พวกเราอยู่กลุ่มไหน
- ลุงขวด
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2448
- ผู้ติดตาม: 0
พวกเราอยู่กลุ่มไหน
โพสต์ที่ 1
ผมจะทะยอยเขียนให้หัวข้อนี้ เพื่อให้ประโยชน์ต่อนักลงทุนทั้งหลาย จากประสบการณ์ที่อยู่ในตลาดนี้มาประมาณ 25 ปี...ตลาดหุ้นเป็นตลาดทุนที่จำเป็นเพื่อจะหาเงินทุนมาเพิ่มในกิจการ ฉะนั้นคำถามแรกของบริษัทฯ ที่เข้าตลาดหลักทรัพย์เพื่อวัตถุประสงค์อะไร เรื่องนี้ พวกเราต้องคิดกันให้มาก ๆ เพราะมีหลักสำคัญคือ ใครจะเข้ามาแบ่งกำไรที่ตนได้ให้คนอื่นครับ ผมมีเพื่อนบริษัทเขากำไรโตขึ้นเรื่อย ๆ ผมถามว่าทำไมไม่เอาเข้าตลาด คำตอบก็คือเข้าไปทำไม ไปแบ่งกำไรให้คนอื่นหรือ.....ฉะนั้นต้องคิด ว่าเขาเข้าตลาดเพื่ออะไร ตอนแรกเราจะไม่รู้วัตถุประสงค์ของเขา เพราะทุกคนต้องอ้างมาว่า เพื่อระดมทุนไปขยายกิจการ บางบริษัทฯ ก็ตั้งใจจริงต้องการขยาย บางบริษัทฯ ก็เข้ามาเพื่อวัตถุประสงค์อื่น แต่ก็ต้องอ้างว่าเข้ามาขยายกิจการทุกบริษัทฯ.....ผลงานต่าง ๆ จะเห็นเมื่อเวลาผ่านไป 3-4 ปี บางบริษัทฯ ก็ประสบความสำเร็จ บางบริษัทฯ ก็ ไม่ประสบความสำเร็จ...ปกติแล้วผมชอบลงทุนกับบริษัทฯ ที่มีประวัติผลงานให้ดูสัก 3 ปีขึ้นไป...ที่พูดถึงเรื่องตลาดหลักทรัพย์ก็คือจุดเริ่มต้นของพวกเรา
ผมจะแบ่งกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ ที่อยู่ธุรกิจนี้ออกเป็น 3 กลุ่มคือ ต้นน้ำ กลางน้ำ และ ปลายน้ำ
1.กลุ่มต้นน้ำ มี ตลาดหลักทรัพย์เป็นแกนนำ ที่จะหาสินค้ามาขาย นี่แหละมีแต่ได้และได้ เมื่อได้สินค้ามาแล้ว คนที่อยู่ในกลุ่มนี้ก็คือเจ้าของสินค้า หมายถึงเจ้าของบริษัทฯดั้งเดิมที่เขาก่อตั้งขึ้นมา ก็มีแต่ได้และได้เหมือนกัน...(การลงทุนในหุ้นคนที่เราไม่มีทางชนะเลยคือเจ้าของกิจการ).....กลุ่มต้นน้ำต่อไปคือกลุ่มที่นำเข้าตลาด พวกนี้จะเป็นพวกแต่งตัวให้กับเจ้าของกิจการ มีการคำนวณและคาดการณ์ต่าง ๆ เพื่อให้เจ้าของกิจการได้เงินมากที่สุดและค้ำประกันว่าจะขายหุ้นได้ พวกนี้ก็มีแต่ได้และได้
2.กลุ่มกลางน้ำ ตลาดเงินเป็น money game เกมการเงิน หลักที่สำคัญคือ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก หมายถึง ผู้มีเงินมากกว่าย่อมชนะผู้มีเงินน้อยกว่า ในตลาดนี้มีรายใหญ่อยู่มากทีเดียว ทุกรายก็หวังจะเอากำไรทั้งนั้น ไม่มีใครมาลงทุนเพื่อขาดทุนเป็นแน่....พวกนี้ส่วนใหญ่จะได้กำไร อัตราส่วนการขาดทุนน้อยมาก.
2.1 รายใหญ่ที่เรารู้จักกันส่วนใหญ่ ที่โตจากตลาดทุน เพราะมีความสัมพันธ์กับโบรคเกอร์เป็นพิเศษ มีการจัดห้อง VIP ให้ มีการให้ข้อมูลก่อนพวกเรา เปิดโอกาสให้รายใหญ่ได้ไปสัมผัสกับบริษัทฯต่าง ๆ ได้ไปรู้จักกับเจ้าของ ได้เข้าใจในกิจการเป็นพิเศษ มีการแจก ipo ให้จำนวนมาก ๆ เพราะ ซื้อขายวันละมาก ๆ (แถมจ่ายค่า com ได้ถูกกว่าพวกเราอีก ตลาดต้องการกำหนดค่า com ให้เท่าเทียมกัน แต่คิดว่าเขาคงมีวิธีการลดให้ สมัยก่อนแจกเป็นทองให้แก่รายใหญ่ สมัยนี้ทำอย่างไรมิทราบได้)......ปีนี้ 2557 มีการกระชากหุ้น ipo ให้สูงต่อไปอีก ไม่ใช่เฉพาะสูงเพียงระยะไม่กี่วันแรก เรารู้อยู่แล้วว่าราคา ipo นี่เป็นราคาที่เจ้าของพอใจแล้ว การแจกหุ้นรายใหญ่เป็นพิเศษ ก็ เหมือนกับว่า มาช่วยดูแลหุ้นให้ด้วย ซึ่งหุ้น ipo เหล่านี้มักเป็นหุ้นระดับกลางและเล็ก เขาสามารถคำนวณว่า หุ้นกระจายไปเท่าไหร่อยู่ในตลาดเท่าไหร่....ซื้อเพิ่มอีกเท่าไหร่จะทำให้ราคาขยับขึ้นได้ จะเห็นได้ว่า มีหลายตัวทีเดียว ที่ขยับสูงขึ้น 2-3 เท่า จาก ipo สังเกตุจาก ค่า P/E ที่วิ่งเป็นร้อยเท่า หมายถึง 100 ปีเลยนะที่จะได้ทุนคืน ชีวิตนี้ ไม่ได้คืนแน่.....มันไม่มีเหตุผลเลยครับ ที่จะทำอย่างนั้น แต่ก็ได้เกิดไปแล้ว.........นอกจากเรื่องดันราคาหุ้น ipo แล้ว สังเกตุเห็นหุ้นที่กิจการเล็ก ๆ หลายตัว ธุรกิจเดิมขาดทุน ราคาบุคเหลือไม่เกิน 1 บาท ใกล้จะล้มละลายอยู่แล้ว ถ้าดำเนินงานต่อไป ก็ ต้องเข้าข่ายอยู่ในพวกที่ต้องฟื้นฟูเป็นแน่ เขาก็เอาพวกนี้มาเปลี่ยนธุรกิจ เป้าหมายส่วนใหญ่ก็ไปที่ พลังงานทดแทน ที่รัฐบาลเปิดโอกาสให้ทำและการไฟฟ้าส่งเสริมมีเงินส่วนเพิ่มจากลงทุนให้ ....พวกรายใหญ่และเจ้าของก็คงร่วมมือกัน ประกอบกับนักวิเคราะห์เข้ามาร่วมด้วย วางแผนอนาคตล่วงหน้า 2-3 ปี จะเป็นอย่างไร ฝันหวานกันใหญ่เลย....การลงทุนพวกนี้ก็ต้องใช้เงิน ก็ ไม่พ้นต้องมีการเพิ่มทุน มีการดันราคาหุ้นให้เพิ่มขึ้น บางตัวเพิ่ม 2-3 เท่า เคยซื้อขายกันแค่ระดับ ไม่เต็มบาท...มาซื้อขายกันหลาย ๆ บาท.....ตลาดมีการเตือนแล้วเตือนอีกก็ไม่สนใจ จะเห็นได้ว่า หุ้นที่โดน CASH BALANCE มีจำนวนมากที่สุดในระยะนี้ นั่นหมายถึง มีการเล่นหุ้นปั่นกันมากทีเดียว....ส่วนหุ้น ipo ที่ไม่ได้แจกให้รายใหญ่ พวกเราซื้อกันได้ที่ธนาคาร กระจายการถือหุ้นแก่รายย่อยมาก ๆ มักไม่มีคนมาดูแล ราคาไม่หวือหวาแน่นอน แถมหลัง ๆ นี้ หุ้นสายการบิน ทุกคนที่ซื้อราคา ipo ขาดทุนกันหมด วันแรกก็ซื้อขายกันต่ำกว่าราคา ipo แล้ว (สัจจธรรม สิ่งที่ได้มาง่าย ๆ มักไม่มีกำไร).....มีรายใหญ่อีกพวกหนึ่งที่ได้ซื้อหุ้นถูกกว่า ipo อีก คือพวกที่ลงทุนกับเขาตอนก่อนส่งเรื่องให้ตลาดพิจารณา(บางบริษัทเท่านั้นที่จะจัดสรรให้).
2.2 รายใหญ่บวกเจ้าของ กลุ่มระดับกลางน้ำที่มีกำไรแน่นอน บอกแล้วว่า คนที่เราไม่สามารถจะชนะได้คือ เจ้าของกิจการ....และรองลงมาก็คือรายใหญ่ที่รู้จักกับเจ้าของเป็นอย่างดี อาจจะเป็นญาติสนิท หรือไม่ก็มีการตกลงกับเจ้าของ โดยการขอเข้ามาเป็นหุ้นส่วนด้วย มีนักลงทุนเก่งคนหนึ่ง ที่ออกรายการทีวีและงานการลงทุนต่าง ๆ เขาบอกว่า เขาสนใจกิจการของบริษัทหนึ่ง ก็ เข้าไปคุยกับเจ้าของกิจการนี้ ถามทุกอย่างที่เขาต้องการรู้ และบอกว่า เขาต้องการซื้อหุ้นของเขา โดยค่อย ๆ สะสมหุ้นไปเรื่อย ๆ ในขณะเดียวกันก็ตามความก้าวหน้าของบริษัทฯ นี้ โดยขอร่วมประชุมกับบริษัทฯ นี้ทุกเดือน โดยบริษัทฯ นี้มีการสรุปผลงานทุกเดือน การได้มีโอกาสไปร่วมประชุมกับเขา ก็สร้างความมั่นใจในการถือหุ้นและอนาคตของบริษัท รายใหญ่ที่มีชื่อติดผู้ถือหุ้นใหญ่ ถ้าถือหุ้นแค่ 0.5%ของ หุ้นจดทะเบียนก็มีชื่อแล้ว นี่เขาค่อย ๆ สะสมหุ้นไปเรื่อย ๆ จนหุ้นถึงระดับ 5% ก็ต้องรายงานกับตลาดถึงวัตถุประสงค์ในการถือหุ้น และได้ซื้อต่อไปเรื่อย ๆ ทุก ๆ 5% ก็ต้องรายงาน ที่สุดเขาถือเป็นอันดับที่ 2 ของหุ้นตัวนี้ ตอนนี้เขาถือ 17% เลย...นี่คือความสำเร็จของรายใหญ่รายหนึ่ง.
2.3 รายใหญ่ที่เข้าใจกิจการดี....กลุ่มนี้จะมีความรู้ในกิจการของบริษัทฯ ความรู้ที่ได้มาเกิดจากเขาอยู่ในวงการนี้ หรือ มีโอกาสสัมผัสกับกิจการอย่างใกล้ชิด...กลุ่มที่ทำงานเกี่ยวกับการลงทุน เชิญผู้บริหารต่าง ๆ มาพูดคุยกัน แน่ละก่อนออกรายการก็ต้องมีการคุยเป็นการส่วนตัวถึงเรื่องที่ควรจะพูดกันในรายการ และสามารถเจาะเข้าไปถึงรายละเอียดได้ นับว่าเป็นกลุ่มรายใหญ่ที่มีความสามารถในด้านนี้โดยเฉพาะ ก็ มักประสบแต่ความสำเร็จ การอยู่ในวงสาธารณชนก็สามารถที่จะโน้มน้าวให้ผู้ฟังติดตามได้ เป็นสิ่งดีที่กลุ่มนี้เลือกหุ้นที่มีพื้นฐานดี มีความก้าวหน้า พูดกันอยู่เป็นประจำ ก็ทำให้รายย่อยติดตามกัน โดยไม่พิจารณาถึงระดับ P/E หรือ P/bv ซึ่งเมื่อราคาขึ้นไปสูง ๆ แล้ว ผมก็คิดว่า เขาคงทำกำไรอย่างแน่นอน แต่ก็ยังถืออยู่เพราะต้นทุนเขาต่ำมาก ไม่มีการขายออกทั้งหมด คงขายเอาทุนคืน ส่วนที่เหลือของหุ้นคือกำไรทั้งนั้น สุดยอดของการลงทุนและผมก็นับถือกลุ่มนี้เพราะชี้แนะแต่สิ่งดี ดี ให้พวกนักลงทุนได้ทราบกัน.
2.4 รายใหญ่ตลอดชีพ...มีธุรกิจที่โดนบังคับให้มีการลงทุนในหุ้นด้วย นั่นคือ พวกธุรกิจประกันภัยและประกันชีวิต ที่ ทาง คปภ. (กรมการประกันภัยเดิม)...ที่กำหนดกฎเกณท์ให้ถือทรัพย์สินเป็นรูปของตราสารหนี้และตราสารทุน ดังนั้นพวกนี้จะมีหุ้นสามัญในตลาดหลักทรัพย์ถืออยู่ และ มักจะเลือกหุ้นพื้นฐานดี มีการจ่ายปันผลสม่ำเสมอ มีการซื้อขายหุ้นด้วยแต่ไม่ทำบ่อยเท่าไหร่ ... ผมพึ่งไปวิสามัญของบริษัทกรุงเทพประกันชีวิต เขาบอกว่า ในส่วนของการลงทุนเพื่อขาย ก็คือการเล่นหุ้นของเขา เขาสามารถทำกำไรได้ 5% (นับว่าไม่มากเท่าไหร่) กลุ่มรายใหญ่ตลอดชีพพวกนี้ มักทำกำไรได้ เพราะความสามารถในการบริหารสูง......ผมเลยชอบกลุ่มประกัน เสมือนหนึ่ง เรามีส่วนหนึ่งในการลงทุนในหุ้นด้วย จากประสบการณ์ผม กลุ่มนี้ผมว่าให้ปันผลดีและสม่ำเสมอ (ยกเว้นวิกฤตน้ำท่วมที่บริษัทฯต่าง ๆ ต้องขาดทุนในปี 2554).
2.5 รายใหญ่ต่างชาติ...มาในรูปของบริษัทฯการเงิน กองทุน และ รายบุคคล (รายบุคคลจะดูในพวก nvdr) กลุ่มนี้มาเพราะเห็นผลตอบแทนในประเทศเรา มากกว่าที่อื่น ๆ แต่ถ้าที่อื่น ๆ ให้ผลตอบแทนมากกว่า ก็ จะมีการย้ายเงินได้ ดูง่าย ๆ จาก อัตราดอกเบี้ยของธนาคารที่จ่ายออกมา อยู่ในระดับ สูงกว่าประเทศของเขา แต่เมื่อไรที่การเติบโตของประเทศเขาโตขึ้นและอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น เขาก็อาจจะย้ายการลงทุนออกไปก็เป็นไปได้....สมัยก่อนผมคิดว่าหุ้นไทยเราจะขึ้นหรือลงอยู่ที่รายใหญ่พวกนี้ แต่หลัง ๆ นี้ ไม่ใช่แล้ว เพราะตลาดเราเข้มแข็งขึ้นมี กองทุนในประเทศ พวกสถาบันและรายย่อยมากขึ้น เลยสามารถจะสู้กับรายใหญ่ต่างชาติได้...(หุ้นใหญ่ๆ พวก set50 ผมปล่อยให้ต่างชาติและสถาบันสู้กัน ผมหนีไปหุ้นขนาดกลางและเล็กเป็นส่วนใหญ่)...ตอนแรกคิดว่า รายใหญ่พวกนี้จะอยู่ใน set50 ทั้งหมด แต่ก็พบว่าใน กลุ่ม nvdr ซึ่งเป็นค่างชาติ มีหุ้นเล็ก ๆ มากมายที่พวกนี้ถืออยู่ ส่วนใหญ่จะเป็นรายบุคคลมากกว่า.....มีหุ้นเล็กในตลาด mai ตัวหนึ่ง ผมตรวจสอบทุกวันว่าจะมี nvdr ซื้อขายหรือไม่ ปรากฏว่ามีการซื้อขายอยู่ตลอดเหมือนกัน.. มีการซื้อขายแต่ละช่วงเหมือนกันสรุปได้ว่า หุ้นขึ้นเขาขาย และ หุ้นลงเขาก็ซื้อกลับ เป็นการ trading ตามปกติ.
3.กลุ่มปลายน้ำ...ในธุรกิจนี้บอกแล้วว่าผู้ที่ชนะจะอยู่ในกลุ่มต้นน้ำและกลางน้ำ....ถ้าใครคิดได้ว่ากลุ่มกลางน้ำมีพวกไหนเพิ่มขึ้นก็บอกได้นะครับ ผมอาจตกหล่นไปบ้างก็เป็นได้.....มีการสรุปว่า ในธุรกิจนี้หรือในตลาดนี้ มีผู้จะชนะประสบผลสำเร็จได้ไม่เกิน 20% แน่ละกลุ่มกลางน้ำอยู่ในส่วนนั้นแล้ว ... กลุ่มปลายน้ำก็คือรายย่อยแบบพวกเรา....ปัญหาก็คือ เราจะทำอย่างไรถึงจะอยู่ในกลุ่มของ 20% ที่จะชนะในธุรกิจนี้...มีผู้จดทะเบียนซื้อขายหุ้นเห็นว่ามีถึง 2 ล้านบัญชี (ชื่อคนเดียวอาจเปิดหลายบัญชีคือหลายโบรคเกอร์ก็ได้ เขาเฉลี่ยว่าคนเดียวอาจมี 3 โบรคหมายถึง 3 บัญชี)....แต่จริง ๆ แล้ว ที่เล่นหุ้นหรือลงทุนในหุ้นมีระดับ 3-4 แสนคนเท่านั้นเอง...ผมมาคิดว่า ผู้ที่จะชนะตลาดถ้า 20% ของ 350,000 คน ก็ มีเพียง 7 หมื่นคนเท่านั้นเอง.....เราจะทำอย่างไรให้อยู่ในพวก 7 หมื่นคนให้ได้...ตัวเลขที่ผมบอกเป็นภาพใหญ่ ๆ เท่านั้นเอง ส่วนรายละเอียดทางตลาดหลักทรัพย์มีข้อมูลพร้อมอยู่แล้ว เขามีประวัติของพวกเราอย่างละเอียดอยู่แล้ว...เขามีบริการให้พวกเราสมัครเป็นสมาชิกและขอดู portforlio ของเราได้ว่า มีหุ้นตัวไหนบ้างอยู่กับโบรคไหนและบริการอื่น ๆ อีกด้วย....ถ้าเป็นนักลงทุนต้องไปงาน SET IN THE CITY หรือที่ตลาดจัดในแต่ละภาค ต้องเข้าไปศึกษาและสมัครเป็นสมาชิกเขาจะได้ประโยชน์มากทีเดียว.
3.1 รายย่อยไร้สมอง.....สมัยเริ่มลงทุนแรก ๆ ของผม ผมก็อยู่ในกลุ่มนี้ครับ เมื่อ 20 ปีก่อนหน้านี้ ไม่มีความรู้เรื่องหุ้นเท่าไหร่ เห็นเขาเล่นได้กำไรกัน ก็ เล่นกับเขา ข้อมูลที่ได้ก็คือ การดูราคาหุ้น ทาง ทีวี และ ฟังวิทยุ AM ที่บอกราคาซื้อขายหุ้นเท่านั้นเอง....คนที่เราพึ่งและติดต่อก็คือ marketing ของเรานั่นเอง คำแรกที่ถามเวลาโทรศัพท์ไปหาก็คือ วันนี้เขาจะเล่นหุ้นตัวไหน ราคาตอนนี้น่าซื้อหรือไม่ .. สมัยแรก ๆ ตอนนั้นหุ้นที่ดังมากก็คือหุ้น KMC(กฤษดามหานคร ตอนนี้เปลียนชื่อเป็น AQแล้ว) TYONG (ธนายง) และ Bland ผมมีติดอยู่ตั้งแต่ตอนนั้นจนบัดนี้มีตัวเดียวคือ กฤษดา ตอนนี้โดนลดเป็น 1 หุ้นแล้ว....ถ้าใครยังเล่นหุ้นอยู่โดยอาศัย ถามมาร์ ตัดสินใจให้ ก็ นับว่ายังอยู่ในกลุ่มรายย่อยไร้สมอง...ได้โปรดเลิกเล่นหุ้นได้แล้วนะครับ....คิดว่าพวกนี้น่าจะยังเหลืออยู่.
3.2 รายย่อยตามแห่....กลุ่มนี้น่าจะดีกว่ากลุ่มรายย่อยไร้สมอง... รายย่อยตามแห่น่าจะมีความรู้พอควร แต่อาจจะไม่สามารถตัดสินใจด้วยตนเองได้ จึงชอบตามแห่ถามข้อมูลของพวกกลุ่มกลางน้ำ หรือ ดูรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ที่ตนชอบและซื้อตาม....แน่ละครับ การซื้อตามก็น่าจะแพงกว่าพวกที่เคยซื้อก่อนหน้านี้ ต้นทุนของเขา ย่อมถูกกว่าของเราเป็นส่วนใหญ่...ถ้าตามแห่พวกรายใหญ่ที่ซื้อตอนแรก ๆ ก็ ปลอดภัยดี...แต่ถ้าซื้อตามแห่ตอนหลังก็น่าเป็นห่วงครับ.
3.3 รายย่อยร้อยหุ้น....กลุ่มนี้น่าจะเป็นพวกที่อยู่ในตลาดเป็นเวลานาน มีหุ้นเป็นร้อยตัว ตัวละนิดหน่อย..พวกนี้มักเป็นพวกสูงวัยไม่มีงานอะไรทำ... ซื้อหุ้นเพื่อไปประชุมกับเขาในฐานะเจ้าของบริษํทฯ เพราะได้รับการอบรมว่า ถึงแม้มี 1 หุ้นก็เป็นเจ้าของกับเขาได้....ซื้อหุ้น เพื่อรับของชำร่วย และ ทานอาหารฟรีในตอนที่บริษัทฯจัด AGM และ EGM กัน.. พวกนี้จะรู้ว่าหุ้นตัวไหนแจกของให้ และเลี้ยงอาหารตามโรงแรมดัง ๆ จะเห็นหลัง ๆ นี้ มีมากมายเพราะมีการกระจายหุ้นในชื่อของลูก ของหลาน หรือของญาติที่ไว้ใจกัน.
3.4 รายย่อยเล่นคลื่น...ขอจัดกลุ่มนี้เป็นกลุ่มรายย่อยที่อาศัยกราฟในการตัดสินใจ เขาไม่สนใจพื้นฐานของกิจการสักเท่าไหร่ แต่สนใจในราคาหุ้นและปริมาณการซื้อขาย เอาจากสถิติและทฤษฎีจากคนต่างชาติที่ค้นคิด โดยใช้เครื่องมือ(indicators) ชี้แนะต่าง ๆ มีการรอซื้อและรอขายเมื่อถึงจุดที่ต้องการ....จากผู้ที่รู้เรื่องนี้ ไม่ใช่ว่า 100% จะเป็นไปตามนั้น แค่คาดว่าจะสำเร็จ 70%....เรื่องนี้ต้องศึกษาและใช้ความรู้มากทีเดียว...กลุ่มนี้จะไม่ถือยาวเป็นปี เท่าที่สังเกตุมักชอบซื้อตอนหุ้นทำราคาทะลุจุดสูงเดิม เพื่อที่จะไปขายที่ราคาสูงกว่า เช่นกัน ถ้าหลุดต่ำกว่าแนวรับที่เขากำหนดก็ต้องขายตัดขาดทุนออกไป.....ผมคิดว่ากลุ่มนี้มีความเครียดในการเล่นหุ้นที่ ขึ้นลงมาก...หุ้นบางวันบางทีเขาก็ซื้อขายกันหลายรอบเหมือนกัน สรุปแล้วกลุ่มนี้จะมีกำไรหรือเปล่า ผมไม่ได้ตามและไม่สามารถจะบอกได้....เพราะนักเล่นหุ้นส่วนใหญ่จะบอกว่ากำไร แต่ที่ขาดทุนมักไม่ค่อยได้บอกกัน.
3.5 รายย่อยชำนาญการ....ธุรกิจต่าง ๆ ต้องมีนักชำนาญการอยู่แล้ว ด้านตลาดหุ้นนี่ก็มีนักชำนาญการ สามารถปรับตัวเองให้ชนะตลาดและมีกำไรทุกปี พวกนี้จะมีความรู้ดีมาก รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับกิจการ่เงิน...ตลาดมีหุ้นให้เล่นกันหลายตัว หลายกลุ่มของธุรกิจ ตามหมวดหมู่ที่เขาจัดไว้ ... นอกจากนี้แล้วยังมีพวก TFEX พวก DW พวก ETF โดยเฉพาะ TFEX ป้องกันความเสี่ยงต่าง ๆ ได้ ผมไม่มีความรู้ในด้านนี้เพราะไม่อยากศึกษา รู้มากเกินไปมันสัปสนวุ่นวาย เพราะอายุมากแล้วเลยไม่อยากจะศึกษาเพิ่มเติม....คนรุ่นใหม่ควรศึกษาหาความรู้และป้องกันตนเองด้วยเครื่องมือพวกนี้...ถึงแม้ดัชนีลงก็สามารถจะทำกำไรได้ ขาดทุนในหุ้นแต่กำไรใน TFEX เป็นการทำสมดุลในการลงทุน...เก่งครับ.
3.6 รายย่อยนักพัฒนา...กลุ่มสุดท้ายที่จะพูดถึงก็คือส่วนใหญ่ของพวกเรานั่นเอง..การหาความรู้ที่จำเป็นก็คือ.....
1.การเข้าใจ ธุรกิจ....เราไม่สามารถจะรู้ถึงธุรกิจต่าง ๆ ได้ทุกอย่าง เราต้องศึกษาและเข้าใจธุรกิจ สิ่งแรกที่ต้องทำคือ อ่านแบบ 56-1 ที่เขาสรุปเป็นภาพรวมของบริษัท โดยเฉพาะในหมายเหตูงบการเงิน ต้องเข้าใจทุกประโยคที่เขาให้ผู้ลงทุนได้รู้ ส่วนใหญ่จะสมบูรณ์มาก เพราะรูปแบบหัวข้อต่าง ๆ กำหนดเป็นมาตรฐานอยู่แล้ว....อะไรที่ข้องใจก็โทรศัพท์ถามบริษัทเขาเลย...ผมลงทุนในบริษัทใหญ่ ๆ น้อยมาก เพราะไม่เข้าใจในธุรกิจเขาเท่าไหร่ คาดการณ์ลำบาก มีบริษัทย่อยอะไรอีกมากมาย เจาะลึกลำบาก...อ่านหลายสิบรอบแล้วก็ยังไม่เข้าใจ...สู้ไปลงทุนในธุรกิจกลางเล็ก ที่เข้าใจง่าย ๆ ดีกว่า...หุ้นที่ผมลงทุนมากที่สุด แรก ๆ ก็เข้าใจดี พอหลัง ๆ นี้ ก็ ขยายไปมีบริษัทย่อยเพิ่มขึ้นอีก 4-5 แห่ง ก็ เริ่มสร้างความสัปสนให้กับผม...แต่บริษัทฯ นี้ลงทุนมานานแล้ว ทุนถูกมาก เลยไม่ได้ขายออกไป อีกอย่างเชื่อในผู้บริหารที่เขามองว่าบริษัทย่อยต่าง ๆ ที่เขาลงทุนไปต้องเติบโตและกำไร ฉะนั้นจะก้าวกระโดดไปในอีก 2-3 ปี....ผมคิดผิดเพราะรักบริษัท เขามากเกินไป เพราะพิสูจน์แล้วเวลาผ่านไป ราคาหุ้นก็ลงไปเรื่อย ๆ ปีนี้ทั้งปี ราคาลงตลอด การรอคอยผลงานที่ยังไม่เกิด นักลงทุนต่าง ๆ ก็ทิ้งไปก่อน นี่ละคือความผิดพลาดของผม ที่ไม่ยอมทิ้งหุ้นไปก่อน........การเข้าใจบริษัท นอกจากการอ่านแล้วต้องมีการสัมผัส คือต้องไปประชุมผู้ถือหุ้นรู้จักผู้บริหาร และหาโอกาสเยี่ยมชมกิจการ ของเขา โดยขอเขารวมกลุ่มกันไป หลัง ๆ นี้ ทางสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย ได้รับงานด้านนี้โดยเรียกชื่อว่าโครงการ MY COMPANY โดยบริษัทจะขอให้ทางสมาคมเลือกผู้ถือหุ้นที่ถือหุ้นของเขา ไปเยี่ยมชมกิจการของบริษัท โครงการนี้ดีมากเพราะจะได้ความรู้ในกิจการดีทีเดียว ถ้าใครได้รับเชิญต้องไปนะครับ ห้ามพลาด...ทางพวกเรา THAIVI ก็มีการจัดประจำแต่ผมไม่ได้ร่วมกับเขา เลยไม่สามารถจะบอกได้ว่าเป็นอย่างไร...แต่ต้องเป็นสิ่งดี แน่ เพราะ พวกเราทำแต่สิ่งดี ดี สำหรับรายย่อยกัน...แต่ต้องเตือนกันหน่อยว่า ซื้อหุ้นดีแต่ราคาแพง ก็ ไม่ใช่สิ่งที่ดีนะครับ.
2.การเข้าใจ ผู้บริหาร......สิ่งที่สำคัญที่จะทำให้ธุรกิจรุ่งเรืองต่อไปเรื่อย ๆ ก็ คือ ผู้บริหาร...บริษัทฯใหญ่ ๆ ก็ มีผู้บริหารเป็นมืออาชีพมาจัดการให้ แต่บริษัทฯ เล็ก กลาง ก็มันจะมีเจ้าของมาบริหารหรือเป็นประธาน บางทีก็เชิญคนที่เรานับถือมาเป็นประธานให้...สรุปได้ก็คือคณะกรรมการ เป็นฝ่ายวางนโยบาย และ สั่งการให้คณะผู้บริหารดำเนินงานต่อไป...เราต้องเข้าใจทั้งสองกลุ่มนี้ให้ดี ที่สำคัญคือต้องมีธรรมาภิบาล...มีความยุติธรรมกับของทุกฝ่ายที่มาอยู่ในเรือลำเดียวกัน.....ผมชอบผู้บริหารที่ทำกำไรให้เติบโตไปเรื่อยๆ ค่อย ๆ ขยับปีละ 10-20% ทุกปีก็สุดยอดแล้วครับ
3.การเข้าใจ งบการเงิน.....สิ่งที่เราต้องพัฒนาก็คือ ต้องเข้าใจงบการเงินของบริษัทฯ อัตราส่วนทางการเงิน สิ่งนี้ต้องเรียนรู้และเปรียบเทียบกับบริษัท อื่น ๆ...ขั้นต้นต้องรู้จักยอดขาย ต้นทุนของสินค้า กำไรขั้นต้น ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร กำไรสุทธิ....ถ้ามีบริษัทฯ ย่อยมาก ๆ ก็ จะลำบากในการวิเคราะห์ว่าเกิดจากบริษัทฯ ไหนที่ให้กำไรหรือขาดทุน...ก็ดูโดยรวมคือ งบรวม เป็นหลัก.....ต้องรู้จัก ROE ROA D/E P/E P/Bv EPS ถ้าไม่ได้เรียนบัญชีมา ก็ ต้องรู้จักเบื้องต้นดังกล่าวมาแล้ว....ส่วนพวกที่เก่งทางบัญชีก็เจาะลึกเข้าไปถึงแต่ละบรรทัดของบัญชี...มันเป็นเหมือนสุขภาพของคน ถ้างบการเงินดี ก็คือมีสภาพที่แข็งแรง เวลาเกิดวิกฤตอะไรก็ไม่เป็นห่วง อยู่รอดได้ การมีหนี้สินของบริษัทฯเป็นสิ่งสำคัญ ผมชอบบริษัทที่มีหนี้สินน้อย เพราะวิกฤตอย่างไรก็ไม่ล้มแน่....บางคนก็ว่ามีหนี้สินมากก็จะเพิ่มกำไรดีเอาเงินมาเพิ่มยอดขายเพิ่มกำไร...แล้วแต่จะคิดกัน
ถ้ารายย่อยนักพัฒนาเข้าใจทั้ง 3 อย่างดีแล้ว ลงทุนไปเรื่อย ๆ วันหนึ่งก็จะได้เติบโต จากกลุ่มปลายน้ำ เป็นกลุ่มกลางน้ำ อย่างแน่นอน....ผมอยู่กลุ่มปลายน้ำเช่นกันอยากอยู่กลุ่มกลางน้ำเหมือนกัน แต่ยังไม่มีโอกาสนักที
จบเพียงเท่านี้ ที่เขียนมาเพื่อให้รายย่อยรายใหม่ ๆ ได้พิจารณาตนเอง จะได้รู้ถึง ธุรกิจการลงทุนด้านนี้ ว่า มีอะไรบ้าง เป็นภาพใหญ่ ๆ ให้เข้าใจกัน อยากจะเตือนอย่างเดียวว่า ปลาใหญ่กินปลาเล็กนะครับ ต้องรักษาตนเองจากปลาเล็กให้เติบโตอยู่รอดเป็นปลาใหญ่ให้ได้นะครับ...ขอให้โชคดีในการลงทุน
ผมจะแบ่งกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ ที่อยู่ธุรกิจนี้ออกเป็น 3 กลุ่มคือ ต้นน้ำ กลางน้ำ และ ปลายน้ำ
1.กลุ่มต้นน้ำ มี ตลาดหลักทรัพย์เป็นแกนนำ ที่จะหาสินค้ามาขาย นี่แหละมีแต่ได้และได้ เมื่อได้สินค้ามาแล้ว คนที่อยู่ในกลุ่มนี้ก็คือเจ้าของสินค้า หมายถึงเจ้าของบริษัทฯดั้งเดิมที่เขาก่อตั้งขึ้นมา ก็มีแต่ได้และได้เหมือนกัน...(การลงทุนในหุ้นคนที่เราไม่มีทางชนะเลยคือเจ้าของกิจการ).....กลุ่มต้นน้ำต่อไปคือกลุ่มที่นำเข้าตลาด พวกนี้จะเป็นพวกแต่งตัวให้กับเจ้าของกิจการ มีการคำนวณและคาดการณ์ต่าง ๆ เพื่อให้เจ้าของกิจการได้เงินมากที่สุดและค้ำประกันว่าจะขายหุ้นได้ พวกนี้ก็มีแต่ได้และได้
2.กลุ่มกลางน้ำ ตลาดเงินเป็น money game เกมการเงิน หลักที่สำคัญคือ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก หมายถึง ผู้มีเงินมากกว่าย่อมชนะผู้มีเงินน้อยกว่า ในตลาดนี้มีรายใหญ่อยู่มากทีเดียว ทุกรายก็หวังจะเอากำไรทั้งนั้น ไม่มีใครมาลงทุนเพื่อขาดทุนเป็นแน่....พวกนี้ส่วนใหญ่จะได้กำไร อัตราส่วนการขาดทุนน้อยมาก.
2.1 รายใหญ่ที่เรารู้จักกันส่วนใหญ่ ที่โตจากตลาดทุน เพราะมีความสัมพันธ์กับโบรคเกอร์เป็นพิเศษ มีการจัดห้อง VIP ให้ มีการให้ข้อมูลก่อนพวกเรา เปิดโอกาสให้รายใหญ่ได้ไปสัมผัสกับบริษัทฯต่าง ๆ ได้ไปรู้จักกับเจ้าของ ได้เข้าใจในกิจการเป็นพิเศษ มีการแจก ipo ให้จำนวนมาก ๆ เพราะ ซื้อขายวันละมาก ๆ (แถมจ่ายค่า com ได้ถูกกว่าพวกเราอีก ตลาดต้องการกำหนดค่า com ให้เท่าเทียมกัน แต่คิดว่าเขาคงมีวิธีการลดให้ สมัยก่อนแจกเป็นทองให้แก่รายใหญ่ สมัยนี้ทำอย่างไรมิทราบได้)......ปีนี้ 2557 มีการกระชากหุ้น ipo ให้สูงต่อไปอีก ไม่ใช่เฉพาะสูงเพียงระยะไม่กี่วันแรก เรารู้อยู่แล้วว่าราคา ipo นี่เป็นราคาที่เจ้าของพอใจแล้ว การแจกหุ้นรายใหญ่เป็นพิเศษ ก็ เหมือนกับว่า มาช่วยดูแลหุ้นให้ด้วย ซึ่งหุ้น ipo เหล่านี้มักเป็นหุ้นระดับกลางและเล็ก เขาสามารถคำนวณว่า หุ้นกระจายไปเท่าไหร่อยู่ในตลาดเท่าไหร่....ซื้อเพิ่มอีกเท่าไหร่จะทำให้ราคาขยับขึ้นได้ จะเห็นได้ว่า มีหลายตัวทีเดียว ที่ขยับสูงขึ้น 2-3 เท่า จาก ipo สังเกตุจาก ค่า P/E ที่วิ่งเป็นร้อยเท่า หมายถึง 100 ปีเลยนะที่จะได้ทุนคืน ชีวิตนี้ ไม่ได้คืนแน่.....มันไม่มีเหตุผลเลยครับ ที่จะทำอย่างนั้น แต่ก็ได้เกิดไปแล้ว.........นอกจากเรื่องดันราคาหุ้น ipo แล้ว สังเกตุเห็นหุ้นที่กิจการเล็ก ๆ หลายตัว ธุรกิจเดิมขาดทุน ราคาบุคเหลือไม่เกิน 1 บาท ใกล้จะล้มละลายอยู่แล้ว ถ้าดำเนินงานต่อไป ก็ ต้องเข้าข่ายอยู่ในพวกที่ต้องฟื้นฟูเป็นแน่ เขาก็เอาพวกนี้มาเปลี่ยนธุรกิจ เป้าหมายส่วนใหญ่ก็ไปที่ พลังงานทดแทน ที่รัฐบาลเปิดโอกาสให้ทำและการไฟฟ้าส่งเสริมมีเงินส่วนเพิ่มจากลงทุนให้ ....พวกรายใหญ่และเจ้าของก็คงร่วมมือกัน ประกอบกับนักวิเคราะห์เข้ามาร่วมด้วย วางแผนอนาคตล่วงหน้า 2-3 ปี จะเป็นอย่างไร ฝันหวานกันใหญ่เลย....การลงทุนพวกนี้ก็ต้องใช้เงิน ก็ ไม่พ้นต้องมีการเพิ่มทุน มีการดันราคาหุ้นให้เพิ่มขึ้น บางตัวเพิ่ม 2-3 เท่า เคยซื้อขายกันแค่ระดับ ไม่เต็มบาท...มาซื้อขายกันหลาย ๆ บาท.....ตลาดมีการเตือนแล้วเตือนอีกก็ไม่สนใจ จะเห็นได้ว่า หุ้นที่โดน CASH BALANCE มีจำนวนมากที่สุดในระยะนี้ นั่นหมายถึง มีการเล่นหุ้นปั่นกันมากทีเดียว....ส่วนหุ้น ipo ที่ไม่ได้แจกให้รายใหญ่ พวกเราซื้อกันได้ที่ธนาคาร กระจายการถือหุ้นแก่รายย่อยมาก ๆ มักไม่มีคนมาดูแล ราคาไม่หวือหวาแน่นอน แถมหลัง ๆ นี้ หุ้นสายการบิน ทุกคนที่ซื้อราคา ipo ขาดทุนกันหมด วันแรกก็ซื้อขายกันต่ำกว่าราคา ipo แล้ว (สัจจธรรม สิ่งที่ได้มาง่าย ๆ มักไม่มีกำไร).....มีรายใหญ่อีกพวกหนึ่งที่ได้ซื้อหุ้นถูกกว่า ipo อีก คือพวกที่ลงทุนกับเขาตอนก่อนส่งเรื่องให้ตลาดพิจารณา(บางบริษัทเท่านั้นที่จะจัดสรรให้).
