ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 17
- ผู้ติดตาม: 0
ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ
โพสต์ที่ 393
รบกวนถามพี่ลูกอีสานและพี่ๆคนอื่นๆ เกี่ยวกับหุ้น CSL ครับ คือว่าผมสนใจหุ้นตัวนี้ครับ เนื่องจาก
1. หุ้นตัวนี้มีหนี้ค่อนข้างน้อย เงินสดในมือเหลือเยอะ
2. ปันผลในอัตราที่สูงและสม่ำเสมอ
3. เป็นธุรกิจที่ไม่ต้องใช้เงินลงทุนมากๆอย่างต่อเนื่อง แต่มีกระแสเงินสดกลับเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นธุรกิจให้บริการ
แต่ มีบางอย่างที่ทำให้ผมยังต้องฉุกคิด คือ
1. ผมไม่ทราบว่า market share ของ CSL คิดเป็นกี่ % ของตลาดรวม (เป็นผู้นำตลาดหรือไม่)
2. จุดแข็งของบริษัทนี้คืออะไร เพราะเห็นว่ามีหลายบริษัทมากๆที่ให้บริการ Internet ทำนองเดียวกัน (ดูเหมือนว่ามันจะไม่ค่อยเข้าข่ายกึ่งๆธุรกิจ monopoly เหมือนที่ ดร.นิเวศน์ บอก)
3. เนื่องจากว่าเป็นธุรกิจที่ไม่จำเป็นต้องลงทุนต่อเนื่อง(ลงทุนส่วนใหญ่ทีเดียวแล้วจบ ที่เหลือก็บริหารต้นทุนให้ต่ำเข้าไว้) ก็หมายความว่าหุ้นตัวนี้ไม่ใช่ Growth stock ใช่หรือไม่ ถ้าใช่ก็หมายความว่าอัตราการเติบโตของบริษัทก็ค่อนข้างน้อย มูลค่าหุ้นในอนาคตก็อาจจะไม่สามารถขึ้นได้มากเท่าไหร่ (ใจจริงก็อยากหาหุ้นที่มีคุณสมบัติที่เป็นทั้ง Growth stock และ Devidend stock หรือจะเรียกว่าพันธุ์ผสมอะไรทำนองนี้หนะครับ)
อย่างนี้พี่ๆคิดว่าน่าลงทุนมั๊ยครับ ช่วยกันวิจารย์หน่อยนะครับ และถ้ามีหุ้นตัวไหนน่าสนใจช่วยสงเคราะห์ผมด้วยก็จะขอบพระคุณอย่างยิ่ง(ผมจะได้ลองไปศึกษาดู)
เป้าหมายของผมคืออยากได้อิสระภาพทางการเงินครับ พยายามศึกษาหาข้อมูลเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย แต่ตอนนี้มันไม่มีหลักจับเท่าไหร่ว่าจะเริ่มต้นศึกษาหุ้น 10 ตัวแรกคือตัวไหนดี พวกเพื่อนๆพี่ๆมีวิธีคัดกรองหุ้นที่น่าสนใจกันอย่างไรบ้างครับ
ขอบพระคุณล่วงหน้าสำหรับข้อมูลที่จะเป็นประโยชน์ต่อจากนี้ไปครับ
1. หุ้นตัวนี้มีหนี้ค่อนข้างน้อย เงินสดในมือเหลือเยอะ
2. ปันผลในอัตราที่สูงและสม่ำเสมอ
3. เป็นธุรกิจที่ไม่ต้องใช้เงินลงทุนมากๆอย่างต่อเนื่อง แต่มีกระแสเงินสดกลับเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นธุรกิจให้บริการ
แต่ มีบางอย่างที่ทำให้ผมยังต้องฉุกคิด คือ
1. ผมไม่ทราบว่า market share ของ CSL คิดเป็นกี่ % ของตลาดรวม (เป็นผู้นำตลาดหรือไม่)
2. จุดแข็งของบริษัทนี้คืออะไร เพราะเห็นว่ามีหลายบริษัทมากๆที่ให้บริการ Internet ทำนองเดียวกัน (ดูเหมือนว่ามันจะไม่ค่อยเข้าข่ายกึ่งๆธุรกิจ monopoly เหมือนที่ ดร.นิเวศน์ บอก)
3. เนื่องจากว่าเป็นธุรกิจที่ไม่จำเป็นต้องลงทุนต่อเนื่อง(ลงทุนส่วนใหญ่ทีเดียวแล้วจบ ที่เหลือก็บริหารต้นทุนให้ต่ำเข้าไว้) ก็หมายความว่าหุ้นตัวนี้ไม่ใช่ Growth stock ใช่หรือไม่ ถ้าใช่ก็หมายความว่าอัตราการเติบโตของบริษัทก็ค่อนข้างน้อย มูลค่าหุ้นในอนาคตก็อาจจะไม่สามารถขึ้นได้มากเท่าไหร่ (ใจจริงก็อยากหาหุ้นที่มีคุณสมบัติที่เป็นทั้ง Growth stock และ Devidend stock หรือจะเรียกว่าพันธุ์ผสมอะไรทำนองนี้หนะครับ)
อย่างนี้พี่ๆคิดว่าน่าลงทุนมั๊ยครับ ช่วยกันวิจารย์หน่อยนะครับ และถ้ามีหุ้นตัวไหนน่าสนใจช่วยสงเคราะห์ผมด้วยก็จะขอบพระคุณอย่างยิ่ง(ผมจะได้ลองไปศึกษาดู)
เป้าหมายของผมคืออยากได้อิสระภาพทางการเงินครับ พยายามศึกษาหาข้อมูลเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย แต่ตอนนี้มันไม่มีหลักจับเท่าไหร่ว่าจะเริ่มต้นศึกษาหุ้น 10 ตัวแรกคือตัวไหนดี พวกเพื่อนๆพี่ๆมีวิธีคัดกรองหุ้นที่น่าสนใจกันอย่างไรบ้างครับ
ขอบพระคุณล่วงหน้าสำหรับข้อมูลที่จะเป็นประโยชน์ต่อจากนี้ไปครับ
อดทนต่อความยากลำบาก ฝ่าฟันอุปสรรคทั้งปวง เพื่อความสำเร็จในอนาคต
-
- Verified User
- โพสต์: 71
- ผู้ติดตาม: 0
ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ
โพสต์ที่ 394
คงหมายถึงกระทู้นี้ใช่ใหมครับเนื้อหาเหมือนกันลูกอิสาน เขียน:
มือใหม่ขอคำแนะนำหน่อย ตอนนี้ติดหุ้นครับ
ประเด็นแรกที่ผมมองเห็นชัดเจนคือคุณ metropolis บอกว่าตั้งใจจะซื้อไว้ถือยาว แต่ไหงถือหุ้นได้แค่เดือนเดียว ที่จริงบางตัวคงวันเดียว กลับบอกว่ารู้สึกกังวลแล้วล่ะครับ คือในระยะยาวๆเนี่ยฟันธงไปเลยว่าจะมีเหตุการณ์ร้ายๆดีๆเกิดขึ้นมากมายและแน่นอนว่าทำให้ราคาหุ้นขึ้นๆลงๆ ด้วย นี่แสดงว่าคุณ metropolis ไม่ได้เผื่อใจไว้เลยว่าถ้าซื้อแล้วหุ้นลงจะทำอย่างไรใช่ใหมครับ เรียกว่ามองทางที่จะได้อย่างเดียว แต่ไม่ได้ระวังทางเสียเลย เหมือนเล่นฟุตบอลเอาแต่บุกอย่างเดียวคงไม่ไหว รับก็ต้องดีด้วยครับ ......แต่กรณีคุณเมโทรก็ไม่ได้แปลกอะไรหรอกครับ คนที่เข้ามาลงทุนเพราะหวังกำไรกันทุกคน ไม่หวังซิแปลก ตอนผมลงทุนครั้งแรกก็เป็นอย่างนี้ ไม่เคยเผื่อใจเลยว่าหุ้นจะลง พอลงจริงๆทำไรไม่ถูก กว่าจะยอมรับผิดตัดสินใจขายได้ก็ขาดทุนไปเกินครึ่งแล้ว ...
ประเด็นที่สอง ผมมองเหมือนเจ็ 007s เป๊ะเลยครับ คือมีหุ้นวัฎจักรที่กำไร(ราคาหุ้น)ผันผวนเกือบทั้งพอร์ต มีทั้งผันผวนต่ำแบบ drt และผันผวนสุดๆแบบ tta banpu pttar มีตัวเดียวที่ไม่ใช่คือ csl (และตัวนี้กำไรอยู่ตัวเดียว :lol: ) ที่จริงประเด็นการเลือกหุ้นแบบนี้ก็พอเข้าใจได้อีกครับว่า มือใหม่ๆมักจะเลือกหุ้นที่เปรียบเสมือนยาสามัญประจำบ้านแบบนี้ คือเป็นหุ้นใหญ่ คนนิยม มีความมั่นคง ซึ่งก็ถูกครับ แต่หลายคนไม่รู้ว่าธุรกิจเหล่านี้มีความผันผวนเป็นวัฎจักรอย่างไร กว่าจะรู้ก็แทบหมดตัว
ความเห็นผมก็เหมือนๆกันเจ๊ 007s ครับคือ
1.หลีกเลี่ยงการถือหุ้นวัฎจักร โดยเฉพาะมือใหม่ๆถือเป็นของแสลง เห็นหุ้นเหล่านี้ p/e ต่ำๆ ก็เข้าไปซื้อ ไม่รู้ว่าเป็นกับดัก หมดรอบของวัฎจักรรุ่งเรืองแล้ว ต้องรอรอบใหม่ 3 ปี 4 ปี 10 ปี ใครจะรอไหวครับ.....แล้วหุ้นที่น่าซื้อสำหรับมือใหม่ ควรเป็นอย่างไร ก็ง่ายๆครับ ธุรกิจที่เข้าใจง่าย ไม่ผันผวนทั้งรายได้และกำไร คาดเดาได้ มีการเติบโต ค้าปลีกหลายตัว โรงพยาบาลบางแห่ง มีคุณสมบัติเหล่านี้ครับ
2.รีบศึกษาการลงทุนแบบเน้นคุณค่า จากเวปนี้ละครับ เงินออมก่อนใช้ไปทำอะไร ต้องคิดให้หนักนะครับ ก่อนซือ้หุ้น ไม่ใช่แค่ศึกษาแค่วันสองวันก็ซื้อ ผิดพลาดไป ต้องไปออมใหม่ทั้งชีวิต ไม่คุ้มค่ากันเลย
ที่จริงคุณเมโทรก็โชคดีกว่าหลายๆคนนะครับ ลองคิดดูว่าถ้าเข้าตลาดต้นปี ซื้อหุ้นเหล่านี้จะเป็นอย่างไร โดยเฉพาะ pttar มีหลายคนที่มีต้นทุนสูงมากๆ เงินหายไปเกือบๆ 80%
- krisy
- Verified User
- โพสต์: 736
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Cash flow & High Beta
โพสต์ที่ 397
เรียบร้อยไปแล้วค่ะพี่โจ น้ำท่วมเข้าบ้านกบไปแล้วเรียบร้อยตั้งแต่เช้า อิจฉาคนที่อยู่บนเขาจังนา อากาศก็ดี น้ำก็ไม่ท่วมลูกอิสาน เขียน: โทษทีครับ หายไปหลายวันต้องเร่งทาสีบ้านทั้งหลังให้เสร็จก่อนย้ายเข้า ตอนนี้ย้ายบ้านแล้วยังไม่เรียบร้อยเท่าไหร่ ลำบากเพราะฝนตกหนักถึงหนักมากสิบวันแล้ว เกิดมาเพิ่งเคยเจอ วันนี้ตกตั้งแต่บ่ายสามถึงตอนนี้เกือบนอนสต็อบ คืนนี้ชาวหาดใหญ่คงนอนไม่ค่อยหลับครับ
.....Give Everything but not Give Up.....
-
- Verified User
- โพสต์: 912
- ผู้ติดตาม: 0
ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ
โพสต์ที่ 398
พี่อย่าน้ำลายไหลต่อหน้าลูกๆ จิครับ :lol: :lol:ลูกอิสาน เขียน: ถูกใจ จั่นโจครับ ฟังแล้วเป็นมงคลดีเหมือนชื่อ น้องจักจั่น+พี่โจ :ep: :ep:
ส่วนลูกๆสบายดีครับ บ้านใหม่กว้างขวางเด็กวิ่งเล่นกันสนุกเลย
ในยามลมแรง แม้แต่ไก่งวงยังบินได้
แต่เมื่อยามลมพัดหวน ผู้ที่อยู่รอดนั้่นคือพญาอินทรี
แต่เมื่อยามลมพัดหวน ผู้ที่อยู่รอดนั้่นคือพญาอินทรี
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6483
- ผู้ติดตาม: 1
Re: Cash flow & High Beta
โพสต์ที่ 399
คงไม่เสียหายอะไรนะน้องกบ ตอนนี้น้ำน่าจะลดลงแล้วเพราะเป็นน้ำฝนที่ระบายไม่ทัน(ทันได้ไงตกขนาด 240มม. )ไม่ใช่น้ำป่า คืนนี้คงนอนได้สบายเพราะตกน้อยลงมากๆครับ อยู่ใกล้เขากลัวดินถล่มซิครับ ใกล้ๆกันก็ไหลไปหลายจุดแล้ว..krisy เขียน:เรียบร้อยไปแล้วค่ะพี่โจ น้ำท่วมเข้าบ้านกบไปแล้วเรียบร้อยตั้งแต่เช้า อิจฉาคนที่อยู่บนเขาจังนา อากาศก็ดี น้ำก็ไม่ท่วม
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
- BABY TERMITE
- Verified User
- โพสต์: 368
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Cash flow & High Beta
โพสต์ที่ 400
ติดตามอ่านพี่ลูกอีสานอยู่นาน พึ่งรู้ว่าบ้านพี่อยู่หาดใหญ่ ดีใจครับ ถ้ามีโอกาส เราน่าจะลองรวมๆ ไป นัดนั่งกินกันเหมือนที่กรุงเทพบ้างนะครับ ไม่รู้ว่าจะมีสมาชิกมากพอมั้ย...ลูกอิสาน เขียน: คงไม่เสียหายอะไรนะน้องกบ ตอนนี้น้ำน่าจะลดลงแล้วเพราะเป็นน้ำฝนที่ระบายไม่ทัน(ทันได้ไงตกขนาด 240มม. )ไม่ใช่น้ำป่า คืนนี้คงนอนได้สบายเพราะตกน้อยลงมากๆครับ อยู่ใกล้เขากลัวดินถล่มซิครับ ใกล้ๆกันก็ไหลไปหลายจุดแล้ว..
ปลวกน้อยคอยวันเติบใหญ่
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6483
- ผู้ติดตาม: 1
Re: gsteel
โพสต์ที่ 401
ผมไม่ค่อยได้ติดตามตัวนี้ออกตัวไว้ก่อนครับpokpong.oma เขียน:อยากถามความเห็นเกี่ยวกับ Gsteel ครับเห็นกลุ่ม Mitzu สนใจเข้ามาลงทุนไม่
ทราบว่าพี่ลูกอีสานคิดเห็นยังไงครับกับราคาหุ้นที่ร่วงลงมาเยอะตอนนี้ครับ
ไปดูราคาหุ้นลดลงจาก 1.72 บ.เหลือแค่ 30 สตางค์ ณ.วันนี้ หุ้นซื้อขายกันที่ 0.13 ของมูลค่าทางบัญชี สินทรัพย์ส่วนใหญ่เป็นสินค้าคงเหลือ ที่ดินอาคารอุปกรณ์ เงินสดค่อนข้างน้อย อัตราหนี้สินต่อทุนต่ำประมาณ 0.3 เท่า ถ้าดูอย่างนี้ก็ค่อนข้างถูกเลยครับ ปัญหาคือความต้องการสินค้า(เหล็กแผ่นรีดร้อน)ลดลงมากจากภาวะเศรษกิจ ตอนนี้ใช้กำลังการผลิตแค่ 50% ประกอบกับบริษัทและบริษัทลูก(gts) ตุนวัตถุดิบราคาแพงไว้จำนวนมาก ดังนั้นคงเห็นการขาดทุนไปอีกอย่างน้อย 6 เดือน โบรคเค้าว่าไว้อย่างนั้น
ส่วนประเด็นที่สงสัยว่าเอ หุ้นน่าจะดีหรือเปล่า มิตซุยยังอยากจะมาถือหุ้นเลย กรณีนี้คงเป็นเหตุผลเชิงจิตวิทยา คล้ายกับเวลาเราเห็นคนมุงดูสินค้าเยอะๆ เราก็คิดว่าน่าจะเป็นสินค้าดี กรณีนี้ผมคิดว่ามิตซุยก็คงมองว่าการซื้อหุ้น gsteel มีคุณค่าที่น่าสนใจ เพราะราคาหุ้นซื้อขายเพียง 0.13 เท่าของ bv และในเชิงกลยุทธ์ก็ดียิ่งขึ้นไปอีกเพราะว่า gsteel เพิ่งควบรวมกับคู่แข่งรายนึง เข้าใจว่าเป็น gts หรือ นครไทยสตริปมิลเดิม ทำให้มีอำนาจทางการตลาดพอสมควร คงพอสูสีกับ ssi ในเครือสหวิริยา ประมาณนั้นครับ ดังนั้นเหตุผลที่มิตซุยกับเราซื้อหุ้นคงไม่เหมือนกัน เรานักลงทุนรายย่อยต้องการส่วนแบ่งกำไรที่ออกมาในรูปของปันผลและราคาหุ้นที่สูงขึ้น และในระยะสั้นๆ ไม่เหมือนกับผู้ถือหุ้นเชิงกลยุทธ์นะครับ สรุปว่าถ้าเราซื้อหุ้นตัวนึง เราก็ควรมองตามเหตุผลของนักลงทุนรายย่อยดีกว่าไหมครับ.
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6483
- ผู้ติดตาม: 1
Re: Cash flow & High Beta
โพสต์ที่ 402
เรามีก๊วน vi สาขาหาดใหญ่ครับ และนัดทานกาแฟกันบ่อยๆ พอๆกับจิบเบียร์ แต่ช่วงนี้ห่างๆกันหน่อยเพราะแต่ละคนก็แผลถลอกปอกเปิกกันตามสภาพตลาดครับ :lol: ถ้าคุณเทอไมสนใจก็ดีซิครับ คราวหน้าผมจะได้ส่งเทียบไปเชิญมาด้วย ตอนนี้มีประมาณ 6-7 คน ขาประจำก็ 3 คนยืนพื้นครับ..BABY TERMITE เขียน: ติดตามอ่านพี่ลูกอีสานอยู่นาน พึ่งรู้ว่าบ้านพี่อยู่หาดใหญ่ ดีใจครับ ถ้ามีโอกาส เราน่าจะลองรวมๆ ไป นัดนั่งกินกันเหมือนที่กรุงเทพบ้างนะครับ ไม่รู้ว่าจะมีสมาชิกมากพอมั้ย...
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
- BABY TERMITE
- Verified User
- โพสต์: 368
- ผู้ติดตาม: 0
ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ
โพสต์ที่ 404
[quote="ลูกอิสาน"][quote="BABY TERMITE"]ขอรบกวนพี่ลูกอีสานช่วยให้มุมมองวิจารณ์ VNT ให้หน่อยครับ
ปลวกน้อยคอยวันเติบใหญ่
- BABY TERMITE
- Verified User
- โพสต์: 368
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Cash flow & High Beta
โพสต์ที่ 405
เรามีก๊วน vi สาขาหาดใหญ่ครับ และนัดทานกาแฟกันบ่อยๆ พอๆกับจิบเบียร์ แต่ช่วงนี้ห่างๆกันหน่อยเพราะแต่ละคนก็แผลถลอกปอกเปิกกันตามสภาพตลาดครับ :lol:ลูกอิสาน เขียน:
ปลวกน้อยคอยวันเติบใหญ่
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 63
- ผู้ติดตาม: 0
Re: gsteel
โพสต์ที่ 406
ผมไม่ค่อยได้ติดตามตัวนี้ออกตัวไว้ก่อนครับ
ไปดูราคาหุ้นลดลงจาก 1.72 บ.เหลือแค่ 30 สตางค์ ณ.วันนี้ หุ้นซื้อขายกันที่ 0.13 ของมูลค่าทางบัญชี สินทรัพย์ส่วนใหญ่เป็นสินค้าคงเหลือ ที่ดินอาคารอุปกรณ์ เงินสดค่อนข้างน้อย อัตราหนี้สินต่อทุนต่ำประมาณ 0.3 เท่า ถ้าดูอย่างนี้ก็ค่อนข้างถูกเลยครับ ปัญหาคือความต้องการสินค้า(เหล็กแผ่นรีดร้อน)ลดลงมากจากภาวะเศรษกิจ ตอนนี้ใช้กำลังการผลิตแค่ 50% ประกอบกับบริษัทและบริษัทลูก(gts) ตุนวัตถุดิบราคาแพงไว้จำนวนมาก ดังนั้นคงเห็นการขาดทุนไปอีกอย่างน้อย 6 เดือน โบรคเค้าว่าไว้อย่างนั้น
ส่วนประเด็นที่สงสัยว่าเอ หุ้นน่าจะดีหรือเปล่า มิตซุยยังอยากจะมาถือหุ้นเลย กรณีนี้คงเป็นเหตุผลเชิงจิตวิทยา คล้ายกับเวลาเราเห็นคนมุงดูสินค้าเยอะๆ เราก็คิดว่าน่าจะเป็นสินค้าดี กรณีนี้ผมคิดว่ามิตซุยก็คงมองว่าการซื้อหุ้น gsteel มีคุณค่าที่น่าสนใจ เพราะราคาหุ้นซื้อขายเพียง 0.13 เท่าของ bv และในเชิงกลยุทธ์ก็ดียิ่งขึ้นไปอีกเพราะว่า gsteel เพิ่งควบรวมกับคู่แข่งรายนึง เข้าใจว่าเป็น gts หรือ นครไทยสตริปมิลเดิม ทำให้มีอำนาจทางการตลาดพอสมควร คงพอสูสีกับ ssi ในเครือสหวิริยา ประมาณนั้นครับ ดังนั้นเหตุผลที่มิตซุยกับเราซื้อหุ้นคงไม่เหมือนกัน เรานักลงทุนรายย่อยต้องการส่วนแบ่งกำไรที่ออกมาในรูปของปันผลและราคาหุ้นที่สูงขึ้น และในระยะสั้นๆ ไม่เหมือนกับผู้ถือหุ้นเชิงกลยุทธ์นะครับ สรุปว่าถ้าเราซื้อหุ้นตัวนึง เราก็ควรมองตามเหตุผลของนักลงทุนรายย่อยดีกว่าไหมครับ.[/quote]
ขอบคุณมากครับ
ถ้ามีนัดที่หาดใหญ่บอกกันด้วยนะครับ
