เราอยู่ภายใต้ภาวะวิกฤติน้ำมันจริงหรือ?
โพสต์แล้ว: อังคาร ต.ค. 18, 2005 9:05 am
จากการที่ราคาน้ำมันในบ้านเราและในตลาดโลกมีราคาเพิ่มสูงขึ้นเป็นเท่าตัว ทำให้หลายฝ่ายวิตกกันว่าขณะนี้เรากำลังอยู่ภายใต้ภาวะวิกฤติน้ำมันเหมือนสมัยเมื่อช่วง '70 ซึ่งในความเป็นจริงทั้งสาเหตุและการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันในช่วงปีนี้กับช่วง '70 มีปัจจัยและผลกระทบที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ในประเด็นแรก สาเหตุการปรับราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงนี้เกิดจากอุปสงค์(Demand)ผลักดัน ทำให้ราคาน้ำมันสูงขึ้นโดยเฉพาะการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในแถบภูมิภาคAsiaที่มีการเจริญเติบโตสูงมากโดยเฉพาะประเทศจีนที่มีอัตราการเจริญเติบโตประมาณ10%ต่อเนื่องกันหลายปี และทำให้อุปสงค์น้ำมันของโลกเพิ่มขึ้นกว่า 30% ซึ่งขณะที่กำลังการผลิตยังไม่ขยายตัวมากนัก ดังนั้นราคาที่ถีบตัวขึ้นไปจึงเป็นไปตามกลไกตลาดเป็นหลัก ในขณะที่ช่วง'70กลับเป็นภาวะ Supply Shock คือเกิดปัญหาสงครามรบพุ่งในแถบตะวันออกกลางโดยเฉพาะสงครามอิรัค-อิหร่านที่มีการต่อสู้ยาวนานทำให้อุปทานน้ำมันในตลาดโลกขาดแคลนใน ขณะที่เศรษฐกิจโลกมิได้เจริญเติบโตมากนัก จึงทำให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ทั้งใน Real Price และ Current Price ซึ่งถ้าจะเปรียบไปแล้วภาวะในปัจจุบันเสมือนเด็กที่โตเร็วแต่กินไม่อิ่มในขณะที่ช่วง'70กลับเสมือนเด็กขาดอาหาร คงจะเห็นภาพนะครับว่า"หิว"ต่างกันยังไง
ประเด็นถัดมาคือราคาที่แท้จริง*(Real Price)ของน้ำมันในช่วงปีนี้เทียบไม่ได้เลยกับช่วง'70ซึ่งมีการปรับราคาแท้จริงเพิ่มขึ้นกว่าปัจจุบันประมาณ2-3เท่าเลยทีเดียวซึ่งถ้าเทียบที่ราคาปี 1990 ราคาน้ำมันดิบ(APSP)ในช่วงปัจจุบันอยู่ระหว่าง US$30-50 ในขณะที่ช่วง'70 อยู่ที่ US$50-80 เลยทีเดียว
และผลกระทบที่เกิดขึ้นจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น จากข้อมูลIMFประมาณการณ์ไว้ว่าGDPในปีนี้จะมีอัตราการเจริญเติบโตอยู่ที่ 4.3% หรืลดลงจากค่าประมาณการณ์เดิม 0.8% ที่ 5.1% ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าส่งผลกระทบไม่มากนักและเศรษฐกิจก็ยังอยู่ในแดนบวก ซึ่งผลกระทบโดยมากมาจากการชะลอการตัดสินใจลงทุนและบริโภคจาก"ความผันผวน"ของราคาน้ำมันที่ยังไม่นิ่งมากกว่าเหตุจากการ"เพิ่มขึ้น"ของราคาน้ำมัน
จากเหตุปัจจัยทั้งหมดผมว่าเราอาจต้องทบทวนกันใหม่ว่าเรากำลังเผชิญกับวิกฤติน้ำมันจริงหรือ?
*ราคาที่แท้จริงคือการปรับค่าราคาให้เป็นราคาเดียวกัน ณ ปีใดปีหนึ่ง เพื่อขัดภาพลวงตาจากเงินเฟ้อ โดยจากข้อมูลIMFใช้ราคา ณ ปี1990เป็นปีฐาน
ในประเด็นแรก สาเหตุการปรับราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงนี้เกิดจากอุปสงค์(Demand)ผลักดัน ทำให้ราคาน้ำมันสูงขึ้นโดยเฉพาะการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในแถบภูมิภาคAsiaที่มีการเจริญเติบโตสูงมากโดยเฉพาะประเทศจีนที่มีอัตราการเจริญเติบโตประมาณ10%ต่อเนื่องกันหลายปี และทำให้อุปสงค์น้ำมันของโลกเพิ่มขึ้นกว่า 30% ซึ่งขณะที่กำลังการผลิตยังไม่ขยายตัวมากนัก ดังนั้นราคาที่ถีบตัวขึ้นไปจึงเป็นไปตามกลไกตลาดเป็นหลัก ในขณะที่ช่วง'70กลับเป็นภาวะ Supply Shock คือเกิดปัญหาสงครามรบพุ่งในแถบตะวันออกกลางโดยเฉพาะสงครามอิรัค-อิหร่านที่มีการต่อสู้ยาวนานทำให้อุปทานน้ำมันในตลาดโลกขาดแคลนใน ขณะที่เศรษฐกิจโลกมิได้เจริญเติบโตมากนัก จึงทำให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ทั้งใน Real Price และ Current Price ซึ่งถ้าจะเปรียบไปแล้วภาวะในปัจจุบันเสมือนเด็กที่โตเร็วแต่กินไม่อิ่มในขณะที่ช่วง'70กลับเสมือนเด็กขาดอาหาร คงจะเห็นภาพนะครับว่า"หิว"ต่างกันยังไง
ประเด็นถัดมาคือราคาที่แท้จริง*(Real Price)ของน้ำมันในช่วงปีนี้เทียบไม่ได้เลยกับช่วง'70ซึ่งมีการปรับราคาแท้จริงเพิ่มขึ้นกว่าปัจจุบันประมาณ2-3เท่าเลยทีเดียวซึ่งถ้าเทียบที่ราคาปี 1990 ราคาน้ำมันดิบ(APSP)ในช่วงปัจจุบันอยู่ระหว่าง US$30-50 ในขณะที่ช่วง'70 อยู่ที่ US$50-80 เลยทีเดียว
และผลกระทบที่เกิดขึ้นจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น จากข้อมูลIMFประมาณการณ์ไว้ว่าGDPในปีนี้จะมีอัตราการเจริญเติบโตอยู่ที่ 4.3% หรืลดลงจากค่าประมาณการณ์เดิม 0.8% ที่ 5.1% ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าส่งผลกระทบไม่มากนักและเศรษฐกิจก็ยังอยู่ในแดนบวก ซึ่งผลกระทบโดยมากมาจากการชะลอการตัดสินใจลงทุนและบริโภคจาก"ความผันผวน"ของราคาน้ำมันที่ยังไม่นิ่งมากกว่าเหตุจากการ"เพิ่มขึ้น"ของราคาน้ำมัน
จากเหตุปัจจัยทั้งหมดผมว่าเราอาจต้องทบทวนกันใหม่ว่าเรากำลังเผชิญกับวิกฤติน้ำมันจริงหรือ?
*ราคาที่แท้จริงคือการปรับค่าราคาให้เป็นราคาเดียวกัน ณ ปีใดปีหนึ่ง เพื่อขัดภาพลวงตาจากเงินเฟ้อ โดยจากข้อมูลIMFใช้ราคา ณ ปี1990เป็นปีฐาน