2.2 รายใหญ่บวกเจ้าของ กลุ่มระดับกลางน้ำที่มีกำไรแน่นอน บอกแล้วว่า คนที่เราไม่สามารถจะชนะได้คือ เจ้าของกิจการ....และรองลงมาก็คือรายใหญ่ที่รู้จักกับเจ้าของเป็นอย่างดี อาจจะเป็นญาติสนิท หรือไม่ก็มีการตกลงกับเจ้าของ โดยการขอเข้ามาเป็นหุ้นส่วนด้วย มีนักลงทุนเก่งคนหนึ่ง ที่ออกรายการทีวีและงานการลงทุนต่าง ๆ เขาบอกว่า เขาสนใจกิจการของบริษัทหนึ่ง ก็ เข้าไปคุยกับเจ้าของกิจการนี้ ถามทุกอย่างที่เขาต้องการรู้ และบอกว่า เขาต้องการซื้อหุ้นของเขา โดยค่อย ๆ สะสมหุ้นไปเรื่อย ๆ ในขณะเดียวกันก็ตามความก้าวหน้าของบริษัทฯ นี้ โดยขอร่วมประชุมกับบริษัทฯ นี้ทุกเดือน โดยบริษัทฯ นี้มีการสรุปผลงานทุกเดือน การได้มีโอกาสไปร่วมประชุมกับเขา ก็สร้างความมั่นใจในการถือหุ้นและอนาคตของบริษัท รายใหญ่ที่มีชื่อติดผู้ถือหุ้นใหญ่ ถ้าถือหุ้นแค่ 0.5%ของ หุ้นจดทะเบียนก็มีชื่อแล้ว นี่เขาค่อย ๆ สะสมหุ้นไปเรื่อย ๆ จนหุ้นถึงระดับ 5% ก็ต้องรายงานกับตลาดถึงวัตถุประสงค์ในการถือหุ้น และได้ซื้อต่อไปเรื่อย ๆ ทุก ๆ 5% ก็ต้องรายงาน ที่สุดเขาถือเป็นอันดับที่ 2 ของหุ้นตัวนี้ ตอนนี้เขาถือ 17% เลย...นี่คือความสำเร็จของรายใหญ่รายหนึ่ง.
2.3 รายใหญ่ที่เข้าใจกิจการดี....กลุ่มนี้จะมีความรู้ในกิจการของบริษัทฯ ความรู้ที่ได้มาเกิดจากเขาอยู่ในวงการนี้ หรือ มีโอกาสสัมผัสกับกิจการอย่างใกล้ชิด...กลุ่มที่ทำงานเกี่ยวกับการลงทุน เชิญผู้บริหารต่าง ๆ มาพูดคุยกัน แน่ละก่อนออกรายการก็ต้องมีการคุยเป็นการส่วนตัวถึงเรื่องที่ควรจะพูดกันในรายการ และสามารถเจาะเข้าไปถึงรายละเอียดได้ นับว่าเป็นกลุ่มรายใหญ่ที่มีความสามารถในด้านนี้โดยเฉพาะ ก็ มักประสบแต่ความสำเร็จ การอยู่ในวงสาธารณชนก็สามารถที่จะโน้มน้าวให้ผู้ฟังติดตามได้ เป็นสิ่งดีที่กลุ่มนี้เลือกหุ้นที่มีพื้นฐานดี มีความก้าวหน้า พูดกันอยู่เป็นประจำ ก็ทำให้รายย่อยติดตามกัน โดยไม่พิจารณาถึงระดับ P/E หรือ P/bv ซึ่งเมื่อราคาขึ้นไปสูง ๆ แล้ว ผมก็คิดว่า เขาคงทำกำไรอย่างแน่นอน แต่ก็ยังถืออยู่เพราะต้นทุนเขาต่ำมาก ไม่มีการขายออกทั้งหมด คงขายเอาทุนคืน ส่วนที่เหลือของหุ้นคือกำไรทั้งนั้น สุดยอดของการลงทุนและผมก็นับถือกลุ่มนี้เพราะชี้แนะแต่สิ่งดี ดี ให้พวกนักลงทุนได้ทราบกัน.
2.4 รายใหญ่ตลอดชีพ...มีธุรกิจที่โดนบังคับให้มีการลงทุนในหุ้นด้วย นั่นคือ พวกธุรกิจประกันภัยและประกันชีวิต ที่ ทาง คปภ. (กรมการประกันภัยเดิม)...ที่กำหนดกฎเกณท์ให้ถือทรัพย์สินเป็นรูปของตราสารหนี้และตราสารทุน ดังนั้นพวกนี้จะมีหุ้นสามัญในตลาดหลักทรัพย์ถืออยู่ และ มักจะเลือกหุ้นพื้นฐานดี มีการจ่ายปันผลสม่ำเสมอ มีการซื้อขายหุ้นด้วยแต่ไม่ทำบ่อยเท่าไหร่ ... ผมพึ่งไปวิสามัญของบริษัทกรุงเทพประกันชีวิต เขาบอกว่า ในส่วนของการลงทุนเพื่อขาย ก็คือการเล่นหุ้นของเขา เขาสามารถทำกำไรได้ 5% (นับว่าไม่มากเท่าไหร่) กลุ่มรายใหญ่ตลอดชีพพวกนี้ มักทำกำไรได้ เพราะความสามารถในการบริหารสูง......ผมเลยชอบกลุ่มประกัน เสมือนหนึ่ง เรามีส่วนหนึ่งในการลงทุนในหุ้นด้วย จากประสบการณ์ผม กลุ่มนี้ผมว่าให้ปันผลดีและสม่ำเสมอ (ยกเว้นวิกฤตน้ำท่วมที่บริษัทฯต่าง ๆ ต้องขาดทุนในปี 2554).
2.5 รายใหญ่ต่างชาติ...มาในรูปของบริษัทฯการเงิน กองทุน และ รายบุคคล (รายบุคคลจะดูในพวก nvdr) กลุ่มนี้มาเพราะเห็นผลตอบแทนในประเทศเรา มากกว่าที่อื่น ๆ แต่ถ้าที่อื่น ๆ ให้ผลตอบแทนมากกว่า ก็ จะมีการย้ายเงินได้ ดูง่าย ๆ จาก อัตราดอกเบี้ยของธนาคารที่จ่ายออกมา อยู่ในระดับ สูงกว่าประเทศของเขา แต่เมื่อไรที่การเติบโตของประเทศเขาโตขึ้นและอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น เขาก็อาจจะย้ายการลงทุนออกไปก็เป็นไปได้....สมัยก่อนผมคิดว่าหุ้นไทยเราจะขึ้นหรือลงอยู่ที่รายใหญ่พวกนี้ แต่หลัง ๆ นี้ ไม่ใช่แล้ว เพราะตลาดเราเข้มแข็งขึ้นมี กองทุนในประเทศ พวกสถาบันและรายย่อยมากขึ้น เลยสามารถจะสู้กับรายใหญ่ต่างชาติได้...(หุ้นใหญ่ๆ พวก set50 ผมปล่อยให้ต่างชาติและสถาบันสู้กัน ผมหนีไปหุ้นขนาดกลางและเล็กเป็นส่วนใหญ่)...ตอนแรกคิดว่า รายใหญ่พวกนี้จะอยู่ใน set50 ทั้งหมด แต่ก็พบว่าใน กลุ่ม nvdr ซึ่งเป็นค่างชาติ มีหุ้นเล็ก ๆ มากมายที่พวกนี้ถืออยู่ ส่วนใหญ่จะเป็นรายบุคคลมากกว่า.....มีหุ้นเล็กในตลาด mai ตัวหนึ่ง ผมตรวจสอบทุกวันว่าจะมี nvdr ซื้อขายหรือไม่ ปรากฏว่ามีการซื้อขายอยู่ตลอดเหมือนกัน.. มีการซื้อขายแต่ละช่วงเหมือนกันสรุปได้ว่า หุ้นขึ้นเขาขาย และ หุ้นลงเขาก็ซื้อกลับ เป็นการ trading ตามปกติ.
3.กลุ่มปลายน้ำ...ในธุรกิจนี้บอกแล้วว่าผู้ที่ชนะจะอยู่ในกลุ่มต้นน้ำและกลางน้ำ....ถ้าใครคิดได้ว่ากลุ่มกลางน้ำมีพวกไหนเพิ่มขึ้นก็บอกได้นะครับ ผมอาจตกหล่นไปบ้างก็เป็นได้.....มีการสรุปว่า ในธุรกิจนี้หรือในตลาดนี้ มีผู้จะชนะประสบผลสำเร็จได้ไม่เกิน 20% แน่ละกลุ่มกลางน้ำอยู่ในส่วนนั้นแล้ว ... กลุ่มปลายน้ำก็คือรายย่อยแบบพวกเรา....ปัญหาก็คือ เราจะทำอย่างไรถึงจะอยู่ในกลุ่มของ 20% ที่จะชนะในธุรกิจนี้...มีผู้จดทะเบียนซื้อขายหุ้นเห็นว่ามีถึง 2 ล้านบัญชี (ชื่อคนเดียวอาจเปิดหลายบัญชีคือหลายโบรคเกอร์ก็ได้ เขาเฉลี่ยว่าคนเดียวอาจมี 3 โบรคหมายถึง 3 บัญชี)....แต่จริง ๆ แล้ว ที่เล่นหุ้นหรือลงทุนในหุ้นมีระดับ 3-4 แสนคนเท่านั้นเอง...ผมมาคิดว่า ผู้ที่จะชนะตลาดถ้า 20% ของ 350,000 คน ก็ มีเพียง 7 หมื่นคนเท่านั้นเอง.....เราจะทำอย่างไรให้อยู่ในพวก 7 หมื่นคนให้ได้...ตัวเลขที่ผมบอกเป็นภาพใหญ่ ๆ เท่านั้นเอง ส่วนรายละเอียดทางตลาดหลักทรัพย์มีข้อมูลพร้อมอยู่แล้ว เขามีประวัติของพวกเราอย่างละเอียดอยู่แล้ว...เขามีบริการให้พวกเราสมัครเป็นสมาชิกและขอดู portforlio ของเราได้ว่า มีหุ้นตัวไหนบ้างอยู่กับโบรคไหนและบริการอื่น ๆ อีกด้วย....ถ้าเป็นนักลงทุนต้องไปงาน SET IN THE CITY หรือที่ตลาดจัดในแต่ละภาค ต้องเข้าไปศึกษาและสมัครเป็นสมาชิกเขาจะได้ประโยชน์มากทีเดียว.
3.1 รายย่อยไร้สมอง.....สมัยเริ่มลงทุนแรก ๆ ของผม ผมก็อยู่ในกลุ่มนี้ครับ เมื่อ 20 ปีก่อนหน้านี้ ไม่มีความรู้เรื่องหุ้นเท่าไหร่ เห็นเขาเล่นได้กำไรกัน ก็ เล่นกับเขา ข้อมูลที่ได้ก็คือ การดูราคาหุ้น ทาง ทีวี และ ฟังวิทยุ AM ที่บอกราคาซื้อขายหุ้นเท่านั้นเอง....คนที่เราพึ่งและติดต่อก็คือ marketing ของเรานั่นเอง คำแรกที่ถามเวลาโทรศัพท์ไปหาก็คือ วันนี้เขาจะเล่นหุ้นตัวไหน ราคาตอนนี้น่าซื้อหรือไม่ .. สมัยแรก ๆ ตอนนั้นหุ้นที่ดังมากก็คือหุ้น KMC(กฤษดามหานคร ตอนนี้เปลียนชื่อเป็น AQแล้ว) TYONG (ธนายง) และ Bland ผมมีติดอยู่ตั้งแต่ตอนนั้นจนบัดนี้มีตัวเดียวคือ กฤษดา ตอนนี้โดนลดเป็น 1 หุ้นแล้ว....ถ้าใครยังเล่นหุ้นอยู่โดยอาศัย ถามมาร์ ตัดสินใจให้ ก็ นับว่ายังอยู่ในกลุ่มรายย่อยไร้สมอง...ได้โปรดเลิกเล่นหุ้นได้แล้วนะครับ....คิดว่าพวกนี้น่าจะยังเหลืออยู่.
3.2 รายย่อยตามแห่....กลุ่มนี้น่าจะดีกว่ากลุ่มรายย่อยไร้สมอง... รายย่อยตามแห่น่าจะมีความรู้พอควร แต่อาจจะไม่สามารถตัดสินใจด้วยตนเองได้ จึงชอบตามแห่ถามข้อมูลของพวกกลุ่มกลางน้ำ หรือ ดูรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ที่ตนชอบและซื้อตาม....แน่ละครับ การซื้อตามก็น่าจะแพงกว่าพวกที่เคยซื้อก่อนหน้านี้ ต้นทุนของเขา ย่อมถูกกว่าของเราเป็นส่วนใหญ่...ถ้าตามแห่พวกรายใหญ่ที่ซื้อตอนแรก ๆ ก็ ปลอดภัยดี...แต่ถ้าซื้อตามแห่ตอนหลังก็น่าเป็นห่วงครับ.
3.3 รายย่อยร้อยหุ้น....กลุ่มนี้น่าจะเป็นพวกที่อยู่ในตลาดเป็นเวลานาน มีหุ้นเป็นร้อยตัว ตัวละนิดหน่อย..พวกนี้มักเป็นพวกสูงวัยไม่มีงานอะไรทำ... ซื้อหุ้นเพื่อไปประชุมกับเขาในฐานะเจ้าของบริษํทฯ เพราะได้รับการอบรมว่า ถึงแม้มี 1 หุ้นก็เป็นเจ้าของกับเขาได้....ซื้อหุ้น เพื่อรับของชำร่วย และ ทานอาหารฟรีในตอนที่บริษัทฯจัด AGM และ EGM กัน.. พวกนี้จะรู้ว่าหุ้นตัวไหนแจกของให้ และเลี้ยงอาหารตามโรงแรมดัง ๆ จะเห็นหลัง ๆ นี้ มีมากมายเพราะมีการกระจายหุ้นในชื่อของลูก ของหลาน หรือของญาติที่ไว้ใจกัน.
3.4 รายย่อยเล่นคลื่น...ขอจัดกลุ่มนี้เป็นกลุ่มรายย่อยที่อาศัยกราฟในการตัดสินใจ เขาไม่สนใจพื้นฐานของกิจการสักเท่าไหร่ แต่สนใจในราคาหุ้นและปริมาณการซื้อขาย เอาจากสถิติและทฤษฎีจากคนต่างชาติที่ค้นคิด โดยใช้เครื่องมือ(indicators) ชี้แนะต่าง ๆ มีการรอซื้อและรอขายเมื่อถึงจุดที่ต้องการ....จากผู้ที่รู้เรื่องนี้ ไม่ใช่ว่า 100% จะเป็นไปตามนั้น แค่คาดว่าจะสำเร็จ 70%....เรื่องนี้ต้องศึกษาและใช้ความรู้มากทีเดียว...กลุ่มนี้จะไม่ถือยาวเป็นปี เท่าที่สังเกตุมักชอบซื้อตอนหุ้นทำราคาทะลุจุดสูงเดิม เพื่อที่จะไปขายที่ราคาสูงกว่า เช่นกัน ถ้าหลุดต่ำกว่าแนวรับที่เขากำหนดก็ต้องขายตัดขาดทุนออกไป.....ผมคิดว่ากลุ่มนี้มีความเครียดในการเล่นหุ้นที่ ขึ้นลงมาก...หุ้นบางวันบางทีเขาก็ซื้อขายกันหลายรอบเหมือนกัน สรุปแล้วกลุ่มนี้จะมีกำไรหรือเปล่า ผมไม่ได้ตามและไม่สามารถจะบอกได้....เพราะนักเล่นหุ้นส่วนใหญ่จะบอกว่ากำไร แต่ที่ขาดทุนมักไม่ค่อยได้บอกกัน.
3.5 รายย่อยชำนาญการ....ธุรกิจต่าง ๆ ต้องมีนักชำนาญการอยู่แล้ว ด้านตลาดหุ้นนี่ก็มีนักชำนาญการ สามารถปรับตัวเองให้ชนะตลาดและมีกำไรทุกปี พวกนี้จะมีความรู้ดีมาก รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับกิจการ่เงิน...ตลาดมีหุ้นให้เล่นกันหลายตัว หลายกลุ่มของธุรกิจ ตามหมวดหมู่ที่เขาจัดไว้ ... นอกจากนี้แล้วยังมีพวก TFEX พวก DW พวก ETF โดยเฉพาะ TFEX ป้องกันความเสี่ยงต่าง ๆ ได้ ผมไม่มีความรู้ในด้านนี้เพราะไม่อยากศึกษา รู้มากเกินไปมันสัปสนวุ่นวาย เพราะอายุมากแล้วเลยไม่อยากจะศึกษาเพิ่มเติม....คนรุ่นใหม่ควรศึกษาหาความรู้และป้องกันตนเองด้วยเครื่องมือพวกนี้...ถึงแม้ดัชนีลงก็สามารถจะทำกำไรได้ ขาดทุนในหุ้นแต่กำไรใน TFEX เป็นการทำสมดุลในการลงทุน...เก่งครับ.
3.6 รายย่อยนักพัฒนา...กลุ่มสุดท้ายที่จะพูดถึงก็คือส่วนใหญ่ของพวกเรานั่นเอง..การหาความรู้ที่จำเป็นก็คือ.....
1.การเข้าใจ ธุรกิจ....เราไม่สามารถจะรู้ถึงธุรกิจต่าง ๆ ได้ทุกอย่าง เราต้องศึกษาและเข้าใจธุรกิจ สิ่งแรกที่ต้องทำคือ อ่านแบบ 56-1 ที่เขาสรุปเป็นภาพรวมของบริษัท โดยเฉพาะในหมายเหตูงบการเงิน ต้องเข้าใจทุกประโยคที่เขาให้ผู้ลงทุนได้รู้ ส่วนใหญ่จะสมบูรณ์มาก เพราะรูปแบบหัวข้อต่าง ๆ กำหนดเป็นมาตรฐานอยู่แล้ว....อะไรที่ข้องใจก็โทรศัพท์ถามบริษัทเขาเลย...ผมลงทุนในบริษัทใหญ่ ๆ น้อยมาก เพราะไม่เข้าใจในธุรกิจเขาเท่าไหร่ คาดการณ์ลำบาก มีบริษัทย่อยอะไรอีกมากมาย เจาะลึกลำบาก...อ่านหลายสิบรอบแล้วก็ยังไม่เข้าใจ...สู้ไปลงทุนในธุรกิจกลางเล็ก ที่เข้าใจง่าย ๆ ดีกว่า...หุ้นที่ผมลงทุนมากที่สุด แรก ๆ ก็เข้าใจดี พอหลัง ๆ นี้ ก็ ขยายไปมีบริษัทย่อยเพิ่มขึ้นอีก 4-5 แห่ง ก็ เริ่มสร้างความสัปสนให้กับผม...แต่บริษัทฯ นี้ลงทุนมานานแล้ว ทุนถูกมาก เลยไม่ได้ขายออกไป อีกอย่างเชื่อในผู้บริหารที่เขามองว่าบริษัทย่อยต่าง ๆ ที่เขาลงทุนไปต้องเติบโตและกำไร ฉะนั้นจะก้าวกระโดดไปในอีก 2-3 ปี....ผมคิดผิดเพราะรักบริษัท เขามากเกินไป เพราะพิสูจน์แล้วเวลาผ่านไป ราคาหุ้นก็ลงไปเรื่อย ๆ ปีนี้ทั้งปี ราคาลงตลอด การรอคอยผลงานที่ยังไม่เกิด นักลงทุนต่าง ๆ ก็ทิ้งไปก่อน นี่ละคือความผิดพลาดของผม ที่ไม่ยอมทิ้งหุ้นไปก่อน........การเข้าใจบริษัท นอกจากการอ่านแล้วต้องมีการสัมผัส คือต้องไปประชุมผู้ถือหุ้นรู้จักผู้บริหาร และหาโอกาสเยี่ยมชมกิจการ ของเขา โดยขอเขารวมกลุ่มกันไป หลัง ๆ นี้ ทางสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย ได้รับงานด้านนี้โดยเรียกชื่อว่าโครงการ MY COMPANY โดยบริษัทจะขอให้ทางสมาคมเลือกผู้ถือหุ้นที่ถือหุ้นของเขา ไปเยี่ยมชมกิจการของบริษัท โครงการนี้ดีมากเพราะจะได้ความรู้ในกิจการดีทีเดียว ถ้าใครได้รับเชิญต้องไปนะครับ ห้ามพลาด...ทางพวกเรา THAIVI ก็มีการจัดประจำแต่ผมไม่ได้ร่วมกับเขา เลยไม่สามารถจะบอกได้ว่าเป็นอย่างไร...แต่ต้องเป็นสิ่งดี แน่ เพราะ พวกเราทำแต่สิ่งดี ดี สำหรับรายย่อยกัน...แต่ต้องเตือนกันหน่อยว่า ซื้อหุ้นดีแต่ราคาแพง ก็ ไม่ใช่สิ่งที่ดีนะครับ.
2.การเข้าใจ ผู้บริหาร......สิ่งที่สำคัญที่จะทำให้ธุรกิจรุ่งเรืองต่อไปเรื่อย ๆ ก็ คือ ผู้บริหาร...บริษัทฯใหญ่ ๆ ก็ มีผู้บริหารเป็นมืออาชีพมาจัดการให้ แต่บริษัทฯ เล็ก กลาง ก็มันจะมีเจ้าของมาบริหารหรือเป็นประธาน บางทีก็เชิญคนที่เรานับถือมาเป็นประธานให้...สรุปได้ก็คือคณะกรรมการ เป็นฝ่ายวางนโยบาย และ สั่งการให้คณะผู้บริหารดำเนินงานต่อไป...เราต้องเข้าใจทั้งสองกลุ่มนี้ให้ดี ที่สำคัญคือต้องมีธรรมาภิบาล...มีความยุติธรรมกับของทุกฝ่ายที่มาอยู่ในเรือลำเดียวกัน.....ผมชอบผู้บริหารที่ทำกำไรให้เติบโตไปเรื่อยๆ ค่อย ๆ ขยับปีละ 10-20% ทุกปีก็สุดยอดแล้วครับ
3.การเข้าใจ งบการเงิน.....สิ่งที่เราต้องพัฒนาก็คือ ต้องเข้าใจงบการเงินของบริษัทฯ อัตราส่วนทางการเงิน สิ่งนี้ต้องเรียนรู้และเปรียบเทียบกับบริษัท อื่น ๆ...ขั้นต้นต้องรู้จักยอดขาย ต้นทุนของสินค้า กำไรขั้นต้น ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร กำไรสุทธิ....ถ้ามีบริษัทฯ ย่อยมาก ๆ ก็ จะลำบากในการวิเคราะห์ว่าเกิดจากบริษัทฯ ไหนที่ให้กำไรหรือขาดทุน...ก็ดูโดยรวมคือ งบรวม เป็นหลัก.....ต้องรู้จัก ROE ROA D/E P/E P/Bv EPS ถ้าไม่ได้เรียนบัญชีมา ก็ ต้องรู้จักเบื้องต้นดังกล่าวมาแล้ว....ส่วนพวกที่เก่งทางบัญชีก็เจาะลึกเข้าไปถึงแต่ละบรรทัดของบัญชี...มันเป็นเหมือนสุขภาพของคน ถ้างบการเงินดี ก็คือมีสภาพที่แข็งแรง เวลาเกิดวิกฤตอะไรก็ไม่เป็นห่วง อยู่รอดได้ การมีหนี้สินของบริษัทฯเป็นสิ่งสำคัญ ผมชอบบริษัทที่มีหนี้สินน้อย เพราะวิกฤตอย่างไรก็ไม่ล้มแน่....บางคนก็ว่ามีหนี้สินมากก็จะเพิ่มกำไรดีเอาเงินมาเพิ่มยอดขายเพิ่มกำไร...แล้วแต่จะคิดกัน
ถ้ารายย่อยนักพัฒนาเข้าใจทั้ง 3 อย่างดีแล้ว ลงทุนไปเรื่อย ๆ วันหนึ่งก็จะได้เติบโต จากกลุ่มปลายน้ำ เป็นกลุ่มกลางน้ำ อย่างแน่นอน....ผมอยู่กลุ่มปลายน้ำเช่นกันอยากอยู่กลุ่มกลางน้ำเหมือนกัน แต่ยังไม่มีโอกาสนักที
จบเพียงเท่านี้ ที่เขียนมาเพื่อให้รายย่อยรายใหม่ ๆ ได้พิจารณาตนเอง จะได้รู้ถึง ธุรกิจการลงทุนด้านนี้ ว่า มีอะไรบ้าง เป็นภาพใหญ่ ๆ ให้เข้าใจกัน อยากจะเตือนอย่างเดียวว่า ปลาใหญ่กินปลาเล็กนะครับ ต้องรักษาตนเองจากปลาเล็กให้เติบโตอยู่รอดเป็นปลาใหญ่ให้ได้นะครับ...ขอให้โชคดีในการลงทุน
หุ้นจะขึ้นหรือลง อยู่ที่ผลประกอบการ ซึ่งประกอบด้วย ความสามารถของผู้บริหารกับ ธรรมาภิบาล.........ใหญ่ในเล็กย่อม ดีกว่าเล็กในใหญ่
- dino
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1286
- ผู้ติดตาม: 1
Re: พวกเราอยู่กลุ่มไหน
โพสต์ที่ 2
รออ่านตอนต่ออยู่ครับ อิอิ
1 ซื้อหุ้นของกิจการที่ดี
2 มีกำไรต่อเนื่องไปในอนาคต
3 ซื้อในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของกิจการ
4 ผู้บริหารมีคุณธรรมและความสามารถ
5 และถือมันไว้ ตราบที่มันยังเป็นธุรกิจที่ดีอยู่
วอเรนซ์ บัฟเฟตต์
2 มีกำไรต่อเนื่องไปในอนาคต
3 ซื้อในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของกิจการ
4 ผู้บริหารมีคุณธรรมและความสามารถ
5 และถือมันไว้ ตราบที่มันยังเป็นธุรกิจที่ดีอยู่
วอเรนซ์ บัฟเฟตต์
- VTchai
- Verified User
- โพสต์: 80
- ผู้ติดตาม: 0
Re: พวกเราอยู่กลุ่มไหน
โพสต์ที่ 4
ขอบคุณมากครับ ลุงขวด
ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับ VI ได้เป็นอย่างดี ไม่ทำให้VI หลงตัวเอง
ผมเดานะว่า VI น่าจะอยู่น้ำ ท้ายๆ
เพียงแต่ VI ลงทุนในระยะยาว กับ ธุรกิจ ที่ดี หรือค่อนข้างดี
และมีราคาที่ถูกเมื่อเทียบกับความสามารถในการทำกำไร
ประมาณ ว่าลงทุนในเนื้อแท้ของหุ้น ครับ
ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับ VI ได้เป็นอย่างดี ไม่ทำให้VI หลงตัวเอง
ผมเดานะว่า VI น่าจะอยู่น้ำ ท้ายๆ
เพียงแต่ VI ลงทุนในระยะยาว กับ ธุรกิจ ที่ดี หรือค่อนข้างดี
และมีราคาที่ถูกเมื่อเทียบกับความสามารถในการทำกำไร
ประมาณ ว่าลงทุนในเนื้อแท้ของหุ้น ครับ
- kongkiti
- Verified User
- โพสต์: 5830
- ผู้ติดตาม: 0
Re: พวกเราอยู่กลุ่มไหน
โพสต์ที่ 6
ติดตามอ่านครับ
“Its like a finger pointing away to the moon. Don't concentrate on the finger
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee
FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee
FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
- Pyrostrikes
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1000
- ผู้ติดตาม: 0
Re: พวกเราอยู่กลุ่มไหน
โพสต์ที่ 7
ชอบคุณมากครับ ลุงขวด
Nothing comes for free...
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 38
- ผู้ติดตาม: 0
Re: พวกเราอยู่กลุ่มไหน
โพสต์ที่ 8
ติดตามลุงขวดมานานครับ ขอเกาะกระทู้ดีๆแบบนี้ด้วยคนครับ
- ลุงขวด
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2448
- ผู้ติดตาม: 0
Re: พวกเราอยู่กลุ่มไหน
โพสต์ที่ 9
เดาเก่งนะครับ ผมกำลังคิดถึงรายย่อยว่าจะแบ่งอย่างไรดี และ จะเอากลุ่มสุดท้ายให้ชื่อว่า "รายย่อยนักพัฒนา" ซึ่งแน่ละครับ ส่วนใหญ่ของพวกเราก็อยู่ในกลุ่มนี้ทั้งนั้น ผมรวมตนเองอยู่ในกลุ่มนี้เหมือนกันVTchai เขียน:ขอบคุณมากครับ ลุงขวด
ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับ VI ได้เป็นอย่างดี ไม่ทำให้VI หลงตัวเอง
ผมเดานะว่า VI น่าจะอยู่น้ำ ท้ายๆ
เพียงแต่ VI ลงทุนในระยะยาว กับ ธุรกิจ ที่ดี หรือค่อนข้างดี
และมีราคาที่ถูกเมื่อเทียบกับความสามารถในการทำกำไร
ประมาณ ว่าลงทุนในเนื้อแท้ของหุ้น ครับ
หุ้นจะขึ้นหรือลง อยู่ที่ผลประกอบการ ซึ่งประกอบด้วย ความสามารถของผู้บริหารกับ ธรรมาภิบาล.........ใหญ่ในเล็กย่อม ดีกว่าเล็กในใหญ่
- ลุงขวด
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2448
- ผู้ติดตาม: 0
Re: พวกเราอยู่กลุ่มไหน
โพสต์ที่ 13
เอาที่เห็นชัด ๆ ว่า เจ้าของเป็นผู้ชนะ........ผมเอาจากข่าวแห่งหนึ่งที่เขาสรุปมานะครับ.......
เมื่อเย็นวันศุกร์ที่ 19 ที่ผ่านมา AAV ได้แจ้งต่อตลาดถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นอย่างมีนัยสำคัญว่า ธรรษพลฐ์ ได้เข้าซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นเดิม ซึ่งจะว่าไปแล้วก็คือเพื่อนร่วมงานที่ปลุกปั้น AAV มาตั้งแต่ทำ management buyout จาก Shin เมื่อหลายปีก่อน รายละเอียดมีตามภาพ
ในอดีตนั้น อย่างที่ทราบว่า ธรรษพลฐ์ได้ขาย AAV ออกไปหลายครั้ง
ครั้งแรก ก็คือวันที่เข้าตลาด 400,125,000 หุ้น หุ้นละ 3.7 บาท
ครั้งที่สอง 235,000,000 หุ้น หุ้นละ 6.5 บาท
ครั้งที่สามและสี่ 55,000,000 หุ้น หุ้นละ 4.4 บาท
เบ็ดเสร็จ ขายออกไป 690,125,000 หุ้น คิดเป็นมูลค่ากว่า 3,249,962,500 บาท
จำง่ายๆ ว่าขายเกือบ 700 ล้านหุ้น ได้เงิน 3.2 พันล้าน
คราวนี้ ธรรษพลฐ์ซื้อคืน 823,588,486 หุ้น ที่ราคาเฉลี่ยหุ้นละ 3.53 บาท
คิดเป็นมูลค่ากว่า 2,907,267,356 บาท
จำง่ายๆ ว่าซื้อคืนมากกว่า 800 ล้านหุ้น โดยใช้เงินเพียง 2.9 พันล้าน
ต้องปรบมือให้ธรรษพลฐ์ว่า เล่นหุ้นตัวเอง ไม่เคยให้ใครได้กินเงินได้ — นี่คือวิถีแห่งรายใหญ่ตัวจริง — ซ้ำคราวนี้ ซื้อหุ้นได้หุ้นมากกว่าเดิมกว่า 130 ล้านหุ้น (823 – 690) โดยใช้เงินน้อยกว่าเดิมอีก 300 ล้าน (3.2 – 2.9) … ไม่ธรรมดา
สายการบินนั้น เป็นอุตสาหกรรมปราบเซียน ใครทำแล้วกำไร สมองย่อมไม่ธรรมดา คนที่เล่นหุ้นตัวเอง ได้หุ้นมากขึ้น โดยใช้เงินน้อยลง และทำทั้งหมดนี้ในช่วงเวลาที่ธุรกิจกำลังเป็นขาขึ้น นั่นต้องยิ่งไม่ธรรมดา
เคยมีคนพูดว่า ถ้าคิดจะกินเงินเจ้ามือ ถ้าเขาฉลาดกว่าเรามากๆ ก็รู้สึกว่า หนีไปให้ไกลดีกว่า เพราะความน่าจะเป็นที่จะโดนกินเงินเสียเองนั้น
มันเยอะเกินกว่าที่จะเอาเงินจากน้ำพักน้ำแรงมาเสี่ยง!!!
เมื่อเย็นวันศุกร์ที่ 19 ที่ผ่านมา AAV ได้แจ้งต่อตลาดถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นอย่างมีนัยสำคัญว่า ธรรษพลฐ์ ได้เข้าซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นเดิม ซึ่งจะว่าไปแล้วก็คือเพื่อนร่วมงานที่ปลุกปั้น AAV มาตั้งแต่ทำ management buyout จาก Shin เมื่อหลายปีก่อน รายละเอียดมีตามภาพ
ในอดีตนั้น อย่างที่ทราบว่า ธรรษพลฐ์ได้ขาย AAV ออกไปหลายครั้ง
ครั้งแรก ก็คือวันที่เข้าตลาด 400,125,000 หุ้น หุ้นละ 3.7 บาท
ครั้งที่สอง 235,000,000 หุ้น หุ้นละ 6.5 บาท
ครั้งที่สามและสี่ 55,000,000 หุ้น หุ้นละ 4.4 บาท
เบ็ดเสร็จ ขายออกไป 690,125,000 หุ้น คิดเป็นมูลค่ากว่า 3,249,962,500 บาท
จำง่ายๆ ว่าขายเกือบ 700 ล้านหุ้น ได้เงิน 3.2 พันล้าน
คราวนี้ ธรรษพลฐ์ซื้อคืน 823,588,486 หุ้น ที่ราคาเฉลี่ยหุ้นละ 3.53 บาท
คิดเป็นมูลค่ากว่า 2,907,267,356 บาท
จำง่ายๆ ว่าซื้อคืนมากกว่า 800 ล้านหุ้น โดยใช้เงินเพียง 2.9 พันล้าน
ต้องปรบมือให้ธรรษพลฐ์ว่า เล่นหุ้นตัวเอง ไม่เคยให้ใครได้กินเงินได้ — นี่คือวิถีแห่งรายใหญ่ตัวจริง — ซ้ำคราวนี้ ซื้อหุ้นได้หุ้นมากกว่าเดิมกว่า 130 ล้านหุ้น (823 – 690) โดยใช้เงินน้อยกว่าเดิมอีก 300 ล้าน (3.2 – 2.9) … ไม่ธรรมดา
สายการบินนั้น เป็นอุตสาหกรรมปราบเซียน ใครทำแล้วกำไร สมองย่อมไม่ธรรมดา คนที่เล่นหุ้นตัวเอง ได้หุ้นมากขึ้น โดยใช้เงินน้อยลง และทำทั้งหมดนี้ในช่วงเวลาที่ธุรกิจกำลังเป็นขาขึ้น นั่นต้องยิ่งไม่ธรรมดา
เคยมีคนพูดว่า ถ้าคิดจะกินเงินเจ้ามือ ถ้าเขาฉลาดกว่าเรามากๆ ก็รู้สึกว่า หนีไปให้ไกลดีกว่า เพราะความน่าจะเป็นที่จะโดนกินเงินเสียเองนั้น
มันเยอะเกินกว่าที่จะเอาเงินจากน้ำพักน้ำแรงมาเสี่ยง!!!
หุ้นจะขึ้นหรือลง อยู่ที่ผลประกอบการ ซึ่งประกอบด้วย ความสามารถของผู้บริหารกับ ธรรมาภิบาล.........ใหญ่ในเล็กย่อม ดีกว่าเล็กในใหญ่
- ลุงขวด
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2448
- ผู้ติดตาม: 0
Re: พวกเราอยู่กลุ่มไหน
โพสต์ที่ 14
การเอาปันผลมาล่อ และให้ สิทธิต่าง ๆ ที่เขาต้องการเอาเงินจากเรามาเพื่อขยายกิจการ ก็ต้องคิดต่อไปว่า จะสำเร็จหรือไม่....จะดีสำหรับเราที่จะไปร่วมทุนกับเขาหรือเปล่า ต้องไปวิเคราะห์ให้ออก....ฉะนั้น รายย่อย ต้องเข้าใจ ธุรกิจ และ ความสามารถของผู้บริหาร
TTA update
ประกาศเพิ่มทุนสัดส่วน 15 หุ้นเดิม ต่อ 6 หุ้นใหม่ (ราคากำหนดภายหลัง)
ขึ้น XR วันที่ 5 ก.พ. และแจก Warrant สัดส่วน 6 หุ้นสามัญใหม่ได้ 2 warrant (15 : 6 : 2) และประกาศปันผล @ 0.25 บาท ขึ้น XD 3 ก.พ.
: และให้สิทธิจองซื้อหุ้น IPO ของ PMTA โดยสัดส่วนจะประกาศอีกครั้ง
สำหรับนักลงทุนระยะกลางขึ้นไป เราประเมินว่าการประกาศเพิ่มทุนวันนี้ เชื่อว่าTTAมีแผนลงทุนขนาดใหญ่ในธุรกิจที่สร้างกระแสเงินสดต่อเนื่อง
สรุปวันขึ้นเครื่องหมายXDปันผล3ก.พ. และXR + XB วันที่ 5ก.พ.
TTA update
ประกาศเพิ่มทุนสัดส่วน 15 หุ้นเดิม ต่อ 6 หุ้นใหม่ (ราคากำหนดภายหลัง)
ขึ้น XR วันที่ 5 ก.พ. และแจก Warrant สัดส่วน 6 หุ้นสามัญใหม่ได้ 2 warrant (15 : 6 : 2) และประกาศปันผล @ 0.25 บาท ขึ้น XD 3 ก.พ.
: และให้สิทธิจองซื้อหุ้น IPO ของ PMTA โดยสัดส่วนจะประกาศอีกครั้ง
สำหรับนักลงทุนระยะกลางขึ้นไป เราประเมินว่าการประกาศเพิ่มทุนวันนี้ เชื่อว่าTTAมีแผนลงทุนขนาดใหญ่ในธุรกิจที่สร้างกระแสเงินสดต่อเนื่อง
สรุปวันขึ้นเครื่องหมายXDปันผล3ก.พ. และXR + XB วันที่ 5ก.พ.
หุ้นจะขึ้นหรือลง อยู่ที่ผลประกอบการ ซึ่งประกอบด้วย ความสามารถของผู้บริหารกับ ธรรมาภิบาล.........ใหญ่ในเล็กย่อม ดีกว่าเล็กในใหญ่
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 315
- ผู้ติดตาม: 1
Re: พวกเราอยู่กลุ่มไหน
โพสต์ที่ 15
ขอบคุณมากครับลุงขวด
-----------------------------------------
เกิดเหตุอะไร อย่าตื่นใจ ไปตามเขา
ปัญญาเรา มีหน้าที่ พิพากษา
ต้องดูน้ำ ดูลม ระดมมา
พิจารณา เชิงชั้น หมั่นตริตรอง
-----------------------------------------
ท่านพุทธทาสภิกขุ
เกิดเหตุอะไร อย่าตื่นใจ ไปตามเขา
ปัญญาเรา มีหน้าที่ พิพากษา
ต้องดูน้ำ ดูลม ระดมมา
พิจารณา เชิงชั้น หมั่นตริตรอง
-----------------------------------------
ท่านพุทธทาสภิกขุ
- astro345
- Verified User
- โพสต์: 600
- ผู้ติดตาม: 0
Re: พวกเราอยู่กลุ่มไหน
โพสต์ที่ 16
ขอบคุณครับสำหรับการแบ่งปันประสบการณ์อันมีค่าและหาไม่ได้ในตำรา..ฯลฯ สำหรับหุ้นสายการบินนั้นผมก็เคยถือครับและโชคดีที่ปล่อยออกไปหมดโดยไม่เจ็บตัว สาเหตุเพราะด้อยปัญญาและสำเหนียกได้ถึงความน่ากลัวของอุตสาหกรรมที่แข่งขันกันรุนแรง ปัจจัยควบคุมไม่ได้มากมาย และตัว ผบห. ที่มักจะมองโลกแง่ดี เข้ามาให้ข่าวดีเกินจริงเสมอ แถมงบการเงินก็ยังตัดแต่งให้ดูดีได้กว่าความเป็นจริงได้ตลอด กำลังดูๆอยู่ว่าสายการบินที่ไปลงทุนส่วนตัวเพิ่มเติมแทนที่จะใช้บริษัทเดิมลงทุน จะเอาเข้าตลาดยังไง...แต่ทายว่าคงเก็บตังค์เข้ากระเป๋าเหมือนเดิมครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 766
- ผู้ติดตาม: 0
Re: พวกเราอยู่กลุ่มไหน
โพสต์ที่ 17
หุ้นที่ลุงขวดถือมากที่สุดตอนนี้ แต่ราคาลงมาเรื่อยๆเพราะกำไรลดเนื่องจากพื้นฐานเปลี่ยนรึเปล่าครับ ทำไมลุงขวดถึงไม่ขายเพื่อเปลี่ยนไปเล่นตัวอื่นที่กำไรยังโตดี และ roe สูงๆครับ หรือมีอะไรทำให้มั่นใจหุ้นตัวเดิมอยู่ครับ ขอบคุณครับ
- ลุงขวด
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2448
- ผู้ติดตาม: 0
Re: พวกเราอยู่กลุ่มไหน
โพสต์ที่ 18
หุ้นที่ถือมากสุดแต่ราคาลงเนื่องจากยอดขายทรง ๆ ตัว ลดไม่มากเท่าไหร่ แต่กำไรลดลง เนื่องจากการลงทุนในบริษัทฯ ที่ลงไปแล้วหลายบริษัทฯ ยังไม่ได้เกิดผลเท่าไหร่ บางบริษัทฯก็เริ่มมีกำไร บางบริษัทฯยังขาดทุนอยู่ เขาเน้นไปทางอุตสาหกรรมรถยนต์เลยตกต่ำลงไม่ได้เพิ่มขึ้น....เวลาที่จะทำกำไรเลยขยายยาวออกไป...สิ่งที่เขาได้ทำตอนนี้คือพยายามลดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ และเพิ่มประสิทธิภาพในผลงาน...เขายังยืนยันว่า บรรทัดสุดท้าย คือ net profit จะทำให้มากกว่าปีที่แล้ว แต่โอกาสผมคิดว่าน้อยมากครับ....ดังนั้นปันผลปีนี้จึงน้อยลงจากเดิมได้ปันผล 1 บาท ปีนี้ทั้งปีผมคาดการว่าจะได้ปันผล เพียง 0.70 บาท....เนื่องจากต้นทุนถูกและอยู่กับเขามานานเชื่อในธรรมาภิบาลและความสามารถของเจ้าของ เลยไม่ได้สนใจที่จะขาย ประกอบกับที่เขาเน้นว่าจะก้าวกระโดด ในอีก 2-3 ปีข้างนี้ นี่ก็เข้าไปปีที่ 2 แล้วก็ยังไม่เห็นอะไรว่าจะก้าวกระโดดได้...แปลว่าต้องรอก้าวกระโดด อีก 3-4 ปีข้างหน้าเป็นแน่....สิ่งผิดพลาดของผมก็ต้องขายตอนที่ราคาหุ้นขึ้นไปสูง การรออีก 2-3 ปี นั่นหมายถึง ต้องใช้เวลา เหมือนกับเราเดินปกติไปเรื่อย ๆ แต่ต้องหยุดเดิน เพื่อจะกระโดดไกล ๆ นั่นแหละ เมื่อทราบว่าหยุดเดินและรอ เราต้องขายหุ้นแล้ว แต่ผมไม่ได้ทำอะไรเลย เพราะรักบริษัทมากเกินไป....ราคาปัจจุบันอยู่ในจุดต่ำสุดแล้ว ไม่คิดว่า จะต่ำกว่านี้สักเท่าไหร่ ก็ต้องรอการก้าวกระโดดต่อไป และอีกอย่างที่ถือก็เพราะปันผลที่เขาให้สม่ำเสมอปีละ 2 ครั้งนั่นเอง
หุ้นจะขึ้นหรือลง อยู่ที่ผลประกอบการ ซึ่งประกอบด้วย ความสามารถของผู้บริหารกับ ธรรมาภิบาล.........ใหญ่ในเล็กย่อม ดีกว่าเล็กในใหญ่
-
- Verified User
- โพสต์: 766
- ผู้ติดตาม: 0
Re: พวกเราอยู่กลุ่มไหน
โพสต์ที่ 21
แสดงว่าลุงขวดให้ความสำคัญกับผู้บริหารมากๆ มากกว่าผลประกอบการล่าสุดหรือเปล่าครับ? ทั้งที่ยอดขายทรงๆกำไรลดลง หลายคนบอกว่าพื้นฐานเปลี่ยนแล้วด้วยซ้ำ หรือว่าลุงขวดยังให้ความสำคัญกับ trend ในอนาคตว่าไทยยังเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมรถยนต์ของอาเซียน? แต่เราจะทราบได้อย่างไรครับว่าผู้บริหารมีธรรมาภิบาล เพราะลุงขวดก็บอกเองว่า 2 ปีที่ผ่านมาบริษัททำไม่ได้อย่างที่พูด..ลุงขวด เขียน:หุ้นที่ถือมากสุดแต่ราคาลงเนื่องจากยอดขายทรง ๆ ตัว ลดไม่มากเท่าไหร่ แต่กำไรลดลง เนื่องจากการลงทุนในบริษัทฯ ที่ลงไปแล้วหลายบริษัทฯ ยังไม่ได้เกิดผลเท่าไหร่ บางบริษัทฯก็เริ่มมีกำไร บางบริษัทฯยังขาดทุนอยู่ เขาเน้นไปทางอุตสาหกรรมรถยนต์เลยตกต่ำลงไม่ได้เพิ่มขึ้น....เวลาที่จะทำกำไรเลยขยายยาวออกไป...สิ่งที่เขาได้ทำตอนนี้คือพยายามลดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ และเพิ่มประสิทธิภาพในผลงาน...เขายังยืนยันว่า บรรทัดสุดท้าย คือ net profit จะทำให้มากกว่าปีที่แล้ว แต่โอกาสผมคิดว่าน้อยมากครับ....ดังนั้นปันผลปีนี้จึงน้อยลงจากเดิมได้ปันผล 1 บาท ปีนี้ทั้งปีผมคาดการว่าจะได้ปันผล เพียง 0.70 บาท....เนื่องจากต้นทุนถูกและอยู่กับเขามานานเชื่อในธรรมาภิบาลและความสามารถของเจ้าของ เลยไม่ได้สนใจที่จะขาย ประกอบกับที่เขาเน้นว่าจะก้าวกระโดด ในอีก 2-3 ปีข้างนี้ นี่ก็เข้าไปปีที่ 2 แล้วก็ยังไม่เห็นอะไรว่าจะก้าวกระโดดได้...แปลว่าต้องรอก้าวกระโดด อีก 3-4 ปีข้างหน้าเป็นแน่....สิ่งผิดพลาดของผมก็ต้องขายตอนที่ราคาหุ้นขึ้นไปสูง การรออีก 2-3 ปี นั่นหมายถึง ต้องใช้เวลา เหมือนกับเราเดินปกติไปเรื่อย ๆ แต่ต้องหยุดเดิน เพื่อจะกระโดดไกล ๆ นั่นแหละ เมื่อทราบว่าหยุดเดินและรอ เราต้องขายหุ้นแล้ว แต่ผมไม่ได้ทำอะไรเลย เพราะรักบริษัทมากเกินไป....ราคาปัจจุบันอยู่ในจุดต่ำสุดแล้ว ไม่คิดว่า จะต่ำกว่านี้สักเท่าไหร่ ก็ต้องรอการก้าวกระโดดต่อไป และอีกอย่างที่ถือก็เพราะปันผลที่เขาให้สม่ำเสมอปีละ 2 ครั้งนั่นเอง
- ลุงขวด
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2448
- ผู้ติดตาม: 0
Re: พวกเราอยู่กลุ่มไหน
โพสต์ที่ 22
ผู้บริหารท่านนี้ได้รับเลือกเป็นกรรมการของตลาดหลักทรัพย์ด้วย และ ได้รับ best ceo จากตลาดแถมด้วย...เรื่องจะทำให้เสียชื่อเสียงหรือจะเอาเปรียบผู้ถือหุ้น ไม่มีทางเกิดได้สำหรับบริษัทฯ นี้....เรื่องธุรกิจรถยนต์จะฟื้นตัวหรือไม่ ก็ ต้องรอดูต่อไป....ในธุรกิจเดิมที่เขาเน้นทางเครื่องปรับอากาศก็ยังไปได้ดีอยู่...ผมเชื่อว่าเขาจะนำธุรกิจไปรอดได้แน่ๆ ไม่ว่า วิกฤตใดที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ปล. ถ้าใครชอบเรื่องที่ผมเขียน ไม่ต้องบอก ขอบคุณ ขอให้ VOTE ในกระทู้ว่าชอบหรือไม่ จักขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง
ปล. ถ้าใครชอบเรื่องที่ผมเขียน ไม่ต้องบอก ขอบคุณ ขอให้ VOTE ในกระทู้ว่าชอบหรือไม่ จักขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง
หุ้นจะขึ้นหรือลง อยู่ที่ผลประกอบการ ซึ่งประกอบด้วย ความสามารถของผู้บริหารกับ ธรรมาภิบาล.........ใหญ่ในเล็กย่อม ดีกว่าเล็กในใหญ่
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 628
- ผู้ติดตาม: 0
Re: พวกเราอยู่กลุ่มไหน
โพสต์ที่ 25
ขอบคุณครับ...ขอติดตามอ่านด้วยคน
"สิ่งจำเป็นอย่างแท้จริงคือ กรอบความคิดอันสมเหตุสมผล สำหรับการตัดสินใจในการลงทุน รวมถึงความสามารถในการป้องกันไม่ให้อารมณ์ มีโอกาสเข้ามากัดกร่อนความคิดดังกล่าว"
- ลุงขวด
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2448
- ผู้ติดตาม: 0
Re: พวกเราอยู่กลุ่มไหน
โพสต์ที่ 26
ผมจะคิดถึงการลงทุนที่ผมผิดพลาดไป และ ที่ลงทุนและให้กำไร จะทะยอยเขียนในส่วนนี้ต่อไป เท่าที่จะแบ่งความรู้ให้สำหรับนักลงทุนในการตัดสินใจเลือกหุ้น.....ขั้นต้นต้องเข้าใจก่อนว่า ผมจะพูดถึงเฉพาะหุ้นเล็ก กลาง ที่พอจะเข้าใจง่าย ๆ ส่วนหุ้นใหญ่พวก SET50 จะขอไม่พูดถึง...เพราะผมไม่ค่อยได้ติดตามเท่าไหร่ เจาะเข้าไปไม่ถึงครับ ยิ่งอ่านก็ยิ่งงง...ผมเลยปล่อยให้หุ้นใหญ่สู้กันเองระหว่างกองทุนต่างประเทศและพวกสถาบัน.....ผมจะเล่าเฉพาะหุ้นที่ผมถือและมีผลต่อผมอย่างไรบ้าง
1. ใจร้อนและไม่ละเอียดพอ.....หลายปีก่อนมีหุ้นตัวหนึ่งที่ปกติแล้ว เขาจะทำกำไรเฉลี่ยไตรมาสละ 10 ล้านบาท ทั้งปีก็อยู่แถว 40 ล้านบาท...มีไตรมาสหนึ่งทำกำไรถึง 30 ล้านบาท ผมเห็นเข้าก็ดูเพียงเคร่า ๆ ว่า กำไรดีนะ สามารถทำได้เกือบทั้งปีแล้ว...มาดู net profit และ gross profit ก็สูงขึ้นมาก...มีการปันผลทุกปี... คิดอย่างเดียวว่า เก่งนะกำไรได้สูงเลย ด้วยใจร้อนจึงทะยอยซื้อหุ้นตัวนี้.....ในไตรมาสต่อมา ก็ สามารถทำกำไรได้อีก 30 ล้านบาท มันสร้างความมั่นใจให้กับผมอีก เลยซื้อสะสมต่อไปอีก....สิ่งที่ผมผิดพลาดคือ ต้องวิเคราะห์ว่ากำไรที่เพิ่มเกิดจากอะไร...มันเกิดจากต้นทุนที่ลดลงเท่านั้นเอง เนื่องจากวัตถุดิบในการผลิตลดลง....ยอดขายไม่ได้ลดลง ขายเท่าเดิม....ต่อมาพอวัตถุดิบสูงขึ้น กำไรก็ลดลงมาเป็นปกติ.....การที่ซื้อไปเรื่อย ๆ และประกอบกับผลประกอบการดีขึ้น ราคาหุ้นก็สูงขึ้น เหมือนกัน....ราคาเฉลี่ยของหุ้นตัวนี้ผมอยู่ค่อนข้างจะสูง.. ตอนนี้ราคาหุ้นก็ลงมาเป็นปกติแล้ว...หมายถึงว่า ผมติดหุ้นตัวนี้แล้ว นี่คือการผิดพลาดของผม...สิ่งที่ดีอย่างหนึ่งก็คือหุ้นตัวนี้ปันผลให้ทุกปี รับปันผลไป แต่ดูราคาหุ้นแล้วก็เศร้าครับ.....มีหุ้นแบบกำไรโตครั้งเดียว one time profit มากทีเดียว บางบริษัทฯ ก็ เกิดจากการขายสมบัติออกไป เช่น ขายบริษัทฯย่อย ขายที่ดินที่ถือไว้ เป็นต้น....ฉะนั้นต้องอย่าใจร้อนและต้องมีความละเอียดพอ ในการซื้อหุ้นนะครับ.
2. อดีตที่ดีไม่ได้บอกว่าอนาคตจะดีด้วย....หุ้นที่ให้ผมประสบความสำเร็จในช่วงแรก ๆ ของการลงทุน ผมเลือกหุ้นที่ผมเข้าใจและสนิทกับผู้บริหาร...หุ้นตัวนี้เป็นหุ้นส่งออกไปอเมริกา กว่าสิบปีก่อนแล้วกิจการส่งออกดี การผลิตสินค้าเราได้เปรียบกว่าต่างประเทศมากเพราะค่าแรงของเราถูก...คล้าย ๆ กับตอนนี้ที่ค่าแรงของเขมร ลาว พม่า ที่ยังถูกอยู่....ธุรกิจดีมีการขยายตัวทุกปี มีการปันผลแรก ๆ ก็ ปีละครั้ง ต่อมาก็ปีละสองครั้ง และ ปันผลทุกไตรมาส....ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเป็นไปตามวัฏจักร สูงสุดสู่สามัญ...เหมือนชีวิตคนเรามีเกิด แก่ เจ็บ ตาย เช่นกัน ทุกอย่างก็เป็นอย่างนี้ หนีไม่พ้น....ธุรกิจนี้ก็ขยายตัวไปมีการเพิ่มทุน เพื่อที่จะขยายต่อไป และที่สุดการเพิ่มทุนก็สำเร็จ แต่...กิจการซิครับ เมื่อสูงสุดแล้ว ก็ ต้องขยายต่อไปให้ได้ ก็ไม่สามารถจะขยายต่อไปได้ มีการแข่งขันจากประเทศอื่น ๆ เช่นจากมาเลเซีย และ เวียตนาม....เราไม่สามารถจะแข่งขันได้ ก็ เริ่มจะมีปัญหา การส่งออกลดลง ยอดขายค่อย ๆ ตก....ไม่ค่อยจะมีกำไร...สรุปได้ว่าการลงทุนในหุ้นตัวนี้ตอนแรกก็กำไรแต่หลังเพิ่มทุนแล้วก็ขาดทุน....นั่นหมายถึงเขาไม่สามารถจะเอาเงินของเราไปทำกำไรให้ได้....บทเรียนนี้สอนให้รู้ว่า การเพิ่มทุนแต่ละบริษัทฯ จะดีหรือไม่ก็แล้วแต่ว่าเงินที่ได้มานี้ ทำกำไรได้หรือเปล่า...ตอนนี้มีบริษัทจะเพิ่มทุนไปซื้อกิจการในเวียตนาม... เพิ่มทุนเพื่อขยายธุรกิจให้ก้าวกระโดด...เป็นต้น เราต้องคิดเองว่าการเพิ่มทุนนี้จะประสบผลสำเร็จหรือเปล่า ต้องติดตามไปด้วย....ใช่ละ อดีตที่ทำมาแล้วดี แต่ไม่ได้หมายถึงอนาคตจะดีตามไปด้วย.....ผมว่าทุกธุรกิจมีวงจรของมันเอง มีเพื่อนนักลงทุนคนหนึ่ง เก่งพอควร ลงทุนเมื่อประมาณ 3-4 ปีในธุรกิจรถยนต์ เพราะเราจะเป็น Detroit of Asia...มันเติบโตเรื่อย ๆ และถึงทึ่สุดแล้วเมื่อปีที่แล้ว หลังจากรถคันแรกที่เราส่งเสริมกัน..ตอนนี้การผลิตก็ตกลงเพราะไม่มีการส่งเสริมแล้ว...ก็ต้องรออีกสักปีสองปี ก็คงจะค่อย ๆ ขยับได้แต่ก็ไม่น่าจะไม่โตขึ้นอีกได้.....มารู้อีกทีเพื่อนนักลงทุนคนนี้ขายหุ้นในธุรกิจนี้ออกหมดแล้ว (ใครจะลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ก็ดูในเวปนี้ที่พวกเราพยายามคุยกันในหัวข้อ อุตสาหกรรมรถยนต์) ... นี่เล่นหุ้นตามวัฎจักรจริง ๆ...ก็เหมือนกับอดีตดีไม่ได้หมายถึงอนาคตจะดีด้วยเช่นกัน.
3. หุ้นกองทุนอสังหาริมทรัพย์....เป็นการลงทุนเพื่อรับผลตอบแทนที่ค่อนข้างจะมั่นคง ในระดับ 6-7% ผมชอบกองทุนที่เป็นพวก free hold หมายถึงผู้ถือหน่วยเป็นเจ้าของในทรัพย์สินนั้น ๆ...บางกองทุนมีการประกันรายได้ให้ด้วย....ส่วนใหญ่สภาพคล่องของกองทุนไม่ค่อยมีเท่าไหร่ ดังนั้นจึงควรจะเป็นเงินที่เราไม่ต้องใช้ แต่ต้องการให้ผลตอบแทนมากกว่าฝากเงินธนาคาร หรือ ซื้อหุ้นกู้ต่าง ๆ......ส่วนกองทุนอีกประเภทที่เป็น lease hold หมายถึง ทรัพย์สินที่ตั้งอยู่บนที่ดินของคนอื่น ผู้ถือหน่วยเป็นเพียงมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินและที่ดินตามสัญญาเช่านั้น ๆ เมื่อหมดสัญญาเช่าก็ต้องกลายเป็นศูนย์บาท ดังนั้นกองทุนพวกนี้จึงเหมือนกับจ่ายปันผลคือรายได้ให้เราพร้อมกับจ่ายคืนเงินต้นที่เราลงทุนไป....ผลตอบแทนมักจะมากกว่า พวก free hold เล็กน้อย....มีบางกองทุนบริหารได้เก่ง เป็นกองทุนที่สร้างศูนย์การค้า สามารถขึ้นค่าเช่าได้นับว่าน่าสนใจในกลุ่มพวกนี้...หลายปีก่อนตอนวิกฤตเศรษฐกิจ คนไม่ค่อยใช้จ่าย ไม่เดินศูนย์การค้า กองทุนนี้ก็ถูกขายออกมามากเหมือนกัน ราคาลดลงมาก....ผมโชคดีได้ซื้อไว้บางส่วน ทำให้ตอนนี้ได้ส่วนต่างของราคาและปันผลที่ดีพอควร......หุ้นกองทุนอสังหาริมทรัพย์ส่วนมากจะไม่ได้กำไรในส่วนต่างของราคา.. แต่สิ่งที่ได้ประจำก็คือปันผลที่สม่ำเสมอนั่นเอง.
4. หุ้นที่ปลอดภัย...จากคำแนะนำของ warren buffett ที่บอกว่าให้ซื้อหุ้นต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น การประเมินมูลค่าของแต่ละตัวนั้นลำบาก มีแนวคิดแตกต่างกันไป บางคนนั้นคำนวณรายได้ในอนาคตว่าจะเป็นอย่างไร และให้คุณค่าหุ้นแตกต่างกันไป...ส่วนผมคิดง่าย ๆ และส่วนใหญ่จะประสบผลสำเร็จด้วย คือ ดูมูลค่าของ book value ถ้าซื้อหุ้นได้ต่ำกว่า book value ก็นับว่าปลอดภัยดี มีเพื่อนผมคนหนึ่ง ซื้อหุ้นแต่ละตัวต้องมีราคาต่ำกว่า book value เสมอ....จากประวัติของเขา เขาก็ประสบผลสำเร็จในการลงทุน...ผมมีหลายตัวที่เป็นหุ้นต่ำกว่า book value มักจะเป็นหุ้นตะวันตกดิน พวกอุตสาหกรรมสิ่งทอ เป็นต้น พวกนี้ไม่มีคนสนใจ เพราะกิจการมักจะแย่และขาดทุนด้วย....มีหุ้นอยู่ตัวหนึ่งในสิ่งทอ ผมถือมากว่า 5 ปีแล้ว เพราะผมเห็นว่าหุ้นตัวนี้มีเงินสดมากทีเดียว มีที่ดินผืนใหญ่ที่ลงบัญชีเพียงแค่ 13 ล้านบาทเอง ที่สุดตอนนี้เขาหยุดกิจการแล้ว และจะทะยอยขายทรัพย์สินออก เพราะเงินสดต่อหุ้นมีเกือบ 100 บาท จึงประกาศปันผลเหมือนกับคืนเงินให้บางส่วนเป็นเงิน 38 บาท (ทุนผมซื้อหุ้นตัวนี้ก็ราคาแถวนี้)....นี่ยังไม่ชำระบัญชีนะ ถ้าชำระบัญชีต้องมีการขายเครื่องจักร์และที่ดิน ซึ่งผมคิดว่า จะได้อีก ไม่ต่ำกว่า 130 บาทเลย.......อีกทางหนึ่งถ้าหุ้นประเภทนี้ต้องการออกจากตลาด มักจะให้ราคาเราใกล้หรือเกินกว่า book value เสมอ เช่นหุ้น ETG TCI และ UST.......ถ้าเราซื้อหุ้นต่ำกว่า book value ถ้ากิจการเขาดีขึ้นเรื่อย ๆ ราคาหุ้นก็จะค่อย ๆ ขยับไปใกล้กับ book value เอง และถ้ากิจการดีอีก ที่สุดราคาหุ้นก็จะเกินกว่า book value เวลานั้นละเป็นเวลาที่เราต้องทำกำไรจากการถือหุ้นเหล่านี้.....หุ้นปลอดภัยส่วนใหญ่จะได้แค่ปันผลแต่ส่วนต่างของราคานั้นต้องใช้เวลานานกว่าจะได้ส่วนนี้.
5. หุ้นไม่มีสภาพคล่อง.....ผมยอมรับครับว่า สภาพคล่องในการซื้อขายมีความสำคัญ เราจะสามารถซื้อขายได้ทุกวัน แล้วแต่สถานะการณ์...สำหรับผมแล้วผมลงทุนในหุ้นต้องเป็นเงินที่เราไม่ต้องใช้ เอาเงินมาทำประโยชน์ให้มากกว่าแหล่งอื่น ๆ....ผมเลยถือว่าสภาพคล่องของหุ้นไม่ใช่สิ่งสำคัญ...จากประสบการณ์ หุ้นหลายตัวที่ไม่มีสภาพคล่อง ความต้องการน้อย ก็สามารถกลายเป็นหุ้นมีสภาพคล่องขึ้นมาได้เพราะความต้องการมาก เนื่องจากกิจการดี และ เติบโตสูงนั่นเอง.....ฉะนั้นสิ่งที่สำคัญคือ ขอให้ผลประกอบการดี หุ้นก็ขึ้นนั่นเอง....ผมจึงยึดหลักหุ้นจะขึ้นหรือไม่อยู่ที่ผลประกอบการ ผมคิดถึงปัจจุบันมากกว่าอนาคต.....มีหลายคนพูดว่าซื้อหุ้นเพราะเห็นอนาคตดี จนบางทีผมก็คิดว่า หุ้นเหล่านี้เป็นหุ้นขายฝัน...เราให้ค่าอนาคตมัน 2-3 เท่าเลย ให้ P/E เป็นร้อยเท่า P/BV มากกว่า 10 เท่า....หุ้นเหล่านี้ผมไม่กล้าจะไปเสี่ยงกับเขา......กลับมาพูดถึงหุ้นไม่มีสภาพคล่อง มีหุ้นตัวหนึ่ง พอผมมีเงินเหลือเมื่อไรก็จะหาจังหวะซื้อหุ้นตัวนี้ เพราะวิเคราะห์แล้วพบว่า เขามีเงินสดต่อหุ้นก็เกือบ 100 บาทเลย (ไม่ใช่หุ้นสิ่งทอที่กล่าวในหัวข้อ 4)..ปันผลแย่ที่สุดก็จะได้ 2% แต่เมื่อไรที่กิจการดีขึ้นเขาก็ปันผลให้มากขึ้น เคยถึงระดับเกือบ 10% เลย.....พูดถึงราคาหุ้นก็ไม่ไปไหนอยู่ในระดับปัจจุบันนี้ ไม่มีโอกาสได้ส่วนต่างของราคาหุ้นเท่าไหร่.....รอเพียงว่าเมื่อไรเขาจะพัฒนาผลิตภัณท์ใหม่ ๆ ออกมาหรือเอาหุ้นออกจากตลาดหรือเลิกกิจการเท่านั้นเอง...เตือนก่อนห้ามเอาเงินที่ต้องการจะใช้มาซื้อหุ้นแบบนี้เพราะไม่เหมาะสม....(เวลาซื้อง่ายแต่เวลาขายยาก).
6. หุ้นประกัน...ผมมาดูที่ลงทุนปรากฏว่า ไปอยู่ในกลุ่มหุ้นประกันมากที่สุด สมัยก่อนส่วนใหญ่เป็นประกันภัย....ประกันชีวิตมีน้อยกว่ามาก.....โดยสรุปแล้ว เป็นหุ้นที่ปันผลดีเป็นส่วนใหญ่ มาวิกฤตในปี2554ตอนน้ำท่วมที่ทำให้ธุรกิจนี้ขาดทุนเกือบทั้งหมด....เท่าที่ตามการเติบโตของประกันภัยผู้รู้บอกว่าจะโตเป็น 2 เท่าของ GDP....ปีนี้ถ้า GDP เท่ากับ 1.5 นั่นหมายถึงธุรกิจประกันภัยจะโตเพียง 3% เอง....ในปีนี้และปีหน้าผมคิดว่า ธุรกิจด้านประกันภัยจะโตน้อย....ผมดูที่ผมลงทุนในธุรกิจประกันภัยตัวใหญ่สุด ให้ผลตอบแทนดีมาก และเคยไปประชุมกับเขา เขาว่าถ้าราคาหุ้นสูงขึ้นมาก เขาจะแจกเป็นหุ้นปันผลให้ เขามีการปันผลทุกไตรมาสเท่ากันทุกปี.....ใครลงทุนยาวและหวังปันผลควรพิจารณาดูนะครับ.
7. หุ้นเติบโต...นักลงทุนควรสนใจหุ้นพวกนี้เป็นพิเศษ ผมผิดพลาดในกลุ่มนี้มาก เนื่องจาก เป็นคนอายุมากแล้วชอบความมั่นคง ค่อย ๆ ไป มีปันผลในอัตราสูง....หุ้นเติบโตนี้ส่วนใหญ่จะปันผลน้อย มักเอาเงินที่ได้ไปขยายกิจการให้โตขึ้นเรื่อย ๆ และมักจะมี D/E ที่สูง (ปกติผมชอบมี D/E ที่ต่ำกว่า 1) พวกนี้เป็นกลุ่ม high risk high return....ผมตามอยู่ตัวหนึ่งมาหลายปีแล้ว หุ้นตัวนี้ผู้บริหารเก่งมาก ธุรกิจในกลุ่มนี้ผมว่าตัวนี้เลือกผลิตสินค้าที่ค่อนข้างจะลำบากหน่อย คู่แข่งมักจะเป็นผู้ผลิตต่างประเทศ เดิมผู้บริหารคนนี้ไม่ได้เป็นเจ้าของบริษัทฯ เป็นมืออาชีพ กองทุนต่างประเทศเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ในที่สุดผู้บริหารท่านนี้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน มาซื้อหุ้นจากกองทุน และ ภายใน 2 ปี เขาสามารถที่จะจ่ายคืนสถาบันการเงินได้ และเป็นเจ้าของอย่างสมบูรณ์ เป็นกรณีศึกษาได้เลยครับ การวางแผนให้คุมอำนาจเบ็ดเสร็จ.....ปัจจุบัน ROA อยู่ในระดับ 30% ROE อยู่แถว 47%...หุ้นตัวนี้เป็นหุ้นที่ผมชอบตัวหนึ่ง และคงตามต่อไปเรื่อยๆ....เพราะเชื่อในความสามารถของผู้บริหาร.
8. หุ้นญี่ปุ่น....หุ้นในตลาด มีกลุ่ม่เจ้าของหลายสัญชาติ ผมชอบพวกสัญชาติญี่ปุ่นมากที่สุด เพราะ พวกนี้มักจะเอามืออาชีพมาทำงาน ที่สำคัญมีการสับเปลี่ยนกันทุก 4 ปี นี่แหละทำให้ไม่มีการโกงกัน มีการคิดพัฒนาตลอด...มีหลายบริษัทฯ ที่มีประวัติคดโกง ผ่องถ่ายทรัพย์สินหรือรายได้ไปบริษัทฯ ย่อยที่ตนถืออยู่...เหล่านี้เป็นอันตรายมากสำหรับพวกเรา...แต่ถ้าบริษัทย่อยถือโดยบริษัทใหญ่ 99.99% ก็ไม่เป็นไร...ผมถือหุ้นญี่ปุ่นบริษัทหนึ่งมายาวนานมาก บริษัทฯนี้ปันผลเท่ากันทุกปี ผมพยายามไปขอให้เขาเพิ่มปันผลให้มากขึ้นเขาก็ไม่ยอม ก็ต้องทนถือต่อไป เพราะกิจการของเขาก็ดีพอควร...จากนี้ไปปีนี้และปีต่อๆ ไป ถ้าไปประชุมก็จะโต้แย้งเรื่องนี้ทุกคราวไป เพื่อให้รายย่อยได้ปันผลมากขึ้น ดูซิว่าเขาจะละอายใจไหม...ทีตนเองและกรรมการขอเพิ่มทุกปี ส่วนผู้ถือหุ้นไม่ได้เพิ่มอะไร.
9. หุ้น mega trend....เท่าที่ติดตามดู mega trend ของโลกเห็นเกี่ยวกับคนเรามีอายุยืนมากขึ้น ผมติดตามหุ้นพวก โรงพยาบาลและยา จะเติบโตขึ้นทุกปีเลย และทราบว่าผลตอบแทนของหุ้นพวกนี้ในต่างประเทศจัดว่าอยู่ในอันดับต้น ๆ...ปี2557 หุ้น รพ.ของเราได้ขึ้นมามากพอควร ถ้าถือในระยะยาวก็น่าจะเหมาะสม แต่ดูปันผลจะให้ไม่มากเท่าไหร่ จะได้ capital gain เป็นส่วนใหญ่...เนื่องจากราคาหุ้น รพ ในตลาดบ้านเราได้ขึ้นมาแล้ว ก็ ลองดูถ้ามีการปรับตัวลงก็น่าสนใจสะสมและลงทุนยาว....ส่วนหุ้นยา นั่น ก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะโตไปพร้อมกันได้ แต่หุ้นยาโดยตรงของตลาดเราไม่มีเท่าไหร่ มีเพียงตัวเดียวที่ ตั้งราคา ipo สูงเกินไป ตัวนี้พอเข้าตลาดแล้ว ก็ ขึ้นไปไม่เท่าไหร่ ตอนนี้ลงมาต่ำกว่า ipo แล้ว เป็นหุ้นของกลุ่มเดินเรือแขก ...พวกนี้บริหารงานเก่งแต่เรื่องธรรมาภิบาลนั้นผมยังเป็นห่วงอยู่...แต่ถ้าลงมามาก ก็ น่าจะสนใจเพราะอนาคตน่าจะดีพอควร....ผมสังเกตุจากกองทุนต่างประเทศที่ลงทุนใน health care มีของบัวหลวง ที่เรียกว่า b-care ที่เก่าแก่ที่สุด มีการเติบโตดี ตอนนี้มีของกรุงศรีฯ และกสิกรไทย ด้วย....ถ้าใครอยากลงทุนระยะยาวก็น่าจะเหมาะสมพอควร.
10. หุ้น turnaround.....สิ่งที่ผมไม่ได้เหลียวแล และ ไม่ได้สนใจที่จะมีเลย คือหุ้นพวกที่ตกต่ำ แย่มาตลอด...ผมไม่ได้ถือหุ้นพวกนี้เลย แต่จากที่ได้ศึกษาและพบว่า ผู้ประสบผลสำเร็จกลุ่มหนึ่ง ก็เนื่องมาจากหุ้นเหล่านี้...คำว่า สูงสุดสู่สามัญ นี่มีความหมายนะ ทุกอย่างมีจุดเริ่ม่ต้นและไปสุงสุดและกลับมาเริ่มต้นใหม่....ถ้าใครจับจุดนี้ได้และมาพิจารณาในหุ้นแต่ละตัว บางตัวก็เป็นเช่นนี้...มีหุ้นในกลุ่มสื่อสารตัวหนึ่ง หลายสิบปีแล้ว เข้าตลาดมีการโฆษณาว่า เป็นเจ้าของเครือข่ายสื่อสารที่ใหญ่ที่สุดและสมบูรณ์ที่สุด ราคาหุ้นเข้าตลาดไปสูงมาก สามร้อยกว่าบาทเลย จากนั้นก็ตกลงมาเรื่อย ๆ ที่สุดเมื่อ สองสามปีก่อนเหลือหุ้นละไม่ถึง บาท....นั่นก็คือจากสูงสุดสู่สามัญ ... ตอนนี้ก็ค่อย ๆ ขึ้นมาเรื่อย ๆ มั่นคงอยู่ในระดับ 7 บาท แล้ว....ถ้าใครซื้อหุ้นช่วงต่ำกว่าบาท ก็ได้กำไรมากทีเดียว.....ปี 2557 นี่ หุ้นประเภทนี้คือหุ้นที่ได้ขาดทุนต่อเนื่อง และมีมูลค่า book value ไม่ถึง บาท มีบทบาทมากทีเดียว มีการปรับโครงสร้างของธุรกิจไปลงทุนในหุ้นพลังงานทดแทน ซึ่งแน่ละหุ้นพลังงานทดแทนมีความมั่นคงเพราะมีรายได้และกำไรกำหนดให้เห็นล่วงหน้าอยู่แล้ว..พอเริ่มเข้าไปในพลังงานทดแทน ราคาหุ้นจากไม่ถึงบาท ก็ ปรับเป็น สิบกว่าบาท มีหลายตัวทีเดียว.....พวกที่สามารถเข้าไปวิเคราะห์และจับทางได้ก็ได้กำไรหลายเท่าตัว....ผมยอมรับครับ กลุ่มพวกนี้เก่งจริง ๆ....ผมพลาดไปครับ ไม่ได้สนใจหุ้น turnaround เลย.
10. หุ้นพื้นฐานดีแต่ราคาสูง....การซื้อหุ้นพื้นฐานดี แต่ราคาสูงแล้ว ก็ น่าจะไม่ใช่สิ่งที่ดีเท่าไหร่... การที่พวกนี้จะขยับราคาขึ้นอีกก็ต้องรอนานพอควร ผมเชื่อว่า ราคาหุ้นเป็นสิ่งสำคัญในการที่เราจะตัดสินใจซื้อหุ้นตัวนั้น ๆ.....ปีที่ผ่านมา ผมผิดพลาดในหุ้น 2 ตัว เพราะผมชอบธุรกิจของเขาว่ามีอนาคตดี ตัวหนึ่งเป็นธุรกิจขายยา และ อีกตัวเป็นหุ้นประกันชีวิต...แต่ผมก็ไม่กังวลเท่าไหร่ เพราะที่สุดแล้วทั้งสองตัวนี้ก็ต้องให้ผลตอบแทนในระยะยาวได้ดี...ราคาหุ้นต้องเกินกว่าที่ผมซื้อแน่....ตอนนี้ก็ได้แต่มองว่าเมื่อไรจะถึงราคาที่ได้ซื้อไว้นะ ฉะนั้น จังหวะการซื้อจึงเป็นสิ่งที่ควรพิจารณาด้วย.
11. หุ้นปั่น vs หุ้นปั้น....จากที่เคยเขียนไว้เรื่องนักลงทุนกลางน้ำ รายใหญ่ ที่ หาหุ้นมาปั่นเอา จากเคยบอกว่าพวกนี้มักเป็นหุ้นไม่เต็มบาท คือ หุ้นกิจการขาดทุนมาตลอดราคาหุ้นไม่ถึงบาท และ หุ้นตามบัญชีก็ไม่ถึงบาทเช่นกัน market cap แถวไม่กี่ร้อยล้านบาท....เขาเอามาปั่นโดยอ้างว่าข่าวปรับโครงสร้างธุรกิจ ปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้น มีการเล่นหุ้นกันมากจน market cap ขยับไปในระดับพันล้านบาท บางบริษัทขยับเป็นหมื่นล้านบาทด้วยซ้ำไป แสดงว่า ราคาหุ้นได้ขึ้นไปหลายร้อยเปอเซ็นต์ พวกนี้อันตรายมากครับ market cap เพิ่ม แสดงถึง มูลค่าของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นไปตามนั้นด้วย มันจะสามารถขึ้นไปได้ตามนั้นเลยหรือ...หุ้นขายฝันกับตัวเลขที่เขาบอก...ต้องระวังด้วย ผมไม่ได้ลงทุนในหุ้นพวกนี้เลย...เห็นเขากำไรกันหลายเท่าในช่วงระยะเวลาไม่ถึงปี...มันกลายเป็นตลาดการพนันไปแล้ว......ตรงกันข้าม ผมชอบหุ้นปั้น มากกว่า (เปลี่ยนจาก ไม้เอก เป็น ไม้โท) หุ้นปั้นของผมคือหุ้นที่มีกำไรโตสักปีละ 10-20% มียอดขายโตสัก 10-20% ให้ปันผลสัก 4% ขึ้นไป...ราคาหุ้นค่อย ๆ โต ปีละ 10-20% มาดู marketcap ก็เช่นกันต้องโต 10-20% ตามไปด้วย เช่นนี้ เป็นหุ้นที่ผมชอบและอยากลงทุนอยู่กับเขาไป นาน ๆ...ต้องพยายามหาหุ้นเช่นนี้ให้ได้ ค่อย ๆ ปั้นไปเรื่อย ๆ โดยความสามารถของผู้บริหาร ขอให้หาได้ปีละตัวก็พอใจแล้ว.
1. ใจร้อนและไม่ละเอียดพอ.....หลายปีก่อนมีหุ้นตัวหนึ่งที่ปกติแล้ว เขาจะทำกำไรเฉลี่ยไตรมาสละ 10 ล้านบาท ทั้งปีก็อยู่แถว 40 ล้านบาท...มีไตรมาสหนึ่งทำกำไรถึง 30 ล้านบาท ผมเห็นเข้าก็ดูเพียงเคร่า ๆ ว่า กำไรดีนะ สามารถทำได้เกือบทั้งปีแล้ว...มาดู net profit และ gross profit ก็สูงขึ้นมาก...มีการปันผลทุกปี... คิดอย่างเดียวว่า เก่งนะกำไรได้สูงเลย ด้วยใจร้อนจึงทะยอยซื้อหุ้นตัวนี้.....ในไตรมาสต่อมา ก็ สามารถทำกำไรได้อีก 30 ล้านบาท มันสร้างความมั่นใจให้กับผมอีก เลยซื้อสะสมต่อไปอีก....สิ่งที่ผมผิดพลาดคือ ต้องวิเคราะห์ว่ากำไรที่เพิ่มเกิดจากอะไร...มันเกิดจากต้นทุนที่ลดลงเท่านั้นเอง เนื่องจากวัตถุดิบในการผลิตลดลง....ยอดขายไม่ได้ลดลง ขายเท่าเดิม....ต่อมาพอวัตถุดิบสูงขึ้น กำไรก็ลดลงมาเป็นปกติ.....การที่ซื้อไปเรื่อย ๆ และประกอบกับผลประกอบการดีขึ้น ราคาหุ้นก็สูงขึ้น เหมือนกัน....ราคาเฉลี่ยของหุ้นตัวนี้ผมอยู่ค่อนข้างจะสูง.. ตอนนี้ราคาหุ้นก็ลงมาเป็นปกติแล้ว...หมายถึงว่า ผมติดหุ้นตัวนี้แล้ว นี่คือการผิดพลาดของผม...สิ่งที่ดีอย่างหนึ่งก็คือหุ้นตัวนี้ปันผลให้ทุกปี รับปันผลไป แต่ดูราคาหุ้นแล้วก็เศร้าครับ.....มีหุ้นแบบกำไรโตครั้งเดียว one time profit มากทีเดียว บางบริษัทฯ ก็ เกิดจากการขายสมบัติออกไป เช่น ขายบริษัทฯย่อย ขายที่ดินที่ถือไว้ เป็นต้น....ฉะนั้นต้องอย่าใจร้อนและต้องมีความละเอียดพอ ในการซื้อหุ้นนะครับ.
2. อดีตที่ดีไม่ได้บอกว่าอนาคตจะดีด้วย....หุ้นที่ให้ผมประสบความสำเร็จในช่วงแรก ๆ ของการลงทุน ผมเลือกหุ้นที่ผมเข้าใจและสนิทกับผู้บริหาร...หุ้นตัวนี้เป็นหุ้นส่งออกไปอเมริกา กว่าสิบปีก่อนแล้วกิจการส่งออกดี การผลิตสินค้าเราได้เปรียบกว่าต่างประเทศมากเพราะค่าแรงของเราถูก...คล้าย ๆ กับตอนนี้ที่ค่าแรงของเขมร ลาว พม่า ที่ยังถูกอยู่....ธุรกิจดีมีการขยายตัวทุกปี มีการปันผลแรก ๆ ก็ ปีละครั้ง ต่อมาก็ปีละสองครั้ง และ ปันผลทุกไตรมาส....ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเป็นไปตามวัฏจักร สูงสุดสู่สามัญ...เหมือนชีวิตคนเรามีเกิด แก่ เจ็บ ตาย เช่นกัน ทุกอย่างก็เป็นอย่างนี้ หนีไม่พ้น....ธุรกิจนี้ก็ขยายตัวไปมีการเพิ่มทุน เพื่อที่จะขยายต่อไป และที่สุดการเพิ่มทุนก็สำเร็จ แต่...กิจการซิครับ เมื่อสูงสุดแล้ว ก็ ต้องขยายต่อไปให้ได้ ก็ไม่สามารถจะขยายต่อไปได้ มีการแข่งขันจากประเทศอื่น ๆ เช่นจากมาเลเซีย และ เวียตนาม....เราไม่สามารถจะแข่งขันได้ ก็ เริ่มจะมีปัญหา การส่งออกลดลง ยอดขายค่อย ๆ ตก....ไม่ค่อยจะมีกำไร...สรุปได้ว่าการลงทุนในหุ้นตัวนี้ตอนแรกก็กำไรแต่หลังเพิ่มทุนแล้วก็ขาดทุน....นั่นหมายถึงเขาไม่สามารถจะเอาเงินของเราไปทำกำไรให้ได้....บทเรียนนี้สอนให้รู้ว่า การเพิ่มทุนแต่ละบริษัทฯ จะดีหรือไม่ก็แล้วแต่ว่าเงินที่ได้มานี้ ทำกำไรได้หรือเปล่า...ตอนนี้มีบริษัทจะเพิ่มทุนไปซื้อกิจการในเวียตนาม... เพิ่มทุนเพื่อขยายธุรกิจให้ก้าวกระโดด...เป็นต้น เราต้องคิดเองว่าการเพิ่มทุนนี้จะประสบผลสำเร็จหรือเปล่า ต้องติดตามไปด้วย....ใช่ละ อดีตที่ทำมาแล้วดี แต่ไม่ได้หมายถึงอนาคตจะดีตามไปด้วย.....ผมว่าทุกธุรกิจมีวงจรของมันเอง มีเพื่อนนักลงทุนคนหนึ่ง เก่งพอควร ลงทุนเมื่อประมาณ 3-4 ปีในธุรกิจรถยนต์ เพราะเราจะเป็น Detroit of Asia...มันเติบโตเรื่อย ๆ และถึงทึ่สุดแล้วเมื่อปีที่แล้ว หลังจากรถคันแรกที่เราส่งเสริมกัน..ตอนนี้การผลิตก็ตกลงเพราะไม่มีการส่งเสริมแล้ว...ก็ต้องรออีกสักปีสองปี ก็คงจะค่อย ๆ ขยับได้แต่ก็ไม่น่าจะไม่โตขึ้นอีกได้.....มารู้อีกทีเพื่อนนักลงทุนคนนี้ขายหุ้นในธุรกิจนี้ออกหมดแล้ว (ใครจะลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ก็ดูในเวปนี้ที่พวกเราพยายามคุยกันในหัวข้อ อุตสาหกรรมรถยนต์) ... นี่เล่นหุ้นตามวัฎจักรจริง ๆ...ก็เหมือนกับอดีตดีไม่ได้หมายถึงอนาคตจะดีด้วยเช่นกัน.
3. หุ้นกองทุนอสังหาริมทรัพย์....เป็นการลงทุนเพื่อรับผลตอบแทนที่ค่อนข้างจะมั่นคง ในระดับ 6-7% ผมชอบกองทุนที่เป็นพวก free hold หมายถึงผู้ถือหน่วยเป็นเจ้าของในทรัพย์สินนั้น ๆ...บางกองทุนมีการประกันรายได้ให้ด้วย....ส่วนใหญ่สภาพคล่องของกองทุนไม่ค่อยมีเท่าไหร่ ดังนั้นจึงควรจะเป็นเงินที่เราไม่ต้องใช้ แต่ต้องการให้ผลตอบแทนมากกว่าฝากเงินธนาคาร หรือ ซื้อหุ้นกู้ต่าง ๆ......ส่วนกองทุนอีกประเภทที่เป็น lease hold หมายถึง ทรัพย์สินที่ตั้งอยู่บนที่ดินของคนอื่น ผู้ถือหน่วยเป็นเพียงมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินและที่ดินตามสัญญาเช่านั้น ๆ เมื่อหมดสัญญาเช่าก็ต้องกลายเป็นศูนย์บาท ดังนั้นกองทุนพวกนี้จึงเหมือนกับจ่ายปันผลคือรายได้ให้เราพร้อมกับจ่ายคืนเงินต้นที่เราลงทุนไป....ผลตอบแทนมักจะมากกว่า พวก free hold เล็กน้อย....มีบางกองทุนบริหารได้เก่ง เป็นกองทุนที่สร้างศูนย์การค้า สามารถขึ้นค่าเช่าได้นับว่าน่าสนใจในกลุ่มพวกนี้...หลายปีก่อนตอนวิกฤตเศรษฐกิจ คนไม่ค่อยใช้จ่าย ไม่เดินศูนย์การค้า กองทุนนี้ก็ถูกขายออกมามากเหมือนกัน ราคาลดลงมาก....ผมโชคดีได้ซื้อไว้บางส่วน ทำให้ตอนนี้ได้ส่วนต่างของราคาและปันผลที่ดีพอควร......หุ้นกองทุนอสังหาริมทรัพย์ส่วนมากจะไม่ได้กำไรในส่วนต่างของราคา.. แต่สิ่งที่ได้ประจำก็คือปันผลที่สม่ำเสมอนั่นเอง.
4. หุ้นที่ปลอดภัย...จากคำแนะนำของ warren buffett ที่บอกว่าให้ซื้อหุ้นต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น การประเมินมูลค่าของแต่ละตัวนั้นลำบาก มีแนวคิดแตกต่างกันไป บางคนนั้นคำนวณรายได้ในอนาคตว่าจะเป็นอย่างไร และให้คุณค่าหุ้นแตกต่างกันไป...ส่วนผมคิดง่าย ๆ และส่วนใหญ่จะประสบผลสำเร็จด้วย คือ ดูมูลค่าของ book value ถ้าซื้อหุ้นได้ต่ำกว่า book value ก็นับว่าปลอดภัยดี มีเพื่อนผมคนหนึ่ง ซื้อหุ้นแต่ละตัวต้องมีราคาต่ำกว่า book value เสมอ....จากประวัติของเขา เขาก็ประสบผลสำเร็จในการลงทุน...ผมมีหลายตัวที่เป็นหุ้นต่ำกว่า book value มักจะเป็นหุ้นตะวันตกดิน พวกอุตสาหกรรมสิ่งทอ เป็นต้น พวกนี้ไม่มีคนสนใจ เพราะกิจการมักจะแย่และขาดทุนด้วย....มีหุ้นอยู่ตัวหนึ่งในสิ่งทอ ผมถือมากว่า 5 ปีแล้ว เพราะผมเห็นว่าหุ้นตัวนี้มีเงินสดมากทีเดียว มีที่ดินผืนใหญ่ที่ลงบัญชีเพียงแค่ 13 ล้านบาทเอง ที่สุดตอนนี้เขาหยุดกิจการแล้ว และจะทะยอยขายทรัพย์สินออก เพราะเงินสดต่อหุ้นมีเกือบ 100 บาท จึงประกาศปันผลเหมือนกับคืนเงินให้บางส่วนเป็นเงิน 38 บาท (ทุนผมซื้อหุ้นตัวนี้ก็ราคาแถวนี้)....นี่ยังไม่ชำระบัญชีนะ ถ้าชำระบัญชีต้องมีการขายเครื่องจักร์และที่ดิน ซึ่งผมคิดว่า จะได้อีก ไม่ต่ำกว่า 130 บาทเลย.......อีกทางหนึ่งถ้าหุ้นประเภทนี้ต้องการออกจากตลาด มักจะให้ราคาเราใกล้หรือเกินกว่า book value เสมอ เช่นหุ้น ETG TCI และ UST.......ถ้าเราซื้อหุ้นต่ำกว่า book value ถ้ากิจการเขาดีขึ้นเรื่อย ๆ ราคาหุ้นก็จะค่อย ๆ ขยับไปใกล้กับ book value เอง และถ้ากิจการดีอีก ที่สุดราคาหุ้นก็จะเกินกว่า book value เวลานั้นละเป็นเวลาที่เราต้องทำกำไรจากการถือหุ้นเหล่านี้.....หุ้นปลอดภัยส่วนใหญ่จะได้แค่ปันผลแต่ส่วนต่างของราคานั้นต้องใช้เวลานานกว่าจะได้ส่วนนี้.
5. หุ้นไม่มีสภาพคล่อง.....ผมยอมรับครับว่า สภาพคล่องในการซื้อขายมีความสำคัญ เราจะสามารถซื้อขายได้ทุกวัน แล้วแต่สถานะการณ์...สำหรับผมแล้วผมลงทุนในหุ้นต้องเป็นเงินที่เราไม่ต้องใช้ เอาเงินมาทำประโยชน์ให้มากกว่าแหล่งอื่น ๆ....ผมเลยถือว่าสภาพคล่องของหุ้นไม่ใช่สิ่งสำคัญ...จากประสบการณ์ หุ้นหลายตัวที่ไม่มีสภาพคล่อง ความต้องการน้อย ก็สามารถกลายเป็นหุ้นมีสภาพคล่องขึ้นมาได้เพราะความต้องการมาก เนื่องจากกิจการดี และ เติบโตสูงนั่นเอง.....ฉะนั้นสิ่งที่สำคัญคือ ขอให้ผลประกอบการดี หุ้นก็ขึ้นนั่นเอง....ผมจึงยึดหลักหุ้นจะขึ้นหรือไม่อยู่ที่ผลประกอบการ ผมคิดถึงปัจจุบันมากกว่าอนาคต.....มีหลายคนพูดว่าซื้อหุ้นเพราะเห็นอนาคตดี จนบางทีผมก็คิดว่า หุ้นเหล่านี้เป็นหุ้นขายฝัน...เราให้ค่าอนาคตมัน 2-3 เท่าเลย ให้ P/E เป็นร้อยเท่า P/BV มากกว่า 10 เท่า....หุ้นเหล่านี้ผมไม่กล้าจะไปเสี่ยงกับเขา......กลับมาพูดถึงหุ้นไม่มีสภาพคล่อง มีหุ้นตัวหนึ่ง พอผมมีเงินเหลือเมื่อไรก็จะหาจังหวะซื้อหุ้นตัวนี้ เพราะวิเคราะห์แล้วพบว่า เขามีเงินสดต่อหุ้นก็เกือบ 100 บาทเลย (ไม่ใช่หุ้นสิ่งทอที่กล่าวในหัวข้อ 4)..ปันผลแย่ที่สุดก็จะได้ 2% แต่เมื่อไรที่กิจการดีขึ้นเขาก็ปันผลให้มากขึ้น เคยถึงระดับเกือบ 10% เลย.....พูดถึงราคาหุ้นก็ไม่ไปไหนอยู่ในระดับปัจจุบันนี้ ไม่มีโอกาสได้ส่วนต่างของราคาหุ้นเท่าไหร่.....รอเพียงว่าเมื่อไรเขาจะพัฒนาผลิตภัณท์ใหม่ ๆ ออกมาหรือเอาหุ้นออกจากตลาดหรือเลิกกิจการเท่านั้นเอง...เตือนก่อนห้ามเอาเงินที่ต้องการจะใช้มาซื้อหุ้นแบบนี้เพราะไม่เหมาะสม....(เวลาซื้อง่ายแต่เวลาขายยาก).
6. หุ้นประกัน...ผมมาดูที่ลงทุนปรากฏว่า ไปอยู่ในกลุ่มหุ้นประกันมากที่สุด สมัยก่อนส่วนใหญ่เป็นประกันภัย....ประกันชีวิตมีน้อยกว่ามาก.....โดยสรุปแล้ว เป็นหุ้นที่ปันผลดีเป็นส่วนใหญ่ มาวิกฤตในปี2554ตอนน้ำท่วมที่ทำให้ธุรกิจนี้ขาดทุนเกือบทั้งหมด....เท่าที่ตามการเติบโตของประกันภัยผู้รู้บอกว่าจะโตเป็น 2 เท่าของ GDP....ปีนี้ถ้า GDP เท่ากับ 1.5 นั่นหมายถึงธุรกิจประกันภัยจะโตเพียง 3% เอง....ในปีนี้และปีหน้าผมคิดว่า ธุรกิจด้านประกันภัยจะโตน้อย....ผมดูที่ผมลงทุนในธุรกิจประกันภัยตัวใหญ่สุด ให้ผลตอบแทนดีมาก และเคยไปประชุมกับเขา เขาว่าถ้าราคาหุ้นสูงขึ้นมาก เขาจะแจกเป็นหุ้นปันผลให้ เขามีการปันผลทุกไตรมาสเท่ากันทุกปี.....ใครลงทุนยาวและหวังปันผลควรพิจารณาดูนะครับ.
7. หุ้นเติบโต...นักลงทุนควรสนใจหุ้นพวกนี้เป็นพิเศษ ผมผิดพลาดในกลุ่มนี้มาก เนื่องจาก เป็นคนอายุมากแล้วชอบความมั่นคง ค่อย ๆ ไป มีปันผลในอัตราสูง....หุ้นเติบโตนี้ส่วนใหญ่จะปันผลน้อย มักเอาเงินที่ได้ไปขยายกิจการให้โตขึ้นเรื่อย ๆ และมักจะมี D/E ที่สูง (ปกติผมชอบมี D/E ที่ต่ำกว่า 1) พวกนี้เป็นกลุ่ม high risk high return....ผมตามอยู่ตัวหนึ่งมาหลายปีแล้ว หุ้นตัวนี้ผู้บริหารเก่งมาก ธุรกิจในกลุ่มนี้ผมว่าตัวนี้เลือกผลิตสินค้าที่ค่อนข้างจะลำบากหน่อย คู่แข่งมักจะเป็นผู้ผลิตต่างประเทศ เดิมผู้บริหารคนนี้ไม่ได้เป็นเจ้าของบริษัทฯ เป็นมืออาชีพ กองทุนต่างประเทศเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ในที่สุดผู้บริหารท่านนี้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน มาซื้อหุ้นจากกองทุน และ ภายใน 2 ปี เขาสามารถที่จะจ่ายคืนสถาบันการเงินได้ และเป็นเจ้าของอย่างสมบูรณ์ เป็นกรณีศึกษาได้เลยครับ การวางแผนให้คุมอำนาจเบ็ดเสร็จ.....ปัจจุบัน ROA อยู่ในระดับ 30% ROE อยู่แถว 47%...หุ้นตัวนี้เป็นหุ้นที่ผมชอบตัวหนึ่ง และคงตามต่อไปเรื่อยๆ....เพราะเชื่อในความสามารถของผู้บริหาร.
8. หุ้นญี่ปุ่น....หุ้นในตลาด มีกลุ่ม่เจ้าของหลายสัญชาติ ผมชอบพวกสัญชาติญี่ปุ่นมากที่สุด เพราะ พวกนี้มักจะเอามืออาชีพมาทำงาน ที่สำคัญมีการสับเปลี่ยนกันทุก 4 ปี นี่แหละทำให้ไม่มีการโกงกัน มีการคิดพัฒนาตลอด...มีหลายบริษัทฯ ที่มีประวัติคดโกง ผ่องถ่ายทรัพย์สินหรือรายได้ไปบริษัทฯ ย่อยที่ตนถืออยู่...เหล่านี้เป็นอันตรายมากสำหรับพวกเรา...แต่ถ้าบริษัทย่อยถือโดยบริษัทใหญ่ 99.99% ก็ไม่เป็นไร...ผมถือหุ้นญี่ปุ่นบริษัทหนึ่งมายาวนานมาก บริษัทฯนี้ปันผลเท่ากันทุกปี ผมพยายามไปขอให้เขาเพิ่มปันผลให้มากขึ้นเขาก็ไม่ยอม ก็ต้องทนถือต่อไป เพราะกิจการของเขาก็ดีพอควร...จากนี้ไปปีนี้และปีต่อๆ ไป ถ้าไปประชุมก็จะโต้แย้งเรื่องนี้ทุกคราวไป เพื่อให้รายย่อยได้ปันผลมากขึ้น ดูซิว่าเขาจะละอายใจไหม...ทีตนเองและกรรมการขอเพิ่มทุกปี ส่วนผู้ถือหุ้นไม่ได้เพิ่มอะไร.
9. หุ้น mega trend....เท่าที่ติดตามดู mega trend ของโลกเห็นเกี่ยวกับคนเรามีอายุยืนมากขึ้น ผมติดตามหุ้นพวก โรงพยาบาลและยา จะเติบโตขึ้นทุกปีเลย และทราบว่าผลตอบแทนของหุ้นพวกนี้ในต่างประเทศจัดว่าอยู่ในอันดับต้น ๆ...ปี2557 หุ้น รพ.ของเราได้ขึ้นมามากพอควร ถ้าถือในระยะยาวก็น่าจะเหมาะสม แต่ดูปันผลจะให้ไม่มากเท่าไหร่ จะได้ capital gain เป็นส่วนใหญ่...เนื่องจากราคาหุ้น รพ ในตลาดบ้านเราได้ขึ้นมาแล้ว ก็ ลองดูถ้ามีการปรับตัวลงก็น่าสนใจสะสมและลงทุนยาว....ส่วนหุ้นยา นั่น ก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะโตไปพร้อมกันได้ แต่หุ้นยาโดยตรงของตลาดเราไม่มีเท่าไหร่ มีเพียงตัวเดียวที่ ตั้งราคา ipo สูงเกินไป ตัวนี้พอเข้าตลาดแล้ว ก็ ขึ้นไปไม่เท่าไหร่ ตอนนี้ลงมาต่ำกว่า ipo แล้ว เป็นหุ้นของกลุ่มเดินเรือแขก ...พวกนี้บริหารงานเก่งแต่เรื่องธรรมาภิบาลนั้นผมยังเป็นห่วงอยู่...แต่ถ้าลงมามาก ก็ น่าจะสนใจเพราะอนาคตน่าจะดีพอควร....ผมสังเกตุจากกองทุนต่างประเทศที่ลงทุนใน health care มีของบัวหลวง ที่เรียกว่า b-care ที่เก่าแก่ที่สุด มีการเติบโตดี ตอนนี้มีของกรุงศรีฯ และกสิกรไทย ด้วย....ถ้าใครอยากลงทุนระยะยาวก็น่าจะเหมาะสมพอควร.
10. หุ้น turnaround.....สิ่งที่ผมไม่ได้เหลียวแล และ ไม่ได้สนใจที่จะมีเลย คือหุ้นพวกที่ตกต่ำ แย่มาตลอด...ผมไม่ได้ถือหุ้นพวกนี้เลย แต่จากที่ได้ศึกษาและพบว่า ผู้ประสบผลสำเร็จกลุ่มหนึ่ง ก็เนื่องมาจากหุ้นเหล่านี้...คำว่า สูงสุดสู่สามัญ นี่มีความหมายนะ ทุกอย่างมีจุดเริ่ม่ต้นและไปสุงสุดและกลับมาเริ่มต้นใหม่....ถ้าใครจับจุดนี้ได้และมาพิจารณาในหุ้นแต่ละตัว บางตัวก็เป็นเช่นนี้...มีหุ้นในกลุ่มสื่อสารตัวหนึ่ง หลายสิบปีแล้ว เข้าตลาดมีการโฆษณาว่า เป็นเจ้าของเครือข่ายสื่อสารที่ใหญ่ที่สุดและสมบูรณ์ที่สุด ราคาหุ้นเข้าตลาดไปสูงมาก สามร้อยกว่าบาทเลย จากนั้นก็ตกลงมาเรื่อย ๆ ที่สุดเมื่อ สองสามปีก่อนเหลือหุ้นละไม่ถึง บาท....นั่นก็คือจากสูงสุดสู่สามัญ ... ตอนนี้ก็ค่อย ๆ ขึ้นมาเรื่อย ๆ มั่นคงอยู่ในระดับ 7 บาท แล้ว....ถ้าใครซื้อหุ้นช่วงต่ำกว่าบาท ก็ได้กำไรมากทีเดียว.....ปี 2557 นี่ หุ้นประเภทนี้คือหุ้นที่ได้ขาดทุนต่อเนื่อง และมีมูลค่า book value ไม่ถึง บาท มีบทบาทมากทีเดียว มีการปรับโครงสร้างของธุรกิจไปลงทุนในหุ้นพลังงานทดแทน ซึ่งแน่ละหุ้นพลังงานทดแทนมีความมั่นคงเพราะมีรายได้และกำไรกำหนดให้เห็นล่วงหน้าอยู่แล้ว..พอเริ่มเข้าไปในพลังงานทดแทน ราคาหุ้นจากไม่ถึงบาท ก็ ปรับเป็น สิบกว่าบาท มีหลายตัวทีเดียว.....พวกที่สามารถเข้าไปวิเคราะห์และจับทางได้ก็ได้กำไรหลายเท่าตัว....ผมยอมรับครับ กลุ่มพวกนี้เก่งจริง ๆ....ผมพลาดไปครับ ไม่ได้สนใจหุ้น turnaround เลย.
10. หุ้นพื้นฐานดีแต่ราคาสูง....การซื้อหุ้นพื้นฐานดี แต่ราคาสูงแล้ว ก็ น่าจะไม่ใช่สิ่งที่ดีเท่าไหร่... การที่พวกนี้จะขยับราคาขึ้นอีกก็ต้องรอนานพอควร ผมเชื่อว่า ราคาหุ้นเป็นสิ่งสำคัญในการที่เราจะตัดสินใจซื้อหุ้นตัวนั้น ๆ.....ปีที่ผ่านมา ผมผิดพลาดในหุ้น 2 ตัว เพราะผมชอบธุรกิจของเขาว่ามีอนาคตดี ตัวหนึ่งเป็นธุรกิจขายยา และ อีกตัวเป็นหุ้นประกันชีวิต...แต่ผมก็ไม่กังวลเท่าไหร่ เพราะที่สุดแล้วทั้งสองตัวนี้ก็ต้องให้ผลตอบแทนในระยะยาวได้ดี...ราคาหุ้นต้องเกินกว่าที่ผมซื้อแน่....ตอนนี้ก็ได้แต่มองว่าเมื่อไรจะถึงราคาที่ได้ซื้อไว้นะ ฉะนั้น จังหวะการซื้อจึงเป็นสิ่งที่ควรพิจารณาด้วย.
11. หุ้นปั่น vs หุ้นปั้น....จากที่เคยเขียนไว้เรื่องนักลงทุนกลางน้ำ รายใหญ่ ที่ หาหุ้นมาปั่นเอา จากเคยบอกว่าพวกนี้มักเป็นหุ้นไม่เต็มบาท คือ หุ้นกิจการขาดทุนมาตลอดราคาหุ้นไม่ถึงบาท และ หุ้นตามบัญชีก็ไม่ถึงบาทเช่นกัน market cap แถวไม่กี่ร้อยล้านบาท....เขาเอามาปั่นโดยอ้างว่าข่าวปรับโครงสร้างธุรกิจ ปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้น มีการเล่นหุ้นกันมากจน market cap ขยับไปในระดับพันล้านบาท บางบริษัทขยับเป็นหมื่นล้านบาทด้วยซ้ำไป แสดงว่า ราคาหุ้นได้ขึ้นไปหลายร้อยเปอเซ็นต์ พวกนี้อันตรายมากครับ market cap เพิ่ม แสดงถึง มูลค่าของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นไปตามนั้นด้วย มันจะสามารถขึ้นไปได้ตามนั้นเลยหรือ...หุ้นขายฝันกับตัวเลขที่เขาบอก...ต้องระวังด้วย ผมไม่ได้ลงทุนในหุ้นพวกนี้เลย...เห็นเขากำไรกันหลายเท่าในช่วงระยะเวลาไม่ถึงปี...มันกลายเป็นตลาดการพนันไปแล้ว......ตรงกันข้าม ผมชอบหุ้นปั้น มากกว่า (เปลี่ยนจาก ไม้เอก เป็น ไม้โท) หุ้นปั้นของผมคือหุ้นที่มีกำไรโตสักปีละ 10-20% มียอดขายโตสัก 10-20% ให้ปันผลสัก 4% ขึ้นไป...ราคาหุ้นค่อย ๆ โต ปีละ 10-20% มาดู marketcap ก็เช่นกันต้องโต 10-20% ตามไปด้วย เช่นนี้ เป็นหุ้นที่ผมชอบและอยากลงทุนอยู่กับเขาไป นาน ๆ...ต้องพยายามหาหุ้นเช่นนี้ให้ได้ ค่อย ๆ ปั้นไปเรื่อย ๆ โดยความสามารถของผู้บริหาร ขอให้หาได้ปีละตัวก็พอใจแล้ว.
หุ้นจะขึ้นหรือลง อยู่ที่ผลประกอบการ ซึ่งประกอบด้วย ความสามารถของผู้บริหารกับ ธรรมาภิบาล.........ใหญ่ในเล็กย่อม ดีกว่าเล็กในใหญ่
- shanghaigeny
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3762
- ผู้ติดตาม: 0
Re: พวกเราอยู่กลุ่มไหน
โพสต์ที่ 27
เดาว่าน่าจะเป็นกรณีศึกษาจากหุ้น TPA เหตุที่สนใจก็คล้ายๆ ลุงขวดนี่แหล่ะครับ แต่ไม่ได้ซื้อลุงขวด เขียน:ผมจะคิดถึงการลงทุนที่ผมผิดพลาดไป และ ที่ลงทุนและให้กำไร จะทะยอยเขียนในส่วนนี้ต่อไป เท่าที่จะแบ่งความรู้ให้สำหรับนักลงทุนในการตัดสินใจเลือกหุ้น.....ขั้นต้นต้องเข้าใจก่อนว่า ผมจะพูดถึงเฉพาะหุ้นเล็ก กลาง ที่พอจะเข้าใจง่าย ๆ ส่วนหุ้นใหญ่พวก SET50 จะขอไม่พูดถึง...เพราะผมไม่ค่อยได้ติดตามเท่าไหร่ เจาะเข้าไปไม่ถึงครับ ยิ่งอ่านก็ยิ่งงง...ผมเลยปล่อยให้หุ้นใหญ่สู้กันเองระหว่างกองทุนต่างประเทศและพวกสถาบัน.....ผมจะเล่าเฉพาะหุ้นที่ผมถือและมีผลต่อผมอย่างไรบ้าง
1. ใจร้อนและไม่ละเอียดพอ.....หลายปีก่อนมีหุ้นตัวหนึ่งที่ปกติแล้ว เขาจะทำกำไรเฉลี่ยไตรมาสละ 10 ล้านบาท ทั้งปีก็อยู่แถว 40 ล้านบาท...มีไตรมาสหนึ่งทำกำไรถึง 30 ล้านบาท ผมเห็นเข้าก็ดูเพียงเคร่า ๆ ว่า กำไรดีนะ สามารถทำได้เกือบทั้งปีแล้ว...มาดู net profit และ gross profit ก็สูงขึ้นมาก...มีการปันผลทุกปี... คิดอย่างเดียวว่า เก่งนะกำไรได้สูงเลย ด้วยใจร้อนจึงทะยอยซื้อหุ้นตัวนี้.....ในไตรมาสต่อมา ก็ สามารถทำกำไรได้อีก 30 ล้านบาท มันสร้างความมั่นใจให้กับผมอีก เลยซื้อสะสมต่อไปอีก....สิ่งที่ผมผิดพลาดคือ ต้องวิเคราะห์ว่ากำไรที่เพิ่มเกิดจากอะไร...มันเกิดจากต้นทุนที่ลดลงเท่านั้นเอง เนื่องจากวัตถุดิบในการผลิตลดลง....ยอดขายไม่ได้ลดลง ขายเท่าเดิม....ต่อมาพอวัตถุดิบสูงขึ้น กำไรก็ลดลงมาเป็นปกติ.....การที่ซื้อไปเรื่อย ๆ และประกอบกับผลประกอบการดีขึ้น ราคาหุ้นก็สูงขึ้น เหมือนกัน....ราคาเฉลี่ยของหุ้นตัวนี้ผมอยู่ค่อนข้างจะสูง.. ตอนนี้ราคาหุ้นก็ลงมาเป็นปกติแล้ว...หมายถึงว่า ผมติดหุ้นตัวนี้แล้ว นี่คือการผิดพลาดของผม...สิ่งที่ดีอย่างหนึ่งก็คือหุ้นตัวนี้ปันผลให้ทุกปี รับปันผลไป แต่ดูราคาหุ้นแล้วก็เศร้าครับ.....มีหุ้นแบบกำไรโตครั้งเดียว one time profit มากทีเดียว บางบริษัทฯ ก็ เกิดจากการขายสมบัติออกไป เช่น ขายบริษัทฯย่อย ขายที่ดินที่ถือไว้ เป็นต้น....ฉะนั้นต้องอย่าใจร้อนและต้องมีความละเอียดพอ ในการซื้อหุ้นนะครับ.
2.อดีตที่ดีไม่ได้บอกว่าอนาคตจะดีด้วย
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4641
- ผู้ติดตาม: 0
Re: พวกเราอยู่กลุ่มไหน
โพสต์ที่ 28
เป็นบทความที่ทรงคุณค่ามาก
ในความเห็นผม เป็น โพสต์ออฟเดอะเยียร์ ทีเดียว
ขอบพระคุณอย่างสูงครับ
ในความเห็นผม เป็น โพสต์ออฟเดอะเยียร์ ทีเดียว
ขอบพระคุณอย่างสูงครับ
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
-
- Verified User
- โพสต์: 81
- ผู้ติดตาม: 0
Re: พวกเราอยู่กลุ่มไหน
โพสต์ที่ 30
รู้สึกได้ถึ่ง. อารมณ์. ข้อมูล ความรู้. การแบ่งปัน เหมือนสมัย. Thaivi. ในช่วงแรกๆก่อตั้ง. ชอบครับ!!!
อย่า! ตัดสินคนที่ราคา แต่จงดูที่ ค่าของคน...