หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เหตุและผล

โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.พ. 12, 2011 9:55 pm
โดย กุหลาบงามหลังฝน
รู้อะไรไม่สู้รู้งี้

รู้งี้ซื้อมากกว่านี้ รู้งี้ไม่ซื้อดีกว่า

คำว่า "รู้งี้" หมายถึงอะไร รู้ว่าหุ้นจะขึ้นหรือจะลง หรือ รู้ถึงเหตุที่ทำให้หุ้นขึ้นลงครับ

หลายๆ ท่านต้องบอกว่าถ้ารู้ผลได้ก่อนก็ดีสิ แต่ในหลักความเป็นจริงแล้ว

"เหตุต้องเกิดก่อนผล"

คนที่ "เล่นหุ้น" มักจะตั้งคำถามว่าทำไมวันนี้หุ้นถึงตก แล้วก็จะมีคนที่พยามหาเหตุนานาประการมาสนับสนุนผลที่เกิดขึ้น ตั้งแต่ เกิดเหตุยิงกันที่ชายแดน นายกขายไข่เป็นกิโล หรือแม้กระทั่งภรรยานายกตด ยังเป็นเหตุได้

แต่ที่ผมต้องการจะสื่อคือ ทำไมคนส่วนมากมักจะกังวลกับเหตุที่ได้เกิดขึ้นแล้ว แทนที่จะหาทางออกกับผลในปัจจุบัน (เตรียมแผนรับมือกับเหตุที่เกิดขึ้นตั้งแต่ยังไม่เกิดเหตุ)

แน่นอนครับ ไม่มีใครสามารถความการณ์เหตุที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ทุกๆ เหตุการณ์ แต่ถ้าเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงเกิดเราจะทำยังไง???

ใช่ครับ ผมพูดถึง "ทางออกฉุกเฉิน"

ผมคงบอกไม่ได้ว่า ทางออกฉุกเฉิน ของแต่ละท่านอยู่ตรงไหน แต่ผมมีทางออกฉุกเฉินของผม
ท่านละครับเคยมองหา ทางออกฉุกเฉิน ไหมครับ

ในตลาดหุ้นมีหุ้นมากมาย มีระยะเวลาลงทุนอีกยาวนาน (ผมไม่คิดว่าตลาดหุ้นจะปิดก่อนผมตาย) ไม่จำเป็นต้องเอาเงินเราไปเสี่ยงกับสิ่งที่เราไม่รู้ เอาเงินไปเสี่ยงกับอะไรที่มันเทาๆ

ลองมองด้วยใจที่เป็นกลาง มองอย่างคนไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย ว่าถ้าเกิดเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นคุณจะทำอย่างไร อย่าอมทุกข์(หุ้น) จนลืมเหตุผลหลักของการลงทุนนะครับ เราต้องการ "กำไร" ไม่ได้ต้องการคำชมว่าเป็น VI เป็นคนที่ทนถือหุ้นได้นาน

คุยกันเล่นๆสนุกสนานนะครับ :D :D

Re: เหตุและผล

โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.พ. 12, 2011 10:22 pm
โดย Paul Octopus
ผมเห็นด้วยครับในสภาวะผิดปกติ เราต้องมี Plan B (ทางออกฉุกเฉิน)
ผมคิดว่าการที่เราอยู่เฉยๆ ในสภาวะที่หุ้นตก (หรือขึ้นแบบรุนแรง)ไม่น่าถูกต้อง
เราต้องมี Plan แตกต่างจากสภาวะที่เป็นปกติ (Side Way)
ผมเคยเล่นหุ้นโดยมองแต่มูลค่าที่เป็น บาท และ ผลตอบแทนเงินปันผลที่เป็น บาท
วันนี้ผมถือว่า ปริมาณ หรือ จำนวนหุ้นใน Port มีความสำคัญไม่แพ้ หรือ มากกว่ามูลค่าหุ้นที่เป็นบาทด้วยซ้ำไป โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดผันผวนรุนแรง
ผมถามคำถามง่ายๆครับว่า ถ้าให้เลือกเอาระหว่างได้ปันผล 5% กับได้ปริมาณหุ้นมากขึ้น 5% อันใหนมีค่ามากกว่า?
อย่าลืมครับว่าวันที่ปันผล 5% หุ้นจะตกลงไป 5% เช่นกัน และ ใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง หรือ อาจ 1 รอบการปันผลเพื่อจะกลับมาที่ราคาเก่า
แต่การได้จำนวนหุ้นมากขึ้น 5% มันส่งผลทันทีถ้า มูลค่ากิจการไม่ได้เปลี่ยน

แต่แน่นอนการขายหุ้นในช่วงหุ้นตก เพื่อถือเงินสดไว้แล้วรอให้หุ้นตัวนั้นต่ำลงแล้วกลับไปซื้อเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เราไม่มีทางรู้อนาคตว่ามันจะเป็นไปตามนั้น 100% ผมไม่แนะนำให้ทำ

ผมจะใช้สัจจะธรรม "อยู่กับปัจจุบัน"
เมื่อใดก็ตามที่ผมขายหุ้นตัวหนึ่ง ต้องสามารถซื้อหุ้นอีกตัวหนึ่งได้ทันทีในปริมาณที่มากขึ้นเมื่อเทียบกับเมื่อวาน หรือ เดือนที่แล้ว ฯลฯ ไม่เช่นนั้นไม่ขาย
แต่มันหมายถึงว่าคุณต้องมีตัวเลขสัดส่วนที่ชัดเจน ว่าหุ้นตัวหนึ่งมีค่าเท่ากับเท่าไหร่เมื่อเทียบกับอีกตัวหนึ่งในช่วงระยะเวลาหลายปีนับจากนี้
มันหมายถึงการประมาณมูลค่ากิจการ ผลตอบแทน การเติบโต ในระยะยาวอย่างชัดแจ้ง ไม่เช่นนั้นจะทำได้ยาก

ลองฝึกดูซิครับ แล้วคุณจะรู้ว่า ถ้าจะเป็น VI สามารถขายหุ้นได้ และแทบไม่เคยรู้สึกสะทกสะท้านกับหุ้นขึ้นหรือตกเลย :D แต่มันกลับเพิ่ม Opportunities ให้เราได้มากขึ้น

Re: เหตุและผล

โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.พ. 12, 2011 11:29 pm
โดย กุหลาบงามหลังฝน
ผมไม่สามารถทำนายอนาคตได้เช่นเดียวกับทุกๆท่าน ผมไม่ได้บอกว่าตลาดจะลง 
แต่สิ่งที่ผมต้องการจะออกมาเตือนคือ ผลซึ่งได้เกิดขึ้นแล้ว

เช่น ผู้บริหารเจตนาที่จะไม่รายงานการซื้อขายตลอด 2 ปีที่ผ่านมา แล้วบอกนักลงทุนว่าไม่ได้ซื้อขายหุ้น ทั้งๆที่ตลอด 2 ปีได้ขายหุ้นตลอด เมื่อเกิดเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นท่านจะทำอย่างไร

ท่านจะให้ความเชื่อถือกับคำพูดประมาณการกำไรของผู้บริหารท่านนี้อีกไหม เชื่อในการลงบัญชีของบริษัทอีกไหม

การที่เราลงถือหุ้นตลาดเวลา บางครั้งทำให้เรามีอารมณ์ร่วมกลับตลาดมากเกินพอดีนะครับ
เราไม่สามารถชนะตลาดได้ตลอดเวลา ยอมรับความจริงข้อนี้ด้วยนะครับ
แต่เมื่อเราแพ้เราต้องรู้ว่าทำไมเราถึงแพ้ อย่าให้ประสบการณ์เป็นเพียงเสียงกระซิบที่ผ่านจากหูซ้ายแล้วออกทางหูขวา  

