แชมป์เศรษฐีหุ้นของไทย...ตอนนี้คือ คุณทองมา แล้วนะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 680
- ผู้ติดตาม: 0
แชมป์เศรษฐีหุ้นของไทย...ตอนนี้คือ คุณทองมา แล้วนะครับ
โพสต์ที่ 1
เพิ่งลองคำนวณดู หลังพบราคาหุ้น PS ขึ้นมาแรงมาก
ก็พบว่า คุณทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์.... รวยหุ้นนี้ถืออยู๋ 62 เปอร์เซนต์เป็นเงินถึง 1.81 หมื่นล้านบาท แซง คุณอนันต์ อัศวโภคินที่ถือ LH อยู่ 24 เปอร์เซนต์ เป็นเงิน 1.63 หมื่นล้าน
เคยอ่านประวัติคุณ ทองมา แล้วซึ้งมากๆ ยิ่งกว่านิยายเสียอีก น่าจะมีคนนำไปทำเป็นละคร เชื่อว่าน่าจะดังเทียบชั้น "โอชิน"
สร้างตัวจากระดับรากหญ้า ครอบครัวไม่มีเงินให้เรียน ต้องทำงานส่งตัวเอง จนสอบเข้าได้วิศวะฯ จุฬา
ออกมาทำธุรกิจรับเหมาฯ แต่ไม่ค่อยรุ่ง เพราะ มีทั้งกำไร ขาดทุนสลับกัน เลยมาทำพัฒนาอสังหาฯ ดีกว่า
ทาวน์เฮ้าส์เพื่อคนจน....แทนที่จะแข่งโฆษณาสร้างแบรนด์ หรือ ดีไซน์ กลับมุ่งพัฒนาเพื่อลดต้นทุน ด้วยผนังสำเร็จรูป
PS มุ่งสร้างทาวน์เฮ้าส์เพื่อคนจน ขณะที่ LH มุ่งสร้างบ้านเดี่ยวเพื่อคนรวย
เมื่อสร้างเร็วเสร็จใน 4 เดือน ก็ประหยัดต้นทุนค่าแรงก่อสร้าง นอกจากนั้น เงินยังหมุนได้ถึง 3 รอบต่อปี
เมื่อเทียบกับคอนโดฯ สร้าง 2 ปี .... ทาวน์เฮ้าส์ของพฤกษา หมุนไปได้แล้วถึง 6 รอบ ....
จากนี้ไปมุ่งสู่อินเตอร์ เล็งๆ ที่อินเดีย และ เวียดนาม เพราะ เค้กตลาดอสังหาฯ ของไทยเล็กเกินไปแล้ว สำหรับพฤกษา
งานอดิเรก คือ การอ่านหนังสือธรรมะ
ทำเพื่อสังคม...ด้วยการให้ทุนการศึกษากับเด็ก หลายร้อยคนแล้ว
เป็นบุคคลที่น่าชื่นชมจริงๆ ทั้งความมุมานะ อดทน ขยัน สร้างสรรค์ มีคุณธรรม.....
อยากให้มีการทำละครชีวิตของเขาออกมา เพื่อให้กำลังใจกับคนรากหญ้า ให้มุ่งมั่นต่อการศึกษา และ คิดอย่างสร้างสรรค์
เป็นการสร้างภาพพจน์ที่ดีว่า ประเทศไทยยังเป็นประเทศที่ให้โอกาสกับคนทุกระดับ .... คุณอาจเป็นระดับมหาเศรษฐีใจบุญอย่างคุณทองมาเลยก็ได้
ก็พบว่า คุณทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์.... รวยหุ้นนี้ถืออยู๋ 62 เปอร์เซนต์เป็นเงินถึง 1.81 หมื่นล้านบาท แซง คุณอนันต์ อัศวโภคินที่ถือ LH อยู่ 24 เปอร์เซนต์ เป็นเงิน 1.63 หมื่นล้าน
เคยอ่านประวัติคุณ ทองมา แล้วซึ้งมากๆ ยิ่งกว่านิยายเสียอีก น่าจะมีคนนำไปทำเป็นละคร เชื่อว่าน่าจะดังเทียบชั้น "โอชิน"
สร้างตัวจากระดับรากหญ้า ครอบครัวไม่มีเงินให้เรียน ต้องทำงานส่งตัวเอง จนสอบเข้าได้วิศวะฯ จุฬา
ออกมาทำธุรกิจรับเหมาฯ แต่ไม่ค่อยรุ่ง เพราะ มีทั้งกำไร ขาดทุนสลับกัน เลยมาทำพัฒนาอสังหาฯ ดีกว่า
ทาวน์เฮ้าส์เพื่อคนจน....แทนที่จะแข่งโฆษณาสร้างแบรนด์ หรือ ดีไซน์ กลับมุ่งพัฒนาเพื่อลดต้นทุน ด้วยผนังสำเร็จรูป
PS มุ่งสร้างทาวน์เฮ้าส์เพื่อคนจน ขณะที่ LH มุ่งสร้างบ้านเดี่ยวเพื่อคนรวย
เมื่อสร้างเร็วเสร็จใน 4 เดือน ก็ประหยัดต้นทุนค่าแรงก่อสร้าง นอกจากนั้น เงินยังหมุนได้ถึง 3 รอบต่อปี
เมื่อเทียบกับคอนโดฯ สร้าง 2 ปี .... ทาวน์เฮ้าส์ของพฤกษา หมุนไปได้แล้วถึง 6 รอบ ....
จากนี้ไปมุ่งสู่อินเตอร์ เล็งๆ ที่อินเดีย และ เวียดนาม เพราะ เค้กตลาดอสังหาฯ ของไทยเล็กเกินไปแล้ว สำหรับพฤกษา
งานอดิเรก คือ การอ่านหนังสือธรรมะ
ทำเพื่อสังคม...ด้วยการให้ทุนการศึกษากับเด็ก หลายร้อยคนแล้ว
เป็นบุคคลที่น่าชื่นชมจริงๆ ทั้งความมุมานะ อดทน ขยัน สร้างสรรค์ มีคุณธรรม.....
อยากให้มีการทำละครชีวิตของเขาออกมา เพื่อให้กำลังใจกับคนรากหญ้า ให้มุ่งมั่นต่อการศึกษา และ คิดอย่างสร้างสรรค์
เป็นการสร้างภาพพจน์ที่ดีว่า ประเทศไทยยังเป็นประเทศที่ให้โอกาสกับคนทุกระดับ .... คุณอาจเป็นระดับมหาเศรษฐีใจบุญอย่างคุณทองมาเลยก็ได้
- SEHJU
- Verified User
- โพสต์: 1238
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แชมป์เศรษฐีหุ้นของไทย...ตอนนี้คือ คุณทองมา แล้วนะครับ
โพสต์ที่ 3
[quote="อะไรดีละ"]เพิ่งลองคำนวณดู
-
- Verified User
- โพสต์: 680
- ผู้ติดตาม: 0
แชมป์เศรษฐีหุ้นของไทย...ตอนนี้คือ คุณทองมา แล้วนะครับ
โพสต์ที่ 4
เห็นราคาหุ้นพฤกษา วันนี้แล้วยิ่งทิ้งห่างออกไปอีก อย่างแรง....
น่าทึ่งมากๆ ครับ สำหรับชีวิตจริง ยิ่งกว่านิยาย ของคุณทองมา คนนี้
ใช้เวลาแค่ไม่ถึง 20 ปี สร้างตัวจากศูนย์....มารวยระดับมหาเศรษฐีของเมืองไทยได้ .....
เปี่ยมไปด้วยปัญญา ความคิดสร้างสรรค์ ความมุมานะ พร้อมไปด้วยคุณธรรม
ขอชื่นชมด้วยใจจริงเลยละครับ
น่าทึ่งมากๆ ครับ สำหรับชีวิตจริง ยิ่งกว่านิยาย ของคุณทองมา คนนี้
ใช้เวลาแค่ไม่ถึง 20 ปี สร้างตัวจากศูนย์....มารวยระดับมหาเศรษฐีของเมืองไทยได้ .....
เปี่ยมไปด้วยปัญญา ความคิดสร้างสรรค์ ความมุมานะ พร้อมไปด้วยคุณธรรม
ขอชื่นชมด้วยใจจริงเลยละครับ
- yoyo
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4833
- ผู้ติดตาม: 1
แชมป์เศรษฐีหุ้นของไทย...ตอนนี้คือ คุณทองมา แล้วนะครับ
โพสต์ที่ 5
ยอดเยี่ยมครับ รวยทั้งเงิน รวยทั้งใจ
การลงทุนที่มีค่าที่สุด คือการลงทุนในความรู้
http://www.yoyoway.com
http://www.yoyoway.com
-
- Verified User
- โพสต์: 2712
- ผู้ติดตาม: 0
แชมป์เศรษฐีหุ้นของไทย...ตอนนี้คือ คุณทองมา แล้วนะครับ
โพสต์ที่ 6
ขอแสดงความยินดีด้วยนะครับ
ผมไม่แน่ใจว่า คุณ นิติ โอสถานุเคราะห์ ถือหุ้นมากกว่าคุณทองมาหรือไม่ครับ
ผมไม่แน่ใจว่า คุณ นิติ โอสถานุเคราะห์ ถือหุ้นมากกว่าคุณทองมาหรือไม่ครับ
อย่าลืมให้เวลากับครอบครัว และสังคมรอบๆข้างของคุณนะครับ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
-
- Verified User
- โพสต์: 680
- ผู้ติดตาม: 0
แชมป์เศรษฐีหุ้นของไทย...ตอนนี้คือ คุณทองมา แล้วนะครับ
โพสต์ที่ 7
กรุงเทพฯ--15 ธ.ค.--วารสารการเงินธนาคาร
นับเป็นปีที่ 14 แล้ว ที่วารสารการเงินธนาคาร ร่วมกับ อาจารย์ประจำคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ทำการจัดอันดับเศรษฐีหุ้นไทยมาอย่างต่อเนื่อง โดยภาพรวมของเศรษฐีหุ้นในปี 2551 ซึ่งวัดจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ประเภทบุคคลธรรมดาในประเทศที่ถือหุ้นสัดส่วน 0.5% ขึ้นไป ตามการปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นล่าสุดก่อนวันที่ 30 กันยายน 2551 จำนวน 5,095 ราย มีมูลค่าหุ้นที่ถือครองรวมทั้งสิ้น 397,901 ล้านบาท ลดลงจากปี 2550 ถึง 78,285 ล้านบาท หรือลดลง 16.44%
ความมั่งคั่งของเศรษฐีหุ้นไทยที่มีมูลค่าลดลงถึงกว่า 78,000 ล้านบาทในปีนี้ เนื่องมาจากดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ณ วันที่ 30 กันยายน 2551 ซึ่งใช้เป็นฐานในการคำนวณมูลค่าการถือครองหุ้นของบรรดาเศรษฐีหุ้นประจำปี 2551 นั้นปรับตัวลดลงถึง 248.96 จุดจากปี 2550 โดยปรับลงมาอยู่ที่ระดับ 596.94 จุด ลดลง 29.45%% ซึ่งเป็นผลจากวิกฤติการเงินโลกและปัญหาการเมืองภายในประเทศ
สำหรับผลการจัดอันดับในวารสารการเงินธนาคาร ฉบับเดือนธันวาคม 2551 ปรากฏว่า ตำแหน่งแชมป์เศรษฐีหุ้นประจำปี 2551 ได้แก่ อนันต์ อัศวโภคิน ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ บิ๊กบอสแห่งวงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งได้สร้างสถิติใหม่ด้วยการรักษาตำแหน่งแชมป์เศรษฐีหุ้นไว้ได้อีกครั้งเป็นปีที่ 6 โดยถือครองหุ้นมูลค่าสูงสุดรวม 14,657.45 ล้านบาท ประกอบด้วยหุ้น บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH) 23.98% มูลค่า 14,633.23 ล้านบาท และ บมจ.แมนดารินโฮเต็ล (MANRIN) 1.67% มูลค่า 4.21 ล้านบาท
สำหรับเส้นทางการครองตำแหน่งเศรษฐีหุ้นไทยของอนันต์นั้น เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2537 มีมูลค่าหุ้นที่ถือครอง 21,680.33 ล้านบาท หลังจากนั้นก็ทิ้งห่างไป 7 ปี จึงได้กลับมาติดอันดับหนึ่งอีกครั้งในปี 2545 ถือครองหุ้นมูลค่า 9,858.16 ล้านบาท และปี 2546 ถือครองหุ้นมูลค่า 16,373.37 ล้านบาท เว้นไป 2 ปีก็ทวงแชมป์กลับคืนมา โดยครั้งนี้อยู่ในอันดับหนึ่งติดต่อกัน 3 ปี คือปี 2549 ถือครองหุ้นมูลค่า 13,139.86 ล้านบาท ปี 2550 ถือครองหุ้นมูลค่า 13,230.23 ล้านบาท และในปี 2551 ที่ยังถือครองหุ้นมูลค่าสูงสุดถึง 14,657.45 ล้านบาท
ส่วนเศรษฐีหุ้นอันดับ 2 ยังเป็นของ ทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ แห่งพฤกษาเรียลเอสเตท หรือ PS ซึ่งครองตำแหน่งนี้ติดต่อกัน 3 ปีแล้ว โดยปีนี้ถือครองหุ้นมูลค่ารวม 9,599.16 ล้านบาท จากการถือหุ้น PS ในสัดส่วน 61.85% รวยลดลง 1,554.79 ล้านบาท หรือ 13.94% เนื่องจากราคาหุ้น PS ได้ปรับตัวลดลงถึง 13.93%
สำหรับเศรษฐีหุ้นอันดับ 3 ก้าวขึ้นมาจากอันดับ 4 เมื่อปีที่แล้ว ได้แก่ นายแพทย์ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ หรือหมอเสริฐ แห่งบางกอกแอร์เวย์ส โดยถือหุ้น บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ (BGH) 13.55% และ บมจ.โรงพยาบาลนนทเวช (NTV) 0.79% รวมมูลค่า 5,111.20 ล้านบาท ลดลง 1,167.80 ล้านบาท หรือ 18.60% เศรษฐีหุ้นอันดับ 4 ไต่ขึ้นจากอันดับ 8 เมื่อปีที่แล้ว ได้แก่ ประวิทย์ มาลีนนท์ แห่งช่อง 3 โดยถือครองหุ้น บมจ.บีอีซี เวิลด์ (BEC) 11.42% มูลค่ารวม 4,864.92 ล้านบาท รวยลดลง 433.96 ล้านบาท หรือ 8.19%
ด้านนักลงทุนรายใหญ่ อย่าง นิติ โอสถานุเคราะห์ ทายาท สุรัตน์ โอสถานุเคราะห์ แห่งโอสถสภา ไต่อันดับเศรษฐีหุ้นขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง จากอันดับ 10 ในปี 2549 มาอยู่ในอันดับ 9 เมื่อปี 2550 และขึ้นมาอยู่ในอันดับ 5 ในปี 2551 โดยปีนี้นิติลงทุนในหุ้นทั้งหมด 16 บริษัท รวมมูลค่าหุ้นที่ถือครองทั้งสิ้น 4,372.48 ล้านบาท ลดลง 901.70 ล้านบาท หรือ 17.10% เนื่องจากราคาหุ้นที่ถือเกือบทั้งหมดปรับตัวลดลงในปีที่ผ่านมา
เช่นเดียวกันกับเศรษฐีหุ้นอันดับ 6 ที่ตกเป็นของ พวงพันธุ์ บูลศักดิ์ นักลงทุนรายใหญ่อีกราย ที่ก้าวกระโดดจากอันดับ 148 เมื่อปีที่แล้ว โดยถือครองหุ้นรวมมูลค่า 3,776.93 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 3,177.67 ล้านบาท หรือ 530.27% ประกอบด้วย บมจ.ไลฟ์ อินคอร์ปอเรชั่น (LIVE) ที่ถือหุ้นสูงสุดเป็นอันดับ 1 คือ 12.94% และถือหุ้นเป็นอันดับ 2 ใน บมจ.บลิส-เทล (BLISS) 4.98% นอกจากนี้ ยังถือหุ้น บมจ.ไอ.อี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล (IEC) 8.16% และ บมจ.ซี.ไอ.กรุ๊ป (CIG) 3.67%
สำหรับนิจพร จรณะจิตต์ พี่สาวของ เปรมชัย กรรณสูต บิ๊กบอสอิตาเลี่ยนไทย ยังรักษาอันดับ 7 ไว้ได้เป็นปีที่ 3 โดยถือหุ้นมูลค่ารวม 3,631 ล้านบาท ลดลง 1,774.28 ล้านบาท หรือ 32.82% ประกอบด้วย บมจ.อิตาเลี่ยนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ (ITD) 11.03% บมจ.โรงแรมโอเรียนเต็ล (OHTL) 21.91% และ บมจ.โพส พับบลิชชิ่ง (POST) 2.52%
เจ้าของค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ แกรมมี่ อากู๋ ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม ปีนี้ขยับขึ้นมาเป็นเศรษฐีหุ้นอันดับ 8 หลังจากหล่นไปอยู่ในอันดับ 25 เมื่อปีที่แล้ว เนื่องจากปีนี้ราคาหุ้น บมจ.แกรมมี่ (GRAMMY) ที่ถืออยู่ 55.34% ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น 31.92% ทำให้มูลค่าหุ้นที่ถือครองเพิ่มขึ้นเป็น 3,525.75 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้นถึง 1,165.77 ล้านบาท หรือ 49.40%
เช่นเดียวกับประชุม มาลีนนท์ ที่ก้าวขึ้นจากอันดับ 12 มาเป็นเศรษฐีหุ้นในอันดับ 9 รวย 3,390.01 ล้านบาท จากการถือหุ้น บมจ.บีอีซี เวิล์ด (BEC) 7.86% บมจ.ศิครินทร์ (SKR) 3.87% และ บมจ.ชูไก (CRANE) 0.71% ตามติดด้วยเศรษฐีหุ้นอันดับ 10 อัมพร มาลีนนท์ ที่ไต่ขึ้นมาจากอันดับ 13 เมื่อปีที่แล้ว รวย 3,363.08 ล้านบาท ถือหุ้น BEC 7.86% และ SKR 1.60%
ทั้งนี้นอกจากประชุม และอัมพร มาลีนนท์ ยังมีเศรษฐีหุ้นที่เป็นเครือญาติในตระกูลมาลีนนท์ เจ้าของไทยทีวีสีช่อง 3 ได้แก่ ประวิทย์ รัตนา ประสาร นิภา ปิยวดี สกลศรี แคทลีน และเทรซีแอนน์ มาลีนนท์ ซึ่งเมื่อรวมมูลค่าหุ้นของเครือญาติทั้ง 10 คนแล้ว ส่งผลให้ตระกูลมาลีนนท์ครองอันดับ 1 ของตระกูลเศรษฐีหุ้นไทยได้อีกครั้งในปีนี้ โดยมีมูลค่าหุ้นที่ถือครองรวม 24,426.93 ล้านบาท ลดลง 2,045.23 ล้านบาท หรือ 7.73% ซึ่งหุ้นที่ตระกูลมาลีนนท์ถือครอง ได้แก่ ถือหุ้น บมจ.บีอีซี เวิล์ด (BEC) บมจ.ศิครินทร์ (SKR) บมจ.ซีวีดี เอ็นเตอร์เทนเมนท์ (CVD) และบมจ.ไอที ซิตี้ (IT) สำหรับตระกูลอัศวโภคิน ยังคงรักษาอันดับ 2 ไว้ได้อีกปีหนึ่ง จากการถือหุ้นของธุรกิจในตระกูล ได้แก่ บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH) บมจ.แมนดาริน โฮเต็ล (MANRIN) บมจ.ควอลิตี้เฮ้าส์ (QH) และ บมจ.เอพี พร๊อพเพอร์ตี้ (AP) ของ 7 เครือญาติ อนันต์ อนุพงษ์ ทรงพล บุญทรง สุดา อภิชิต และอาชวิน อัศวโภคิน รวมมูลค่าหุ้นที่ตระกูลอัศวโภคินถือครองทั้งสิ้น 17,684.70 ล้านบาท ลดลง 156.17 ล้านบาท หรือ 0.88% อันดับ 3 เป็นของตระกูลวิจิตรพงศ์พันธุ์ เจ้าของโครงการหมู่บ้านจัดสรรแบรนด์ พฤกษา ที่ก้าวขึ้นมาจากอันดับ 4 เมื่อปีที่แล้ว โดยเป็นการถือหุ้น บมจ.พฤกษา (PS) ร่วมกันของครอบครัววิจิตรพงศ์พันธ์ นำโดย ทองมา และภรรยา ทิพย์สุดา รวมทั้งทายาท มาลินี-ชัญญา วิจิตรพงศ์พันธุ์ รวมมูลค่า 11,409.66 ล้านบาท ลดลง 1,848.04 ล้านบาท หรือ 13.94%
ส่วนตระกูลจิราธิวัฒน์ แห่งเซ็นทรัล ซึ่งมีเครือญาติในตระกูลที่ติดอันดับเศรษฐีหุ้นมากที่สุดถึง 25 คน ปีนี้อยู่ในอันดับ 4 โดยถือหุ้นรวมมูลค่า 10,916.73 ล้านบาท ลดลง 5,174.62 ล้านบาท หรือ 32.16% โดยหุ้นที่กลุ่มจิราธิวัฒน์ถือส่วนใหญ่ จะเป็นหุ้นของธุรกิจในตระกูล เช่น บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา (CPN), บมจ.โรงแรมเซ็นทรัล พลาซา (CENTEL), บมจ.บิ๊กซีซูเปอร์เซนเตอร์ (BIGC), บมจ.เอบิโก้โฮลดิ้ง (ABICO) และ บมจ.ธนมิตร แฟคตอริ่ง (DM) และอันดับ 5 ยังเป็นของตระกูลปราสาททองโอสถ ด้วยมูลค่าหุ้นที่ถือครองรวม 6,624.74 ลดลง 1,192.89 ล้านบาท หรือ 15.26% จากการถือครองหุ้นของ นายแพทย์ปราเสิรฐ-ปรมาภรณ์-พล.ต.ต.วิสนุ และ สมิทธ์ ปราสาททองโอสถ ในโรงพยาบาลชื่อดัง อย่าง บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ (BGH) และโรงพยาบาลนนทเวช (NTV) รวมทั้ง บมจ.นวลิสซิ่ง (NVL) บมจ.บล.ไซรัส (SYRUS) และ บมจ.เอกรัฐวิศวกรรม (AKR)
ส่วนตระกูลชินวัตรของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ตกลงมาหนึ่งอันดับจากอันดับ 47 มาอยู่อันดับ 48 ในปีนี้ โดยรวยลดลงเหลือ 1,369.31 ล้านบาท หรือลดลง 18.98% ซึ่งลูกสาวคนโต พิณทองทา ชินวัตร และลูกสาวคนสุดท้อง แพทองธาร ชินวัตร ยังคงเป็นเศรษฐีหุ้นในอันดับ 108 ทั้งคู่ ถือหุ้น บมจ.เอสซี แอสเซท (SC) ในสัดส่วนที่เท่ากันคือ 28.97% มูลค่า 627.69 ล้านบาท ส่วนคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ถือหุ้น บมจ.โรงพยาบาลวิภาวีดี (VIBHA) และ SC รวมมูลค่าเพียง 6.45 ล้านบาท
++ คุณนิติ อยู่อันดับ 5 ปีที่แล้ว ยังทิ้งห่างกันพอสมควรครับ
นับเป็นปีที่ 14 แล้ว ที่วารสารการเงินธนาคาร ร่วมกับ อาจารย์ประจำคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ทำการจัดอันดับเศรษฐีหุ้นไทยมาอย่างต่อเนื่อง โดยภาพรวมของเศรษฐีหุ้นในปี 2551 ซึ่งวัดจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ประเภทบุคคลธรรมดาในประเทศที่ถือหุ้นสัดส่วน 0.5% ขึ้นไป ตามการปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นล่าสุดก่อนวันที่ 30 กันยายน 2551 จำนวน 5,095 ราย มีมูลค่าหุ้นที่ถือครองรวมทั้งสิ้น 397,901 ล้านบาท ลดลงจากปี 2550 ถึง 78,285 ล้านบาท หรือลดลง 16.44%
ความมั่งคั่งของเศรษฐีหุ้นไทยที่มีมูลค่าลดลงถึงกว่า 78,000 ล้านบาทในปีนี้ เนื่องมาจากดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ณ วันที่ 30 กันยายน 2551 ซึ่งใช้เป็นฐานในการคำนวณมูลค่าการถือครองหุ้นของบรรดาเศรษฐีหุ้นประจำปี 2551 นั้นปรับตัวลดลงถึง 248.96 จุดจากปี 2550 โดยปรับลงมาอยู่ที่ระดับ 596.94 จุด ลดลง 29.45%% ซึ่งเป็นผลจากวิกฤติการเงินโลกและปัญหาการเมืองภายในประเทศ
สำหรับผลการจัดอันดับในวารสารการเงินธนาคาร ฉบับเดือนธันวาคม 2551 ปรากฏว่า ตำแหน่งแชมป์เศรษฐีหุ้นประจำปี 2551 ได้แก่ อนันต์ อัศวโภคิน ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ บิ๊กบอสแห่งวงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งได้สร้างสถิติใหม่ด้วยการรักษาตำแหน่งแชมป์เศรษฐีหุ้นไว้ได้อีกครั้งเป็นปีที่ 6 โดยถือครองหุ้นมูลค่าสูงสุดรวม 14,657.45 ล้านบาท ประกอบด้วยหุ้น บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH) 23.98% มูลค่า 14,633.23 ล้านบาท และ บมจ.แมนดารินโฮเต็ล (MANRIN) 1.67% มูลค่า 4.21 ล้านบาท
สำหรับเส้นทางการครองตำแหน่งเศรษฐีหุ้นไทยของอนันต์นั้น เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2537 มีมูลค่าหุ้นที่ถือครอง 21,680.33 ล้านบาท หลังจากนั้นก็ทิ้งห่างไป 7 ปี จึงได้กลับมาติดอันดับหนึ่งอีกครั้งในปี 2545 ถือครองหุ้นมูลค่า 9,858.16 ล้านบาท และปี 2546 ถือครองหุ้นมูลค่า 16,373.37 ล้านบาท เว้นไป 2 ปีก็ทวงแชมป์กลับคืนมา โดยครั้งนี้อยู่ในอันดับหนึ่งติดต่อกัน 3 ปี คือปี 2549 ถือครองหุ้นมูลค่า 13,139.86 ล้านบาท ปี 2550 ถือครองหุ้นมูลค่า 13,230.23 ล้านบาท และในปี 2551 ที่ยังถือครองหุ้นมูลค่าสูงสุดถึง 14,657.45 ล้านบาท
ส่วนเศรษฐีหุ้นอันดับ 2 ยังเป็นของ ทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ แห่งพฤกษาเรียลเอสเตท หรือ PS ซึ่งครองตำแหน่งนี้ติดต่อกัน 3 ปีแล้ว โดยปีนี้ถือครองหุ้นมูลค่ารวม 9,599.16 ล้านบาท จากการถือหุ้น PS ในสัดส่วน 61.85% รวยลดลง 1,554.79 ล้านบาท หรือ 13.94% เนื่องจากราคาหุ้น PS ได้ปรับตัวลดลงถึง 13.93%
สำหรับเศรษฐีหุ้นอันดับ 3 ก้าวขึ้นมาจากอันดับ 4 เมื่อปีที่แล้ว ได้แก่ นายแพทย์ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ หรือหมอเสริฐ แห่งบางกอกแอร์เวย์ส โดยถือหุ้น บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ (BGH) 13.55% และ บมจ.โรงพยาบาลนนทเวช (NTV) 0.79% รวมมูลค่า 5,111.20 ล้านบาท ลดลง 1,167.80 ล้านบาท หรือ 18.60% เศรษฐีหุ้นอันดับ 4 ไต่ขึ้นจากอันดับ 8 เมื่อปีที่แล้ว ได้แก่ ประวิทย์ มาลีนนท์ แห่งช่อง 3 โดยถือครองหุ้น บมจ.บีอีซี เวิลด์ (BEC) 11.42% มูลค่ารวม 4,864.92 ล้านบาท รวยลดลง 433.96 ล้านบาท หรือ 8.19%
ด้านนักลงทุนรายใหญ่ อย่าง นิติ โอสถานุเคราะห์ ทายาท สุรัตน์ โอสถานุเคราะห์ แห่งโอสถสภา ไต่อันดับเศรษฐีหุ้นขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง จากอันดับ 10 ในปี 2549 มาอยู่ในอันดับ 9 เมื่อปี 2550 และขึ้นมาอยู่ในอันดับ 5 ในปี 2551 โดยปีนี้นิติลงทุนในหุ้นทั้งหมด 16 บริษัท รวมมูลค่าหุ้นที่ถือครองทั้งสิ้น 4,372.48 ล้านบาท ลดลง 901.70 ล้านบาท หรือ 17.10% เนื่องจากราคาหุ้นที่ถือเกือบทั้งหมดปรับตัวลดลงในปีที่ผ่านมา
เช่นเดียวกันกับเศรษฐีหุ้นอันดับ 6 ที่ตกเป็นของ พวงพันธุ์ บูลศักดิ์ นักลงทุนรายใหญ่อีกราย ที่ก้าวกระโดดจากอันดับ 148 เมื่อปีที่แล้ว โดยถือครองหุ้นรวมมูลค่า 3,776.93 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 3,177.67 ล้านบาท หรือ 530.27% ประกอบด้วย บมจ.ไลฟ์ อินคอร์ปอเรชั่น (LIVE) ที่ถือหุ้นสูงสุดเป็นอันดับ 1 คือ 12.94% และถือหุ้นเป็นอันดับ 2 ใน บมจ.บลิส-เทล (BLISS) 4.98% นอกจากนี้ ยังถือหุ้น บมจ.ไอ.อี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล (IEC) 8.16% และ บมจ.ซี.ไอ.กรุ๊ป (CIG) 3.67%
สำหรับนิจพร จรณะจิตต์ พี่สาวของ เปรมชัย กรรณสูต บิ๊กบอสอิตาเลี่ยนไทย ยังรักษาอันดับ 7 ไว้ได้เป็นปีที่ 3 โดยถือหุ้นมูลค่ารวม 3,631 ล้านบาท ลดลง 1,774.28 ล้านบาท หรือ 32.82% ประกอบด้วย บมจ.อิตาเลี่ยนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ (ITD) 11.03% บมจ.โรงแรมโอเรียนเต็ล (OHTL) 21.91% และ บมจ.โพส พับบลิชชิ่ง (POST) 2.52%
เจ้าของค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ แกรมมี่ อากู๋ ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม ปีนี้ขยับขึ้นมาเป็นเศรษฐีหุ้นอันดับ 8 หลังจากหล่นไปอยู่ในอันดับ 25 เมื่อปีที่แล้ว เนื่องจากปีนี้ราคาหุ้น บมจ.แกรมมี่ (GRAMMY) ที่ถืออยู่ 55.34% ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น 31.92% ทำให้มูลค่าหุ้นที่ถือครองเพิ่มขึ้นเป็น 3,525.75 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้นถึง 1,165.77 ล้านบาท หรือ 49.40%
เช่นเดียวกับประชุม มาลีนนท์ ที่ก้าวขึ้นจากอันดับ 12 มาเป็นเศรษฐีหุ้นในอันดับ 9 รวย 3,390.01 ล้านบาท จากการถือหุ้น บมจ.บีอีซี เวิล์ด (BEC) 7.86% บมจ.ศิครินทร์ (SKR) 3.87% และ บมจ.ชูไก (CRANE) 0.71% ตามติดด้วยเศรษฐีหุ้นอันดับ 10 อัมพร มาลีนนท์ ที่ไต่ขึ้นมาจากอันดับ 13 เมื่อปีที่แล้ว รวย 3,363.08 ล้านบาท ถือหุ้น BEC 7.86% และ SKR 1.60%
ทั้งนี้นอกจากประชุม และอัมพร มาลีนนท์ ยังมีเศรษฐีหุ้นที่เป็นเครือญาติในตระกูลมาลีนนท์ เจ้าของไทยทีวีสีช่อง 3 ได้แก่ ประวิทย์ รัตนา ประสาร นิภา ปิยวดี สกลศรี แคทลีน และเทรซีแอนน์ มาลีนนท์ ซึ่งเมื่อรวมมูลค่าหุ้นของเครือญาติทั้ง 10 คนแล้ว ส่งผลให้ตระกูลมาลีนนท์ครองอันดับ 1 ของตระกูลเศรษฐีหุ้นไทยได้อีกครั้งในปีนี้ โดยมีมูลค่าหุ้นที่ถือครองรวม 24,426.93 ล้านบาท ลดลง 2,045.23 ล้านบาท หรือ 7.73% ซึ่งหุ้นที่ตระกูลมาลีนนท์ถือครอง ได้แก่ ถือหุ้น บมจ.บีอีซี เวิล์ด (BEC) บมจ.ศิครินทร์ (SKR) บมจ.ซีวีดี เอ็นเตอร์เทนเมนท์ (CVD) และบมจ.ไอที ซิตี้ (IT) สำหรับตระกูลอัศวโภคิน ยังคงรักษาอันดับ 2 ไว้ได้อีกปีหนึ่ง จากการถือหุ้นของธุรกิจในตระกูล ได้แก่ บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH) บมจ.แมนดาริน โฮเต็ล (MANRIN) บมจ.ควอลิตี้เฮ้าส์ (QH) และ บมจ.เอพี พร๊อพเพอร์ตี้ (AP) ของ 7 เครือญาติ อนันต์ อนุพงษ์ ทรงพล บุญทรง สุดา อภิชิต และอาชวิน อัศวโภคิน รวมมูลค่าหุ้นที่ตระกูลอัศวโภคินถือครองทั้งสิ้น 17,684.70 ล้านบาท ลดลง 156.17 ล้านบาท หรือ 0.88% อันดับ 3 เป็นของตระกูลวิจิตรพงศ์พันธุ์ เจ้าของโครงการหมู่บ้านจัดสรรแบรนด์ พฤกษา ที่ก้าวขึ้นมาจากอันดับ 4 เมื่อปีที่แล้ว โดยเป็นการถือหุ้น บมจ.พฤกษา (PS) ร่วมกันของครอบครัววิจิตรพงศ์พันธ์ นำโดย ทองมา และภรรยา ทิพย์สุดา รวมทั้งทายาท มาลินี-ชัญญา วิจิตรพงศ์พันธุ์ รวมมูลค่า 11,409.66 ล้านบาท ลดลง 1,848.04 ล้านบาท หรือ 13.94%
ส่วนตระกูลจิราธิวัฒน์ แห่งเซ็นทรัล ซึ่งมีเครือญาติในตระกูลที่ติดอันดับเศรษฐีหุ้นมากที่สุดถึง 25 คน ปีนี้อยู่ในอันดับ 4 โดยถือหุ้นรวมมูลค่า 10,916.73 ล้านบาท ลดลง 5,174.62 ล้านบาท หรือ 32.16% โดยหุ้นที่กลุ่มจิราธิวัฒน์ถือส่วนใหญ่ จะเป็นหุ้นของธุรกิจในตระกูล เช่น บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา (CPN), บมจ.โรงแรมเซ็นทรัล พลาซา (CENTEL), บมจ.บิ๊กซีซูเปอร์เซนเตอร์ (BIGC), บมจ.เอบิโก้โฮลดิ้ง (ABICO) และ บมจ.ธนมิตร แฟคตอริ่ง (DM) และอันดับ 5 ยังเป็นของตระกูลปราสาททองโอสถ ด้วยมูลค่าหุ้นที่ถือครองรวม 6,624.74 ลดลง 1,192.89 ล้านบาท หรือ 15.26% จากการถือครองหุ้นของ นายแพทย์ปราเสิรฐ-ปรมาภรณ์-พล.ต.ต.วิสนุ และ สมิทธ์ ปราสาททองโอสถ ในโรงพยาบาลชื่อดัง อย่าง บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ (BGH) และโรงพยาบาลนนทเวช (NTV) รวมทั้ง บมจ.นวลิสซิ่ง (NVL) บมจ.บล.ไซรัส (SYRUS) และ บมจ.เอกรัฐวิศวกรรม (AKR)
ส่วนตระกูลชินวัตรของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ตกลงมาหนึ่งอันดับจากอันดับ 47 มาอยู่อันดับ 48 ในปีนี้ โดยรวยลดลงเหลือ 1,369.31 ล้านบาท หรือลดลง 18.98% ซึ่งลูกสาวคนโต พิณทองทา ชินวัตร และลูกสาวคนสุดท้อง แพทองธาร ชินวัตร ยังคงเป็นเศรษฐีหุ้นในอันดับ 108 ทั้งคู่ ถือหุ้น บมจ.เอสซี แอสเซท (SC) ในสัดส่วนที่เท่ากันคือ 28.97% มูลค่า 627.69 ล้านบาท ส่วนคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ถือหุ้น บมจ.โรงพยาบาลวิภาวีดี (VIBHA) และ SC รวมมูลค่าเพียง 6.45 ล้านบาท
++ คุณนิติ อยู่อันดับ 5 ปีที่แล้ว ยังทิ้งห่างกันพอสมควรครับ