninho
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1054
- ผู้ติดตาม: 1
Re: เตือนใจนักลงทุน
โพสต์ที่ 11
เคยอ่านหนังสือ เขาบอกว่าผลตอบแทน ของอเมริกา ประมาณ 10 %ลูกอิสาน เขียน:
เพราะข้อเท็จของหุ้นก็คือ ในช่วงเกือบ 30 ปีที่ผ่านมา การลงทุนในตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยปีละประมาณ 10% เท่านั้น โดยเป็นผลตอบแทนที่เกิดจากการปรับตัวขึ้นของดัชนีประมาณ 7 8% และผลตอบแทนจากเงินปันผลประมาณ 2 3% ต่อปี และข้อมูลนี้ก็บังเอิญใกล้เคียงกับผลตอบแทนของตลาดหุ้นในสหรัฐที่ให้ผลตอบแทนประมาณ 10 11% ต่อปี โดยเฉลี่ยเป็นระยะเวลา 50 60 ปีขึ้นไป
แต่ทำไมดาวโจนเขา วิ่งไปหลายเท่าตัวจังครับ ถ้าดูกราฟดาวโจนไม่น่าเชื่อเลยว่าตลาดหุ้นอเมริกา ให้ผลตอบแทน พอ ๆ กับตลาดหุ้นไทย
แปลกใจจัง
You Can Get It If You Really Want
But you must try, try and try
But you must try, try and try
-
- Verified User
- โพสต์: 3345
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เตือนใจนักลงทุน
โพสต์ที่ 12
frog2 เขียน: เคยอ่านหนังสือ เขาบอกว่าผลตอบแทน ของอเมริกา ประมาณ 10 %
แต่ทำไมดาวโจนเขา วิ่งไปหลายเท่าตัวจังครับ ถ้าดูกราฟดาวโจนไม่น่าเชื่อเลยว่าตลาดหุ้นอเมริกา ให้ผลตอบแทน พอ ๆ กับตลาดหุ้นไทย
อย่าลืมเอา ระยะเวลา มาคำนวณด้วยนะครับ
ตลาดหุ้นไทยอยู่มากี่ปี ตลาดหุ้นสหรัฐอยู่มาแล้วกี่ปี :8) ...
แปลกใจจัง
- King_Krimson
- Verified User
- โพสต์: 171
- ผู้ติดตาม: 0
เตือนใจนักลงทุน
โพสต์ที่ 13
ขอบคุณครับ เป็นข้อเตือนใจที่สำคัญ
"Ther Pursuit of Liberty"
"You can only depend on yourself. The cavalry ain't coming."
"You can only depend on yourself. The cavalry ain't coming."
- kornjackrit
- Verified User
- โพสต์: 1524
- ผู้ติดตาม: 0
เตือนใจนักลงทุน
โพสต์ที่ 14
chatchai เขียน:ผมก็สงสัยทุกครั้งครับว่าทำไมตอนหุ้นตกมากๆ ราคาต่ำๆ นักลงทุนรายย่อยหน้าใหม่ถึงไม่ซื้อ พอหุ้นขึ้นมามากแล้วค่อยคิดที่จะซื้อ ทั้งๆที่ผลตอบแทนก็ต่ำลง แต่มีความเสี่ยงมากขึ้น
ถ้าทุกคนมียึดหลักการลงทุนไว้ จะมีความคิดที่ถูกต้อง เช่นถ้ายึดหลักผลตอบแทนจากเงินปันผลเทียบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำระยะยาว ทุกคนจะสนใจซื้อตอนที่หุ้นตกมามากแล้ว แต่จะหลีกเลี่ยงตอนหุ้นขึ้น
When you become famous, the first thing you should have to remember is not your success story but those who help you along the way.
-
- Verified User
- โพสต์: 1252
- ผู้ติดตาม: 0
เตือนใจนักลงทุน
โพสต์ที่ 16
ขอบคุณคุณโจที่ช่วยนำบทความดีดีของดร.นิเวศน์มาเตือนสตินักลงทุนให้มีความโลภในระดับที่ควบคุมได้อย่างที่บัฟเฟตต์ได้ให้คำแนะนำไว้ครับ
โดยส่วนตัวผมคิดว่าถ้านักลงทุนมีความสามารถในการวิเคราะห์หุ้นปัจจัยพื้นฐานในการลงทุนได้อย่างดี และเข้าใจจังหวะการลงทุนที่เหมาะสมแล้วผลตอบแทนที่ดีจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอนครับ
โดยส่วนตัวผมคิดว่าถ้านักลงทุนมีความสามารถในการวิเคราะห์หุ้นปัจจัยพื้นฐานในการลงทุนได้อย่างดี และเข้าใจจังหวะการลงทุนที่เหมาะสมแล้วผลตอบแทนที่ดีจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอนครับ