เมื่อตลาดหุ้นเหงา/ ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
- oatty
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2444
- ผู้ติดตาม: 0
เมื่อตลาดหุ้นเหงา/ ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 1
โลกในมุมมองของ Value Investor 3 ก.พ. 52
ในช่วงนี้ดูเหมือนว่ากิจกรรมการซื้อขายหุ้นในตลาดจะลดลงอย่างเห็นได้ชัด
ปริมาณการซื้อขายส่วนใหญ่จะต่ำกว่าวันละ 10,000 ล้านบาท
โดยในช่วงวันตรุษจีนที่เพิ่งผ่านมาต่ำกว่า 3,000 ล้านบาทด้วย
ซึ่งเป็นตัวเลขที่ไม่ได้เห็นมานานหลายปี
ความเงียบเหงาของตลาดหุ้นเป็นเรื่องที่ผู้อยู่ในวงการโบรกเกอร์หวั่นวิตกที่สุด
เพราะนั่นหมายถึงรายได้ที่สำคัญที่สุดที่จะหดหายไป
เช่นเดียวกัน
นักเล่นหุ้นขาประจำโดยเฉพาะที่เป็นนักเก็งกำไรจากการซื้อขายหุ้นในระยะสั้น
ต่างก็มองว่านี่คือเวลาที่ไม่มีความหวังสำหรับการเล่นหุ้น
ความเงียบเหงานั้น สำหรับคนจำนวนมากที่เกี่ยวข้องกับตลาดหุ้นถือเป็นเรื่องที่เลวร้าย
แต่สำหรับ Value Investor อย่างผม
ผมกลับคิดว่า ความเงียบเหงาคือเวลาที่ดีสำหรับการลงทุน
ก่อนที่จะพูดว่าทำไมผมจึงชอบตลาดหุ้นที่เหงาหงอย
มาดูสัญญาณต่าง ๆ กันก่อนว่าอย่างไรแปลว่าตลาดเหงา
การที่ปริมาณการซื้อขายหุ้นลดลงอย่างเดียวนั้นยังไม่สามารถบอกได้ชัดเจน
แต่ก็เป็นสัญญาณที่สำคัญและเป็นเงื่อนไขที่จำเป็นตัวแรก
ในความเห็นผม ปริมาณการซื้อขายที่น่าจะเรียกว่าปกติก็คือ
การซื้อขายต่อวันโดยเฉลี่ยน่าจะประมาณเท่ากับตัวเลข
ที่จะทำให้หุ้นทั้งตลาดมีการหมุนเวียนหนึ่งรอบในเวลาหนึ่งปี
ซึ่งถ้าดูปริมาณหุ้นทั้งตลาดหรือมูลค่าตลาดหุ้นทั้งหมดในปัจจุบัน
เท่ากับประมาณ 3.5 ล้านล้านบาท
หารด้วยจำนวนวันซื้อขายหุ้นทั้งปีที่ประมาณ 240 วัน
ก็จะตกวันละ 14,000-15,000 ล้านบาท
ดังนั้น ปริมาณการซื้อขายปัจจุบันที่มักจะต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท
ในช่วงนี้จึงถือว่าการซื้อขายหุ้นค่อนข้างเงียบเหงา
สัญญาณที่ควรสังเกตสำหรับความเงียบเหงาของตลาดหุ้นตัวต่อไปก็คือ
สื่อสารมวลชนที่เข้าถึงคนในวงกว้างได้แก่วิทยุ โทรทัศน์ และ หนังสือพิมพ์
ผมคิดว่ารายการเกี่ยวกับหุ้นโดยตรงนั้นค่อย ๆ ลดลงมาเป็นระยะเวลาพอสมควร
รายการเกี่ยวกับการลงทุนอาจจะยังคงอยู่แต่น้ำหนักในการนำเสนอจะเปลี่ยนไป
ชื่อรายการที่เคยเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับหุ้นก็อาจจะเป็นเรื่องของ “เงินทอง”
หรือการลงทุนแบบกว้าง ๆ
ประสบการณ์ส่วนตัวผมเองเคยร่วมทำรายการวิทยุเกี่ยวกับหุ้นสัปดาห์ละสามวัน
ในช่วงหลังก็เหลือเพียงสองวัน
รายการเกี่ยวกับหุ้นอื่น ๆ ทั้งทางวิทยุและโทรทัศน์นั้น
ผมไม่ได้ติดตามตัวเลขว่ามีการเปลี่ยนและลดลงแค่ไหน
แต่คิดว่าลดลงโดยเฉพาะเนื้อหาเกี่ยวกับหุ้นที่นำเสนอ
ความสนใจเกี่ยวกับการออมและการลงทุนนั้นดูเหมือนจะยังมีอยู่
แต่มักจะเน้นในด้านของการลงทุนที่มีความมั่นคงปลอดภัยเช่น
การฝากเงิน ประกันชีวิต พันธบัตร และในช่วงนี้น่าจะรวมถึง ทอง ด้วย
สัญญาณต่อไปที่น่าจับตามองก็คือ การพูดคุยในเวบไซ้ต์เกี่ยวกับหุ้น
ในช่วงนี้ผมคิดว่าการพูดคุยหรือการตั้งและโต้ตอบกระทู้ของนักลงทุนมีน้อยลงไปมาก
คนที่เข้าไปเขียนข้อความก็มักจะเป็นรายใหม่ที่อายุและประสบการณ์การลงทุนยังน้อย
ความน่าสนใจและความคึกคักต่าง ๆ หดหายไปอย่างเห็นได้ชัด
ถ้าจะใช้สามัญสำนึกก็คงไม่ยากที่จะบอกนั่นก็คือ ถ้าเข้าเวบแล้วดูน่าเบื่อและน่าเบื่อลงเรื่อย ๆ
นั่นก็เป็นสัญญาณแล้วว่า ตลาดหุ้นกำลังเหงา
ผมเองเป็นคนที่ซื้อหาหนังสือการลงทุนโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับหุ้นเป็นประจำ
ในระยะหลัง ๆ นี้ผมแทบจะหาหนังสือที่น่าสนใจไม่ได้
ในชั้นที่วางหนังสือแนะนำและหนังสือใหม่นั้น
ในช่วงหุ้นบูมผมมักจะต้องพบหนังสือการลงทุนในหุ้นเล่มใหม่แทบจะทุกหนึ่งหรือสองสัปดาห์
เดี๋ยวนี้หนังสือเกี่ยวกับหุ้นโดยตรงมีน้อยมาก
นี่ก็เป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่บอกว่าหุ้นเหงา
กิจกรรมเกี่ยวกับหุ้นที่ยังพอเห็นมีคนเข้าร่วมพอสมควร
น่าจะเป็นเรื่องของการสัมมนาที่ยังค่อนข้างคึกคัก
แต่นี่ก็คือกิจกรรมของคนกลุ่มน้อยที่สุดในตลาดหุ้น
ถ้าจะพูดก็คือ นี่คือกลุ่มคน “หัวแข็ง”
และอาจเป็นกลุ่มสุดท้ายที่ยังอยู่ในตลาดหุ้นหรือยังมีความหวัง
และอยากจะได้โอกาสในการทำกำไรในภาวะวิกฤติ
และถ้าการสัมมนา “ร้างผู้คน” เมื่อไร
ผมคิดว่านั่นคือตลาดหุ้นเหงาสุด ๆ
และอาจจะเป็นโอกาสสุดยอดในการลงทุนอย่างที่เคยเกิดขึ้นในช่วงหลังวิกฤติปี 2540
ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ผมคิดว่า ด้วยสัญญาณหลัก ๆ หลายตัวที่ชี้ว่าหุ้น “ค่อนข้างจะเหงา”
ผมก็คิดว่า นี่น่าจะเป็นเวลาที่ดีในการลงทุน
เหตุผลของผมก็คือ เมื่อทุกคนที่หมดหวังจากการลงทุนหุ้นในตลาด
นั่นแปลว่าพวกเขามักจะ “ขายหุ้นไปหมดแล้ว”
คนที่เข้าไปรับซื้อหุ้นและยังถือต่อไปก็มักจะเป็นคนที่มองดูแล้วเห็นว่า
ราคาหุ้นถูกพอที่จะถือลงทุนระยะยาวได้ไม่ว่าเขาจะเป็น Value Investor หรือไม่
ในอีกส่วนหนึ่ง คนที่ไม่คิดที่จะขายขาดทุนอาจจะเพราะเขา “ทำใจไม่ได้”
ดังนั้นเขาจะถือรอต่อไปเพื่อว่าจะสามารถขายได้ในราคาที่เหมาะสมในอนาคต
ดังนั้น ในสถานการณ์แบบนี้ แรงขายที่จะทำให้ราคาลดต่ำลงมาก ๆ จะมีน้อยลง
ความเสี่ยงที่หุ้นจะตกหนัก ๆ น่าจะลดลงไปมาก
เช่นเดียวกัน แรงซื้อที่จะขับดันราคาหุ้นให้ขึ้นไปแรงมาก ๆ
ก็จะน้อยลงเช่นเดียวกันเนื่องจากปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวย
เช่นเดียวกับสถานะของนักลงทุนโดยทั่วไป
ที่ยังไม่มีกำลังใจและกำลังเงินเพียงพอที่จะ “ตามแห่”
และช่วยกันขับดันราคาหุ้นให้ขึ้นไปได้มาก ๆ
ดังนั้น
หุ้นก็มักจะไม่สามารถปรับตัวขึ้นหวือหวาหากพื้นฐานไม่ได้รองรับหรือเปลี่ยนไปมากจริง ๆ
ในสภาวะที่ตลาดหุ้นค่อนข้างนิ่งเพราะ “หุ้นเหงา” นั้น
ผมคิดว่าเราในฐานะที่เป็น Value Investor
จะมีสมาธิและมีเหตุผลที่ดีในการที่จะวิเคราะห์พื้นฐานของกิจการ
โดยไม่มีความลำเอียงจากการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น
เราจะไม่มองกิจการว่าดีเกินไปหรือแย่เกินไป
อย่างที่มักจะเกิดขึ้นเวลาที่ราคาหุ้นมีการตอบสนองกับพื้นฐานที่รุนแรงกว่าปกติ
ในยามที่ตลาดหุ้นคึกคักหรือตลาดหุ้นตระหนกตกใจ
และมีผู้คนที่เป็น “ เซียน” มาให้ความเห็นที่น่าเชื่อถือและน่าประทับใจ
นอกจากนั้น เรามีเวลาที่จะไตร่ตรองมากมาย
เช่นเดียวกับเวลาที่จะเข้าไปซื้อหุ้นอย่างช้า ๆ
และไม่ต้องเร่งซื้อที่จะทำให้ราคาปรับตัวขึ้นไปเร็วกว่าที่ควรจะเป็น
เพราะในยามที่ตลาดหุ้นเหงา ตลาดเป็นของผู้ซื้อ เราเลือกได้มาก
เรา “ต่อรอง” ได้มาก
ถ้าไม่เห็นภาพก็ลองนึกดูถึงการซื้อที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ในช่วงหลังวิกฤติปี 2540
ก็จะพบว่า มันเป็นการซื้อที่ได้ของดีและถูกแค่ไหน
การซื้อหุ้นในยามที่ตลาดเหงานั้น
ยังหมายความว่าเราซื้อโดยที่อาจจะไม่ค่อยได้คิดถึงวันที่จะขาย
เราซื้อเพราะว่ามันให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าแม้ว่าจะต้องถือไปตลอด
นั่นก็คือ บริษัทมีกำไรสูงมากและให้ปันผลที่คุ้มค่าในปัจจุบันและจะดียิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ ในอนาคต
และนี่คือการลงทุนที่อิงกับพื้นฐานของธุรกิจอย่างแท้จริง
โดยที่ไม่ได้คิดถึงปัจจัยของการเก็งกำไรจากตลาดหุ้นเลย
ดังนั้น การซื้อหุ้นในยามที่ตลาดหุ้นเหงา
สำหรับผมแล้วมักจะเป็นการซื้อหุ้นที่ดีเสมอ
ในช่วงนี้ดูเหมือนว่ากิจกรรมการซื้อขายหุ้นในตลาดจะลดลงอย่างเห็นได้ชัด
ปริมาณการซื้อขายส่วนใหญ่จะต่ำกว่าวันละ 10,000 ล้านบาท
โดยในช่วงวันตรุษจีนที่เพิ่งผ่านมาต่ำกว่า 3,000 ล้านบาทด้วย
ซึ่งเป็นตัวเลขที่ไม่ได้เห็นมานานหลายปี
ความเงียบเหงาของตลาดหุ้นเป็นเรื่องที่ผู้อยู่ในวงการโบรกเกอร์หวั่นวิตกที่สุด
เพราะนั่นหมายถึงรายได้ที่สำคัญที่สุดที่จะหดหายไป
เช่นเดียวกัน
นักเล่นหุ้นขาประจำโดยเฉพาะที่เป็นนักเก็งกำไรจากการซื้อขายหุ้นในระยะสั้น
ต่างก็มองว่านี่คือเวลาที่ไม่มีความหวังสำหรับการเล่นหุ้น
ความเงียบเหงานั้น สำหรับคนจำนวนมากที่เกี่ยวข้องกับตลาดหุ้นถือเป็นเรื่องที่เลวร้าย
แต่สำหรับ Value Investor อย่างผม
ผมกลับคิดว่า ความเงียบเหงาคือเวลาที่ดีสำหรับการลงทุน
ก่อนที่จะพูดว่าทำไมผมจึงชอบตลาดหุ้นที่เหงาหงอย
มาดูสัญญาณต่าง ๆ กันก่อนว่าอย่างไรแปลว่าตลาดเหงา
การที่ปริมาณการซื้อขายหุ้นลดลงอย่างเดียวนั้นยังไม่สามารถบอกได้ชัดเจน
แต่ก็เป็นสัญญาณที่สำคัญและเป็นเงื่อนไขที่จำเป็นตัวแรก
ในความเห็นผม ปริมาณการซื้อขายที่น่าจะเรียกว่าปกติก็คือ
การซื้อขายต่อวันโดยเฉลี่ยน่าจะประมาณเท่ากับตัวเลข
ที่จะทำให้หุ้นทั้งตลาดมีการหมุนเวียนหนึ่งรอบในเวลาหนึ่งปี
ซึ่งถ้าดูปริมาณหุ้นทั้งตลาดหรือมูลค่าตลาดหุ้นทั้งหมดในปัจจุบัน
เท่ากับประมาณ 3.5 ล้านล้านบาท
หารด้วยจำนวนวันซื้อขายหุ้นทั้งปีที่ประมาณ 240 วัน
ก็จะตกวันละ 14,000-15,000 ล้านบาท
ดังนั้น ปริมาณการซื้อขายปัจจุบันที่มักจะต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท
ในช่วงนี้จึงถือว่าการซื้อขายหุ้นค่อนข้างเงียบเหงา
สัญญาณที่ควรสังเกตสำหรับความเงียบเหงาของตลาดหุ้นตัวต่อไปก็คือ
สื่อสารมวลชนที่เข้าถึงคนในวงกว้างได้แก่วิทยุ โทรทัศน์ และ หนังสือพิมพ์
ผมคิดว่ารายการเกี่ยวกับหุ้นโดยตรงนั้นค่อย ๆ ลดลงมาเป็นระยะเวลาพอสมควร
รายการเกี่ยวกับการลงทุนอาจจะยังคงอยู่แต่น้ำหนักในการนำเสนอจะเปลี่ยนไป
ชื่อรายการที่เคยเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับหุ้นก็อาจจะเป็นเรื่องของ “เงินทอง”
หรือการลงทุนแบบกว้าง ๆ
ประสบการณ์ส่วนตัวผมเองเคยร่วมทำรายการวิทยุเกี่ยวกับหุ้นสัปดาห์ละสามวัน
ในช่วงหลังก็เหลือเพียงสองวัน
รายการเกี่ยวกับหุ้นอื่น ๆ ทั้งทางวิทยุและโทรทัศน์นั้น
ผมไม่ได้ติดตามตัวเลขว่ามีการเปลี่ยนและลดลงแค่ไหน
แต่คิดว่าลดลงโดยเฉพาะเนื้อหาเกี่ยวกับหุ้นที่นำเสนอ
ความสนใจเกี่ยวกับการออมและการลงทุนนั้นดูเหมือนจะยังมีอยู่
แต่มักจะเน้นในด้านของการลงทุนที่มีความมั่นคงปลอดภัยเช่น
การฝากเงิน ประกันชีวิต พันธบัตร และในช่วงนี้น่าจะรวมถึง ทอง ด้วย
สัญญาณต่อไปที่น่าจับตามองก็คือ การพูดคุยในเวบไซ้ต์เกี่ยวกับหุ้น
ในช่วงนี้ผมคิดว่าการพูดคุยหรือการตั้งและโต้ตอบกระทู้ของนักลงทุนมีน้อยลงไปมาก
คนที่เข้าไปเขียนข้อความก็มักจะเป็นรายใหม่ที่อายุและประสบการณ์การลงทุนยังน้อย
ความน่าสนใจและความคึกคักต่าง ๆ หดหายไปอย่างเห็นได้ชัด
ถ้าจะใช้สามัญสำนึกก็คงไม่ยากที่จะบอกนั่นก็คือ ถ้าเข้าเวบแล้วดูน่าเบื่อและน่าเบื่อลงเรื่อย ๆ
นั่นก็เป็นสัญญาณแล้วว่า ตลาดหุ้นกำลังเหงา
ผมเองเป็นคนที่ซื้อหาหนังสือการลงทุนโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับหุ้นเป็นประจำ
ในระยะหลัง ๆ นี้ผมแทบจะหาหนังสือที่น่าสนใจไม่ได้
ในชั้นที่วางหนังสือแนะนำและหนังสือใหม่นั้น
ในช่วงหุ้นบูมผมมักจะต้องพบหนังสือการลงทุนในหุ้นเล่มใหม่แทบจะทุกหนึ่งหรือสองสัปดาห์
เดี๋ยวนี้หนังสือเกี่ยวกับหุ้นโดยตรงมีน้อยมาก
นี่ก็เป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่บอกว่าหุ้นเหงา
กิจกรรมเกี่ยวกับหุ้นที่ยังพอเห็นมีคนเข้าร่วมพอสมควร
น่าจะเป็นเรื่องของการสัมมนาที่ยังค่อนข้างคึกคัก
แต่นี่ก็คือกิจกรรมของคนกลุ่มน้อยที่สุดในตลาดหุ้น
ถ้าจะพูดก็คือ นี่คือกลุ่มคน “หัวแข็ง”
และอาจเป็นกลุ่มสุดท้ายที่ยังอยู่ในตลาดหุ้นหรือยังมีความหวัง
และอยากจะได้โอกาสในการทำกำไรในภาวะวิกฤติ
และถ้าการสัมมนา “ร้างผู้คน” เมื่อไร
ผมคิดว่านั่นคือตลาดหุ้นเหงาสุด ๆ
และอาจจะเป็นโอกาสสุดยอดในการลงทุนอย่างที่เคยเกิดขึ้นในช่วงหลังวิกฤติปี 2540
ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ผมคิดว่า ด้วยสัญญาณหลัก ๆ หลายตัวที่ชี้ว่าหุ้น “ค่อนข้างจะเหงา”
ผมก็คิดว่า นี่น่าจะเป็นเวลาที่ดีในการลงทุน
เหตุผลของผมก็คือ เมื่อทุกคนที่หมดหวังจากการลงทุนหุ้นในตลาด
นั่นแปลว่าพวกเขามักจะ “ขายหุ้นไปหมดแล้ว”
คนที่เข้าไปรับซื้อหุ้นและยังถือต่อไปก็มักจะเป็นคนที่มองดูแล้วเห็นว่า
ราคาหุ้นถูกพอที่จะถือลงทุนระยะยาวได้ไม่ว่าเขาจะเป็น Value Investor หรือไม่
ในอีกส่วนหนึ่ง คนที่ไม่คิดที่จะขายขาดทุนอาจจะเพราะเขา “ทำใจไม่ได้”
ดังนั้นเขาจะถือรอต่อไปเพื่อว่าจะสามารถขายได้ในราคาที่เหมาะสมในอนาคต
ดังนั้น ในสถานการณ์แบบนี้ แรงขายที่จะทำให้ราคาลดต่ำลงมาก ๆ จะมีน้อยลง
ความเสี่ยงที่หุ้นจะตกหนัก ๆ น่าจะลดลงไปมาก
เช่นเดียวกัน แรงซื้อที่จะขับดันราคาหุ้นให้ขึ้นไปแรงมาก ๆ
ก็จะน้อยลงเช่นเดียวกันเนื่องจากปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวย
เช่นเดียวกับสถานะของนักลงทุนโดยทั่วไป
ที่ยังไม่มีกำลังใจและกำลังเงินเพียงพอที่จะ “ตามแห่”
และช่วยกันขับดันราคาหุ้นให้ขึ้นไปได้มาก ๆ
ดังนั้น
หุ้นก็มักจะไม่สามารถปรับตัวขึ้นหวือหวาหากพื้นฐานไม่ได้รองรับหรือเปลี่ยนไปมากจริง ๆ
ในสภาวะที่ตลาดหุ้นค่อนข้างนิ่งเพราะ “หุ้นเหงา” นั้น
ผมคิดว่าเราในฐานะที่เป็น Value Investor
จะมีสมาธิและมีเหตุผลที่ดีในการที่จะวิเคราะห์พื้นฐานของกิจการ
โดยไม่มีความลำเอียงจากการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น
เราจะไม่มองกิจการว่าดีเกินไปหรือแย่เกินไป
อย่างที่มักจะเกิดขึ้นเวลาที่ราคาหุ้นมีการตอบสนองกับพื้นฐานที่รุนแรงกว่าปกติ
ในยามที่ตลาดหุ้นคึกคักหรือตลาดหุ้นตระหนกตกใจ
และมีผู้คนที่เป็น “ เซียน” มาให้ความเห็นที่น่าเชื่อถือและน่าประทับใจ
นอกจากนั้น เรามีเวลาที่จะไตร่ตรองมากมาย
เช่นเดียวกับเวลาที่จะเข้าไปซื้อหุ้นอย่างช้า ๆ
และไม่ต้องเร่งซื้อที่จะทำให้ราคาปรับตัวขึ้นไปเร็วกว่าที่ควรจะเป็น
เพราะในยามที่ตลาดหุ้นเหงา ตลาดเป็นของผู้ซื้อ เราเลือกได้มาก
เรา “ต่อรอง” ได้มาก
ถ้าไม่เห็นภาพก็ลองนึกดูถึงการซื้อที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ในช่วงหลังวิกฤติปี 2540
ก็จะพบว่า มันเป็นการซื้อที่ได้ของดีและถูกแค่ไหน
การซื้อหุ้นในยามที่ตลาดเหงานั้น
ยังหมายความว่าเราซื้อโดยที่อาจจะไม่ค่อยได้คิดถึงวันที่จะขาย
เราซื้อเพราะว่ามันให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าแม้ว่าจะต้องถือไปตลอด
นั่นก็คือ บริษัทมีกำไรสูงมากและให้ปันผลที่คุ้มค่าในปัจจุบันและจะดียิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ ในอนาคต
และนี่คือการลงทุนที่อิงกับพื้นฐานของธุรกิจอย่างแท้จริง
โดยที่ไม่ได้คิดถึงปัจจัยของการเก็งกำไรจากตลาดหุ้นเลย
ดังนั้น การซื้อหุ้นในยามที่ตลาดหุ้นเหงา
สำหรับผมแล้วมักจะเป็นการซื้อหุ้นที่ดีเสมอ
"ผู้ทรงธรรมนั่นแหละคือผู้ทรงเกียรติ ผู้มีความดีนั่นแหละคือผู้มีทรัพย์ ผู้รู้จักพอนั่นแหละคือมหาเศรษฐี" ว.วชิรเมธี
-
- Verified User
- โพสต์: 601
- ผู้ติดตาม: 0
เมื่อตลาดหุ้นเหงา/ ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 2
คนที่ไปฟัง สัมมนา ก็มักจะ เป็นคนหน้าเดิมๆ กลุ่มเดิมๆ ซึ่งเป็นส่วนน้อยของ คนในตลาด ......................
-
- Verified User
- โพสต์: 18364
- ผู้ติดตาม: 1
เมื่อตลาดหุ้นเหงา/ ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 6
เต่ามีกระดองไว้หลบภาย
มันคือกระดูกที่ป้องกันร่างกาย
ตอนนี้กระดองไม่ร้าว ไม่แตก
หัวหดอยู่ในกระดอง
แต่ต้องทำมีจมูกในการรู้ว่า
ศัตรูที่ทำลายไปแล้วหรือยัง
เนี่ยคือธรรมชาติของเต่า
และเต่ายืนยาวได้เพราะ ไม่ค่อยมีพิษมีใครกับใคร
ใครทำร้ายก็ทำลำบาก จึงเป็นสัญลักษณ์ของคนจีน ในเรื่องอายุยืนยาวด้วย
มันคือกระดูกที่ป้องกันร่างกาย
ตอนนี้กระดองไม่ร้าว ไม่แตก
หัวหดอยู่ในกระดอง
แต่ต้องทำมีจมูกในการรู้ว่า
ศัตรูที่ทำลายไปแล้วหรือยัง
เนี่ยคือธรรมชาติของเต่า
และเต่ายืนยาวได้เพราะ ไม่ค่อยมีพิษมีใครกับใคร
ใครทำร้ายก็ทำลำบาก จึงเป็นสัญลักษณ์ของคนจีน ในเรื่องอายุยืนยาวด้วย
-
- Verified User
- โพสต์: 124
- ผู้ติดตาม: 0
เมื่อตลาดหุ้นเหงา/ ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 8
ขอบคุณครับอาจารย์
-
- Verified User
- โพสต์: 1252
- ผู้ติดตาม: 0
เมื่อตลาดหุ้นเหงา/ ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 10
นับถือๆในที่สุดท่านอ.นิเวศน์ก็ร่ายรำเพลงมวยในตำนานนามจิตวิทยาในการลงทุนให้ได้ชมแล้ว :lol:
- sorawut
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2494
- ผู้ติดตาม: 2
เมื่อตลาดหุ้นเหงา/ ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 12
ถ้าคุณเหงา เราคือเพื่อน...
ถ้าคุณเกา เราคือเกลื้อน... :lol:
ถ้าคุณเกา เราคือเกลื้อน... :lol:
ตัดสินใจว่า ธุรกิจไหนที่คุณต้องการจะเป็นเจ้าของ
และซื้อเมื่อราคาสามารถให้ผลตอบแทนจากการลงทุน ในอัตราที่เข้าท่าสำหรับการร่วมทำธุรกิจเท่านั้น
และซื้อเมื่อราคาสามารถให้ผลตอบแทนจากการลงทุน ในอัตราที่เข้าท่าสำหรับการร่วมทำธุรกิจเท่านั้น
-
- Verified User
- โพสต์: 47
- ผู้ติดตาม: 0
เมื่อตลาดหุ้นเหงา/ ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 13
ตลาดเหงา เราเองก็เงินหด หมดเงินจะซื้อของใหม่ ไปด้วยนี่ซิ
เพิ่งหัดลอง
- satantuey
- Verified User
- โพสต์: 743
- ผู้ติดตาม: 0
เมื่อตลาดหุ้นเหงา/ ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 17
ไปสัมมนาที่ตลาดเมื่อวันที่ 31 ม.ค. มา ดร.นิเวศน์ แนะหุ้น VI มาตัว แต่ก่อนไม่เคยอยู่ในสายตาเลย เพราะมีแต่ข่าวร้ายเยอะ แต่พอฟัง ดร. อธิบายมุมมองของแกมา นึกในใจเลย เออว่ะ ไมเราไม่มองให้ทะลุเหมือนแก
ปล.ท่านที่ได้ไปร่วมงาน คงรู้ว่าตัวไหน อิอิ VI ต้องซุ่ม :roll:
ปล.ท่านที่ได้ไปร่วมงาน คงรู้ว่าตัวไหน อิอิ VI ต้องซุ่ม :roll:
-
- Verified User
- โพสต์: 1252
- ผู้ติดตาม: 0
เมื่อตลาดหุ้นเหงา/ ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 19
"ผมเองเป็นคนที่ซื้อหาหนังสือการลงทุนโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับหุ้นเป็นประจำ
ในระยะหลัง ๆ นี้ผมแทบจะหาหนังสือที่น่าสนใจไม่ได้
ในชั้นที่วางหนังสือแนะนำและหนังสือใหม่นั้น
ในช่วงหุ้นบูมผมมักจะต้องพบหนังสือการลงทุนในหุ้นเล่มใหม่แทบจะทุกหนึ่งหรือสองสัปดาห์
เดี๋ยวนี้หนังสือเกี่ยวกับหุ้นโดยตรงมีน้อยมาก
นี่ก็เป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่บอกว่าหุ้นเหงา " ดร.นิเวศน์
ถ้าหากท่านอ.หาหนังสือเล่มใหม่ที่น่าใจไม่ได้ก็อาจถึงเวลาแล้วที่ท่านอ.จะได้ทบทวนสุดยอดวิชาอีกครั้งหลังจากที่ท่านอ.ได้ร่ำเรียนสุดยอดวิทยายุทธ์ใหม่ๆในช่วงหลายปีมานี้โดยการถ่ายทอดผ่านสุดยอดคัมภีร์สะท้านภพอันมีนามว่า"ตีแตก2"ที่กลายเป็นตำนานบทใหม่ในใจนักลงทุน :lol:
ในระยะหลัง ๆ นี้ผมแทบจะหาหนังสือที่น่าสนใจไม่ได้
ในชั้นที่วางหนังสือแนะนำและหนังสือใหม่นั้น
ในช่วงหุ้นบูมผมมักจะต้องพบหนังสือการลงทุนในหุ้นเล่มใหม่แทบจะทุกหนึ่งหรือสองสัปดาห์
เดี๋ยวนี้หนังสือเกี่ยวกับหุ้นโดยตรงมีน้อยมาก
นี่ก็เป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่บอกว่าหุ้นเหงา " ดร.นิเวศน์
ถ้าหากท่านอ.หาหนังสือเล่มใหม่ที่น่าใจไม่ได้ก็อาจถึงเวลาแล้วที่ท่านอ.จะได้ทบทวนสุดยอดวิชาอีกครั้งหลังจากที่ท่านอ.ได้ร่ำเรียนสุดยอดวิทยายุทธ์ใหม่ๆในช่วงหลายปีมานี้โดยการถ่ายทอดผ่านสุดยอดคัมภีร์สะท้านภพอันมีนามว่า"ตีแตก2"ที่กลายเป็นตำนานบทใหม่ในใจนักลงทุน :lol:
- sorawut
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2494
- ผู้ติดตาม: 2
เมื่อตลาดหุ้นเหงา/ ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 24
อยากจิบเบียร์แล้วครับ :lol:
(แต่กินเบียร์ไม่ค่อยเป็น :drink: :drink:)
(แต่กินเบียร์ไม่ค่อยเป็น :drink: :drink:)
ตัดสินใจว่า ธุรกิจไหนที่คุณต้องการจะเป็นเจ้าของ
และซื้อเมื่อราคาสามารถให้ผลตอบแทนจากการลงทุน ในอัตราที่เข้าท่าสำหรับการร่วมทำธุรกิจเท่านั้น
และซื้อเมื่อราคาสามารถให้ผลตอบแทนจากการลงทุน ในอัตราที่เข้าท่าสำหรับการร่วมทำธุรกิจเท่านั้น
- jack5515566
- Verified User
- โพสต์: 119
- ผู้ติดตาม: 0
ช่วงเตรียมพร้อม
โพสต์ที่ 25
มือใหม่คับ
เพิ่งเปิดพอร์ต 6/1/52 เอง
แต่ศึกษามาเกือบปีแล้ว
หวังว่าคงเป็นช่วงเวลาที่ดีนะครับ...........VI สู้ๆ
เพิ่งเปิดพอร์ต 6/1/52 เอง
แต่ศึกษามาเกือบปีแล้ว
หวังว่าคงเป็นช่วงเวลาที่ดีนะครับ...........VI สู้ๆ
- holidaytours
- Verified User
- โพสต์: 349
- ผู้ติดตาม: 0
เมื่อตลาดหุ้นเหงา/ ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 26
เมื่อหุ้นเหงา วีไอร่าเริง หุ้นถูกเยอะ แต่มันไม่มีตังซื้อนี่อะซิ :lol: