เป้าหมายเพื่อ ผลตอบแทนทบต้น 25% ต่อปี
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2846
- ผู้ติดตาม: 1
เป้าหมายเพื่อ ผลตอบแทนทบต้น 25% ต่อปี
โพสต์ที่ 1
ตอนเริ่มลงทุนจริงจังใหม่ๆ เมื่อได้ยินตัวเลขนี้ รู้สึกได้ว่ามันไม่น่าจะยาก แต่พอมาเจอวิกฤตซับพาร์มก็เลยความคิดเปลี่ยนว่า จริงๆ แล้วมันไม่ง่ายเลยในระยะยาว
ยากมั้ยครับ ที่จะทำให้ได้ 25 % ต่อเนื่องในระยะยาว
ผมมองดูแล้วว่ามันไม่ง่ายเลย ลองคำนวนกันตามนี้นะครับ
คือถ้ามีเงินเริ่มต้น 1 ล้าน ลงทุน 30 ปี ก็จะได้ 1000 ล้าน
หากมีเงินเริ่มต้น 10 ล้าน ลงทุน 20 ปี ก็จะได้ 1000 ล้าน
หากลงทุน 100 ล้าน ลงทุน 10 ปี ก็จะได้ 1000 ล้าน
คือพอร์ตของคุณควรเพิ่ม 10 เท่าในทุก 10 ปี ถ้าจะรับผลตอบแทนระดับนี้
และถ้าจะให้ถือหุ้นตัวเดียว และถือไว้เรื่อยๆ 30 ปี และหวังว่าจะให้มันขึ้นเป็น1000 เท่านั้น โอกาสมันจะมีมากหรือ แล้ว หากผมถือซัก 3 -5 ตัวหล่ะ ทุกตัวต้องขึ้นเป็น 1000 เท่าผมถึงจะได้ผลตอบแทนระดับนี้ ดูเหมือนการถือหุ้นยาวระดับนี้ มันจะไม่เวิร์กเท่าไหร่นักในตลาดหุ้นบ้านเรา
หากผมมองสั้นลงมาในระยะซักภายใน 10 ปี และหวังว่าหุ้นที่เราถืออยู่นั้น มันขึ้นมาซัก 10 เท่า ดูเหมือนความเป็นไปได้จะมีมากขึ้น เราก็มีตัวอย่างให้เห็น เช่น PTT SCC ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่เราก็ต้องมองให้ออกอีก ว่า แนวโน้มผู้บริโภคเป็นไง กลยุทธ์ ความสามารถของบริษัทเป็นแบบไหน
และหากมองสั้นเข้ามาอีก ว่าใน 3 ปี หุ้นของเรา จะโตเป็นสองเท่า ถึงจะได้ปีละ 25% ต่อปี อันนี้ผมว่านักลงทุน ที่ขยันๆ ศึกษาบริษัทมากหน่อย น่าจะพอๆ หาบริษัทเหล่านี้ได้มากขึ้น
หากเรามองสั้น กว่านั้นคือระยะ ปีนึง และให้บริษัทมันโตขึ้นปีละ 25% อันนี้ดูเผินๆ เหมือนว่าจะง่ายแต่จริงๆ แล้วมันไม่ง่าย เพราะมันจะถูกอารมณ์ของตลาดที่บางช่วงหุ้นราคามันสูงไปมาก ทำให้กำไรที่เพิ่มมาราคาหุ้นก็ยังไม่ขึ้น หรือบางช่วงตลาดมันหดหู่มาก ต่อให้กำไรมากขึ้น ราคามันก็ไม่ขึ้น และที่สำคัญคือ คุณต้องทายถูกไปเรื่อยๆ 30 ปีเลย
ดังนั้นผมว่าเรามองในระยะ 3-5 ปีและขยันๆ หน่อยถือว่าอยู่ในวิสัยที่นักลงทุนวีไอทั่วไปทำได้ ผมลองสรุปหลักการแนว วีไอ ให้ได้ เป้าหมาย 25% ทบต้นต่อปี เป็นเวลา 30 ปี คือดังนี้ครับ
1 ซื้อตอนถูก ( เทียบกับราคาในอีก 3 ปี ต้องได้ ส่วนต่างบวกปันผล เป็น 100 % up และต้องลองเผื่อ PE ตอนนั้นให้ต่ำกว่าเดิมด้วยหากคุณซื้อมาตอนที่ตลาดคึกคัก จะได้เป็นการ Conservative )
2. ซื้อบริษัทที่เติบโตเท่านั้น โตอย่างน้อย 3 ปี ไม่ใช่โตแค่ปีนั้นปีเดียวนะครับ มันต้องต่อเนื่อง ในระดับ 25 - 30% ต่อปี ไปในอนาคตซัก 3 ปี โดยหาข้อมูลทั้งจาก ข่าว กลยุทธ์ของผบห ใน Oppday , Annual meeting และอื่นๆ
3. ถือหุ้นไม่กี่ตัว เรากระจายความเสี่ยง ในการที่เราเดาผิดเท่านั้น ซึ่งคุณอาจหาบริษัทในระดับนี้ ได้ช่วงหนึ่งๆ ไม่กี่ตัวเท่านั้น ก็ไม่ควรถือเยอะ ถ้าพอร์ตไม่ใหญ่มาก ผมว่าซัก 3 ตัวก็เกินพอแล้ว ที่สำคัญต้องมีแบคอัพแพลนด้วย จะได้มาแทนตอนเราคาดการณ์ผิด
4 ถือไปเรื่อยตราบใดที่มันยังโตอยู่ ไม่ใช้ราคาเป็นตัวตัดสินใจซื้อขาย ให้ใช้ผลประกอบการณ์ และแนวโน้มในอนาคตในการตัดสินใจเท่านั้น ขายเมื่อคุณมองไปในอนาคตแล้ว บริษัทเลิกโต จนทำให้ราคาที่ตอนนั้น มี Upside น้อยกว่าที่คุณอยากได้ ในอนาคต
5. หากมีเงินลงทุนจากเงินเดือนมาใหม่ ซื้อเพิ่มหาก คุณคำนวนตามข้อหนึ่งแล้ว อีก สามปี คุณได้เป็นร้อยเปอร์เซนต์ แต่ถ้าไม่ ก็ค่อยรอจนกว่าจะได้ราคาที่ได้ ก่อนค่อยซื้อ คุณอาจจะซื้อได้ก้อนใหญ่หากราคาลงไปมากทั้งๆ ที่แนวโน้มบริษัทยังดีเหมือนเดิมอยู่
คือผมลงทุนมาจริงจังซัก 4 ปีแล้ว นับตั้งแต่เริ่มทำงานหาเงินได้ เท่าที่ดู การเลือกหุ้นไม่ใช้ปัญหา ปัญหาของผมคือการขายหุ้นต่างหาก เพราะ ไม่สามารถทำตามข้อ 4 ได้
ซึ่ง 5 ข้อที่กล่าวมานี้ผมพยายามสังเคราะห์ออกมาเป็น แนวทางในจะเป็นการลงทุนในเฟสต่อไปของผมที่จะพยายามทำอย่างเคร่งครัด เพื่อเป้าหมาย 25% ทบต้นต่อปี ไม่รู้ว่าพอจะเป็นแนวในการลงทุนให้นักลงทุนหน้าใหม่ได้หรือป่าว พี่ๆ มีใครผ่านมา ช่วยคอมเมนต์ด้วยนะครับ
ยากมั้ยครับ ที่จะทำให้ได้ 25 % ต่อเนื่องในระยะยาว
ผมมองดูแล้วว่ามันไม่ง่ายเลย ลองคำนวนกันตามนี้นะครับ
คือถ้ามีเงินเริ่มต้น 1 ล้าน ลงทุน 30 ปี ก็จะได้ 1000 ล้าน
หากมีเงินเริ่มต้น 10 ล้าน ลงทุน 20 ปี ก็จะได้ 1000 ล้าน
หากลงทุน 100 ล้าน ลงทุน 10 ปี ก็จะได้ 1000 ล้าน
คือพอร์ตของคุณควรเพิ่ม 10 เท่าในทุก 10 ปี ถ้าจะรับผลตอบแทนระดับนี้
และถ้าจะให้ถือหุ้นตัวเดียว และถือไว้เรื่อยๆ 30 ปี และหวังว่าจะให้มันขึ้นเป็น1000 เท่านั้น โอกาสมันจะมีมากหรือ แล้ว หากผมถือซัก 3 -5 ตัวหล่ะ ทุกตัวต้องขึ้นเป็น 1000 เท่าผมถึงจะได้ผลตอบแทนระดับนี้ ดูเหมือนการถือหุ้นยาวระดับนี้ มันจะไม่เวิร์กเท่าไหร่นักในตลาดหุ้นบ้านเรา
หากผมมองสั้นลงมาในระยะซักภายใน 10 ปี และหวังว่าหุ้นที่เราถืออยู่นั้น มันขึ้นมาซัก 10 เท่า ดูเหมือนความเป็นไปได้จะมีมากขึ้น เราก็มีตัวอย่างให้เห็น เช่น PTT SCC ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่เราก็ต้องมองให้ออกอีก ว่า แนวโน้มผู้บริโภคเป็นไง กลยุทธ์ ความสามารถของบริษัทเป็นแบบไหน
และหากมองสั้นเข้ามาอีก ว่าใน 3 ปี หุ้นของเรา จะโตเป็นสองเท่า ถึงจะได้ปีละ 25% ต่อปี อันนี้ผมว่านักลงทุน ที่ขยันๆ ศึกษาบริษัทมากหน่อย น่าจะพอๆ หาบริษัทเหล่านี้ได้มากขึ้น
หากเรามองสั้น กว่านั้นคือระยะ ปีนึง และให้บริษัทมันโตขึ้นปีละ 25% อันนี้ดูเผินๆ เหมือนว่าจะง่ายแต่จริงๆ แล้วมันไม่ง่าย เพราะมันจะถูกอารมณ์ของตลาดที่บางช่วงหุ้นราคามันสูงไปมาก ทำให้กำไรที่เพิ่มมาราคาหุ้นก็ยังไม่ขึ้น หรือบางช่วงตลาดมันหดหู่มาก ต่อให้กำไรมากขึ้น ราคามันก็ไม่ขึ้น และที่สำคัญคือ คุณต้องทายถูกไปเรื่อยๆ 30 ปีเลย
ดังนั้นผมว่าเรามองในระยะ 3-5 ปีและขยันๆ หน่อยถือว่าอยู่ในวิสัยที่นักลงทุนวีไอทั่วไปทำได้ ผมลองสรุปหลักการแนว วีไอ ให้ได้ เป้าหมาย 25% ทบต้นต่อปี เป็นเวลา 30 ปี คือดังนี้ครับ
1 ซื้อตอนถูก ( เทียบกับราคาในอีก 3 ปี ต้องได้ ส่วนต่างบวกปันผล เป็น 100 % up และต้องลองเผื่อ PE ตอนนั้นให้ต่ำกว่าเดิมด้วยหากคุณซื้อมาตอนที่ตลาดคึกคัก จะได้เป็นการ Conservative )
2. ซื้อบริษัทที่เติบโตเท่านั้น โตอย่างน้อย 3 ปี ไม่ใช่โตแค่ปีนั้นปีเดียวนะครับ มันต้องต่อเนื่อง ในระดับ 25 - 30% ต่อปี ไปในอนาคตซัก 3 ปี โดยหาข้อมูลทั้งจาก ข่าว กลยุทธ์ของผบห ใน Oppday , Annual meeting และอื่นๆ
3. ถือหุ้นไม่กี่ตัว เรากระจายความเสี่ยง ในการที่เราเดาผิดเท่านั้น ซึ่งคุณอาจหาบริษัทในระดับนี้ ได้ช่วงหนึ่งๆ ไม่กี่ตัวเท่านั้น ก็ไม่ควรถือเยอะ ถ้าพอร์ตไม่ใหญ่มาก ผมว่าซัก 3 ตัวก็เกินพอแล้ว ที่สำคัญต้องมีแบคอัพแพลนด้วย จะได้มาแทนตอนเราคาดการณ์ผิด
4 ถือไปเรื่อยตราบใดที่มันยังโตอยู่ ไม่ใช้ราคาเป็นตัวตัดสินใจซื้อขาย ให้ใช้ผลประกอบการณ์ และแนวโน้มในอนาคตในการตัดสินใจเท่านั้น ขายเมื่อคุณมองไปในอนาคตแล้ว บริษัทเลิกโต จนทำให้ราคาที่ตอนนั้น มี Upside น้อยกว่าที่คุณอยากได้ ในอนาคต
5. หากมีเงินลงทุนจากเงินเดือนมาใหม่ ซื้อเพิ่มหาก คุณคำนวนตามข้อหนึ่งแล้ว อีก สามปี คุณได้เป็นร้อยเปอร์เซนต์ แต่ถ้าไม่ ก็ค่อยรอจนกว่าจะได้ราคาที่ได้ ก่อนค่อยซื้อ คุณอาจจะซื้อได้ก้อนใหญ่หากราคาลงไปมากทั้งๆ ที่แนวโน้มบริษัทยังดีเหมือนเดิมอยู่
คือผมลงทุนมาจริงจังซัก 4 ปีแล้ว นับตั้งแต่เริ่มทำงานหาเงินได้ เท่าที่ดู การเลือกหุ้นไม่ใช้ปัญหา ปัญหาของผมคือการขายหุ้นต่างหาก เพราะ ไม่สามารถทำตามข้อ 4 ได้
ซึ่ง 5 ข้อที่กล่าวมานี้ผมพยายามสังเคราะห์ออกมาเป็น แนวทางในจะเป็นการลงทุนในเฟสต่อไปของผมที่จะพยายามทำอย่างเคร่งครัด เพื่อเป้าหมาย 25% ทบต้นต่อปี ไม่รู้ว่าพอจะเป็นแนวในการลงทุนให้นักลงทุนหน้าใหม่ได้หรือป่าว พี่ๆ มีใครผ่านมา ช่วยคอมเมนต์ด้วยนะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1601
- ผู้ติดตาม: 0
เป้าหมายเพื่อ ผลตอบแทนทบต้น 25% ต่อปี
โพสต์ที่ 2
ผมว่าเป็นแนวทางให้หน้าใหม่อย่างผมได้เลยครับพี่กรีน ขอบคุณครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2846
- ผู้ติดตาม: 1
เป้าหมายเพื่อ ผลตอบแทนทบต้น 25% ต่อปี
โพสต์ที่ 3
ลองเข้าเวปนี้ดูครับ
http://wefe5433.blogspot.com/p/100-baggers.html
ตอนนี้ หุ้นทุกตัวที่ผมซื้อ ผมพยายาม Plot กราฟ ให้ได้ในลักษณะอย่างนี้ ไปเป็นรายไตรมาสไปประมาณ 3 ปี ทำให้ เรารู้ Upside ของเราและสามารถลดความโลภความกลัวของราคาตลาดในระยะสั้นได้ โดยโฟกัสที่ระยะ 3 ปีอย่างเดียว พร้อมสามารถดู Upside ทั้งในยามตลาดคึกคัก และ ในยามที่ตลาดซบเซา ว่าในอนาคต หุ้นที่เราถืออยู่จะเป็นอย่างไร ทั้ง Best Case และใน Worst Case ซึ่งทำให้เราเลือกมองบริษัทที่จะต้องเติบโตอย่างเดียวเท่านั้นในระยะยาว
แต่ข้อระมัดระวังคือ เราต้องขยันๆ หน่อย ไม่ใช่ว่า ขีดเส้นประมาณกำไรในอนาคต ไปตามที่เราหวังเอง มันต้องมีปัจจัยเช่น แนวโน้มผู้บริโภค สภาพการแข่งขัน สำคัญที่สุดคือผู้บริหารและกลยุทธ์บริษัทที่ทำได้จริง ไม่ใช่แค่ลมปากอย่างเดียวนะครับ
http://wefe5433.blogspot.com/p/100-baggers.html
ตอนนี้ หุ้นทุกตัวที่ผมซื้อ ผมพยายาม Plot กราฟ ให้ได้ในลักษณะอย่างนี้ ไปเป็นรายไตรมาสไปประมาณ 3 ปี ทำให้ เรารู้ Upside ของเราและสามารถลดความโลภความกลัวของราคาตลาดในระยะสั้นได้ โดยโฟกัสที่ระยะ 3 ปีอย่างเดียว พร้อมสามารถดู Upside ทั้งในยามตลาดคึกคัก และ ในยามที่ตลาดซบเซา ว่าในอนาคต หุ้นที่เราถืออยู่จะเป็นอย่างไร ทั้ง Best Case และใน Worst Case ซึ่งทำให้เราเลือกมองบริษัทที่จะต้องเติบโตอย่างเดียวเท่านั้นในระยะยาว
แต่ข้อระมัดระวังคือ เราต้องขยันๆ หน่อย ไม่ใช่ว่า ขีดเส้นประมาณกำไรในอนาคต ไปตามที่เราหวังเอง มันต้องมีปัจจัยเช่น แนวโน้มผู้บริโภค สภาพการแข่งขัน สำคัญที่สุดคือผู้บริหารและกลยุทธ์บริษัทที่ทำได้จริง ไม่ใช่แค่ลมปากอย่างเดียวนะครับ
- thaloengsak
- Verified User
- โพสต์: 2716
- ผู้ติดตาม: 1
เป้าหมายเพื่อ ผลตอบแทนทบต้น 25% ต่อปี
โพสต์ที่ 7
แก้ไขหน่อยครับ ปวดสายตาnut776 เขียน:แย้งหน่อยคับ
ถ้าได้25%ทบต้นระย
ะ
ยาวคุณจะเ ปนตฎนานทัน
ที พอร์ทยิ่งโตยิ่งgrowthน้อย
หุ้นที่โต25-30% lynch บอกระยะ
ยานไ ม่มีความยั่งยืนด้วย
ลงทุนเพื่อชีวิต
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2846
- ผู้ติดตาม: 1
เป้าหมายเพื่อ ผลตอบแทนทบต้น 25% ต่อปี
โพสต์ที่ 8
อืมม ใช่แล้วครับ จริง ๆ แล้วข้อเสีย มันอาจจะอยู่ที่หุ้นที่เราเจอ บางครั้ง ขนาดของบริษัทมันไม่ค่อยใหญ่
ซึ่งก็จะเป็นปัญหาว่า เราซื้อจำนวนมากไม่ได้ หากพอร์ตของเรามีขนาดใหญ่แล้ว ( เช่น พอร์ตเรามี 100 ล้าน จะซื้อซัก 40 % ของพอร์ตมันก็ตั้ง 40 ล้านเข้าไปแล้ว หากซื้อบริษัทที่มี Mkt Cap 1000 ล้าน มันก็เป็น 4 % ของทั้งบริษัท แล้ว ) ซึ่งมีโอกาสทำให้ เราเองไปไล่ราคาจนมันแพงกว่าที่เราควรซื้อ แล้วเกิดดันไม่ดีจริง จะออกลำบากด้วย มันจึงทำให้เรามีข้อจำกัดในการเลือกมากขึ้น
แต่พอร์ตเล็กๆ ไม่เกิน 20 ล้าน น่าจะยังพอจัดการได้
หากหวังผลตอบแทนระดับนี้ ผมว่า ต้องเปลี่ยนตัวเล่น (ไม่ใช่เปลี่ยนทุกวัน ทุกเดือน หรือทุกปีนะ ดูในระยะ 3 -5 ปี ) เหมือนกันนะครับ ผมเชื่อว่า บริษัทที่เติบโตในอัตราเร่งขนาดนี้ สามารถทำได้ในระยะประมาณ เต็มที่ไม่เกิน 10 ปี (ส่วนใหญ่ มันมักน้อยกว่านั้น ) หลังจากนั้นมันก็จะนิ่ง อันนี้แล้วแต่ประเภทธุรกิจ และการแข่งขัน
แต่เราต้องมองให้ออกว่ามันเร่งเครื่องอยู่ และขายตอนที่มันดูท่าว่าจะเริ่มนิ่งแล้ว ( ย้ำอีกทีว่า ดูในระยะประมาณ 3 ปี และติดตามข้อมูลบริษัทอย่างสมำเสมอ ไม่ควรดูแค่งบการเงินอย่างเดียว เพราะเราต้องมองอนาคต งบแค่เอาไว้ตรวจการบ้านว่าเราวิเคราะห์ได้ถูกหรือไม่ )
ซึ่งก็จะเป็นปัญหาว่า เราซื้อจำนวนมากไม่ได้ หากพอร์ตของเรามีขนาดใหญ่แล้ว ( เช่น พอร์ตเรามี 100 ล้าน จะซื้อซัก 40 % ของพอร์ตมันก็ตั้ง 40 ล้านเข้าไปแล้ว หากซื้อบริษัทที่มี Mkt Cap 1000 ล้าน มันก็เป็น 4 % ของทั้งบริษัท แล้ว ) ซึ่งมีโอกาสทำให้ เราเองไปไล่ราคาจนมันแพงกว่าที่เราควรซื้อ แล้วเกิดดันไม่ดีจริง จะออกลำบากด้วย มันจึงทำให้เรามีข้อจำกัดในการเลือกมากขึ้น
แต่พอร์ตเล็กๆ ไม่เกิน 20 ล้าน น่าจะยังพอจัดการได้
หากหวังผลตอบแทนระดับนี้ ผมว่า ต้องเปลี่ยนตัวเล่น (ไม่ใช่เปลี่ยนทุกวัน ทุกเดือน หรือทุกปีนะ ดูในระยะ 3 -5 ปี ) เหมือนกันนะครับ ผมเชื่อว่า บริษัทที่เติบโตในอัตราเร่งขนาดนี้ สามารถทำได้ในระยะประมาณ เต็มที่ไม่เกิน 10 ปี (ส่วนใหญ่ มันมักน้อยกว่านั้น ) หลังจากนั้นมันก็จะนิ่ง อันนี้แล้วแต่ประเภทธุรกิจ และการแข่งขัน
แต่เราต้องมองให้ออกว่ามันเร่งเครื่องอยู่ และขายตอนที่มันดูท่าว่าจะเริ่มนิ่งแล้ว ( ย้ำอีกทีว่า ดูในระยะประมาณ 3 ปี และติดตามข้อมูลบริษัทอย่างสมำเสมอ ไม่ควรดูแค่งบการเงินอย่างเดียว เพราะเราต้องมองอนาคต งบแค่เอาไว้ตรวจการบ้านว่าเราวิเคราะห์ได้ถูกหรือไม่ )
-
- Verified User
- โพสต์: 760
- ผู้ติดตาม: 0
เป้าหมายเพื่อ ผลตอบแทนทบต้น 25% ต่อปี
โพสต์ที่ 9
เห็นด้วยครับ วกกลับมาที่พื้นฐานที่ดร.นิเวศน์ เคยแนะไว้ว่าให้เลือกหุ้นโดยดูจากแนวโน้มธุรกิจในอนาคตก่อน แล้วค่อยมาจับงบการเงิน มิฉะนั้นท่านอาจจะถูกแสงเฮ้ากวงเข้าไปได้และจะโดนมนต์สะกดของงบการเงินเข้าให้ (ผมโพสประโยคนี้ซําแฮะ แต่คนละกระทู้)
- จุดแข็งทางธุรกิจที่เลียนแบบได้ยาก มักต้องใช้ระยะเวลายาวนานในการสร้างและเพาะบ่มเสมอ ไม่สามารถเนรมิตได้ด้วยเงิน (สุมาอี้)
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 3350
- ผู้ติดตาม: 0
เป้าหมายเพื่อ ผลตอบแทนทบต้น 25% ต่อปี
โพสต์ที่ 12
thaloengsak เขียน:แก้ไขหน่อยครับ ปวดสายตnut776 เขียน:แย้งหน่อยคับ
ถ้าได้25%ทบต้นระย
ะ
ยาวคุณจะเ ปนตฎนานทัน
ที
พอร์ทยิ่งโตยิ่งgrowthน้อย
หุ้นที่โต25-30% lynch บอกระยะ
ยานไ ม่มีความยั่งยืนด้วย
า
so sorry for my stubborn
coz i am obcessed to reply via android phone
it is a mess when use thai language
and it is very very har
d to correct words
show me money.
- thaloengsak
- Verified User
- โพสต์: 2716
- ผู้ติดตาม: 1
เป้าหมายเพื่อ ผลตอบแทนทบต้น 25% ต่อปี
โพสต์ที่ 13
OK . no problem, my vi investor friend
ลงทุนเพื่อชีวิต
-
- Verified User
- โพสต์: 3350
- ผู้ติดตาม: 0
เป้าหมายเพื่อ ผลตอบแทนทบต้น 25% ต่อปี
โพสต์ที่ 16
ตอนนี้ dr. นิเวศน์ 1800 ล้าน แล้วครับ
จำได้ว่าแกเคยตั้งความหวังไว้ว่า ก่อนตาย จะขอให้ได้ 1000 ล้่าน
แต่ตอนนี้แกทำได้เกือบสองเท่าที่เคยหวังแล้วอะคับ
สุดยอดจริงๆ
ผมชอบโหลด รายการของแกมาฟังย้อนหลัง
รู้สึกแกเป็นคนมองอะไรได้ neutral มาก
และเป็นคนฉลาด หัวไว ที่มองโลกในแง่ดีมาก
ที่สำคัญ แกมองอะไรขาดครับ
อะไรที่แกพูดๆไว้ในอดีต มักจะเป็นอย่างที่แกทำนาย
สุดยอด ครับ
เป็นบุคคลที่ผมนับถือสุดหัวใจเลยตอนนี้
จำได้ว่าแกเคยตั้งความหวังไว้ว่า ก่อนตาย จะขอให้ได้ 1000 ล้่าน
แต่ตอนนี้แกทำได้เกือบสองเท่าที่เคยหวังแล้วอะคับ
สุดยอดจริงๆ
ผมชอบโหลด รายการของแกมาฟังย้อนหลัง
รู้สึกแกเป็นคนมองอะไรได้ neutral มาก
และเป็นคนฉลาด หัวไว ที่มองโลกในแง่ดีมาก
ที่สำคัญ แกมองอะไรขาดครับ
อะไรที่แกพูดๆไว้ในอดีต มักจะเป็นอย่างที่แกทำนาย
สุดยอด ครับ
เป็นบุคคลที่ผมนับถือสุดหัวใจเลยตอนนี้
show me money.
- kornjackrit
- Verified User
- โพสต์: 1524
- ผู้ติดตาม: 0
เป้าหมายเพื่อ ผลตอบแทนทบต้น 25% ต่อปี
โพสต์ที่ 17
เข้ามาสนับสนุนเหตุผลพี่ nut776 และเข้ามานับถืออาจารย์นิเวศน์ด้วยคนครับnut776 เขียน:ผมชอบโหลด รายการของแกมาฟังย้อนหลัง
รู้สึกแกเป็นคนมองอะไรได้ neutral มาก
และเป็นคนฉลาด หัวไว ที่มองโลกในแง่ดีมาก
ที่สำคัญ แกมองอะไรขาดครับ
อะไรที่แกพูดๆไว้ในอดีต มักจะเป็นอย่างที่แกทำนาย
สุดยอด ครับ
เป็นบุคคลที่ผมนับถือสุดหัวใจเลยตอนนี้
ท่านเป็นคนทำให้ผมสนใจการลงทุนในหุ้น และเป็นบุคคลต้นแบบของผมเสมอมา
When you become famous, the first thing you should have to remember is not your success story but those who help you along the way.
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10548
- ผู้ติดตาม: 1
เป้าหมายเพื่อ ผลตอบแทนทบต้น 25% ต่อปี
โพสต์ที่ 18
เข้ามา คารวะ ดร.นิเวศน์ ด้วยคนnut776 เขียน:ตอนนี้ dr. นิเวศน์ 1800 ล้าน แล้วครับ
จำได้ว่าแกเคยตั้งความหวังไว้ว่า ก่อนตาย จะขอให้ได้ 1000 ล้่าน
แต่ตอนนี้แกทำได้เกือบสองเท่าที่เคยหวังแล้วอะคับ
สุดยอดจริงๆ
ผมชอบโหลด รายการของแกมาฟังย้อนหลัง
รู้สึกแกเป็นคนมองอะไรได้ neutral มาก
และเป็นคนฉลาด หัวไว ที่มองโลกในแง่ดีมาก
ที่สำคัญ แกมองอะไรขาดครับ
อะไรที่แกพูดๆไว้ในอดีต มักจะเป็นอย่างที่แกทำนาย
สุดยอด ครับ
เป็นบุคคลที่ผมนับถือสุดหัวใจเลยตอนนี้
แต่ว่า คุณ nut 776 คำนวณ 1800 ล้าน มาจาก ล่าสุด แล้วเหรอครับ :?:
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2846
- ผู้ติดตาม: 1
เป้าหมายเพื่อ ผลตอบแทนทบต้น 25% ต่อปี
โพสต์ที่ 20
ตัดแปะจากบทความของคุณ สุมาอี้ครับ
http://www.settrade.com/blog/1001ii/2010/07/10/885
http://www.settrade.com/blog/1001ii/2010/07/10/885
Growth Investing แบบที่แพร่หลายมากที่สุดคือ การเลือกหุ้นโดยดุจากแผนการเติบโตของบริษัทนั้นๆ เป็นหลัก วิธีนี้คือดูว่าบริษัทนั้นๆ มีแผนเติบโตธุรกิจอย่างไร เช่น โรงงานอาจมีแผนเพิ่มกำลังการผลิต ธุรกิจค้าปลีกอาจมีแผนขยายสาขา ผู้รับเหมาอาจมีโปรเจ็คใหม่ๆ ที่กำลังวิ่งอยู่ เป็นต้น จากนั้นก็คำนวณหากำไรที่เพิ่มขึ้นที่น่าจะเป็นไปได้ ลองดูว่าราคาหุ้นปัจจุบันคิดเป็น P/E กี่เท่าเมื่อเทียบกับกำไรที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต ถ้าค่าพีอีนี้ยังไม่สูงก็ลงทุนได้ ถ้าสูงจนสะท้อนการเติบโตไปหมดแล้ว ก็ไม่เอา วิธีนี้เหมาะกับนักลงทุนที่มีระยะหวังผล 1-3 ปี เพราะธุรกิจส่วนใหญ่มักวางแผนธุรกิจล่วงหน้าไว้ 1- 3 ปี ทำให้หาข้อมูลมาสนับสนุนการวิเคราะห์หุ้นได้ง่าย วิธีนี้ถือว่ามีเหตุมีผลมีที่มาที่ไปชัดเจน เพราะมีแผนธุรกิจของบริษัทรองรับการตัดสินใจลงทุน ทำให้เป็นที่นิยมของนักลงทุนสถาบัน เป็นการให้มูลค่าหุ้นไปตามการเติบโตเฉพาะที่มองเห็นได้เท่านั้น เรื่องที่ต้องระวังคือต้องคิดด้วยว่า แผนของผู้บริหารมีความเป็นไปได้แค่ไหน ไม่ใช่ผู้บริหารวาดฝันยังไงก็เชื่อตามทุกอย่าง หากดูแล้ว aggressive เกินไป ก็ต้องลดทอนความคาดหวังลงมาเองด้วย
“Market prices are always wrong in the sense that they present a biased view of the future.”, Soros.
Blog about the investment playbook https://www.blockdit.com/alphainvesting
Blog about the investment playbook https://www.blockdit.com/alphainvesting
- leaderinshadow
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1765
- ผู้ติดตาม: 0
เป้าหมายเพื่อ ผลตอบแทนทบต้น 25% ต่อปี
โพสต์ที่ 21
25% เป็นเป้าหมายของผมเลยครับ
งั้นของ Share หลักการมั่วของผมนะครับ :oops:
ผมเอาเป้าหมายนี้มาใช้ในการ screen หุ้น
โดนมองหาหุ้น ที่ธุรกิจจะโตเป็น 2 เท่า ใน 4 ปีครับ
ด้วยเชื่อมั่นส่วนตัวที่ 80% ถึงจะซื้อลงทุน ในหุ้นนั้นครับ :lol:
คือได้กำไร Cap Gain ที่ 100% ส่วนระหว่างรอ ก็รับปันผลไป
Return ที่ 25% หาไม่ยากครับ (โดยเฉพาะช่วงวิกฤติ)
คือหุ้นที่ PE 4 เท่า โดยกำไรไม่ลด
ส่วน Growth เฉลี่ย ในระยะ 10-20 ปี จะสามารถแปลงมาเป็น % ได้
จากสูตร Gordon Growth (ประมาณโดยหยาบๆ)
เช่น ถ้าเราคาดว่ากำไรจะโตประมาณ 15% ในอีก 10-20 ปี ข้างหน้า
จะได้ Return ที่ 15%
ถ้าหุ้น PE 10 เท่า จะได้ Return 10% + Growth Return 15%=25%
เพราะ Model นี้ ทำให้ผมกล้าซื้อ CPALL ตอน PE30 เท่า เมื่อ 2 ปีก่อน
เพราะหากตัดเรื่องโลตัส PE จะเหลือ 15 เท่า หรือ return 6%
บวกคาดการณ์ Growth ที่ปีละ 20% รวมได้ Total Return ที่ 26%
เข้าเกณฑ์ มากกว่า 25% ครับ :P
งั้นของ Share หลักการมั่วของผมนะครับ :oops:
ผมเอาเป้าหมายนี้มาใช้ในการ screen หุ้น
โดนมองหาหุ้น ที่ธุรกิจจะโตเป็น 2 เท่า ใน 4 ปีครับ
ด้วยเชื่อมั่นส่วนตัวที่ 80% ถึงจะซื้อลงทุน ในหุ้นนั้นครับ :lol:
คือได้กำไร Cap Gain ที่ 100% ส่วนระหว่างรอ ก็รับปันผลไป
Return ที่ 25% หาไม่ยากครับ (โดยเฉพาะช่วงวิกฤติ)
คือหุ้นที่ PE 4 เท่า โดยกำไรไม่ลด
ส่วน Growth เฉลี่ย ในระยะ 10-20 ปี จะสามารถแปลงมาเป็น % ได้
จากสูตร Gordon Growth (ประมาณโดยหยาบๆ)
เช่น ถ้าเราคาดว่ากำไรจะโตประมาณ 15% ในอีก 10-20 ปี ข้างหน้า
จะได้ Return ที่ 15%
ถ้าหุ้น PE 10 เท่า จะได้ Return 10% + Growth Return 15%=25%
เพราะ Model นี้ ทำให้ผมกล้าซื้อ CPALL ตอน PE30 เท่า เมื่อ 2 ปีก่อน
เพราะหากตัดเรื่องโลตัส PE จะเหลือ 15 เท่า หรือ return 6%
บวกคาดการณ์ Growth ที่ปีละ 20% รวมได้ Total Return ที่ 26%
เข้าเกณฑ์ มากกว่า 25% ครับ :P
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2846
- ผู้ติดตาม: 1
เป้าหมายเพื่อ ผลตอบแทนทบต้น 25% ต่อปี
โพสต์ที่ 22
[quote="leaderinshadow"]25% เป็นเป้าหมายของผมเลยครับ
งั้นของ Share หลักการมั่วของผมนะครับ
งั้นของ Share หลักการมั่วของผมนะครับ
“Market prices are always wrong in the sense that they present a biased view of the future.”, Soros.
Blog about the investment playbook https://www.blockdit.com/alphainvesting
Blog about the investment playbook https://www.blockdit.com/alphainvesting
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2846
- ผู้ติดตาม: 1
เป้าหมายเพื่อ ผลตอบแทนทบต้น 25% ต่อปี
โพสต์ที่ 23
ที่ ยกตัวอย่างทั้ง CPALL HMPRO นี้เพราะว่า สามปีที่ผ่านมากำไรสุทธิมันโตขึ้นมากมายครับ cpall น่าจะเกิน 60% ทบต้นต่อปี HMPRO เองก็ 25% ทบต้นต่อปี ดร เองมองได้ขาดมากๆ เลยครับ ที่ทุ่มเงินส่วนใหญ่ของพอร์ตมาที่สองตัวนี้ ซึ่งตอนนั้นพอร์ตของแกเองก็ไม่ใช่เล็กๆ แล้ว ทำให้มีข้อจำกัดในการเลือกหาไซด์ที่เหมาะสมในการลงทุน เชื่อได้ว่าแกไม่ได้มองแค่ สามปี ห้าปี แกคงมองยาวเป็นสิบปีเลยครับ
ดูเหมือนว่า แกยอมจ่าย ให้กับหุ้นที่มี พีอีสูงๆ เฉพาะบริษัทที่มีการเติบโตสูงอย่างน่าตื่นเต้นเท่านั้น นะครับ
ดูเหมือนว่า แกยอมจ่าย ให้กับหุ้นที่มี พีอีสูงๆ เฉพาะบริษัทที่มีการเติบโตสูงอย่างน่าตื่นเต้นเท่านั้น นะครับ
“Market prices are always wrong in the sense that they present a biased view of the future.”, Soros.
Blog about the investment playbook https://www.blockdit.com/alphainvesting
Blog about the investment playbook https://www.blockdit.com/alphainvesting
-
- Verified User
- โพสต์: 3350
- ผู้ติดตาม: 0
เป้าหมายเพื่อ ผลตอบแทนทบต้น 25% ต่อปี
โพสต์ที่ 25
อีกอย่าง bigc
market cap ก็ใหญ่
สาขาก็ขยายเรือ่ยๆ
คนก็ใช้บริการ เรือย
ยังไม่วิ่งเลยคับ
เรื่องงบ คงบอกได้อย่างนึง
ผมไม่รู้หรอกว่า งบการเงินมันหมกเม็ดได้ขนาดไหน
เคยถามพี่ๆ เค้าว่าให้ศรัทธา
ัมันก็ต้องลองดู
market cap ก็ใหญ่
สาขาก็ขยายเรือ่ยๆ
คนก็ใช้บริการ เรือย
ยังไม่วิ่งเลยคับ
เรื่องงบ คงบอกได้อย่างนึง
ผมไม่รู้หรอกว่า งบการเงินมันหมกเม็ดได้ขนาดไหน
เคยถามพี่ๆ เค้าว่าให้ศรัทธา
ัมันก็ต้องลองดู
show me money.
- leaderinshadow
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1765
- ผู้ติดตาม: 0
เป้าหมายเพื่อ ผลตอบแทนทบต้น 25% ต่อปี
โพสต์ที่ 27
ผมซื้อหุ้น ผมเชื่อตัวเองครับ ไม่เชื่อเสี่ยยักษ์ (แต่ขอยอมรับในความสามารถแก นะครับ แกเก๋าจริงๆ คนจริงด้วย)อ่านจากที่เสี่ียยักษ์บอก
ว่าเด๋วนี้เจ้าสัว เค้าเล่นหุ้น
ผมว่าเค้าปั่นหุ้นตัวเองอะคับ
แล้วก็ผมซื้อก่อนที่เสียแกจะให้สัมภาษณ์ก็หลายปี ต้นทุนผม 9.5 บาท
ตอนนี้ปันผลเกือบปีละบาท และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี
ผมคิดว่า แค่ปันผล ก็น่าจะคืนทุนใน 6-7 ปี (ไม่รวมปันผลก่อนหน้านี้)
ส่วนหุ้น CPF ผมไม่ครับ ยอมรับว่าตกรถ และก็ไม่ได้ตามข้อมูล
ส่วน Modern Trade Model บางท่านมองว่า พอมาทำอันนี้แล้ว คือปั่นหุ้น
แต่สำหรับผม มันคือความยั่งยืนครับ ไม่เชื่อลองวิเคราะห์อำนาจต่อรองด้านต่างๆดู :lol:
กระแสเงินสดก็แข็งแกร่ง Free Cash Flow สูงกว่า กำไนสุทธิอีก
แบบนี้ไม่เหนื่อยครับ การขยายสาขาก็ไม่ใช่เงินมาก ยิ่งเป็นแฟรนไช ยิ่งสบาย
ในขณะที่ค้าปลีกที่อื่น ต้องใช้เงินลงทุนสูง
ซึ่งจากต่าง 7-11 ที่ต่อให้จ่ายปันผล 100% ก็สามารถขยายสาขาได้โดยไม่ต้องกู้เงิน
เห็นด้วยครับ ผมเลยมองแค่ 10-20 ปีส่วน หุ้นโตแบบ 25%
แบบยั่งยืน ผมยังชื่อ ปีเตอร์ ลินช์ ว่าไม่มี
ถ้าท่านหาได้ แอบบอกผมมั่งดิ
ใบ้หวย ผมขอแค่ ภายในสามสี่ปี ก็พอ
ยังไงรบกวน ชี้แนะเป็นความรู้ด้วยนะครับ
เพราะมองว่า 7-11 น่าจะเริ่มตันที่ 10,000 สาขา
หลังจากนั้น ก็จะกลายเป็น Cash Cow ไป
แต่กว่าจะถึงตอนนั้น ผมก็ได้ปันผลคืนทุนไปหมดแล้ว
ไม่ทราบครับ แต่ผมชอบแนวผสม ยอมซื้อแพงขึ้นมาหน่อยส่วนหนังสืออีกเล่ม
บอกว่าจากการศึกษา (ไม่รู้ใครศึกษา)
บอกว่า ในระยะยาว หุ้นคุณค่า (แบบ เกรแฮม มั้ง)
ชนะ หุ้น growth ทั้งหมด
แบบศึกษามาทั่วโลกแล้ว
แต่แลกกับ Growth มหาศาล
แต่ถ้า เป็น cyclical ก็ต้องรู้จังหวะ หุ้นก็ Growth ก็ถือตราบเท่าที่มันยังโต
หยุดโต ผมก็ไม่ดิ้นรนถือต่อ
ขอแค่ให้เข้าเกณฑ์ 25% ต่อปี ผมก็ซื้อลงทุนแล้วครับ
ซึ่งผลลัพท์ ก็ ok เพราะผมได้ผลตอบแทนเกิน 25% มาเกือบทุกปี ยกเว้นก็ตอน Subprime
แต่หลังจากเศรษฐกิจฟื้นตัว ผลตอบแทนก็กลับมาเข้ารูปเข้ารอย
ผลตอบแทน ก็ปีละ 100 กว่า% ติดกัน 2 ปี ชดเชยส่วนที่ขาดทุนไปตอนวิกฤติ :P
ผมว่าของแบบนี้ แล้วแต่มุมมองนะครับ ผมแค่ share แนวทางที่คิดว่าดี
และเป็นสิ่งที่สามารถทำได้จริงๆ ซึ่งผมได้พิสูจน์กับตัวเองมาแล้ว
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2846
- ผู้ติดตาม: 1
เป้าหมายเพื่อ ผลตอบแทนทบต้น 25% ต่อปี
โพสต์ที่ 28
ดีครับ มีความเห็นกันเยอะแยะ เชื่อว่าทุกคนพอลงทุนกันมาสักระยะแล้ว ก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนแนวทาง fine tune กันตามประสบการณ์ ที่เจอกันมา ตัวผมเองก็พยายามปรับเปลี่ยนไปเปลี่นยมาหลายรอบ ถือไปถือมาเรามองดูตัวเราว่า เราน่าจะเหมาะกับแบบไหนมากกว่า เลือกเอาอันที่เราทำผลงานได้ดีด้วยและตัวเราเองสบายใจด้วย ได้กะได้ทั้งสองต่อ
หลักการที่ผมเขียนเอาไว้ ส่วนหนึ่งคือเพื่อเตือนใจ ตัวผมเองครับ ว่าสุดท้ายแล้วเราต้องมีหลักอะไรยึด ไม่งั้นจะโดน ราคาหุ้นมาทำให้เราหวาดหวั่นใจได้โดยง่าย ซึ่งอันนี้ผมจะลองยึดหลักนี้อย่างจริงๆ จังๆ ดูว่ามันจะเป็นอย่างไร
หลักการที่ผมเขียนเอาไว้ ส่วนหนึ่งคือเพื่อเตือนใจ ตัวผมเองครับ ว่าสุดท้ายแล้วเราต้องมีหลักอะไรยึด ไม่งั้นจะโดน ราคาหุ้นมาทำให้เราหวาดหวั่นใจได้โดยง่าย ซึ่งอันนี้ผมจะลองยึดหลักนี้อย่างจริงๆ จังๆ ดูว่ามันจะเป็นอย่างไร
“Market prices are always wrong in the sense that they present a biased view of the future.”, Soros.
Blog about the investment playbook https://www.blockdit.com/alphainvesting
Blog about the investment playbook https://www.blockdit.com/alphainvesting
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2846
- ผู้ติดตาม: 1
เป้าหมายเพื่อ ผลตอบแทนทบต้น 25% ต่อปี
โพสต์ที่ 29
โต แบบยั่งยืนตลอดไปเลยคงไม่มี ซัก 10 - 20 ปี น่าจะพอมี อย่างที่ผมบอกไป SCC มันมีช่วงเวลานึงของมันที่โตได้เป็นสิบปีnut776 เขียน:
ส่วน หุ้นโตแบบ 25%
แบบยั่งยืน ผมยังชื่อ ปีเตอร์ ลินช์ ว่าไม่มี
ถ้าท่านหาได้ แอบบอกผมมั่งดิ
ใบ้หวย ผมขอแค่ ภายในสามสี่ปี ก็พอ
ยังไงรบกวน ชี้แนะเป็นความรู้ด้วยนะครับ
แต่ถ้าเรามองว่าจะหาบริษัทที่โตขึ้น 25% ต่อปี สักสามสี่ปีในอนาคตจากนี้ไป ผมเชื่อว่ามีแน่นอนครับ และมีเยอะด้วย (พูดถึงกำไรสุทธินะ เพราะน่าจะส่งผลต่อราคาหุ้นมากที่สุด ) ผมเชื่อว่าอย่างนั้นครับ เพราะขนาดเราผ่านวิกฤต ซับพาร์ม วิกฤตการเมืองไทย มาแล้ว ยังมีหลายๆ บริษัท สามารถทำกำไรได้เป็นสองเท่า จากเมื่อ สามปีที่แล้วได้เลย (หมายถึง 25% ทบต้น ) Hmpro Cpall เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่สามารถทำได้ในอดีตที่ผ่านมา
บริษัทในตลาดหุ้นบ้านเรามี หลายร้อยตัว เชื่อว่าเราหาได้แน่นอนครับ
ในการประเมิณมูลค่า ในอนาคต สิ่งที่สำคัญคือข้อมูลครับ คงไม่มีใครซื้อหุ้นไปแล้ว พอมาถึงช่วงประกาศงบแล้วต้องมานั่งลุ้น หรือ นั่งจุดธูปภาวนาให้ผลงานออกมาดีอย่างที่หวัง เพราะเราอย่างน้อยน่าจะประเมิณได้ คร่าวๆ มันน่าจะเป็นอย่างไรจากปัจจัยต่างๆ ที่เกิดขึ้น อย่างที่เค้าว่า การดูงบคือการตรวจการบ้านของเรา ครับ
แหล่งข้อมูลที่จะมาวิเคราะห์ก็สามารถหาได้หลากหลาย เช่น ห้องร้อยคนร้อยหุ้น ( หากปราศจากห้องนี้ ความมั่นใจผมจะลดลงไปเยอะ ) ข่าวการสัมภาษณ์ แนวโน้มธุรกิจของผู้บริหาร การประชุมประจำปีผู้ถือหุ้นที่บางครั้งจะพูดถึงแนวทางบริษัทด้วย และที่ผมชอบมากที่สุดคือ Opp Day ครับ ผมมักจะได้หุ้นที่จะลงทุนจากการฟัง Opp Day ของบริษัทต่างๆ นี้แหละ โหลดมาฟังจากในเวป set.or.th ถ้าทำได้ในช่วงเริ่มต้นเอาให้ครบทุกบริษัทเลย แล้วค่อยมาเลือกฟังเฉพาะที่เราสนใจในครั้งต่อๆ ไป บางครั้งเรา ไม่เคยสนใจบริษัทนี้มาก่อนเลย พอฟังแล้ว โอ้โห อะไรจะขนาดนั้น ( แต่ต้องระวัง เช็คผบห ด้วยว่าสามารถทำได้อย่างที่โม้หรือป่าว ) เสร็จแล้วเราก็มาขุดไปเรื่อยๆ ว่ามันน่าสนใจหรือป่าว
อันนี้จะเป็นวิธีการที่ทำให้เราเจอ หุ้นเติบโต สองเท่าใน 3 ปีได้ ( พูดถึงผลกำไรนะคร้าบ ไม่ได้หมายถึงราคาหุ้น )
“Market prices are always wrong in the sense that they present a biased view of the future.”, Soros.
Blog about the investment playbook https://www.blockdit.com/alphainvesting
Blog about the investment playbook https://www.blockdit.com/alphainvesting