ปล.เป็นแค่ตัวอย่างนะครับไม่ใช่เหตุการณ์จริง ^^"

Re: เหตุและผล

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.พ. 13, 2011 11:37 am
โดย Paul Octopus
ถ้ามันตกเพราะ
1. ธรรมาภิบาลของผู้บริหาร ต่ำ (ต่อ ผถห. พนง. และ สังคม) >>เผ่นเถอะโยม
2. พื้นฐานมันเป็นแค่นั้น เราคำนวณผิดเอง >>> ละเมียดในการปรับ port
3. เฮ ตาม SET หรือ หุ้นขนาดใหญ่ที่มีค่า เบต้าสูงๆ แล้วเกิดการขายทำกำไร >>> หาทางเพิ่มปริมาณ
4. เฮ ตาม SET ซี่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางด้าน เศรษฐกิจ สังคม และ สิ่งแวดล้อม >>> คำนวณใหม่ว่า ไอ้ตัวที่ถืออยู่ มูลค่ากิจการ (ดูอนาคต) มันยัง OK หรือไม่ ถ้าไม่ OK มันควรจะอยู่เท่าไหร่ >>> เพิ่มหรือลดปริมาณ ต้องดูในรายละเอียดเช่น
4.1 พื้นฐานมันเปลี่ยนแล้วแต่ราคาหุ้นไม่ได้ลง หรือกลับเพิ่มขึ้นไปอีก >>> ลดปริมาณลง เพื่อเอาไปซื้อตัวที่มัน มีมูลค่าต่ำกว่าพื้นฐาน เช่นในข้อ 3
4.2 พื้นฐานมันเปลี่ยนแล้ว และ ราคาหุ้นลงสอดคล้องกับพื้นฐาน >>> นอนรอซิครับ
4.3 พื้นฐานเปลี่ยนแล้ว แต่ราคาหุ้นลงต่ำกว่าพื้นฐานซะอีก Panic เกินไป >>> หาทางเพิ่มปริมาณ

ที่ผมกล่าวมา ทำได้ยาก ไม่ได้ง่าย เวลาในการศีกษาและติดตาม Indicators ต่างๆ ใช้เวลามาก แต่สนุกครับ และ จะทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆ และ ที่แน่ๆ ไม่กลัวหุ้นตก :juju:

Re: เหตุและผล

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.พ. 13, 2011 12:30 pm
โดย หมักเตา
เห็นด้วยทั้งหมดครับพี่ ยกเว้น 4.2 ที่ขอมีเงื่อนไขเพิ่มเติมนิดนึง

นอนรอ ถ้าปัญหาเกิดแค่ระยะสั้นๆ และผบห.กำลังแก้ไขให้กลับมาดีเหมือนเดิม
ไม่งั้น ผมขอ เผ่น(อย่างนิ่มนวล)เถอะโยม ครับพี่

Re: เหตุและผล

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.พ. 13, 2011 1:56 pm
โดย VI Wannabe
Good stuffs. Thanks for sharing. :D

Re: เหตุและผล

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.พ. 13, 2011 2:28 pm
โดย Pn3um0n1a
ในตลาดหุ้น บางทีผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าเหตุเกิดขึ้นก่อนผล หรือผลเกิดเหตุจึงตามมา

ผมเข้าใจว่า การหาเหตุสำคัญ แต่การจัดการกับผล สำคัญยิ่งกว่า
ถูกต้องไหมครับ

Re: เหตุและผล

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.พ. 14, 2011 11:47 am
โดย Fon^^
กุหลาบงามหลังฝน เขียน:"เหตุต้องเกิดก่อนผล"

คนที่ "เล่นหุ้น" มักจะตั้งคำถามว่าทำไมวันนี้หุ้นถึงตก แล้วก็จะมีคนที่พยามหาเหตุนานาประการมาสนับสนุนผลที่เกิดขึ้น ตั้งแต่ เกิดเหตุยิงกันที่ชายแดน นายกขายไข่เป็นกิโล หรือแม้กระทั่งภรรยานายกตด ยังเป็นเหตุได้

แต่ที่ผมต้องการจะสื่อคือ ทำไมคนส่วนมากมักจะกังวลกับเหตุที่ได้เกิดขึ้นแล้ว แทนที่จะหาทางออกกับผลในปัจจุบัน (เตรียมแผนรับมือกับเหตุที่เกิดขึ้นตั้งแต่ยังไม่เกิดเหตุ)

แน่นอนครับ ไม่มีใครสามารถความการณ์เหตุที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ทุกๆ เหตุการณ์ แต่ถ้าเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงเกิดเราจะทำยังไง???

ใช่ครับ ผมพูดถึง "ทางออกฉุกเฉิน"
ขอบคุณค่ะ :bow:

ฝนเข้าใจว่าประเด็นที่คุณลุงจะสื่อคือ
ไม่ว่าเราจะเป็นนักลงทุนแนวใหนก็ตาม เราคิดตามหลักการคิดเหตุและผล ของความเชื่อของเรา
และที่ขาดไม่ได้ เราต้องคิดไปอีกขั้นหนึ่ง คือวางแผนให้พร้อมสำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นเสมอ

อาจารย์ที่ฝนนับถือ (ยกให้เป็นท่านอาจารย์ แต่ไม่รู้ว่ารับฝนเป็นศิษย์รึยัง ^^" )
กล่าวใว้ว่า
" เราคิดว่าถ้าเป็นแบบนั้นเราจะทำอย่างไร และถ้าไม่เป็นแบบนั้นแล้วเราจะทำอย่างไร"

Re: เหตุและผล

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.พ. 14, 2011 8:48 pm
โดย RONNAPUM
อาจารย์ ท่านหนึ่งเขียนใน FB ว่า

ถ้าไฟใหม้ จะถามหาเหตุผล ก่อนไหม :D

Re: เหตุและผล

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.พ. 14, 2011 8:59 pm
โดย Paul Octopus
แต่อย่างน้อยก็ควรถามว่า "มันใหม้ในเตารึเปล่า?" ไม่ใช่เหรอครับ
:lovl: :lovl: :lovl:

Re: เหตุและผล

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.พ. 14, 2011 11:04 pm
โดย woodooshy
:P ขอบคุณครับ

Re: เหตุและผล

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.พ. 14, 2011 11:18 pm
โดย pholsuwa
กุหลาบงามหลังฝน เขียน:รู้อะไรไม่สู้รู้งี้

รู้งี้ซื้อมากกว่านี้ รู้งี้ไม่ซื้อดีกว่า

คำว่า "รู้งี้" หมายถึงอะไร รู้ว่าหุ้นจะขึ้นหรือจะลง หรือ รู้ถึงเหตุที่ทำให้หุ้นขึ้นลงครับ

หลายๆ ท่านต้องบอกว่าถ้ารู้ผลได้ก่อนก็ดีสิ แต่ในหลักความเป็นจริงแล้ว

"เหตุต้องเกิดก่อนผล"

คนที่ "เล่นหุ้น" มักจะตั้งคำถามว่าทำไมวันนี้หุ้นถึงตก แล้วก็จะมีคนที่พยามหาเหตุนานาประการมาสนับสนุนผลที่เกิดขึ้น ตั้งแต่ เกิดเหตุยิงกันที่ชายแดน นายกขายไข่เป็นกิโล หรือแม้กระทั่งภรรยานายกตด ยังเป็นเหตุได้

แต่ที่ผมต้องการจะสื่อคือ ทำไมคนส่วนมากมักจะกังวลกับเหตุที่ได้เกิดขึ้นแล้ว แทนที่จะหาทางออกกับผลในปัจจุบัน (เตรียมแผนรับมือกับเหตุที่เกิดขึ้นตั้งแต่ยังไม่เกิดเหตุ)

แน่นอนครับ ไม่มีใครสามารถความการณ์เหตุที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ทุกๆ เหตุการณ์ แต่ถ้าเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงเกิดเราจะทำยังไง???

ใช่ครับ ผมพูดถึง "ทางออกฉุกเฉิน"

ผมคงบอกไม่ได้ว่า ทางออกฉุกเฉิน ของแต่ละท่านอยู่ตรงไหน แต่ผมมีทางออกฉุกเฉินของผม
ท่านละครับเคยมองหา ทางออกฉุกเฉิน ไหมครับ

ในตลาดหุ้นมีหุ้นมากมาย มีระยะเวลาลงทุนอีกยาวนาน (ผมไม่คิดว่าตลาดหุ้นจะปิดก่อนผมตาย) ไม่จำเป็นต้องเอาเงินเราไปเสี่ยงกับสิ่งที่เราไม่รู้ เอาเงินไปเสี่ยงกับอะไรที่มันเทาๆ

ลองมองด้วยใจที่เป็นกลาง มองอย่างคนไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย ว่าถ้าเกิดเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นคุณจะทำอย่างไร อย่าอมทุกข์(หุ้น) จนลืมเหตุผลหลักของการลงทุนนะครับ เราต้องการ "กำไร" ไม่ได้ต้องการคำชมว่าเป็น VI เป็นคนที่ทนถือหุ้นได้นาน

คุยกันเล่นๆสนุกสนานนะครับ :D :D
ขอบคุณครับพี่ .... :D

Re: เหตุและผล

โพสต์แล้ว: อังคาร ก.พ. 15, 2011 12:31 am
โดย san
RONNAPUM เขียน:อาจารย์ ท่านหนึ่งเขียนใน FB ว่า

ถ้าไฟใหม้ จะถามหาเหตุผล ก่อนไหม :D
......เป็น ข้อคิดที่เห็นภาพเลยนะครับ

Re: เหตุและผล

โพสต์แล้ว: อังคาร ก.พ. 15, 2011 4:38 am
โดย กุหลาบงามหลังฝน
ตอนสมัยเป็นนักลงทุนใหม่ๆ ผมมักจะเข้ามาเว็บแทบทุกวัน ได้ความรู้ ได้มิตรภาพ ที่สำคัญได้เงิน ^^

ปัจจุบันลดการอ่านเหลือ อาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง (แต่ช่วงนี้อ่านบ่อยหน่อยเพราะติดละคร) 

ผมลงทุนมาประมาณ 7-8 ปี ในโลกการลงทุนของผมช่วงปีแรกเป็นช่วงที่มีความสุขในการลงทุนน้อยที่สุด แต่ 4 ปีหลักเป็นช่วงที่มีความสุขที่สุด
อยากจะแบ่งปันความไม่รู้ของผมให้เพื่อนนักลงทุนรุ่นใหม่ได้ฟัง

ผมอาจจะโชคดีที่เริ่มต้นชีวิตการลงทุนด้วยหลักการลงทุนที่ถูกต้อง แต่วิธีการถูกไหมผมไม่รู้ @-@ 

ปัจจุบันหลักการลงทุนผมยังเหมือนเดิม วิธีการเปลี่ยนไป(ถูกไหมไม่รู้) แต่ความสุขมากมาย

เราลองมองไปรอบๆตัวเรานะครับ ในโลกของการลงทุนมีส่ิงต่างให้เรียนรู้มากมาย "การคัดเลือกหุ้น" เป็นเพียงส่วนเล็กๆ(แต่สำคัญ) แต่ยังมีอีกหลายส่วนที่สำคัญไม่แพ้กันเช่น "การบริหารความเสี่ยง" "การกระจายการถือครองสินทรัพย์" "การไหลเวียนของเงินในระบบ" "สมการเชิงเส้น" ฯลฯ 
ตัวอย่างง่ายๆ เช่น หลายๆ คนมักคิดว่า หุ้นตกดีซิจะได้ซื้อหุ้นถูก พื้นฐานไม่เปลี่ยนจะได้ซื้อหุ้นถูก เวลาหุ้นลง ซื้อเฉลี่ยขาลงตลอด คุณชนะ 99 ครั้งใน 100 ครั้ง แต่ครั้งเดียวที่แพ้ เราอาจจะต้องเริ่มต้นที่ 0 หรือติดลบ มันคุ้มไหม