ไปดูราคาหุ้นลดลงจาก 1.72 บ.เหลือแค่ 30 สตางค์ ณ.วันนี้ หุ้นซื้อขายกันที่ 0.13 ของมูลค่าทางบัญชี สินทรัพย์ส่วนใหญ่เป็นสินค้าคงเหลือ ที่ดินอาคารอุปกรณ์ เงินสดค่อนข้างน้อย อัตราหนี้สินต่อทุนต่ำประมาณ 0.3 เท่า ถ้าดูอย่างนี้ก็ค่อนข้างถูกเลยครับ ปัญหาคือความต้องการสินค้า(เหล็กแผ่นรีดร้อน)ลดลงมากจากภาวะเศรษกิจ ตอนนี้ใช้กำลังการผลิตแค่ 50% ประกอบกับบริษัทและบริษัทลูก(gts) ตุนวัตถุดิบราคาแพงไว้จำนวนมาก ดังนั้นคงเห็นการขาดทุนไปอีกอย่างน้อย 6 เดือน โบรคเค้าว่าไว้อย่างนั้น
ส่วนประเด็นที่สงสัยว่าเอ หุ้นน่าจะดีหรือเปล่า มิตซุยยังอยากจะมาถือหุ้นเลย กรณีนี้คงเป็นเหตุผลเชิงจิตวิทยา คล้ายกับเวลาเราเห็นคนมุงดูสินค้าเยอะๆ เราก็คิดว่าน่าจะเป็นสินค้าดี กรณีนี้ผมคิดว่ามิตซุยก็คงมองว่าการซื้อหุ้น gsteel มีคุณค่าที่น่าสนใจ เพราะราคาหุ้นซื้อขายเพียง 0.13 เท่าของ bv และในเชิงกลยุทธ์ก็ดียิ่งขึ้นไปอีกเพราะว่า gsteel เพิ่งควบรวมกับคู่แข่งรายนึง เข้าใจว่าเป็น gts หรือ นครไทยสตริปมิลเดิม ทำให้มีอำนาจทางการตลาดพอสมควร คงพอสูสีกับ ssi ในเครือสหวิริยา ประมาณนั้นครับ ดังนั้นเหตุผลที่มิตซุยกับเราซื้อหุ้นคงไม่เหมือนกัน เรานักลงทุนรายย่อยต้องการส่วนแบ่งกำไรที่ออกมาในรูปของปันผลและราคาหุ้นที่สูงขึ้น และในระยะสั้นๆ ไม่เหมือนกับผู้ถือหุ้นเชิงกลยุทธ์นะครับ สรุปว่าถ้าเราซื้อหุ้นตัวนึง เราก็ควรมองตามเหตุผลของนักลงทุนรายย่อยดีกว่าไหมครับ.[/quote]
ขอบคุณมากครับ
ถ้ามีนัดที่หาดใหญ่บอกกันด้วยนะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 16
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Cash flow & High Beta
โพสต์ที่ 407
[quote="ลูกอิสาน"]โทษทีครับ หายไปหลายวันต้องเร่งทาสีบ้านทั้งหลังให้เสร็จก่อนย้ายเข้า ตอนนี้ย้ายบ้านแล้วยังไม่เรียบร้อยเท่าไหร่ ลำบากเพราะฝนตกหนักถึงหนักมากสิบวันแล้ว เกิดมาเพิ่งเคยเจอ วันนี้ตกตั้งแต่บ่ายสามถึงตอนนี้เกือบนอนสต็อบ คืนนี้ชาวหาดใหญ่คงนอนไม่ค่อยหลับครับ
ตอบคุณเครือพันธ์ทอง
*บริษัทที่มี strong cash flow หมายถึงมีกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง ดูได้จากงบกระแสเงินสดครับ ปกติเราจะดูที่งบกระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน มีรายการหลักๆคือ กำไร+ค่าเสื่อม+(-)ความต้องการเงินทุนหมุนเวียน ยกตัวอย่าง..
บริษัท ก. มีกำไร 100 ล้าน+ค่าเสื่อม 100 ล้าน - ความต้องการเงินทุนหมุนเวียน 30 ล้าน กระแสเงินสดจากกิจการดำเนินงานคือ 170 ล้าน
บริษัท ข. เหมือนบริษัท ก.ทุกอย่างแต่มีค่าเสื่อมแค่ 50 ล้าน ดังนั้นกระแสเงินสดของ ข.คือ 120 ล้าน
จะเห็นได้ว่าบริษัท ก.มีกระแสเงินสดแข็งแกร่งกว่าบริษัท ข. ครับ
ข้างต้นพิจารณาเฉพาะกระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน ยังมีจากกิจกรรมลงทุน และกิจกรรมจัดหาเงิน เราก็ต้องดูว่าบริษัทต้องลงทุนมากๆทุกปีหรือเปล่า ต้องคืนหนี้เงินกู้ไหม เพราะเหล่านี้จะมีผลต่อกระแสเงินสดรวมด้วย จากตัวอย่างข้างต้น สมมุติว่าทั้งสองบริษัทมีงบลงทุนเท่ากันทุกปีที่ 10 ล้านบาท และไม่มีหนี้เงินกู้แล้ว ดังนั้นกระแสเงินสดสุทธิที่สามารถเอาไปทำอะไรก็ได้คือ 160 ล้านและ 110 ล้าน ตามลำดับ ก็ยังสรุปได้เหมือนเดิมว่า ก. strong cash flow มากกว่า ข.
* strong cash flow บ่งบอกว่าบริษัทนั้นมีกระเงินสดรับที่แข็งแกร่ง ถ้าเป็นเงินสดที่ปกติแสดงว่าบริษัทนี้มีธุรกิจที่น่าสนใจ คือสร้างเงินสดได้มาก เราผู้ถือหุ้นก็ยิ้มซิครับ ผมชอบดูตัวเลขนี้ครับ..
กำไร+ค่าเสื่อม/มูลค่าตลาด ในความหมายคือกระแสเงินสด/มูลค่าตลาดนั่นเอง ยิ่งต่ำยิ่งดี เช่นถ้าเท่ากับ 2 เท่าแสดงว่าเราจ่ายเงินซื้อหุ้นแค่ 2 ปีกิจการก็สร้างกระแสเงินสดได้เท่ากับเงินที่เราจ่ายแล้ว แต่กำไร+ค่าเสื่อม เป็นแค่กระแสเงินสดเข้า ถ้าให้ดีเรานำมาลบกับกระแสเงินสดออกคืองบลงทุนสินทรัพย์ถาวร+คืนเงินกู้ ถ้าลบแล้วจะได้กระแสเงินสดอิสระ นำไปหารมูลค่าตลาดแล้วยังมีค่าต่ำแสดงว่าน่าสนใจที่จะศึกษาต่อครับ ยกตัวอย่างหุ้นที่สร้างกระแสเงินสดที่ดีเช่น wg ของพี่ฉัตรชัยประมาณนี้ครับ
ผมเคยซื้อหุ้น strong cash flow ตัวนึงตอนลงทุนใหม่ๆคือ pppc หรือฟีนิคพัลแอนด์เพเพอร์ที่ scc เทคโอเวอร์ไปแล้ว หุ้นตัวนี้นอกจากกำไรดี ยังตัดค่าเสื่อมจำนวนมาก มีกระแสเงินสดสูงมาก ตอนที่ซื้อเพราะเห็นบริษัทนำกระแสเงินสดที่ได้ไปคืนหนี้เงินกู้เกือบหมดแล้ว นั่นหมายความว่าต่อไปนอกจากกำไรเพิ่มเพราะไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ย กระแสเงินสดที่ทำได้ยังเป็นอิสระ ไม่ต้องไปชำระหนี้ ดังนั้นบริษัทนี้เงินท่วมแล้วครับ โอกาสที่บริษัทจะนำเงินมาจ่ายปันผลหมดมีสูงมาก
ตอบคุณเครือพันธ์ทอง
*บริษัทที่มี strong cash flow หมายถึงมีกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง ดูได้จากงบกระแสเงินสดครับ ปกติเราจะดูที่งบกระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน มีรายการหลักๆคือ กำไร+ค่าเสื่อม+(-)ความต้องการเงินทุนหมุนเวียน ยกตัวอย่าง..
บริษัท ก. มีกำไร 100 ล้าน+ค่าเสื่อม 100 ล้าน - ความต้องการเงินทุนหมุนเวียน 30 ล้าน กระแสเงินสดจากกิจการดำเนินงานคือ 170 ล้าน
บริษัท ข. เหมือนบริษัท ก.ทุกอย่างแต่มีค่าเสื่อมแค่ 50 ล้าน ดังนั้นกระแสเงินสดของ ข.คือ 120 ล้าน
จะเห็นได้ว่าบริษัท ก.มีกระแสเงินสดแข็งแกร่งกว่าบริษัท ข. ครับ
ข้างต้นพิจารณาเฉพาะกระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน ยังมีจากกิจกรรมลงทุน และกิจกรรมจัดหาเงิน เราก็ต้องดูว่าบริษัทต้องลงทุนมากๆทุกปีหรือเปล่า ต้องคืนหนี้เงินกู้ไหม เพราะเหล่านี้จะมีผลต่อกระแสเงินสดรวมด้วย จากตัวอย่างข้างต้น สมมุติว่าทั้งสองบริษัทมีงบลงทุนเท่ากันทุกปีที่ 10 ล้านบาท และไม่มีหนี้เงินกู้แล้ว ดังนั้นกระแสเงินสดสุทธิที่สามารถเอาไปทำอะไรก็ได้คือ 160 ล้านและ 110 ล้าน ตามลำดับ ก็ยังสรุปได้เหมือนเดิมว่า ก. strong cash flow มากกว่า ข.
* strong cash flow บ่งบอกว่าบริษัทนั้นมีกระเงินสดรับที่แข็งแกร่ง ถ้าเป็นเงินสดที่ปกติแสดงว่าบริษัทนี้มีธุรกิจที่น่าสนใจ คือสร้างเงินสดได้มาก เราผู้ถือหุ้นก็ยิ้มซิครับ ผมชอบดูตัวเลขนี้ครับ..
กำไร+ค่าเสื่อม/มูลค่าตลาด ในความหมายคือกระแสเงินสด/มูลค่าตลาดนั่นเอง ยิ่งต่ำยิ่งดี เช่นถ้าเท่ากับ 2 เท่าแสดงว่าเราจ่ายเงินซื้อหุ้นแค่ 2 ปีกิจการก็สร้างกระแสเงินสดได้เท่ากับเงินที่เราจ่ายแล้ว แต่กำไร+ค่าเสื่อม เป็นแค่กระแสเงินสดเข้า ถ้าให้ดีเรานำมาลบกับกระแสเงินสดออกคืองบลงทุนสินทรัพย์ถาวร+คืนเงินกู้ ถ้าลบแล้วจะได้กระแสเงินสดอิสระ นำไปหารมูลค่าตลาดแล้วยังมีค่าต่ำแสดงว่าน่าสนใจที่จะศึกษาต่อครับ ยกตัวอย่างหุ้นที่สร้างกระแสเงินสดที่ดีเช่น wg ของพี่ฉัตรชัยประมาณนี้ครับ
ผมเคยซื้อหุ้น strong cash flow ตัวนึงตอนลงทุนใหม่ๆคือ pppc หรือฟีนิคพัลแอนด์เพเพอร์ที่ scc เทคโอเวอร์ไปแล้ว หุ้นตัวนี้นอกจากกำไรดี ยังตัดค่าเสื่อมจำนวนมาก มีกระแสเงินสดสูงมาก ตอนที่ซื้อเพราะเห็นบริษัทนำกระแสเงินสดที่ได้ไปคืนหนี้เงินกู้เกือบหมดแล้ว นั่นหมายความว่าต่อไปนอกจากกำไรเพิ่มเพราะไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ย กระแสเงินสดที่ทำได้ยังเป็นอิสระ ไม่ต้องไปชำระหนี้ ดังนั้นบริษัทนี้เงินท่วมแล้วครับ โอกาสที่บริษัทจะนำเงินมาจ่ายปันผลหมดมีสูงมาก
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11444
- ผู้ติดตาม: 1
Re: Cash flow & High Beta
โพสต์ที่ 408
คงจะสลับกันนะครับ ที่ถูกต้องน่าจะเป็น มูลค่าตลาด/กำไร+ค่าเสื่อม มากกว่าครับลูกอิสาน เขียน:กำไร+ค่าเสื่อม/มูลค่าตลาด ในความหมายคือกระแสเงินสด/มูลค่าตลาดนั่นเอง ยิ่งต่ำยิ่งดี เช่นถ้าเท่ากับ 2 เท่าแสดงว่าเราจ่ายเงินซื้อหุ้นแค่ 2 ปีกิจการก็สร้างกระแสเงินสดได้เท่ากับเงินที่เราจ่ายแล้ว .
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
- Yod
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 167
- ผู้ติดตาม: 0
ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ
โพสต์ที่ 409
งงครับพี่ ตามไม่ทันครับ ช่วยยกตัวอย่างให้ดูได้เปล่าครับลูกอิสาน wrote:
กำไร+ค่าเสื่อม/มูลค่าตลาด ในความหมายคือกระแสเงินสด/มูลค่าตลาดนั่นเอง ยิ่งต่ำยิ่งดี เช่นถ้าเท่ากับ 2 เท่าแสดงว่าเราจ่ายเงินซื้อหุ้นแค่ 2 ปีกิจการก็สร้างกระแสเงินสดได้เท่ากับเงินที่เราจ่ายแล้ว .
คงจะสลับกันนะครับ ที่ถูกต้องน่าจะเป็น มูลค่าตลาด/กำไร+ค่าเสื่อม มากกว่าครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 144
- ผู้ติดตาม: 0
ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ
โพสต์ที่ 413
รบกวนถามพี่โจครับ พอดีอยากลองหา "หุ้นก้นบุหรี่"ดูสักตัว เลยไปมองหากลุ่มโรงแรมที่เค้าว่ากันว่าปีนี้จาแย่ ก็เหลือบไปเห็น LRH แต่กลายเป็นว่ามันก็ยังดูไม่แย่มาก BV = 111.89 (เห็นว่ามีการเพิ่มทุน) PE เหลือแค่ 2.01 เท่า PBV แค่ 0.2 เท่า (ณ ราคาที่ 22.7 บาท) หนี้ก็น้อยลง D/E = 0.27 (จากการเพิ่มทุนอีกใช่มั๊ยครับ) ROE ก้พอใช้ 13.67 ปันผลก็ราวๆ 10% นิดๆได้มั๊ง แต่กำไร/หุ้น กลับลดลงจากปีก่อนๆอยู่ (เพราะเพิ่มทุนใช่มั๊ยครับ) และอนาคตกลุ่มโรงแรมอย่าง LRH นี้ยังคงน่าเป็นห่วงมากหรือป่าวครับ พอดีเพิ่งเริ่มศึกษาหุ้นที่จะถือระยะยาวอยู่ ความรู้ยังไม่พอ อยากรบกวนพี่โจช่วยวิจารณ์หน่อยครับว่ามีจุดอ่อนจุดแข็งยังไง และน่าลงทุนมั๊ยครับ ขอบคุณมากครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6483
- ผู้ติดตาม: 1
ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ
โพสต์ที่ 414
ผมไม่ค่อยได้ตามตัวนี้ ขอมองแบบคร่าวๆนะครับkornjackrit เขียน:เรียนถามคุณ ลูกอิสาน เกี่ยวกับหุ้น Major ครับพอดีผมสนใจศึกษาหุ้นตัวนี้มาสักพักนึงแล้วผมมองว่าเป็น Entertainment Complex
ซึ่งสามารถตอบสนองความต้องการของคนรุ่นใหม่ได้ดีมากมีรายได้ทั้งจาก ตั๋วหนัง อาหาร(ป๊อปคอร์น) โบว์ลิ่ง
ค่าเช่าพื้นที่ สเก็ตน้ำแข็ง ค่าโฆษณา
ธุรกิจโรงหนังก็เป็นเจ้าตลาด ( ประมาณ 70-80 % )
ยึดครองทำเล และพื้นที่ที่มีศักยภายไว้ได้ค่อนข้างจะครอบคลุมและมีแผนจะขยายสาขาไปต่างจังหวัด ซึ่งจะทำให้โอกาสที่รายได้จะเพิ่มขึ้นในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าค่อนข้่างสูงไม่ทราบว่าคุณ ลูกอิสาน คิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับรายได้ของ Majorเป็นลักษณะวัฎจักรมากน้อยแค่ไหน และมีข้อเสีย หรือข้อควรระวังของอุตสาหกรรมนี้อย่างไรบ้างครับ ขอบคุณมากครับ
จุดเด่นที่สุดของ major ที่ทุกคนรู้คือมีความสามารถในการแข่งขันสูงมาก มีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 80% sf ประมาณ 13% ที่เหลือเป็นโรงหนังท้องถิ่นรายเล็กๆ เมื่อบริษัทมีอำนาจเหนือตลาดมากก็มีพลังต่อรองสูง จนบางครั้งกระทบกระทั่งกับผู้ผลิตภาพยนต์(ที่เป็นข่าวคู่กรณีคือเครือสหมงคลฟิล์ม) ซึ่งในมุมมองผู้ถือหุ้นอำนาจอย่างนี้เป็นผลดีต่อธุรกิจแน่นอนครับ นอกจากนั้นรายได้ของ major มีการกระจายตัวมากขึ้น ในอดีตเคยมีรายได้จากตั๋วหนัง 70% ปัจจุบันเหลือแค่ 43% ที่เหลือเป็นรายได้จากกิจการเกี่ยวเนื่อง เช่นขายอาหาร ให้เช่าพื้นที่ โฆษณาในโรงหนัง คาราโอเกะโบวลิ่ง ซึ่งเหล่านี้น่าจะมีมาร์จินที่สูงมาก เพราะผูกขาดการให้บริการ
พัฒนาการที่สำคัญคือจากอดีต major เป็นผู้เช่าพื้นที่ผู้ประกอบการรายอื่นเพื่อทำโรงหนัง แต่ระยะหลังๆ ถ้ามีพื้นที่ทำเลดีๆ major จะสร้างเป็นแบบ stand alone สร้างอาคารเป็นผู้ให้เช่าพื้นที่เสียเอง ซึ่งแน่นอนว่าน่าจะสร้างกำไรที่ดีกว่าการเช่า แต่อาจจะทำให้ต้องลงทุนในสินทรัพย์ถาวรสูง ต้องใช้เงินทุนมาก ดังนั้นจึงต้องนำเงินในอนาคตมาใช้ผ่านการขายสินทรัพย์ให้กองทุนอสังหาครับ
ปัจจัยที่เป็นความเสี่ยงนะครับ
รายได้ของธุรกิจโรงหนังจะผันผวนบ้างตามความนิยมของภาพยนต์ที่เข้าฉาย ปีไหนที่มีหนังดังๆดีๆเข้าฉายมาก ปีนั้นกำไรจะดี แต่คนที่เข้าซื้อหุ้นปีนั้นผลตอบแทนอาจจะไม่ดีเท่าไหร่เพราะได้หุ้นแพง ปัจจัยการเติบโตก็น่าสงสัยว่าตลาดจะโตได้อีกเท่าไหร่ เพราะตอนนี้ก็ขยายไปครอบคลุมเกือบทั้งกรุงเทพแล้ว รวมถึงหัวเมืองใหญ่ หลังๆจึงต้องขยายไปในจังหวัดที่เล็กลงเช่นกระบี่ ในแง่จำนวนโรงคงเพิ่มได้เรื่อยๆ แต่ยอดขายอาจจะโตไม่สูงเท่าครับ เพราะในแง่กำลังซื้อ วิธีชีวิตคนต่างจังหวัดคงต่างกับชาวกรุงเทพพอสมควร นอกจากนั้นการขายสินทรัพย์คุณภาพดีให้กับกองทุน อาจจะทำให้รายได้ประจำลดลง ถ้าบริษัทไม่สามารถลงทุนเพื่อสร้างกำไรได้ทัน
ถ้ามองในแง่ไลสไตร์ ผมก็ไม่แน่ใจว่าจะได้รับผลดีหรือไม่ จากที่มองตัวเอง ก่อนแต่งงานผมดูหนังบ่อยๆเหมือนวัยรุ่นทั่วไป แต่พอมีครอบครัว ผมไม่เคยได้ดูหนังอีกเลย คือเลี้ยงลูกไม่ค่อยมีเวลา และคงเป็นไปตามวัยด้วย ดังนั้นกลุ่มลูกค้าที่ชอบดูหนัง ผมมองว่าส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่น หรือคนทำงานที่ยังไม่มีครอบครัว และส่วนน้อยคนที่มีครอบครัวแต่ยังไม่มีลูก หรือลูกๆโตกันหมดแล้ว ถ้ามองอย่างนี้อนาคตคนดูหนังอาจจะลดลงเพราะอัตราการเกิดลด แต่ก็มีปัจจัยอื่นที่หักล้าง เช่นแม้การเกิดลด แต่สังคมเมืองก็ยังขยายอยู่ดี ส่งผลดีต่อโรงหนัง สรุปว่าประเด็นนี้คงไม่มีผลอะไรมาก
ราคาหุ้น 6.5 บ.มูลค่ากิจการประมาณ 5500 ล้าน คิดแบบ Enterprise value (EV) ประมาณ 9000 ล้านกับธุรกิจที่เป็นเจ้าของโรงหนังเกือบทั้งประเทศ ในแง่ผลกำไรทำได้ปีละ 5-600 ล.ต่อปี ที่ราคานี้ก็ PE ประมาณ 8-9 เท่า อัตราส่วนหนี้สิน/ทุนไม่สูง แต่ current ratio ไม่ดีครับ ไม่รู้ว่าเป็นธรรมชาติของธุรกิจหรือเปล่า แต่ดูแล้วไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่ที่เพิ่งประกาศโปรแกรมซื้อหุ้นคืนครับ
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6483
- ผู้ติดตาม: 1
ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ
โพสต์ที่ 415
1.ถ้าบอกว่าไม่ได้รับผลกระทบเลย ต้องบอกว่ามองดีเกินไปครับ แต่กระทบมากหรือน้อยคงต้องดูกัน ถ้าจำไม่ผิดสินค้าที่ svi รับจ้างผลิตเป็นชิ้นส่วนที่ใช้ในอุปกรณ์อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ซึ่งคงได้รับผลกระทบน้อยกว่าสินค้าอิเลคทรอนิคส์ที่ขายให้ผู้บริโภคโดยตรง ที่ผู้บริหารบอกว่ากำลังการผลิตปีหน้าเต็มแล้วก็เป็นไปได้มากครับ เพราะคุณโพธิ์มักพูดแล้วทำได้ เหตผลนึงอาจเป็นเพราะ svi เป็นผู้ผลิตต้นทุนต่ำ แม้เศรษกิจจะไม่ดี ลูกค้าก็อาจจะโยกรายอื่นมาให้ svi ผลิตแทนเพราะต้นทุนต่ำกว่า อย่างนี้ก็ทำให้กำลังการผลิตเต็มตลอดเวลาแม้เศรษกิจไม่ดีครับsai เขียน:ถามพี่ลูกอีสานอีกนิดเกี่ยวกับ svi นะครับ
1.พี่มองว่า svi ได้รับผลกระทบมากไหมครับกับวิกฤติครั้งนี้ ดูผู้บริหารมั่นใจมากเลยว่าไม่มีผลกระทบเลย เค้าบอกว่าเลิกคุยเรื่องปีหน้าแล้ว เพราะ order เต็มหมดแล้ว คุยเรื่องปี 53 กันแล้ว
2.พี่ยังถืออยู่หรือเปล่าครับ และ ราคาแถว 0.92 ต่อหุ้นพี่มองถูกแพงอย่างไรครับ
ขอบคุณพี่โจครับ
ปัจจัยนึงที่ผมแปลกใจคือไม่ว่าค่าเงินเป็นอย่างไร svi มีกำไรค่าเงินทุกไตรมาส(คุณพิศมัย สายบัว cfo คงเก่งมากครับ ) แต่ไม่รู้จะเป็นอย่างนี้นานแค่ไหน ช่วงนี้เข้าใจว่าเงินยูโรตลาดหลักของ svi ค่าเงินอ่อนลงมาก ทำให้ยอดขายในรูปเงินบาทอาจจะลดลงครับ
2.ผมยังถือบางส่วนครับ ที่ราคาตลาด 90 สตางค์ PE ประมาณ 2.3-2.4 เท่า หรือผลตอบแทน 40% ถ้ายังทำกำไรได้ดีอย่างนี้ แค่ 2 ปีกว่าๆก็เท่ากับราคาหุ้นแล้ว ที่จริงเศรษกิจอย่างนี้ไม่ต้องลงทุนมาก กำไรเท่าไหร่น่าจะปันผลให้หมด ถ้ายิลด์ปันผลปีนี้ 40% หุ้นไม่ขึ้นก็ให้มันรู้ไป แทนที่คุณโพธิ์จะบ่นว่าทำอย่างไรหุ้นก็ไม่ขึ้น น่าจะลองไอเดียที่ผมและหลายท่านเคยเสนอเรื่องปันผลแบบนี้บ้างนะครับ เงินก็มี ผู้ถือหุ้นกองทุนก็น่าจะสนับสนุน ไม่ต้องไปเร่ขายหุ้นให้คนอื่นถูกๆ ปันผลออกแบบ asl ก็หมดปัญหา ดีไปหมด.. :lol: :lol:
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
- dome@perth
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4741
- ผู้ติดตาม: 1
ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ
โพสต์ที่ 416
โทษทีครับคุณลูกอิสาน Quote ผิดที่
[quote="ลูกอิสาน"]ถ้ายังทำกำไรได้ดีอย่างนี้ แค่ 2 ปีกว่าๆก็เท่ากับราคาหุ้นแล้ว ที่จริงเศรษกิจอย่างนี้ไม่ต้องลงทุนมาก กำไรเท่าไหร่น่าจะปันผลให้หมด ถ้ายิลด์ปันผลปีนี้ 40% หุ้นไม่ขึ้นก็ให้มันรู้ไป แทนที่คุณโพธิ์จะบ่นว่าทำอย่างไรหุ้นก็ไม่ขึ้น น่าจะลองไอเดียที่ผมและหลายท่านเคยเสนอเรื่องปันผลแบบนี้บ้างนะครับ เงินก็มี ผู้ถือหุ้นกองทุนก็น่าจะสนับสนุน
[quote="ลูกอิสาน"]ถ้ายังทำกำไรได้ดีอย่างนี้ แค่ 2 ปีกว่าๆก็เท่ากับราคาหุ้นแล้ว ที่จริงเศรษกิจอย่างนี้ไม่ต้องลงทุนมาก กำไรเท่าไหร่น่าจะปันผลให้หมด ถ้ายิลด์ปันผลปีนี้ 40% หุ้นไม่ขึ้นก็ให้มันรู้ไป แทนที่คุณโพธิ์จะบ่นว่าทำอย่างไรหุ้นก็ไม่ขึ้น น่าจะลองไอเดียที่ผมและหลายท่านเคยเสนอเรื่องปันผลแบบนี้บ้างนะครับ เงินก็มี ผู้ถือหุ้นกองทุนก็น่าจะสนับสนุน
"ไม่มีสุตรสำเร็จ ไม่มีทางลัด ไม่ใช่แค่โชค
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6483
- ผู้ติดตาม: 1
ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ
โพสต์ที่ 417
1.ที่จำได้ csl มีธุรกิจหลายประเภทครับหลักๆเป็น บริหารอินเตอร์เนต ขายคอนเทนมือถือ สมุดหน้าเหลือง และล่าสุดขายแผ่นพับโฆษณา แต่ตัวที่สร้างกำไรหลักน่าจะเป็นสมุดหน้าเหลือง เพราะเป็นกึ่งๆผูกขาด ที่จริงจำได้ว่าไม่มีสัมปทานใดๆ แต่ไม่มีคนมาทำแข่งครับ ไม่รู้เพราะอะไรเหมือนกัน ส่วนบริการอินเตอร์เนตหลังๆจะเน้นให้บริการ lease line ลูกค้าที่เป็นองค์การ มีการเติบโต 14 ไตรมาสติดแล้ว โบรคว่าอย่างงั้น ปีสองปีที่แล้วไปซื้อเวปหรือหนังสือพิมพ์วัฎฎะ 80 ล. ไม่แน่ใจว่าส่วนนี้สร้างกำไรหรือยัง สรุปได้ว่าธุรกิจที่สร้างกำไรเป็นกอบเป็นกำคือสมุดหน้าเหลืองและอินเตอร์เนตที่เน้นลูกค้าองค์กรครับ คำถามที่ว่า csl มีส่วนแบ่งเท่าไหร่ก็ต้องไปดูแยกแต่ละธุรกิจ ซึ่งผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน ไม่แน่ใจใน 56-1 จะมีตัวเลขหรือเปล่าpekkyboy เขียน:รบกวนถามพี่ลูกอีสานและพี่ๆคนอื่นๆ เกี่ยวกับหุ้น CSL ครับ คือว่าผมสนใจหุ้นตัวนี้ครับ เนื่องจาก
1. หุ้นตัวนี้มีหนี้ค่อนข้างน้อย เงินสดในมือเหลือเยอะ
2. ปันผลในอัตราที่สูงและสม่ำเสมอ
3. เป็นธุรกิจที่ไม่ต้องใช้เงินลงทุนมากๆอย่างต่อเนื่อง แต่มีกระแสเงินสดกลับเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นธุรกิจให้บริการ
แต่ มีบางอย่างที่ทำให้ผมยังต้องฉุกคิด คือ
1. ผมไม่ทราบว่า market share ของ CSL คิดเป็นกี่ % ของตลาดรวม (เป็นผู้นำตลาดหรือไม่)
2. จุดแข็งของบริษัทนี้คืออะไร เพราะเห็นว่ามีหลายบริษัทมากๆที่ให้บริการ Internet ทำนองเดียวกัน (ดูเหมือนว่ามันจะไม่ค่อยเข้าข่ายกึ่งๆธุรกิจ monopoly เหมือนที่ ดร.นิเวศน์ บอก)
3. เนื่องจากว่าเป็นธุรกิจที่ไม่จำเป็นต้องลงทุนต่อเนื่อง(ลงทุนส่วนใหญ่ทีเดียวแล้วจบ ที่เหลือก็บริหารต้นทุนให้ต่ำเข้าไว้) ก็หมายความว่าหุ้นตัวนี้ไม่ใช่ Growth stock ใช่หรือไม่ ถ้าใช่ก็หมายความว่าอัตราการเติบโตของบริษัทก็ค่อนข้างน้อย มูลค่าหุ้นในอนาคตก็อาจจะไม่สามารถขึ้นได้มากเท่าไหร่ (ใจจริงก็อยากหาหุ้นที่มีคุณสมบัติที่เป็นทั้ง Growth stock และ Devidend stock หรือจะเรียกว่าพันธุ์ผสมอะไรทำนองนี้หนะครับ)
ขอบพระคุณล่วงหน้าสำหรับข้อมูลที่จะเป็นประโยชน์ต่อจากนี้ไปครับ
2.ธุรกิจบริการอินเตอร์เนตรายได้เกือบทั้งหมดมาจากลูกค้า lease line 3000 รายแล้วครับ ไม่ได้เน้นขายประชาชนทั่วไปครับ เพราะคงสู้พวกยักษ์ใหญ่ที่มีความพร้อมกว่าอย่าง tot true tt&t ไม่ได้
3.ที่หลายท่านมอง csl ว่ากระแสเงินสดดี ลงทุนน้อยซึ่งก็จริง แต่อาจจะมีเหตุผลอย่างนี้ คือมีการลงทุนไปครั้งแรกในธุรกิจที่ได้รับสัมปทานจาก กสท.หลังจากนั้นก็ตัดค่าเสื่อมทุกๆปี นี่เองที่ทำให้ csl มีกระแสเงินสดที่ดี แต่อาจจะไม่ตลอดไปเพราะสัมปทานนี้เข้าใจว่าหมดหรือใกล้หมดแล้ว ดังนั้นต่อไปอาจจะต้องลงทุนใหม่ และไม่มีการตัดค่าเสื่อมมากๆอีกแล้ว จะเห็นได้ว่าสินทรัพย์ถาวรเหลือแค่ 300 ล.เท่านั้น
csl เป็นหุ้นน้อยตัวในตลาดหลักทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนดี โดยส่วนใหญ่เป็นผลตอบแทนจากเงินปันผล ที่จ่ายแบบรีดกันจนหยดสุดท้าย เรียกว่ามีกำไรสะสม(งบเดี่ยว)เมื่อไหร่จ่ายปันผลทันทีเกือบทั้งหมด ถ้าไม่มีกำไรสะสมก็มีการลดทุนลดหุ้นกันเลย ผลจากการปันผลเกือบหมดทุกปี ทำให้ตอนนี้งบดุลด้อยลง ยังไม่ถึงกับแย่ คือมีเงินสดก็จริง แต่เป็นเงินที่มีภาระผูกผันต้องให้บริการในอนาคต นอกจากนั้นเริ่มมีการเบิกวงเงินกู้มาใช้บ้างแล้ว(ดอกเบี้ยเริ่มเดิน) และผลของการจ่ายเงินปันผลมากๆ ทำให้ไม่มีเงินไปขยายซื้อกิจการ กำไรก็เลยทรงๆ ครับคงหวัง capital gain ได้ยากหน่อย
แม่ของ csl คือ thcom ครับ แม้ลูกจะดีแต่แม่เอาตัวไม่ค่อยจะรอดครับ :lol:
ผมมองว่า csl ก็โอเคนะครับ คนที่ถือมานานน่าจะกำไรกันทุกคน แต่คนที่ซื้อวันนี้ก็พิจารณาพื้นฐานวันนี้ก่อนละกัน ตามข้อสังเกตุเล็กน้อยๆที่ผมโพสต์ข้างต้น การลงทุนก็เหมือนที่ผู้รู้เคยพูดไว้ว่าเหมือนการปลูกต้นไม้ ที่เราหมั่นรดน้ำพรวนดินและรอเวลา ไม่ใช่ปลูกวันนี้จะหวังผลพรุ่งนี้ การลงทุนก็เช่นกัน ค่อยๆเรียนรู้ สะสมประสบการณ์ และรอคอย คนที่หวังรวยเร็ว หาทางลัด เจ๊งกันมากต่อนักแล้วครับ ในตลาดหุ้นมีสินค้ามากมาย ถ้าเราไม่มีหลักคิดหลักยึดเราจะไม่รู้ว่าตัวไหนดีไม่ดี น่าซื้อหรือไม่ ผมคงแนะนำหลักมองแบบภาพใหญ่ๆนะครับอย่างนี้พี่ๆคิดว่าน่าลงทุนมั๊ยครับ ช่วยกันวิจารย์หน่อยนะครับ และถ้ามีหุ้นตัวไหนน่าสนใจช่วยสงเคราะห์ผมด้วยก็จะขอบพระคุณอย่างยิ่ง(ผมจะได้ลองไปศึกษาดู)เป้าหมายของผมคืออยากได้อิสระภาพทางการเงินครับ พยายามศึกษาหาข้อมูลเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย แต่ตอนนี้มันไม่มีหลักจับเท่าไหร่ว่าจะเริ่มต้นศึกษาหุ้น 10 ตัวแรกคือตัวไหนดี พวกเพื่อนๆพี่ๆมีวิธีคัดกรองหุ้นที่น่าสนใจกันอย่างไรบ้างครับ
1.หุ้นขึ้นลงตามกำไรที่กิจการทำได้
2.ถ้าเราอยากรวย ต้องซือ้หุ้นที่กำไรจะโต และราคายังไม่สะท้อนกับกำไรนั้น หรือซื้อหุ้นที่ราคาตลาด กับกำไรในปัจจุบันไม่สอดคล้องกัน
เกือบลืมข้อที่ 3. บางครั้งราคาหุ้นก็ไม่ได้ไปตามกำไร แต่ไปตามอารมณ์ แรงซื้อ แรงขาย ต่างชาติ ฟันโฟล etc ..นักลงทุนต้องจิตใจมั่นคง อย่าโอนเอนซ้ายทีขวาที ไม่มีความคิดของตัวเอง พยายามหาหลักยึดให้ได้ครับ ที่ดีที่สุดคือยึดกับพื้นฐาน ผลประกอบการของบริษัท น่าจะดีที่สุด
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
- dome@perth
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4741
- ผู้ติดตาม: 1
ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ
โพสต์ที่ 419
1.ถ้าบอกว่าไม่ได้รับผลกระทบเลย ต้องบอกว่ามองดีเกินไปครับ แต่กระทบมากหรือน้อยคงต้องดูกัน ถ้าจำไม่ผิดสินค้าที่ svi รับจ้างผลิตเป็นชิ้นส่วนที่ใช้ในอุปกรณ์อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ซึ่งคงได้รับผลกระทบน้อยกว่าสินค้าอิเลคทรอนิคส์ที่ขายให้ผู้บริโภคโดยตรงลูกอิสาน เขียน:
"ไม่มีสุตรสำเร็จ ไม่มีทางลัด ไม่ใช่แค่โชค
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
-
- Verified User
- โพสต์: 17
- ผู้ติดตาม: 0
ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ
โพสต์ที่ 420
ขอบคุณพี่ลูกอีสานมากครับสำหรับบทวิเคราะห์ CSL (ดูบทวิเคราห์หลายโบรกแล้ว ส่วนใหญ่มักจะ positive thinking แต่ก็ได้มุมมองอีกแบบในมุมของพี่)แอบเข้ามาดูทุกวันเลยครับว่าเมื่อไหร่ท่านเทพจามากระซิบซักที....อิอิ ผมคงลงทุนซัก 10% ของพอร์ตครับ เอาไว้เป็นกองหลังครับ สำหรับ 1-2 ปีข้างหน้า ผมว่าจะหากองหลังแน่นๆมาประดับทีมไว้ก่อนครับ
อดทนต่อความยากลำบาก ฝ่าฟันอุปสรรคทั้งปวง เพื่อความสำเร็จในอนาคต