อย่าทำตัวเป็นวัวหนุ่มเห็นเสือ แล้วคิดว่าเป็นแมวตัวใหญ่ หารู้ไม่แมวตัวใหญ่ตัวนั้นมันกินเราได้ทั้งตัว

ทุกวิธีการต้องมีข้อดี ข้อเสียที่แตกต่างกัน เป็นได้ไหมครับ ที่จะหยิบข้อดี ข้อเสียของแต่ละวิธีมาศึกษา ปรับให้เข้ากับตัวเองให้มากที่สุด 

เรารู้แต่การคัดเลือกหุ้น ส่วนต่างความปลอดภัย แค่นี้พอแล้วหรือครับ??

อย่าหลอกตัวเองนะครับ มองด้วยใจที่เป็นกลาง แล้วถ้าตัวเองว่าเราพร้อมแค่ไหนที่จะเอาเงินที่หามาหยาดเหงื่อมาจ่ายในตลาดหุ้น???

เราลงทุนไม่ใช่เพื่อผลตอบแทนที่เป็นเม็ดเงินอย่างเดียวนะคับ ความสุขในการลงทุนก็สำคัญไม่แพ้กัน 

สุดท้ายพื้นฐานคืออะไรใครรู้บ้าง???

Re: เหตุและผล

โพสต์แล้ว: อังคาร ก.พ. 15, 2011 8:31 am
โดย RONNAPUM
กุหลาบงามหลังฝน เขียน:ตอนสมัยเป็นนักลงทุนใหม่ๆ ผมมักจะเข้ามาเว็บแทบทุกวัน ได้ความรู้ ได้มิตรภาพ ที่สำคัญได้เงิน ^^

ปัจจุบันลดการอ่านเหลือ อาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง (แต่ช่วงนี้อ่านบ่อยหน่อยเพราะติดละคร) 

ผมลงทุนมาประมาณ 7-8 ปี ในโลกการลงทุนของผมช่วงปีแรกเป็นช่วงที่มีความสุขในการลงทุนน้อยที่สุด แต่ 4 ปีหลักเป็นช่วงที่มีความสุขที่สุด
อยากจะแบ่งปันความไม่รู้ของผมให้เพื่อนนักลงทุนรุ่นใหม่ได้ฟัง

ผมอาจจะโชคดีที่เริ่มต้นชีวิตการลงทุนด้วยหลักการลงทุนที่ถูกต้อง แต่วิธีการถูกไหมผมไม่รู้ @-@ 

ปัจจุบันหลักการลงทุนผมยังเหมือนเดิม วิธีการเปลี่ยนไป(ถูกไหมไม่รู้) แต่ความสุขมากมาย

เราลองมองไปรอบๆตัวเรานะครับ ในโลกของการลงทุนมีส่ิงต่างให้เรียนรู้มากมาย "การคัดเลือกหุ้น" เป็นเพียงส่วนเล็กๆ(แต่สำคัญ) แต่ยังมีอีกหลายส่วนที่สำคัญไม่แพ้กันเช่น "การบริหารความเสี่ยง" "การกระจายการถือครองสินทรัพย์" "การไหลเวียนของเงินในระบบ" "สมการเชิงเส้น" ฯลฯ 
ตัวอย่างง่ายๆ เช่น หลายๆ คนมักคิดว่า หุ้นตกดีซิจะได้ซื้อหุ้นถูก พื้นฐานไม่เปลี่ยนจะได้ซื้อหุ้นถูก เวลาหุ้นลง ซื้อเฉลี่ยขาลงตลอด คุณชนะ 99 ครั้งใน 100 ครั้ง แต่ครั้งเดียวที่แพ้ เราอาจจะต้องเริ่มต้นที่ 0 หรือติดลบ มันคุ้มไหม

อย่าทำตัวเป็นวัวหนุ่มเห็นเสือ แล้วคิดว่ ... ได้ทั้งตัว
ทุกวิธีการต้องมีข้อดี ข้อเสียที่แตกต่างกัน เป็นได้ไหมครับ ที่จะหยิบข้อดี ข้อเสียของแต่ละวิธีมาศึกษา ปรับให้เข้ากับตัวเองให้มากที่สุด 

เรารู้แต่การคัดเลือกหุ้น ส่วนต่างความปลอดภัย แค่นี้พอแล้วหรือครับ??

อย่าหลอกตัวเองนะครับ มองด้วยใจที่เป็นกลาง แล้วถ้าตัวเองว่าเราพร้อมแค่ไหนที่จะเอาเงินที่หามาหยาดเหงื่อมาจ่ายในตลาดหุ้น???

เราลงทุนไม่ใช่เพื่อผลตอบแทนที่เป็นเม็ดเงินอย่างเดียวนะคับ ความสุขในการลงทุนก็สำคัญไม่แพ้กัน 

สุดท้ายพื้นฐานคืออะไรใครรู้บ้าง???
โดนใจมากครับ ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับ

:bow: :bow: :bow:

Re: เหตุและผล

โพสต์แล้ว: อังคาร ก.พ. 15, 2011 9:54 am
โดย pholsuwa
กุหลาบงามหลังฝน เขียน:ตอนสมัยเป็นนักลงทุนใหม่ๆ ผมมักจะเข้ามาเว็บแทบทุกวัน ได้ความรู้ ได้มิตรภาพ ที่สำคัญได้เงิน ^^

ปัจจุบันลดการอ่านเหลือ อาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง (แต่ช่วงนี้อ่านบ่อยหน่อยเพราะติดละคร) 

ผมลงทุนมาประมาณ 7-8 ปี ในโลกการลงทุนของผมช่วงปีแรกเป็นช่วงที่มีความสุขในการลงทุนน้อยที่สุด แต่ 4 ปีหลักเป็นช่วงที่มีความสุขที่สุด
อยากจะแบ่งปันความไม่รู้ของผมให้เพื่อนนักลงทุนรุ่นใหม่ได้ฟัง

ผมอาจจะโชคดีที่เริ่มต้นชีวิตการลงทุนด้วยหลักการลงทุนที่ถูกต้อง แต่วิธีการถูกไหมผมไม่รู้ @-@ 

ปัจจุบันหลักการลงทุนผมยังเหมือนเดิม วิธีการเปลี่ยนไป(ถูกไหมไม่รู้) แต่ความสุขมากมาย

เราลองมองไปรอบๆตัวเรานะครับ ในโลกของการลงทุนมีส่ิงต่างให้เรียนรู้มากมาย "การคัดเลือกหุ้น" เป็นเพียงส่วนเล็กๆ(แต่สำคัญ) แต่ยังมีอีกหลายส่วนที่สำคัญไม่แพ้กันเช่น "การบริหารความเสี่ยง" "การกระจายการถือครองสินทรัพย์" "การไหลเวียนของเงินในระบบ" "สมการเชิงเส้น" ฯลฯ 
ตัวอย่างง่ายๆ เช่น หลายๆ คนมักคิดว่า หุ้นตกดีซิจะได้ซื้อหุ้นถูก พื้นฐานไม่เปลี่ยนจะได้ซื้อหุ้นถูก เวลาหุ้นลง ซื้อเฉลี่ยขาลงตลอด คุณชนะ 99 ครั้งใน 100 ครั้ง แต่ครั้งเดียวที่แพ้ เราอาจจะต้องเริ่มต้นที่ 0 หรือติดลบ มันคุ้มไหม

อย่าทำตัวเป็นวัวหนุ่มเห็นเสือ แล้วคิดว่าเป็นแมวตัวใหญ่ หารู้ไม่แมวตัวใหญ่ตัวนั้นมันกินเราได้ทั้งตัว

ทุกวิธีการต้องมีข้อดี ข้อเสียที่แตกต่างกัน เป็นได้ไหมครับ ที่จะหยิบข้อดี ข้อเสียของแต่ละวิธีมาศึกษา ปรับให้เข้ากับตัวเองให้มากที่สุด 

เรารู้แต่การคัดเลือกหุ้น ส่วนต่างความปลอดภัย แค่นี้พอแล้วหรือครับ??

อย่าหลอกตัวเองนะครับ มองด้วยใจที่เป็นกลาง แล้วถ้าตัวเองว่าเราพร้อมแค่ไหนที่จะเอาเงินที่หามาหยาดเหงื่อมาจ่ายในตลาดหุ้น???

เราลงทุนไม่ใช่เพื่อผลตอบแทนที่เป็นเม็ดเงินอย่างเดียวนะคับ ความสุขในการลงทุนก็สำคัญไม่แพ้กัน 

สุดท้ายพื้นฐานคืออะไรใครรู้บ้าง???
ขอบคุณครับ ผมพอจะทราบว่าพี่ต้องการจะสื่ออะไร :D ผมเองโชคดีที่เริ่มเล่นก็มีรุ่นพี่สอนใน limit losse ตั้งแต่แรก ผมไม่เก่งที่จะหามูลค่าหุ้นแต่ละตัวเหมือนคนอื่นๆ ผมอาศัยการลอกหุ้นในใต้เงื่อนไขปกป้องเหตุการ์ณไม่คาดฝัน ผมเลยไม่เคยเจ็บแบบถอดใจและทำผลกำไรได้ตามเป้า
Stock selection, Money management, Emotion เป็นส่วนสำคัญในการลงทุน แต่มือใหม่ทั่วไปมักจะให้ความสำคัญกับ Stock selection มากเป็นพิเศษจนลืมตัวอื่นไป
Stock Selection ผมใช้พื้นฐาน (ลอกเค้า) กับทางเทคนิค (เบรก) หากผ่านสองตัวยิ่งสวย
Money Management ผมแบ่งลงทุนหุ้นไม่เกินห้าตัวที่ดีที่สุดอย่างละเท่าๆกัน ทุกเดือนจะมาดูว่าตัวไหนแย่ก็จะเอาออกแล้วใส่ตัวไหม่เข้ามา หรือลงน้ำหนักกับตัวดีที่สุดมากขึ้นตามความเหมาะสม
Emotion ผมจะไม่ขายไม่สนใจราคารายวัน หากมันยังไม่ไปเป้าที่ต้องการ คำนวณจาก MOS แต่ผมจะทิ้งทันทีหากหุ้นลงถึงจุดที่ผมวางแผนรองรับไว้ (ห้ามขาดทุนในกรณีทำกำไรไปแล้ว หรือ -7%จากจุดซื้อ) เพราะผมไม่เก่งเหมือนลุงบัฟเฟตหรือเซียนในเวปนี้

"ผมมีความสุขที่เงินที่ลงทุนไปไม่ได้ลดลงอย่างมีนัยยะ มีแต่จะเพิ่มขึ้นอย่างคาดไม่ถึง โดยใช้เวลาเท่าที่จำเป็น(นอกเวลางานประจำ)"

ป.ล. ผมไม่สังกัดค่ายนะครับ ค่อนข้างเปิดใจรับสิ่งใหม่ๆในโลกการลงทุน กราฟก็ดูได้ หุ้นก็ลอกเป็น คนเชียร์ผมก็ซื้อ :wink: